บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Isoflavone วิตามินวัยทองเปลี่ยนเป็นวัยใสแต่สง่างาม


                  เทศกาลวันแม่แวะเวียนมาอีกล่ะ ว่าแล้วแป้งคิดถึงแม่เหมือนกัน แม่แป้งอยู่สกลนคร อากาศดีมาก ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด คนเราเกิดมาทุกคนต้องมีแม่ คงไม่มีใครเกิดมากระบอกไม้ไผ่เป็นแน่แท้ แม่แป้งอายุ60ปีค่ะ เป็นคนใจดีและใจเย็นที่สุด ตั้งแต่เกิดมาแป้งไม่เคยเห็นแม่บ่นหรือว่าใครเลย ยากที่จะหาใครเปรียบได้ ที่สำคัญแม่ไม่มีอาการวัยทองเหมือนชาวบ้านเลยค่ะ รู้แต่แม่ชอบกินนมถั่วเหลืองมาก แต่ผู้หญิงทุกคนอาจต้องมีวันที่จะเป็นวัยทอง ไม่มีใครไม่แก่ หากเราต้องเผชิญกับวัยทองในวันข้างหน้าจะรับมืออย่างไรดีล่ะ  
                          
ไอโซฟลาโวน (isoflavone) คือสารสกัดจากถั่วเหลืองมีฤทธิ์และโครงสร้างคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิงแต่มีฤทธิ์น้อยกว่าเอสโตรเจน1000เท่า เพิ่งถูกค้นพบเมื่อ10ปีมานี้เองค่ะ FDAของอเมริกาได้อนุมัติการอ้างถึงประโยชน์ของถั่วเหลืองในการลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ในปึค.ศ 1999   ไอโซฟลาโวนจึงทดแทนการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในวัยทอง พร้อมทั้งปรับสมดุลของระดับเอสโตรเจนที่ขึ้นๆลงๆได้ พร้อมทั้งช่วยลดการสะสมของไขมันและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้หนาแน่นขึ้น ส่งผลให้รูปร่างกระชับ ไม่หย่อยคล้อย คืนความสาวกับมาอีกครั้ง 
                           
 ฮอร์โมนผู้หญิงที่สำคัญ ในร่างกาย เราควรเรียนรู้จะได้รู้จักตัวเองมากขึ้นคือ
1.เอสโตรเจน(estrogen)หรือฮอร์โมนเพศหญิง มีผลทำให้ลักษณะทางเพศหญิงเด่นชัดขึ้นเช่น กระดูกเชิงกรานขยายกว้าง น้ำหรือไขมันสะสมใต้ผิวหนังสะสมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รูปร่างกลมกลึง อิ่มเอิบ เต้านมขยายขึ้น เข้าสู่วัยสาวอย่างสมบูรณ์แบบได้แก่ การมีประจำเดือน นั่นเอง ใครสาวเร็ว ก็จะแก่เร็วด้วยนะคะ

2.ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน(progesterone) ผลิตมาจากรังไข่เช่นเดียวกับเอสโตรเจน ควบคุมการเจริญของเต้านม การเปลี่ยนแปลงเยื่อบุช่องคลอดและ เยื่อบุโพรงมดลูก
                          
 มาดูความเปลี่ยนแปลงกันค่ะ
                          
 เมื่อผู้หญิงอายุได้35ปี ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเริ่มทำงานน้อยลงและขึ้นๆลงๆตามรอบของการมีประจำเดือน บางคนจะเริ่มมีอาการร้อนวูบวาบท้ังๆที่นอนเปิดแอร์ มีเหงื่อชุ่มตัว ที่สำคัญคือ นอนไม่ค่อยหลับ หรือ หลับไม่ลึกเหมือนเมื่อก่อน ทั้งที่ไม่มีความเครียดภายในจิตใจและไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาแฟอีน นั่นแหละค่ะ เกิดจากความไม่สมดุลของเอสโตรเจน
                           
 เมื่อผู้หญิงอายุ45ปีขึ้นไป รังไข่เริ่มผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยลงและค่อยๆหมดไปในที่สุดเมื่ออายุ50-52ปี ส่งผลให้ระบบต่างๆในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาล ดังต่อไปนี้
                           
 1.ไขมันในเลือดสูง เกิดจากโคเลสเตอรอลที่เป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนเพศ เมื่อรังไข่หยุดการสร้างฮอร์โมน จะมีผลทำให้โคเลสเตอรอลเหลือในกระแสเลือด ส่งผลให้เกิดโรคไขมันในเลือดสูง
                          
  2.ความดันโลหิตสูง เมื่อขาดเอสโตรเจน จะทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัวได้ง่าย ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
                           
 3.กระดูกพรุน เมื่อขาดเอสโตรเจน จะไม่มีตัวไปช่วยยับยั้งกระบวนการสลายกระดูก ทำให้อัตราการสลายตัวของเนื้อกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะช่วง5ปีแรกของการหมดประจำเดือน ในต่างประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ไม่ค่อยมีแสงแดด (มีวิตามินดี ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซี่ยมและสะสมเกลือแร่ในกระดูก)สตรีวัยทองจะมีภาวะกระดูกพรุน เป็นอันดับต้นๆ แต่บ้านเราแดดดีเหลือเกิน ทำให้สาวๆพากันหลบแดดเสียเป็นส่วนใหญ่ ลองออกมารับแดดช่วง8โมงเช้าก็ดีนะคะ
                          
  4.ร้อนวูบวาบ(hot flash) มีเหงื่อออกในเวลากลางคืน เกิดจากศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในร่างกายทำงานบกพร่อง ส่งผลให้หลอดเลือดตามผิวหนังขยายตัว จึงเกิดอาการร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ มึนไปหมด 
                            
 5.ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ความต้องการทางเพศลดลง โดยเฉพาะอาการซึมเศร้าไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้ บางคนอยากหนีไปอยู่บนดวงจันทร์ แม่ของเราไม่ได้เป็นโรคประสาทแต่อย่างใดนะคะ ต้องพาคุณแม่ไปพบสูตินารีแพทย์นะคะเพื่อรับฮอร์โมนทดแทน อย่า!!พาไปพบจิตแพทย์เด็ดขาดเพราะอาจจะวินิจฉัยพลาดได้นะคะ ไม่งั้นจะได้รับยาต้านอาการซึมเศร้าเป็นกอบเป็นกำแทนนะคะ บางคนกินจนเบลอเกือบตกบันไดก็มีมาแล้ว
                            
 6.นอนไม่หลับ ปัญหาโลกแตก จากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี2550เป็นต้นมา พบว่า คนไทยกินยานอนหลับทุกวัน2.1% แป้งว่าดื่มชาคาโมมายล์ผสมน้ำผึ้งก่อนนอน  หากเอาไม่อยู่ ก็กินอาหารเสริม เมลาโทนินวันละ3mg. ดีกว่านะคะ อย่างน้อยก็ไม่มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลางเหมือนยานอนหลับ นานวันเข้าพอยาสะสมในร่างกายเป็นจำนวนมาก จะทำให้คลุ้มคลั่งได้
                           
  7.ช่องคลอดแห้ง ผิวหนังแห้งกร้าน บางคนจนถึงกับคันทั่วร่างกาย ปวดเมื่อยตามตัว เวียนหัว สารพัด
อาการข้างต้นแก้ไขโดยรับประทานถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองเช่น นมถั่วเหลืองวันละ500ml.หรือเต้าหู้ วันละ0.5กิโลกรัม หากทานไม่ไหว ลองกินอาหารเสริม isoflavone สกัดเข้มข้นมี genistein 28 mg,daidzein 22mgต่อเม็ด,evening primrose oil,calcium&magnesium ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกค่ะ ช่วยกันดูแลแม่ของเราด้วยนะคะ ลืมบอกไป isoflavone พบในเมล็ดกาแฟสดด้วยนะคะ สาวๆที่ชอบดื่มกาแฟสด ถึงได้หน้าใสงัยค่ะ


Create Date : 29 สิงหาคม 2555
Last Update : 8 มิถุนายน 2556 8:19:20 น.
Counter : 8431 Pageviews.

5 เหตุผลที่ทำให้คนเราเข้าสู่วัยชราเร็วขึ้น

คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้ว่า ความเสื่อมโทรมของร่างกายเกิดจากอะไรกันแน่ อายุที่มากขึ้นเป็นตัวเร่งจริงหรือ ลองมาทำความเข้าใจกับข้อมูลเชิงลึกดูนะคะ

5 เหตุผลที่ทำให้คนเราเข้าสู่วัยชราเร็วขึ้น

1.ระบบย่อยอาหารจะทำงานลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้เหมือนตอนวัยรุ่น ผม ผิว เล็บ กระดูกจะเสื่อมลง ประมาณ 70%ของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะอยู่ในลำไส้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่คนเราจะเกิดโรคต่างๆ you are what you eat : กินอะไรได้อย่างนั้น นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อระหว่างกระเพาะอาหารและอารมณ์ ( เห็นได้จากเวลาที่เรามีความเครียดจัด ผนังกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดออกมามาก ทำให้เราปวดท้องขึ้นมาทันที )

การทำงานของเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหารลดลง จึงเกิดความผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการแพ้อาหารง่ายมาก นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่หลายคนตอนยังเด็ก ไม่แพ้อาหารประเภทไหนเลย แต่พอโตขึ้นกลับแพ้ไปหมด )

2.การอักเสบเรื้อรัง งานวิจัยจากศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ใช้การตรวจเลือดแบบแม่นยำเป็นพิเศษเพื่อตรวจวัดระดับของ CRP ( C-reactive protein ) ซึ่งเป็นโปรตีนในเลือดที่ก่อให้เกิดและบ่งบอกถึงระดับการอักเสบในร่างกาย พบว่า ระดับการอักเสบที่เพิ่มขึ้นทำให้ความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายเฉียบพลันเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ระดับของ CRP ที่สูงในเลือด พบในโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ อัลไซเมอร์ มะเร็ง เบาหวาน ( การอักเสบเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ระบบภูมิคุ้มกันและต่อต้านการอักเสบในร่างกายเสียสมดุล )

3.อนุมูลอิสระ ภาวะที่อนุมูลอิสระมากมายจนระดับของสารต้านอนุมูลอิสระมีไม่เพียงพอ หากเกิดขึ้นต่อเนื่องและเป็นเวลานาน จะเกิดความเสียหายต่อโครงสร้างเซลล์ บางคนจึงได้มีใบหน้าล้ำไปก่อนอายุงัยค่ะ

4.ความไม่สมดุลของฮอร์โมน เมื่อร่างกายขาดความสมดุลของฮอร์โมน จะเริ่มปรากฎริ้วรอย นอนไม่หลับ เครียด อารมณ์แปรปรวน ภูมิแพ้ ปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีความอยากน้ำตาล สูญเสียอารมณ์ทางเพศ ตัวอย่างเช่น
ความไม่สมดุลของฮอร์โมนไทรอยด์ อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้า ผิวแห้ง ใจสั่น มือเท้า-เย็น ผมร่วง เล็บเปราะ ประจำเดือนมาไม่ปกติ

ภาวะที่มีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกินไป อาจทำให้เกิดเซลลูไลต์ ผิวหนังหย่อนคล้อย น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความจำไม่ค่อยดี เกิดไขมันในเลือดสูงและโรคเบาหวาน

อาหารที่ช่วยให้ร่างกายมีความสมดุลของฮอร์โมน : เมล็ดฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ธัญพืช ( ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวโอ๊ต ) ถั่ว ชะเอมเทศ

อาหารช่วยให้เกิดความสมดุลที่สุดคือ กระเทียม ซึ่งมีวิตามินบี6 จะช่วยให้ร่างกายผลิตเซโรโตนิน ( ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก และควบคุมวงจรการนอนหลับ ) และแก้ไขระดับคอร์ติซอลที่สูง ( ฮอร์โมนแห่งความเครียด ) หากร่างกายมีคอร์ติซอลสูง กระตุ้นให้เกิดความโหยหาอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาล อาหารมันที่ให้พลังงานสูง เพื่อจะได้มีเรี่ยวแรงไปต่อสู้กับความเครียด

5.ภาวะความเป็นกรด เซลล์ในร่างกายจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อของเหลวอยู่ข้างในเซลล์มีความเป็นด่างเล็กน้อย เมื่อเรากินอาหารที่มีความเป็นกรดมากเกินไป เช่น เนื้อแดง กาแฟ ชีส ผลิตภัณฑ์จากนม ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการแปรรูป ชา แอลกอฮอล์ น้ำอัดลม ผงชูรส จะทำให้มีภาวะกรดเกิน ในระยะยาวส่งผลให้เราเข้าสู่กระบวนการชราเร็วขึ้น

ร่างกายจะมีการชดเชยเพื่อดึงกรดส่วนเกินออกไปคือจะดึงแคลเซียม ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างและแมกนีเซียมจากกระดูกอ่อน จนอาจนำไปสู่ภาวะกระดูกพรุน

อาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง : ผัก ผลไม้ ธัญพืช พืชตระกูลถั่ว
แต่มีความแตกต่างอย่างน่าอัศจรรย์มากในอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดคือ มะนาว พอผ่านระบบย่อยอาหารจะกลับมีฤทธิ์เป็นด่าง

อาหารมีฤทธิ์เป็นด่างที่ดีที่สุด : มะนาว ดื่มน้ำมะนาวอุ่นทุกเช้าหลังตื่นนอนเพื่อล้างพิษในตับ ( ควรใช้หลอดดูดเครื่องดื่มทุกครั้งเพื่อไม่ให้เคลือบฟันถูกทำลาย )

เมื่อกินอาหารที่อุดมไปด้วยกรด วันต่อมาให้ดื่มน้ำผักผลไม้แบบไม่ใส่น้ำตาล เช่น ผักใบเขียว+คื่นช่าย ผักกาดหอม ผักคะน้า ผักชีฝรั่ง มะนาว+ขิงสด เพิ่มความเป็นด่างในร่างกาย

ไม่ว่าความชราจะเกิดจากกระบวนการใดก็ตาม เราสามารถหลีกเลี่ยงต้นเหตุบางประการได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มองโลกในแง่ดี เพื่อวันข้างหน้า สุขภาพดีจะคงอยู่กับเราตลอดไป ขาดไม่ได้คือสละเวลาสักนิดออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที ให้เหงื่อออกบ้าง ต่อมหมวกไตจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข ( endorphine ) ออกมา หากทำเป็นประจำและสม่ำเสมอ ความสุขจะคงอยู่กับเราตลอดไป ลองทำดูนะคะ



Create Date : 01 สิงหาคม 2557
Last Update : 5 สิงหาคม 2557 9:42:46 น.
Counter : 956 Pageviews.

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ester-c สารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังกับผู้พิชิตรางวัลโนเบล


  เป็นที่ถกเถียงกันมาแสนนานว่า กินวิตามินซีเท่าไหร่ดีถึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแท้จริง ยิ่งค้นคว้าหาความรู้ ยิ่งงงมากเพราะไม่มีข้อมูลว่า ร่างกายดูดซึมไปใช้ทั้งหมดเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่า วิตามินซีละลายน้ำได้ หากมีมากเกินจะถูกขับออกมาทางไต กลายเป็นปัสสาวะ เท่านั้นเอง แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่                        
 Linus Carl Pauling นักเคมีอัจฉริยะ ชาวอเมริกัน ผู้พิชิตรางวัลโนเบล สาขาเคมี ค.ศ1954 จากผลงานเรื่อง ธรรมชาติของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ผลงานชิ้นนี้ได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์สังเคราะห์โมเลกุลขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนได้ เช่น protein,antibodyในร่างกายมนุษย์
                       
 ในปีค.ศ1962 Pauling ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ จากความพยายามที่ได้ผลักดันให้ประเทศมหาอำนาจลงนามในสัญญาไม่ทดลองระเบิดปรมาณูอีกต่อไป เพราะเขาเชื่อว่ากัมมันตภาพรังสีจากระเบิดปรมาณู ถึงแม้จะมีปริมาณน้อยนิดก็สามารถทำลายDNAของมนุษย์ นำไปสู่การเกิดโรคร้ายแรงได้ แต่ในยุคสมัยที่ Pauling เดินขบวนคัดค้านนั้น ทุกคนคิดว่า เขาเป็นเสียสติไปแล้ว
                        
 Pauling ได้รับการยกย่องให้เป็น"นักเคมีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่20"โดยเริ่มกินวิตามินซีเมื่ออายุ40ปีและเมื่อรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก จึงได้เพิ่มขนาดสูงเป็น18000mg เมื่ออายุุได้64ปีและเสียชีวิตในเวลาต่อมาเมื่ออายุได้93ปี เนี่ย!ขนาดเป็นมะเร็งยังมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างผลงานที่ควรค่าแก่การยกย่อง ช่างเป็น คนที่มีความคิดก้าวไกล ยังกับรู้ว่า โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยมลพิษโดยแท้
                       
  แป้งคาดว่าน่าจะแบ่งทานเป็น4มื้อ ไม่ก็อาจเป็นวิตามินซีชนิดผง มิฉะนั้นวิตามินซีคงจุกคอหอยตายก่อนที่จะพิสูจน์ให้โลกรับรู้ว่า วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง จากผลงานการค้นคว้าวิจัยมานานเกือบ20ปี
                         
 ขณะที่ Pauling มีชีวิตอยู่ ได้อธิบายหลักการ dynamic flow model เกี่ยวกับวิตามินซีว่า หากมีระดับวิตามินซีในกระแสเลือดคงที่ จะสามารถนำไปใช้เมื่อร่างกายต้องการได้ตลอดเวลา นั่นหมายความว่า เราจะต้องกินวิตามินซีต่อเนื่องไปตลอด เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น หากวิตามินซีในกระแสเลือดลดระดับลง ภูมิต้านทานจากวิตามินซีจะลดลงตามไปด้วย และจะต้องแบ่งกินเป็น2มื้อเพื่อให้ร่างกายชุ่มฉ่ำด้วยวิตามินซีตลอดเวลา
                        
  Pauling ได้ค้นพบการดูดซึมของวิตามินซี  หลังจากกินวิตามินซีวันละ18000mg.และยืนยันว่า วิตามินซี mega dose ช่วยทำให้มะเร็งในร่างกาย สงบลง ดังต่อไปนี้
                        
  1. วิตามินซีถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็ก 60% คงค้างที่ลำไส้ใหญ่ 25% ขับออกเป็นปัสสาวะ 15%เท่านั้น ขณะที่วิตามินซีอยู่ในลำไส้ใหญ่ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยการขจัด carcinoma(สารก่อมะเร็ง)ที่มีในอุจจาระ(ร่างกายจึงต้องมีการขับถ่ายของเสียทุกวันเพื่อลดสารพิษตกค้างในลำไส้)และช่วยดูดน้ำกลับเข้ามาในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้อุจจาระนิ่มขึ้น จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราต้องดื่มน้ำมากๆ เมื่อกินวิตามินซีปริมาณสูงและไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดนิ่วในไตแต่อย่างใด(ไม่งั้นPauling คงได้โรคนิ่วในไตแถมมาด้วยเป็นแน่แท้)
                          
2.วิตามินซี mega dose สามารถป้องกันการทำลายของเซลล์มะเร็ง ด้วยกลไกการสร้างคอลลาเจน วิตามินซียับยั้งได้ โดยจะทำให้โครงสร้างภายในเซลล์มะเร็งเปลี่ยนแปลงไป เยื่อหุ้มเซลล์มะเร็งจะขาดออก แล้วถูกล้อมรอบด้วยคอลลาเจน
                          
 3.เมื่อวิตามินซีถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็กและกระจายไปยังกระแสเลือด จะสามารถป้องกันโรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ วิตามินซีจะลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด และช่วยขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ส่งผลให้หัวใจทำงานได้ตามปกติ การบริโภคอาหารไขมันสูงเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคหัวใจและมะเร็งลำไส้ใหญ่ในที่สุด
                          
 4.วิตามินซีป้องกันการติดเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจส่วนต้นเช่น โรคไข้หวัด  หากร่างกายได้รับเชื้อโรค ปริมาณเม็ดเลือดขาวจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วมหาศาลเพื่อจับกินเชื้อโรคเมื่อมีวิตามินซีสะสมอยู่ในร่างกายปริมาณมาก อันนี้แป้งพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้วหลายครั้งค่ะ(ก่อนที่จะกินวิตามินจากอเมริกาต่อเนื่อง10เดือนนะคะ) เวลารู้สึกเหมือนจะเป็นหวัด เริ่มเจ็บคอนิดๆ แป้งจะรีบหยิบวิตามินซี2เม็ด(2000mg.)ใส่ปาก ดื่มน้ำตาม500ml.จากนั้นอีก1ชั่วโมง กรอกวิตามินซีใส่ปากอีก2เม็ดตามด้วยน้ำ500ml รวมทั้งหมด 4000mg. อีก2ชั่วโมงต่อมา อาการเหมือนจะเจ็บคอ หายเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ แป้งจึงไม่ต้องกินยาฆ่าเชื้อโรคแม้เพียงเม็ดเดียวเลยค่ะ Pauling นี่สุดยอดจริงๆค่ะ
                          
 5.วิตามินซีสามารถเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายเมื่อมีระดับวิตามินซีสูงและความสามารถในการจับกินเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ข้อนี้แป้งพิสูจน์มาแล้วเช่นกัน เมื่อ2ปีที่แล้วเดินทางไปเที่ยวอเมริกาพร้อมครอบครัวเป็นเวลา9วัน พกวิตามินติดตัวไปแค่ 3ชนิดคือ วิตามินซีวันละ4000mg,Q10วันละ200mg และเมลาโทนินวันละ3mg(จำเป็นมากเนื่องจากเดินทางข้ามเส้นแบ่งเขตเวลา จะทำให้ร่างกายปรับเวลานอนไม่ได้ จึงต้องกินเมลาโทนินค่ะ) แบ่งวิตามินกินเป็น2มื้อ ซึ่งการเดินทางไปกับทัวร์ จะเหนื่อยมากกว่าปกติ ทุกอย่างต้องตรงเวลา ตื่นนอน 6โมง  7โมงทานอาหารเช้า 8โมงล้อหมุน กว่าจะได้นอนในแต่ละคืน ปาเข้าไปเที่ยงคืนทุกวัน กลับมาเมืองไทยแป้งไม่เหนื่อย แถมสวยเด้งอีกต่างหาก(น้องในออฟฟิศชม)
                         
 เมื่อปีที่แล้วเดินทางไปอังกฤษ-สก็อตแลนด์พร้อมครอบครัวเป็นเวลา9วัน นำวิตามินไปสูตรเดิม ก็ไม่โทรมกลับมานะคะ สวยเด้งและสุขภาพแข็งแรงมาเชียว ไม่มีวี่แววของความเหนื่อยล้าเลยค่ะ และกลางปีที่ผ่านมาเดินทางไปยุโรป ระยะเวลา9วัน อยากซ่าส์! ลองเปลี่ยนสูตรวิตามินค่ะ ไม่เอาวิตามินซีไป(เม็ดมันใหญ่ กลืนลำบาก) แต่เอาgrape seed 300mg วันละ2เม็ด,Q10 วันละ 300mgและเมลาโทนินวันละ 3mg ไม่อยากบอกว่า รู้สึกเหนื่อยมากมาย กลับมาเมืองไทย นอนสลบ 1วันเต็มๆ ตื่นมากินข้าวอย่างเดียว ชำรุดทรุดโทรมมาก เรียกได้ว่า ยับเยินที่สุดในชีวิต ตอนนี้เชื่อหลักการดูดซึมวิตามินซี ของPauling สนิทใจเลยค่ะ
                        
   FDA(องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา) ได้กำหนดให้บริโภควิตามินซีเพียงวันละ 60mg ส่วนอ.ย ประเทศไทย อนุญาตให้กินวิตามินซีได้แค่ วันละ 200mg  นอกจากกินวิตามินซีชนิดที่เป็นอาหารเสริมแล้ว ควรบริโภควิตามินซีจากธรรมชาติด้วยนะคะเช่น ผักใบเขียว ผลไม้รสเปรี้ยว มะเขือเทศ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ฝรั่ง แตงโมและมะละกอ
                          
  ค.ศ 1970 ขณะยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนคิดว่า Pauling สติแตก แต่หลังจากนั้นอีก20ปี สิ่งที่ Pauling ได้ศึกษาและวิจัยเรื่อง วิตามินซี ได้รับการยอมรับในระดับสากล และมีงานวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่า หลักการของPauling เรื่องวิตามินซีถูกต้องที่สุด อีกทั้งได้รับการยกย่องว่า เป็น"บิดาแห่งวิตามินซี" และ ในวันที่19สิงหาคม2555 นี้ เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของ Pauling ปีที่18  ขอบคุณมากมายด้วยนะคะ
                          
  แป้งเลือกกินวิตามินซี ชนิด ester-c 1000mg ซึ่งมี bioflavonoid (เป็นส่วนประกอบที่พบได้จากพืชธรรมชาติเท่านั้น) มากถึง 200mg (หากมีมากในร่างกาย จะช่วยปกป้องเนื้อเยื่อจากการทำลายของอนุมูลิอสระและป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้เป็นอย่างดี ) ยี่ห้อ SOLGAR ผลิตในอเมริกา นับได้ว่าคุ้มค่าที่สุดในการกินวิตามินซี อีกทั้งจดสิทธิบัตรไป 25 ประเทศทั่วโลก เนื่องจาก ถูกสกัดความเป็นกรดออกไปจนหมดสิ้น จึงไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและไม่กัดกร่อนหูรูดอาหาร ไม่ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้องหรือท้องเสียแต่อย่างใด แถมมาด้วยคุณสมบัติเพิ่มการดูดซึมวิตามินซีได้ดียิ่งขึ้น สามารถรับประทานขณะท้องว่างได้อีกด้วย

 มีจำหน่ายที่ jabushebeautyplus.weloveshopping.com เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย  ควรปรับปริมาณวิตามินซี ตามระดับความเครียด มลภาวะ ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ความเจ็บป่วย รวมถึงผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำและชอบกินอาหารทอด ปิ้ง ย่าง ส่งเสริมให้เกิดcarcinogen (สารก่อมะเร็ง ) ในร่างกาย คนเราหน้าตาสดใส สุขภาพกายแข็งแรง ไม่ต้องเอาเงินไปให้หมอ เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เพียงเท่านี้ก็มีความสุขในชีวิตมากพอแล้ว



ที่มา;1.www.medicalnewtoday.com/release/12154.php
       2.www.healingdaily.com/detoxification.../vitaminc.htm

 v



Create Date : 23 สิงหาคม 2555
Last Update : 8 มิถุนายน 2556 8:18:42 น.
Counter : 11177 Pageviews.

Evening primrose oil วิตามินผิวสวยหรือทำให้เป็นสิวกันแน่


 ในปัจจุบันนี้ แทบทุกคนจะเป็นภูมิแพ้กันทั้งสิ้น แป้งเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นมานมนานต้ังแต่เด็กๆจนกระทั่งเริ่มเรียนม.ต้น ช่วงเช้าจะมีน้ำมูกใสๆ แต่ไม่จามนะคะ อยู่คู่วิถีชีวิตมาตลอด หากมีอาการภูมิแพ้ทางหูที่แถมมาโดยไม่รู้ตัวคือ คันหู จะคันลึกๆในหู ถ้าเป็นมากบางคืนถึงกับตื่นกลางดึกเพราะคันหู ใช้สำลีปั่นก็ไม่หาย(ยังกะเพลงดังเมื่อปีที่แล้วเลย) เคยไปหาหมอเก่งๆระดับอาจารย์แพทย์ด้าน หู คอ จมูก กลับตรวจไม่พบอะไร บอกว่าไม่ได้เป็นโรคอะไร อ้าว!แล้วทำไมเราคันหูมาตลอดล่ะ ไม่มีคำตอบจากปากคุณหมอ ได้ยาแก้แพ้มากิน อาการคันหูก็ไม่หายขาดเสียที
                                    
จนกระทั่งเดินทางไปอเมริกา จำได้ว่าเป็นห้าง target มีวิตามินเพียบ! เหลือบไปเห็น Evening primrose oil 3กระปุกวางบนชั้น จึงเอื้อมมือไปหยิบ แต่กลับได้เพียง2 กระปุกเพราะมีพี่ผู้หญิงที่ร่วมทริป คว้าไป1กระปุก ว๊าย!ทั้งร้านมีแค่นี้ เลยได้ครอบครองเพียงเท่านี้ แต่กลับสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตมหาศาล กล่าวคือ กินไปได้3เดือน อาการคันหูหายเป็นปลิดทิ้ง แทบไม่น่าเชื่อว่าแค่วิตามินจะรักษาอาการภูมิแพ้ทางหูได้ผลเลิศขนาดนี้

 ปล.อาการภูมิแพ้ทางหูวินิจฉัยโรคได้ด้วยตัวเอง จากการอ่านหนังสือค่ะ อ่านเจอโดยบังเอิญด้วยซ้ำ ยังเคยนึกเล่นๆว่ามีแมลงอะไรเพาะตัวอยู่ในหูเราหรือเปล่า ไปหาหมอไม่รู้ตั้งกี่คน แต่ไม่มีใครให้ความกระจ่างว่าอาการคันหูที่แป้งเป็นมานานคือภูมิแพ้ทางหู นั่นเอง 

ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเองนะคะ ถัาเราเป็นคนช่างสังเกตสิ่งรอบตัว พินิจพิเคราะห์ที่มาของอาการต่างๆในร่างกาย หมอประจำตัวที่ดีที่สุดในชีวิตคือ ตัวเราเองค่ะ

  Evening primrose oil เป็นกรดไขมันจำเป็นที่สกัดได้จากเมล็ดของดอกอีฟนิ่งพริมโรส ซึ่งเป็นพืชล้มลุกที่มีดอกสีเหลือง ดอกจะบานในตอนเย็น พบมากในอเมริกาเหนือและยุโรป อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นชนิดไม่อิ่มตัว กลุ่มโอเมก้า6 (omega-6) ชื่อ แกมม่าไลโนเลอิก แอซิด (Gamma linoeic acid) หรือGLA ซึ่งร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น
                                  


 มีประโยชน์อย่างไร
  1.ช่วยทำให้ผิวแห้งกร้าน กลับนุ่มเนียนยิ่งขึ้น;ชนิดที่ไม่มีครีมหรือโลชั่นใดๆในโลกเทียบเท่าเพราะ GLA เป็นองค์ประกอบหลักของเซลล์ผิวหนัง ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิว24ชั่วโมงจึงทำให้ผิวทั่วร่างกายชุ่มชื้น เปล่งปลั่งสุดๆ เพราะช่วงที่กินevening primrose oil มีแต่คนทักว่าผิว(ตัว)ดีมาก เนียนนุ่ม เวลามีคนมาเบิกยา ถ้าใส่ชุดไปรเวท(เสื้อแขนกุด)จะมีแต่คนชมว่าผิวสวยแถมยังเข้ามาจับแล้วถามว่า"น้องแป้งเพิ่งทาโลชั่นมาเหรอ"ตอนนั้นจะเลิกงานแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า วิตามินจะช่วยได้ขนาดนี้ แต่พอหมด2กระปุกก็ไม่ได้กินต่อนะคะ ผิวที่เคยนุ่มเนียนก็ลดระดับลงเหมือนตอนก่อนกิน
                        

แต่บางคนกินแล้วหน้ามัน สิวขึ้น ทั้งนี้ในร่างกายแต่ละคนไวต่อสิ่งกระตุ้นไม่เท่ากัน แป้งไม่เป็นสิวนะคะเพราะกินไดแอนอยู่ประกอบกับทา benzoyl peroxide จึงสมดุลพอดีเลย เพราะฉะนั้นวิตามินตัวนี้เหมาะสำหรับคนผิวแห้งเท่านั้นไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผิวมันและผิวมีแนวโน้มจะเป็นสิว ซึ่งต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติ มีรูขุมขนกว้างอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเติมกรดไขมันจำเป็นตัวไหนเข้าไปในร่างกายอีกนะคะ แค่ผิวหน้ามัน ก็มากเกินพออยู่แล้ว ไม่ต้องเติมความชุ่มชื้นจากวิตามินเข้าไปหรอกค่ะ เดี๋ยวค่ารักษาสิวจะแพงกว่าวิตามินนะจ๊ะ
                     

 2.ลดอาการปวดท้องประจำเดือน;ช่วงก่อนที่จะมีเลือดประจำเดือน (ไข่ไม่ได้รับการผสมกับสเปิร์ม ผนังมดลูกจะหนาตัวขึ้น และหลุดลอกออกมากลายเป็นเลือดทุกๆเดือน จึงเรียกว่า ประจำเดือน) 

GLAจะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน การที่มดลูกบีบรัดตัวเพื่อบีบ(ถีบ)เลือดประจำเดือนออกมาจะหลั่งพรอสตาแกลนดินออกมามาก ทำให้มีอาการปวดท้อง ปวดหลัง ปวดหัว ปวดตัวไปหมด 

Evening primrose oil ช่วยได้ค่ะแต่มันจะแถมให้ในสิ่งที่เราไม่ต้องการคือ เนื้อเยื่อบวมน้ำ ร่างกายจึงอวบมากขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่รูปร่างอวบอิ่มอยู่และกินจุบจิบอยู่แล้ว ไม่สมควรกินวิตามินตัวนี้นะคะ ในอเมริกาจะนิยมกิน Flax seed oilแทนค่ะ
                     

 3.ลดอาการแปรปรวนในวัยทอง ซึ่งเห็นชัดเจนเลยว่าผิวพรรณเหี่ยวแห้งบางคนถึงกับคันทั่วร่างกายเพราะระดับเอสโตรเจนในร่างกายลดลงจนหมดไปจากร่างกาย เอสโตรเจนจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าฮอร์โมนแห่งความงาม Eveninng primrose oil ช่วยได้ค่ะเพราะเคยเห็นคุณยายจากผิวเหี่ยวแห้ง กินวิตามินตัวนี้(ขายในอเมริกาแต่ที่จริงผลิตมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์,คุณภาพเยี่ยมสุดๆ) วันละ2เม็ด ผิวเต่งตึง มีน้ำมีนวลขึ้นมาเลย
                  

  ส่วนประโยชน์ในด้านอื่นๆ อ่านเพิ่มเติมได้จากสื่อสิ่งพิมพ์หรือโลกออนไลน์ค่ะ

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ภัยยกกำลังสองจากอาหารเสริมลดน้ำหนักที่ไม่ผ่านอ.ย


ทุกวันนี้มีอาหารอร่อยหลายอย่างชวนให้ลิ้มลองอยู่ไม่ขาด ของกินที่อร่อยปากมักจะประกอบด้วย น้ำตาล ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ซึ่งให้พลังงาน ( แคลอรี่ ) เยอะมาก เช่น เค้ก คุ้กกี้ เบเกอรี่ ขนมหวาน ฯลฯ ช่างตรงกันข้ามกับของกินที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ รสชาติจะพอกินได้ ไม่ได้อร่อยล้ำแต่ประการใด

เมื่อหลายเดือนก่อน ชีวิตมีความสุขมากมาย ทำงานไม่เครียด เลยเผลอกินอาหารชนิดตามใจปากแค่เดือนเดียว ( คิดเข้าข้างตัวเองว่า คงไม่ถึงกับอ้วนหรอก ) ปรากฎว่า น้ำหนักพุ่งทะลุเครื่องชั่งมา 4 กก. ห๊า!! ขนาดออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3-5 วันแล้ว แต่ลืมไปว่า ผู้หญิงที่อายุเกิน 30 ปี ระบบเผาผลาญจะทำงานน้อยลง )

ถึงว่าเวลาส่องกระจกทีไร หน้าตาถึงได้อิ่มเอิบ เบ่งบานเป็นจานดาวเทียมซะงั้น อืม!! อ้วนขึ้นนี่เอง จะทำยังไงดีน๊า ต้องลดน้ำหนักเป็นการด่วน คือกลับมากินผักกินหญ้า กินปลา กินข้าวกล้อง งดอาหารพลังงานสูง ( แป้ง น้ำตาล ไขมัน ) เป็นเวลา 1 เดือน ผลที่ได้คือ น้ำหนักไม่ลดลงแม้แต่ขีดเดียว จึงได้หาตัวช่วยดีกว่าเนอะ

เป็นวิตามินสำหรับควบคุมน้ำหนักแถมเพิ่มพลังงาน ที่สำคัญ ชะลอความชราได้อีกด้วยนะคะ แต่เดี๋ยวก่อน ลองมาอ่านประสบการณ์ลดน้ำหนักอันน่าสะพรึงในอดีตของแป้งเสียก่อนค่ะ

ตอนนั้นอายุ 22 ปี แป้งเคยกินยาลดความอ้วน ชื่อReductil® ซึ่งเป็นชื่อทางการค้าของยาไซบูทรามีน ( sibutramine ) มีข้อบ่งใช้สำหรับควบคุมความรู้สึกหิวสำหรับผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน

แป้งมีส่วนสูง 160 cm. นน. 53 กก.ในขณะนั้น ( เอาส่วนสูง-110=50 กก. แป้งจะต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 50 กก. ) ทีนี้นน.เกินมาตั้ง 3 กก. เอาไงดีเนี่ย

เห็นเพื่อนพยาบาลหุ่นเพรียวลม อรชรอ้อนแอ้น เลยอยากผอมกว่านี้ ตัดสินใจมุ่งสู่ทางลัดความผอม กินยาลดความอ้วนเสียเลย คุณหมอในโรงพยาบาลเป็นคนสั่งจ่ายยาให้ ( ปัจจุบันถูกเพิกถอนออกจากตลาดตั้งแต่ปีพ.ศ 2553 ) แต่กินยา reductil ไปได้แค่ 3 วัน นึกว่าตัวเองกินยาบ้า เพราะไม่รู้สึกหิว ปากแห้ง กระหายน้ำบ่อยมาก ทั้งๆที่กินน้ำวันละหลายลิตร ไม่หลับไม่นอน ตีสองต้องลุกมานั่งซักผ้า ( มันข่มตาให้หลับไม่ได้ โชคยังดีที่ช่วงนั้นเป็นพยาบาลน้องใหม่ ได้แต่เวรบ่ายดึก ถ้าเป็นเวรเช้า นรกค่ะ ) หัวใจเต้นแรงยังกะพบเจอชายในฝัน ยังไงยังงั้นเลย

แป้งมานั่งตริตรองทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง นี่ขนาดกินยาลดความอ้วนไปได้แค่ 3 วัน เรายังมีอาการแย่ขนาดนี้ ขืนยังกินต่อไปให้ครบเดือน สงสัยหัวใจจะวายตายก่อนที่จะมีหุ่นเพรียวเป๊ะเวอร์เป็นแน่ คิดได้ดังนั้น จึงเขวี้ยงยาลงถังขยะ สาบานว่า จะไม่แตะต้องยาพวกนี้อีกต่อไป พอเราไม่ได้กินยาต่อเนื่อง ระดับยาในร่างกายลดลงจนหมดไป อาการต่างๆจึงหายเป็นปลิดทิ้งภายใน 1 สัปดาห์ กลับมาเป็นคนปกติเหมือนชาวบ้านเค้าเสียที

มีข่าวสารต่างๆที่น่ากลัวสำหรับยาลดความอ้วนที่แอบผสมสารไซบูทรามีน ตามสื่อต่างๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนที่อยากลดน้ำหนักหวั่นกลัวแต่อย่างใด คิดไปเองว่า คงไม่เป็นไรหรอกมั๊ง เป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของใครหลายที่ต้องแลกด้วยชีวิตนะคะ

ที่พร่ำพรรณามายืดยาว จะบอกว่า นอกจากยาไซบูทรามีนที่แอบผสมลงในอาหารเสริมลดน้ำหนักที่ไม่มีอ.ยแล้ว ยังมีสารสยองที่สำคัญอีกตัวหนึ่งเค้าแถมมาให้เรากินด้วยคือ ephedra ( สกัดได้จากสมุนไพร ) ซึ่งเป็นสารกลุ่มเดียวกับ ephedrine & psudoephedrine (สารเคมีที่จัดเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ไม่สามารถจำหน่ายในร้านขายยาทั่วไป พบในยาแก้ไอ ( ropect ) ยาแก้หอบหืด ) มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเผาผลาญสารอาหารประเภทไขมันและน้ำตาลให้เป็นพลังงานมากขึ้น ส่งผลให้รู้สึกหิวลดลงอีกด้วย แต่เนื่องจากพบว่ามีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังที่มีการใช้ ephedra จำนวน 16,000 เหตุการณ์ในอเมริกา ซึ่งรวมทั้งอาการประสาทหลอน หัวใจเต้นผิดจังหวะ เจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เลือดออกในสมอง มีอาการหัวใจวายและเสียชีวิตในที่สุด องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา จึงได้เพิกถอน ephedra ออกจากท้องตลาดในปี ค.ศ 2004 เป็นต้นมา

ephedrine ออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ และระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งทำให้เกิดอาการความดันโลหิตสูง ระบบหัวใจและระบบประสาททำงานผิดปกติ สามารถทำให้เกิดอาการวิตกกังวล ใจสั่น ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ความจำเสื่อม ชัก หัวใจวาย และถึงแก่ชีวิตได้

หากใครได้กินอาหารเสริมลดน้ำหนักแล้วพบว่า นน.ลดลงมากกว่า 2 กก.ต่อสัปดาห์ นั่นแสดงว่า คุณได้สารไซบรูทรามีนและ ephedrine แถมมาด้วยโดยไม่รู้ตัวนะคะ

บอกได้เลยว่า หากกินอาหารเสริมลดน้ำหนักพวกนี้ต่อเนื่องแรมปีและถึงแม้จะหยุดกิน แต่ผลร้ายจะตามติดไปตลอดอายุขัยเพราะร่างกายได้สะสมสารเคมีที่น่ากลัวไว้มากจนตับขับสารพิษไม่ทัน อาจทำให้ความจำเสื่อม สมองจะเลอะเลือน จำอะไรไม่ค่อยได้ เอนไซม์ตับขึ้นสูงกว่าระดับปกติ น้ำหนักพุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่เลยค่ะ




วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ชาเขียว ( green tea ) วิตามินลดน้ำหนักแถมชะลอวัยได้อีกด้วย


  จะดีแค่ไหนที่เรากินวิตามินลดน้ำหนักแล้วส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง ชะลอความชราได้อีกด้วย วิตามินที่ว่านี้เป็นสารสกัดจากชาเขียว ( green tea ) ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพมาช้านาน เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติเรียกว่า โพลีฟีนอล ที่มีศักยภาพเรียกว่า catechin ( คาเทชิน ) นับเป็นโพลีฟีนอลที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพและประสิทธิภาพมากที่สุดในการกำจัดอนุมูลอิสระเรียกว่า  epigallocatechin gallate ( EGCG )

โดยทั่วไปชาเขียวมีปริมาณคาเฟอีน 20-45 mg. ต่อถ้วย ( 240 ml. ) เมื่อเทียบกับชาดำ ซึ่งมีปริมาณคาเฟอีน 50 mg และกาแฟมีปริมาณคาเฟอีน 95 mg ต่อถ้วย

ชาเขียว ( green tea ) มีผลในการยับยั้งภาวะโรคต่างๆ โดยมีงานวิจัยมากมายสนับสนุนว่าการดื่มชาเขียวมีประโยชน์ต่อร่างกายได้แก่

1.มีการศึกษาหนึ่ง พบว่า ผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำ มีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นตับอ่อน นักวิจัยเชื่อว่า ระดับสูงของโพลีฟีนอลในชาเขียวจะช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งและหยุดการเจริญเติบโต

2.ชาเขียวมีฤทธิ์ต่อต้านการเกิดโรคของระบบหลอดเลือดหัวใจ

3.ชาเขียวมีฤทธิ์ในการลดความอ้วน มีงานวิจัยระบุว่า ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมัน จึงส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนักของร่างกาย โดยสาร EGCG ในชาเขียวจะส่งสัญญาณให้เซลล์ไขมันย่อยไขมันมากขึ้น ซึ่งจะถูกปล่อยเข้ากระแสเลือดและถูกนำมาใช้เป็นพลังงานจากเซลล์ที่ต้องการ เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ เป็นต้น

4.มีการศึกษาหนึ่ง พบว่า หากบริโภคชาเขียว 10 ถ้วยต่อวัน สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้ แต่ถ้าน้อยกว่า 4 ถ้วยต่อวัน จะไม่ส่งผลใดๆ

5.มีการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่า ชาเขียวสามารถลดปริมาณของไขมันที่ดูดซึมจากอาหาร แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันในมนุษย์

6.ชาเขียวอาจเพิ่มหน่วยความจำ มีงานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร phychopharmacology แนะนำชาเขียวสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ หน่วยความจำ

การดื่มชาเขียวบรรจุขวดตามท้องตลาดทั่วไป เราจะไม่ได้รับประโยชน์ข้างต้น เนื่องจากชาเขียวถูกเจือจางด้วยน้ำเปล่ามากเกินไปแถมใส่น้ำตาลมาเพียบ  คุณค่าจึงด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด บางคนดื่มชาเขียวจนน้ำตาลขึ้นก็มี แนะนำ ชงชาเขียวดื่มเป็นถ้วยตามแบบฉบับชาวญี่ปุ่นโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลเลย อันนี้จะได้ประโยชน์เต็มพิกัดค่ะ

หากจะกินสารสกัดชาเขียวเพื่อหวังผลในการลดน้ำหนัก ควรเลือกยี่ห้อที่มีคาเฟอีน 110 mg ต่อแคปซูล โดยจะต้องกินวันละ 2 แคปซูล เท่ากับว่า เราจะได้ปริมาณคาเฟอีน 220 mg ต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณสูงสุดที่ร่างกายรับได้ จึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนชนิดต่างๆเติมเข้าไปในระหว่างวันอีก มิฉะนั้นจะทำให้นอนไม่หลับ คลื่นไส้ หัวใจเต้นเร็วขึ้นได้ อย่าดูแต่ปริมาณโพลีฟีนอลและคาเทชินอย่างเดียวนะคะ

แป้งเลือกกิน ripped fuel extreme fat burner ยี่ห้อ twinlab ครั้งละ 2 เม็ด ก่อนอาหารเช้า ออกกำลังกายตามปกติ พร้อมงดอาหารประเภทแป้งไขมัน น้ำตาล เน้นโปรตีน ปรากฎว่า 2 เดือน น้ำหนักลงไป 2 กก. อืม!! น่าทึ่งมาก อีกอย่างช่วงที่กินวิตามินตัวนี้ เรี่ยวแรงเยอะขึ้น อารมณ์ดีมากมาย  รู้สึกมีความสุข เป็นเพราะฤทธิ์ของคาเฟอีนที่ผสมในสารสกัดชาเขียวแน่ๆเลยค่ะ



ที่มา ;
http :www.medicalnewtoday.com/article/269538.php
 

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เลือกกินวิตามินอย่างไรดี ให้เห็นผลเลิศและคุ้มค่าเงินมากที่สุด


                  การดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ไม่รู้จะรีบกันไปถึงไหน ยิ่งในกรุงเทพเมืองฟ้าอมรที่ได้การโหวตว่า เป็นเมืองที่รถติดมากอันดับต้นๆของโลกเชียว แค่ตื่นเช้ามา ยังไม่ถึงที่ทำงานก็เครียดล่ะ รถเยอะจริงๆ หากออกจากบ้านช้า 5 นาที รถเพิ่มบนท้องถนน 50 คัน เฮ้อ!! รถจะเยอะไปไหนน๊า การต้องออกจากบ้านแต่เช้ามืด เพื่อมาผจญโลกทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน หากขาดสารอาหารในมื้อเช้าจะส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำตาลกลูโคสไปเลี้ยงสมอง ( พลังงานหลักของสมองคือ กลูโคส ซึ่งส่งไปเลี้ยงเซลล์ประสาท การเรียนรู้และความจำ ช่วยให้สมองทำงานเต็มที่ ) ทำให้ระหว่างวัน จะขาดสมาธิ ความจำไม่ค่อยดี เกิดความผิดพลาดได้ง่าย

                   เป็นที่ทราบกันดีว่า ร่างกายต้องการวิตามินและเกลือแร่ ส่วนใหญ่ต้องได้รับจากอาหาร ผักและผลไม้สด เป็นแหล่งที่สำคัญของวิตามินและเกลือแร่ แต่รู้หรือไม่ว่า

1.ผักทุกชนิด เช่น กะหล่ำปลีที่ต้มแล้วจะเสียวิตามินซีไปมากกว่า 75%
2.อาหารปิ้ง ย่าง ทอด สูญเสียวิตามินอี 50%
3.อาหารกระป๋อง สูญเสียวิตามินบี มากถึง 77%
4.ส้มที่ผ่านการเก็บเกี่ยวนานกว่า 1 อาทิตย์ จะเสียวิตามินซีไปกว่า 70% ฯลฯ

                   จะเห็นได้ว่า อาหารที่ผ่านขบวนการแปรรูป เช่น ข้าวขัดขาว ก๋วยเตี๋ยว ไส้กรอก อีกสารพัด แทบไม่หลงเหลือวิตามินให้เราบ้างเลย การดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยมลภาวะ ขาดการออกกำลังกาย เพราะกว่าจะเลิกงาน ฝ่าดงรถติด กลับถึงบ้านแทบสลบ ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ส่งเสริมให้คนเราเกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ภูมิต้านทานต่ำ เกิดโรคภัยไข้เจ็บบ่อยมาก บางครั้งแค่เป็นหวัด กว่าจะหาย หลายคนกินยาเป็นสองสามอาทิตย์ นั่นแสดงว่า ร่างกายขาดวิตามินและเกลือแร่ ที่จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงจากภายใน คงความอ่อนเยาว์ได้ยาวนาน ปราศจากโรคแห่งความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อันเนื่องมาจากการใช้งานมาเกือบทั้งชีวิต วิตามินเสริมจึงเป็นคำตอบสุดท้าย แต่ต้องกินอาหารปกติให้ครบทุกมื้อด้วยนะคะ อย่าลืม!

                  หากเราต้องกินอาหารทุกวัน วิตามินก็จำเป็นต้องกินต่อเนื่องไปตลอดชีวิตเช่นกัน เหตุเพราะ วิตามินมีค่าครึ่งชีวิต ( half life) คือ เวลาที่ใช้สำหรับโมเลกุลที่จะได้รับการแบ่งย่อยและขับออกจากร่างกาย หมายความว่าช่วงเวลาที่ระดับวิตามินลดลงเหลือครึ่งหนึ่งของระดับวิตามินเริ่มต้น และระดับวิตามินจะเท่ากับศูนย์เมื่อใช้เวลาเท่ากับ 5 เท่า ซึ่งถือได้ว่า สั้นมากๆ
                  ยกตัวอย่างเช่น grape seed มี half life 7 ชั่วโมง
                  แป้งกิน grape seed 300mg เมื่อเวลาผ่านไป 7 ชม. grape seed จะลดระดับเหลือ 150mg และหมดไปจากร่างกายโดยสมบูรณ์ คือ 7x5(เท่า) = 35 หรือ ~1วันครึ่ง อธิบายได้ง่ายๆว่า ระดับวิตามินในกระแสเลือดจะลดลงจนมีค่าเท่ากับศูนย์ เมื่อเวลาผ่านไป 1วันครึ่ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระบบเมตาโบลิซึม (กระบวนการสังเคราะห์พลังงานจากอาหารและกระบวนการสลายโมเลกุล เพื่อให้ลำไส้เล็กดูดซึมได้ทันที) ของแต่ละคนไม่เท่ากันด้วยค่ะ จึงเป็นเหตุผลให้เราจำเป็นต้องกินวิตามินเติมเข้าไปทุกวัน นั่นเอง เพราะถ้าเราไม่กินวิตามินอย่างต่อเนื่อง กินๆหยุดๆ เท่ากับ ต้องเริ่มต้นใหม่ ในการสะสมระดับวิตามินในกระแสเลือด หรือ วิตามิน Acetyl L-cysteine มีค่าครึ่งชีวิตเท่ากับ 6 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ พอหยุดกิน ผิวที่ขาวสวยใส ก็กลับเป็นเหมือนตอนก่อนกิน

                   แต่การที่จะกินวิตามินเสริมเพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ต้องรู้จักเลือกยี่ห้อที่มีคุณภาพดี เกรดพรีเมี่ยม เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ลงทุนกับสุขภาพทั้งที ต้องให้ได้ความอ่อนเยาว์พร้อมกับชะลอวัย สุขภาพแข็งแรง ไปด้วยกันสิค่ะ จะได้ไม่ต้องหอบเงินเก็บ เวลาเจ็บป่วย ไปให้โรงพยาบาล อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยความยากลำบาก แต่ความที่คิดเอาเองว่า ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่พอเพียง นานวันเข้า อนุมูลอิสระจากหลายสาเหตุไม่ว่า จะเป็นความเครียด การนอนดึก พักผ่อนน้อย การอาศัยอยู่ในอาคารที่ติดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา ( ร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนจากอากาศบริสุทธิ์) กินอาหารปิ้งย่าง อาหารกระป๋องใส่สารกันเสีย ผงชูรส อาหารจานด่วนที่ล้วนมีไขมันสูง ที่สำคัญ สารพิษตกค้างจากยาฆ่าแมลงที่ชาวสวนฉีดตอนเช้า สายๆ เดินมาเก็บไปขายให้พ่อค้าคนกลาง ซึ่งหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมเล็กๆ แต่ติดอันดับการใช้ยาฆ่าแมลง เป็นอันดับที่ 4 ของโลก ยาฆ่าแมลงมี half life ( ค่าครึ่งชีวิต ) นานเป็น 3 วัน กว่าจะสลายตัว จะโทษเค้าก็ไม่ได้นะคะ ชาวสวนเค้าไม่ต้องการฉีดยาฆ่าแมลงอย่างนั้นหรอกค่ะ แต่คนเมืองกรุงชอบผักสีสันสดสวย สภาพดี ไม่มีแมลงเจาะเป็นรู เค้าจะขายได้ในราคาสูง ผักที่มีแมลงกินเป็นรูโบ๋ จะขายได้ราคาถูก ซึ่งเราก็ไม่พากันซื้ออีกแหละ มันไม่น่ากินอ่ะ

                 ทั้งหมดทั้งมวล ส่งเสริมให้ใบหน้าแก่ก่อนวัย ริ้วรอย กระฝ้า ตามมาด้วย โรคภัยไข้เจ็บที่เราคาดไม่ถึง ทำไมเราไม่ดูแลตัวเองด้วยการเสริมวิตามินเกรดดี คุณภาพเยี่ยม นอกจากสุขภาพแข็งแรง แถมมาด้วยผิวพรรณขาวใส นุ่มนวลแล้ว เวลาส่องกระจกทีไร ความสุขทางใจก็บังเกิด ว๊าย! ทำไมผิวสวยได้อย่างนี้นะเนี่ย ดีกว่าต้องเอาเงินไปเป็นค่ารักษาพยาบาล เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยเลยนะคะ

ยาและวิตามินที่ควรงดก่อนผ่าตัดหรือศัลยกรรมความงาม


ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ศัลยกรรมเสริมความงามเข้ามามีบทบาทกับหนุ่มสาวแทบทุกวัย ชาวเอเชียมีโครงสร้างใบหน้าแบนราบ ไร้มิติ หน้าไม่คม จมูกไม่โด่ง ไม่เหมือนชาวอเมริกันหรือยุโรปที่เบ้าตาลึก หน้าคม จมูกโด่งเป็นสัน มองแล้วสวยหล่อดุจเทพบุตรนางฟ้าโน่นเลย

เป็นที่มาของศัลยกรรมเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าเพียงเล็กน้อยไปจนถึงเปลี่ยนชีวิตก็มีเยอะ เพราะใครๆก็ชอบมองคนหล่อคนสวย ส่วนเรื่องจิตใจต้องศึกษานิสัยใจคอดูกันนานหน่อย ก่อนที่จะตัดสินใจขึ้นเขียงให้แพทย์ศัลยกรรมส่วนหนึ่งส่วนใดหรือหลายส่วนของใบหน้า ควรศึกษาข้อมูลต่างๆรวมถึงฝีมือแพทย์ให้ละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากเราต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อแลกกับความคาดหวังในฝีมือแพทย์ หลายคนทำศัลยกรรมแล้วไม่พึงพอใจก็มีเยอะ การรื้อแก้ไขในสิ่งที่ทำลงไปแล้ว ยากกว่าการเนรมิตใหม่นะคะ แถมค่าแก้ไขศัลยกรรมแต่ละจุด ราคาพอๆกับทำใหม่เผลอๆแพงกว่าทำศัลยกรรมใหม่เสียอีก นอกจากเสียเงินยังเสียเวลาแถมเจ็บตัวหลายครั้ง บางคนอาจเจ็บใจเสียด้วยซ้ำไป ไม่น่าเลย อะไรประมาณนั้น

ดังนั้นคิดให้เยอะ อย่าใจร้อน ก่อนควักเงินออกจากกระเป๋าของเราค่ะ แป้งมีข้อมูลการงดยาและวิตามินก่อนผ่าตัดรวมถึงศัลยกรรมความงามมาฝาก

เริ่มจากยาที่ควรงดมีดังนี้

1.cilostazol ( pletaal ) 3 วัน
2.กลุ่ม NSAIDS ; 3 วัน diclofenac,ibuprofen,indomethacin,mefenamic ( ponstan ) ,naproxen,piroxicam
3.clopidogrel ( plavix ) 1 สัปดาห์
4.aspirin 2 สัปดาห์

วิตามินที่ควรงด 2 สัปดาห์ มีดังนี้

1.vitamin A,vitamin E
2.omega-3 ( fish oil )
3.สารสกัดกระเทียม ( garlic )
4.ใบแป๊ะก๊วย ( gingko ) 
5.grape seed,pycnogenol
6.โสมต่างๆ

การดูแลผิวพรรณและสุขภาพเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ควรปฏิบัติควบคู่กันไป ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า "การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" สวย หล่อ เป๊ะเวอร์มาพร้อมกับจิตใจที่งดงามและสุขภาพแข็งแรงด้วยนะคะ

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วิตามินจำเป็นแค่ไหนกับการชะลอวัย

           

                 คงปฏิเสธไม่ได้ว่า วิตามินมีบทบาทสำคัญไม่แพ้อาหารหลัก5หมู่ของคนเรา เนื่องจากสังคมปัจจุบันที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ความเครียดจากการทำงานและการจราจร การเจ็บป่วย การได้รับมลพิษจากทางตรงและทางอ้อม ฯลฯ ทำให้คนเราใช้พลังงานชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรมเร็วขึ้น ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารไม่เพียงพอ วิตามินจึงเป็นทางเลือกใหม่ที่สะดวกและรวดเร็ว เพียงหยิบเข้าปากก็เรียบร้อย ช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน 

                แต่การที่ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากวิตามินเต็มที่ จะต้องเลือกวิตามินที่มีประสิทธิภาพ ตรงกับความต้องการของร่างกายในขณะนั้นและจะต้องมีความรู้ว่าวิตามินที่เรากินเข้าไป มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากแค่ไหน ไม่ใช่ว่าใครแนะนำอะไรดีก็กินตามน้ัน บางครั้งการกินวิตามินที่ด้อยคุณภาพ กลับสร้างภาระให้กับกระเพาะอาหารของเราเช่นกัน เนื่องจากต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อย่อยวิตามินให้มีโมเลกุลเล็กลงเพื่อส่งไปดูดซึมที่ลำไส้เล็กให้ร่างกายนำไปใช้ในระบบต่างๆที่สึกหรอต่อไป


                  รู้ได้อย่างไรว่าวิตามินที่กินเข้าไปมีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน
1. ความเข้มข้นของสารสกัดที่อยู่ในวิตามินแต่ละชนิด หากมีความเข้มข้นมากจะมีประโยชน์กับร่างกายมากกว่า


2. ราคา วิตามินที่มีราคาถูกจะมีประสิทธิภาพด้อยกว่าวิตามินราคาแพง


3. เกรดวัตถุดิบ สำคัญมาก หากวิตามินที่ผลิตด้วยกรรมวิธี pharmaceutical grade จะมีความคงตัว ไม่ถูกทำลายได้ง่าย จากน้ำย่อยในระบบทางเดินอาหาร หรือ เป็นวิตามินแบบ free - from จะดูดซึมได้ดีกว่า เป็นต้น


4. แหล่งผลิต วิตามินที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกคือวิตามินที่ผลิตในอเมริกา เนื่องจากกฎหมายของอเมริกา หากเป็นอาหารเสริมไม่มีความจำเป็นต้องขออนุญาต FDA (คณะกรรมการอาหารและยา) แต่จะต้องมีมาตรฐาน GMPในการผลิต(โรงงานสะอาด,วัตถุดิบมีคุณภาพ,ไร้สารปนเปื้อน) อีกทั้ง กฎหมายของอเมริกาเข้มงวดและเด็ดขาดมาก หากผลิตวิตามินไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด บริษัทผู้ผลิตจะต้องถูกฟ้องร้อง จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว จึงทำให้อเมริกาเป็นประเทศที่ผลิตอาหารเสริมมีหลากหลายชนิดมากที่สุดในโลก


วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

grape seed วิตามินบำรุงผิวสวยใสจากภายในสู่ภายนอก

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า grape seed ช่วยในเรื่องการลดเม็ดสีที่เกิดจากการทำลายของแสงแดด ส่งผลให้สีผิวสม่ำเสมอ และขาวใสขึ้น ลองมาดูกันดีกว่าค่ะว่า นอกจากเรื่องความสวยงามแล้ว ยังมีคุณค่าต่อระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายอย่างไร

                 Grape Seedคือสารสกัดจากเมล็ดองุ่น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงกว่าวิตามินซี 20เท่าและสูงกว่าวิตามินอี 80เท่า มีสารสำคัญกลุ่ม Bioflavonoid ชื่อOligomeric Proanthocyanidins(OPC)ถูกใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ ตั้งแต่ ค.ศ 1947 โดย Dr.Jacques Masquelier ชาวฝรั่งเศส เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ค้นพบและจดสิทธิบัตรกระบวนการสกัด OPC จากเปลือกสน มีชื่อทางการค้า คือ pycnogenol หรือเรียกว่า เปลือกสนฝรั่งเศส ( maritime pine bark ) นั่นเอง โดยสกัดได้จากเปลือกสนฝรั่งเศสและเมล็ดองุ่นแดง แต่พบOPCมากที่สุดในเมล็ดองุ่นแดง มีโมเลกุลขนาดเล็กและละลายน้ำได้ มีค่าครึ่งชีวิต(half life) 7 ชั่วโมง ความเข้มข้นของ OPC ที่รู้จักกันมากที่สุดคือ 95% จะพบได้ในเมล็ดองุ่น และรองลงมา 80-85% ในเปลือกสน

                 OPC ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในยุโรป ในปี ค.ศ 1970 โดยไม่พบความเป็นพิษแต่อย่างใด แม้จะใช้ในขนาดสูง ทั้งนี้ Dr.Jacques Masquelier เพิ่งเสียชีวิต เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ 2009 นี่เอง ( เกิดมาทำคุณงามความดีแก่มวลมนุษยชาติเมื่อ ค.ศ 1922 สิริอายุ รวม 87 ปี )

                 OPCที่มีประสิทธิภาพจะมาจากแหล่งผลิตที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานในการเพาะปลูกองุ่นแดง ส่งผลให้การสกัดเมล็ดองุ่นแต่ละพื้นที่ได้ OPCไม่เท่ากันและจะต้องมี OPC ไม่ต่ำกว่า 90-95 % รวมถึงการคัดเลือกเพื่อนำไปใช้ในงานวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งความน่าเชื่อถือและการยอมรับในระดับสากล

                 จะเห็นได้ว่า ฝรั่งนักวิจัยค้นคว้าที่มีมันสมองฉลาดปราดเปรื่องระดับโลกคิดและมีงานวิจัยรองรับสารพัด เราก็ไม่ต้องคิดมากให้รกสมอง กินตามเค้าไปโลด มีคนคิดเผื่อเราล่ะ ดีจัง!!

                 มีประโยชน์อย่างไร
     1.ลดการสร้างเม็ดสี โดยยับยั้งการทำงานของเมลาโนไซต์(ควบคุมการทำงานของเม็ดสี)เหมาะสำหรับคนที่มีกระ ฝ้า ใบหน้าหมองคล้ำประหนึ่งโดนของ แป้งเคยฉีดกลูต้า+วิตามินซี สัปดาห์ละ1ครั้งเป็นเวลา6เดือน ยังไม่ขาวใส ผิวพรรณเนียนนุ่มเท่ากับกิน Grape Seed 300 mg ยี่ห้อ healthy origins ใช้ใน Clinically Studied to benefit blood pressure in two clinical trials at the University of California Davis Medical Center USA.วันละครั้งเลยค่ะ ในการทดลองพบว่าสามารถลดความดันโลหิตสูงและช่วยขยายหลอดเลือดได้จริง ซึ่งกระบวนการสกัดเมล็ดองุ่นด้วยกรรมวิธีพิเศษ จนได้ Mega Natural BP ที่ให้คุณค่ามหาศาล จดสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกา และได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ไม่มีสารสกัดจากเมล็ดองุ่นอื่นใดเทียบเคียงได้เลย เห็นมั๊ยค่ะว่าวิตามินจากอเมริกาเลิศแค่ไหน ไม่ต้องห่วงว่า ความดันโลหิตจะตกต่ำลงไปในคนปรกติ OPCจะทำงานเฉพาะส่วนเท่านั้น แนะนำให้น้องในออฟฟิศกิน ทุกคนยังบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ผิวหน้าขาวใส ผิวกายเนียนนุ่ม เดินตากแดดหน้ายังไม่ดำ ไม่เห็นต้องไปฉีดกลูต้าให้เจ็บตัวเลยค่ะ

     2.OPCช่วยต้านอนุมูลอิสระจากแสง UV ที่จะทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนัง ฟื้นฟูผิวให้เปล่งปลั่ง แลดูสุขภาพดี อันนี้คอนเฟิร์ม

     3.OPCช่วยทำให้เส้นเลือดดำ(เส้นเลือดดำทำหน้าที่ลำเลียงเลือดเสีย;มีปริมาณออกซิเจนต่ำ จากอวัยวะต่างๆโดยเฉพาะส่วนล่างของร่างกายเช่น แขน ขา ผ่านหัวใจมาฟอกที่ปอด เพื่อให้กลายเป็นเลือดสีแดงที่มีปริมาณออกซิเจนสูง) ไหลเวียนได้ดีขึ้น จึงบรรเทาอาการเส้นเลือดขอดหรือโป่งพอง รวมทั้งริดสีดวงทวารอีกด้วย เห็นผลชัดเจนภายใน1เดือน แต่ถ้าเป็นเส้นเลือดขอดนิดเดียว แค่14วันก็เอาอยู่

     4.ต้านการอักเสบของเนื้อเยื่อและลดการเกิดภูมิแพ้อย่างได้ผล

     5.ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะ หลอดเลือดแดงแข็งตัวหรือตีบตันจากไขมันคอเลสเตอรอล

     6.บรรเทาโรคหอบหืด ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปฏิกิริยาแพ้ภายในหลอดลม ที่นำไปสู่การหดตัวของหลอดลมและกระตุ้นสารคัดหลั่ง (เมือก) มากเกินไป OPC จะช่วยยับยั้งกระบวนการอักเสบนี้ได้ชะงัด

                  ส่วนประโยชน์ในด้านอื่นๆ ไม่ได้นำมาเขียน เพราะคิดว่า สรรพคุณหลากหลายของGrape Seedที่นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ค้นพบ เราจะไม่ได้รับทั้งหมด แค่เพียงร่างกายได้คุณค่า1ใน3ก็ดีถมไปแล้ว ไม่มีวิตามินใดในโลกที่กินเพียงเม็ดเดียวแล้วมีประโยชน์ครอบจักรวาลหร
อกค่ะ



หาซื้อได้ที่

jabushebeautyplus.weloveshopping.com

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม