บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

Lycopene ( ไลโคปีน ) วิตามินผิวสวย เปล่งปลั่งที่สุด แถมเพิ่มความทนต่อแสงแดดได้อีกด้วย

  ประเทศไทยตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร จึงทำให้มีอากาศร้อน
ตลอดปีตลอดชาติ นับวันแสงแดดจะร้อนแรงแผดเผาไปทุกสิ่งที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่เว้นแม้กระทั่งใบหน้าของเรา

 แป้งเลิกงาน 16.30น.เดินออกมาจากออฟฟิศ ไม่ได้โดนแดดโดยตรงนะคะ แค่อยู่นอกอาคาร ยังร้อนแสบแขนขาไปหมด แล้วหน้าเราจะรอดจากรังสี UV หรือค่ะ โอ๊ย! ทำไงดีเนี่ย

ไลโคปีน ( lycopene) คือสารธรรมชาติที่มีสีแดงกลุ่มแคโรทินอยด์
 จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกลำดับต้นๆ
เหนือกว่าแคโรทินอยด์ทุกตัว อีกทั้งเหนือกว่าวิตามินอีและ
กลูต้าไทโอนหลายเท่า

 แคโรทินอยด์ คือสารธรรมชาติที่พบมากในผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง 

แดงและเขียว (ผลไม้ที่มีสีเขียวก็มีเบต้าแคโรทีนมากเช่นกันแต่ที่มี
สีเขียว เนื่องจากถูกบดบังจากคลอโรฟิลด์ นั่นเอง)

 ละลายได้ดีในไขมัน พบมากในผักและผลไม้สีแดง เช่น

 มะเขือเทศ ,แตงโม ,grape fruit ,apricots,ฝรั่งสีชมพู,rose hip,red orange ป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม
 หลอดเลือดแดงแข็งตัว รวมถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากการกินเข้าไปเท่านั้น

 คนที่กินมะเขือเทศสดหรือน้ำมะเขือเทศได้ ช่างโชคดีจริงๆ 

แต่แป้งกินน้ำมะเขือเทศไม่ได้เลย เคยลองแล้วหนนึง เกือบออกทางเดิม ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ

               

   มีประโยชน์อย่างไร
1.ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งปอด,ช่องท้องและหลอดเลือดหัวใจ
2.ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย

จากโครงสร้างของไลโคปีนที่แพร่เข้าเซลล์ต่อมลูกหมากได้ดี
3.ลดอัตราการเกิดสิว ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน สิวผดเม็ดเล็กๆจะหาย

ไปจากใบหน้าด้วยคุณสมบัติของเบต้าแคโรทีนที่ช่วยลดการ
อุดตันรูขุมขน
4.ปรับผิวให้เนียนนุ่ม ส่องสว่าง กระจ่างใส แลดูสุขภาพดี
5.เพิ่มความทนต่อแสงแดดได้ดี ไม่ทำให้ผิวหมองคล้ำง่าย

                

  Dr.Edward Giovannucci จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ชายที่อาศัยอยู่ในเขตเมดิเตอร์เรเนียน
(ประกอบด้วย สเปน อิตาลี กรีซ ฯลฯ) ที่มักบริโภคซอสมะเขือเทศ
เป็นประจำ จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าภูมิภาคอื่น
 ซึ่งผู้ชายอายุ 40 กว่าปี ต่อมลูกหมากจะโตขึ้นเรื่อยๆ 
หากอายุ 50 ปีขึ้นไป จะมีอาการชัดเจน โดยต่อมลูกหมากนั้นจะล้อม
ท่อปัสสาวะและบีบท่อปัสสาวะเล็กลงเป็นสาเหตุให้ปัสสาวะไม่สุด 
จึงต้องปัสสาวะบ่อย รวมถึงมีปัสสาวะเล็ดพร้อมกับความเจ็บปวด
ที่ใครไม่เป็นก็ไม่มีวันรับรู้ได้

                 

 สาธารณรัฐตรินิแดดและโตเบโก ประเทศในหมู่เกาะแคริบเบียน
 มีอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมลูกหมากสูงที่สุดในโลก 
ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวแอฟริกันมากถึง 40%

                

  เพราะฉะนั้น ผู้ชายจึงควรกินมะเขือเทศอย่างสม่ำเสมอ
 แต่ต้องนำไปผัด เพราะไลโคปีนที่อยู่ในมะเขือเทศสด จะมีบางส่วนที่ยังไม่เป็นอิสระ ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ดี การทำให้สุกโดยใช้น้ำมัน นอกจากจะทำให้ไลโคปีนเป็นอิสระ ยังเป็นการเพิ่มไลโคปีนได้อีกด้วย

               

   Zoe Diana Draelos แพทย์ผิวหนังผู้มีชื่อเสียง เจ้าของบทความ
เกี่ยวกับผิวหนัง 300 บทความ เขียนหนังสือมากกว่า 6 เล่ม
 กล่าวว่า หากใบหน้ารวมถึงร่างกายโดนแสงแดดเพียง 1 วัน
โดยไม่มีการป้องกัน( ทาครีมกันแดด) อาจทำให้เกิดความเสียหาย
ระดับ DNA เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรและ
จุดด่างดำบนใบหน้า แขน ขา ซึ่งบ่งบอกถึงความเสื่อมระดับเซลล์ 
ที่เกิดจากรังสี UVA ,UVB ว๊าย! อะไรจะน่ากลัวเกินกว่าหน้าดำ
 ตัวดำ เป็นไม่มี

                 

 Omer Kucuk แพทย์ผิวหนังระดับศาสตาจารย์ประจำสถาบันมะเร็ง Karmonos เมืองดีทรอยต์ มลรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา พบว่า 
การได้รับ Lyc-O-Mato 250mg(มี lycopene 15mg)
 วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ทำให้เนื้องอกต่อมลูกหมาก
มีขนาดเล็กลง รวมถึงระดับ PSA( ค่าปัจจัยเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก) ลดลง

 ซึ่งค่าปกติ อยู่ที่ 1-4 นาโนกรัม เช่นเดียวกับEsther Paran M.D พบว่า ความดันโลหิตลดลง อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อกินสารสกัดจากน้ำมันมะเขือเทศ เป็นเวลา 12 สัปดาห์ โอ้โห! ประโยชน์เยอะจริงๆเลย

                

 ไลโคปีนเดี่ยวๆจะมีประโยชน์น้อยมาก หากไม่อยู่ร่วมกับสารสกัดจากเบต้าแคโรทีน เรียกว่า ไฟโตรนิวเทรียนส์ (phytonutrients) หรือ สารพฤกษเคมี ซึ่งเป็นสารชีวภาพที่พบในพืชผักและผลไม้ ทำให้พืชผัก
มีสี กลิ่นและรสชาติ สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดี

 มีงานวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่า ไลโคปีนสามารถป้องกันการทำลายของ DNA อันนำไปสู่ความเสื่อมสภาพและความผิดปกติของเซลล์ผิวหนัง รวมถึงต่อสู้กับเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากได้อย่างดีเยี่ยม

                

แป้งขอแนะนำ Lyc-O-Mato มี lycopene 15 mg ได้จดสิทธิบัตรในยุโรป เป็นความภาคภูมิใจของ บริษัท LycoRed ประเทศอิสราเอล ผู้ผลิตสารสกัดจากธรรมชาติที่ได้จากมะเขือเทศ(lycopene)ไม่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม ร่วมกับเบต้าแคโรทีน, Phytoene, phytofluene, phytosterols , selenium วิตามินอี และไฟโตนิวเทรียนส์ ซึ่งขายดิบขายดีไปทั่วโลก อุ๊ย! สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ มีทั้ง วิตามินเอ
(เบต้าแคโรทีน) วิตามินอี ซีลีเนียมและไลโคปีน มารวมตัวกัน อะไรจะเกิดขึ้น ความงดงามและความเยาว์วัย จากภายในเผยออกมา
สู่ภายนอกสิค่ะ 

นอกจากผิวพรรณเนียนนุ่ม เรียบลื่นยังช่วยทำให้ผิวทนต่อแสงแดดได้ดีเพราะช่วยป้องกันอันตรายจากรังสี UV ที่มีผลต่อคอลลาเจนในชั้นใต้ผิว ซึ่งส่งผลต่อความยืดหยุ่นและความอ่อนเยาว์ของผิว

                  
 แป้งเริ่มกิน lycopene 10mg มา 8เดือน ไม่ค่อยเห็นผลชัดเจน
เท่าไหร่นัก (มีเฉพาะ lycopene อย่างเดียว ไม่มี phytonutrients)
 แต่พอเปลี่ยนเป็น Lyc-O-Mato มี lycopene 15mg เท่านั้นแหละ 

ผิวขาวใส เนียนนุ่ม แป้งไม่ทาครีมกันแดดที่ตัวเลยนะคะ(มันเหนียวเหนอะหนะ) อีกอย่าง ไม่ว่าครีมกันแดดราคาแพง ดีเลิศแค่ไหน ก็ปกป้องผิวได้สูงสุดแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น 


หากอยู่กลางแจ้งทั้งวัน จำเป็นต้องทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงนะคะ เพราะมั่นใจว่าสารสกัดจากมะเขือเทศที่มีงานวิจัยรองรับมากมาย

จะปกป้องผิวกายจากแสงแดดได้แน่นอน ล่าสุดไปพัทยา กลับมากรุงเทพ ใบหน้ารวมถึงผิวกายแป้ง ไม่หมองคล้ำเลยสักนิด แป้งทำอาหารกินเอง จำเป็นต้องล้างมือบ่อยมาก มือจะแห้งลอกเป็นขุย
ทั้งๆที่โบกครีมทามือ แต่พอกินไปแค่ 1 เดือน ตอนนี้มือแป้งไม่แห้ง
อีกต่อไปแถมไม่ต้องทาแฮนด์ครีมบ่อยๆ แล้วนะคะ

                 

 ประเทศอิสราเอล ดินแดนแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์ระหว่างชาวยิวและชนกลุ่มน้อย ปาเลสไตน์ มหากาพย์นี้ไม่มีวันจบง่ายๆ
 ประเทศที่มีชื่อเสียงในการปลูกผักและผลไม้คุณภาพเยี่ยมแถมยังปลอดสารพิษอีกด้วย น่ากินตรงนี้แหละ เป็นผู้ส่งออกพืชผักผลไม้
รายใหญ่สู่สหภาพยุโรป

 อื้อหือ! ถ้าผ่านมาตรฐานยุโรปได้ก็แสดงว่า ของเค้าดีจริงๆ เพราะสหภาพยุโรปมาตรฐานสูงมาก บางทีอาจจะสูงกว่าอเมริกาอีกค่ะ สามารถพลิกฟื้นผืนดินกึ่งทะเลทรายให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมจนได้การยอมรับจากนานาประเทศ เค้าปลูกพืชภายใต้โรงเรือน

 (green house ) ที่ควบคุมแสง แมลงและความชื้น ให้น้ำโดยระบบน้ำหยดที่ผ่านการคำนวนมาอย่างดี ผลักความเค็มออกจากรากของพืช
 ลดโรคทางใบ ไร้วัชพืช โดยเกษตรกรชาวอิสราเอลจะให้ความสำคัญกับงานวิจัยเป็นอย่างมากเพื่อนำไปพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรต่อไป ว๊าว! ไฮโซ

                 

 การรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยยา มักจะมีผลข้างเคียงที่เราไม่ต้องการเสมอ โรคหลายๆโรคต้องกินยาไปตลอดชีวิต แล้วตับไตจะต้องทำงานหนักแค่ไหน นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจเค้าจะ
คิดค้นสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยให้ร่างกายกำจัดอนุมลอิสระ
 (ต้นเหตุที่ทำให้หน้าตาหมองคล้ำประหนึ่งต้องมนต์ดำ ร่างกายเสื่อมโทรม หากมีมากจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา) จะเห็นได้ว่า
สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระทั้งหลาย ได้แก่ เบต้าแคโรทีน
 วิตามินอี วิตามินซี grape seed ไลโคปีน โคเอนไซม์ คิวเทน
 กลูต้าไทโอนและ ALA ใช้กินเพื่อบรรเทาอาการของโรคต่างๆ 

เมื่อร่างกายกำจัดอนุมูลอิสระไปหมดสิ้น สิ่งที่ตามมาคือ ร่างกายแข็งแรง กระฉับกระเฉง ในคนปกติกินวิตามินพวกนี้เข้าไป 

จะช่วยให้ร่างกายต่อต้านอนุมูลอิสระที่คอยสร้างความชรา แก่ก่อนวัยอันสมควร แต่ผลพลอยได้คือ ผิวพรรณนุ่มเนียน ส่องสว่าง กระจ่างใส ไบรท์บริ้งค์ งัยค่ะ






Create Date : 09 ตุลาคม 2555
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2556 18:16:40 น.
Counter : 32884 Pageviews.

148 comments

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

พรีไบโอติกส์ ( prebiotics ) คืออะไร ใครรู้บ้าง



หลายปีมานี้คงจะมีคนเคยได้ยินคำว่า พรีไบโอติกส์มาบ้างแล้ว ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในระบบทางเดินอาหารที่ซับซ้อนภายในร่างกายของมนุษย์เลยทีเดียว

พรีไบโอติกส์ ( prebiotics ) คือส่วนประกอบของพืชที่ไม่สามารถย่อยได้ แต่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยมีผลในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นโดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกัน

พรีไบโอติกส์เป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ( แป้งและน้ำตาล ) ได้แก่ โอลิโกแซ็กคาร์ไรด์ ( oligosaccharide ) โพลีแซ็กคาร์ไรด์ ( polysaccharide ) และเส้นใยอาหาร ( dietary fiber ) แต่สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดไม่ได้จัดเป็นพรีไบโอติกส์ ด้วยโครงสร้างที่ซับซ้อนทำให้เอนไซม์ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กไม่สามารถย่อยสลาย จึงไม่ถูกดูดซึมในลำไส้เล็ก ทำให้สามารถผ่านไปยังลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย อุ๊ยตาย !! ลำไส้ใหญ่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดนะเนี่ย

มีประโยชน์อย่างไร
1.พรีไบโอติกส์จะทำหน้าที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตเฉพาะแบคทีเรียชนิดดีที่มีประโยชน์ในลำไส้ใหญ่เท่านั้น ได้แก่ บิฟิโดแบคทีเรีย ( bifidobacteria ) และ แลคโตบาซิลลัส ( lactobacillus )
2.โอลิโกแซ็คคาร์ไรด์ ( oligosaccaride ) นอกจากพบในพืชธรรมชาติแล้ว ยังพบในน้ำนมของมนุษย์ เชื่อว่ามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกันของทารก

ค่อนข้างน่าทึ่งที่นมแม่จะช่วยให้ทารกแรกเกิดมีการกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดดีบางชนิดในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นโดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกัน เด็กทารกที่มีโอกาสได้ดื่มนมมารดาตั้งแต่แรกเกิดจะไม่ป่วยง่าย ไม่เป็นโรคภูมิแพ้จากคุณสมบัติของพรีไบโอติกส์ นั่นเอง

3.สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทนต่อน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร จึงไม่ถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็ก เมื่อเคลื่อนตัวมาถึงลำไส้ใหญ่จะกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ใหญ่ เมื่อแบคทีเรียหมักกับพรีไบโอติกส์ จะทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น ( short-chain fatty acid ) เช่น กรดแลคติก ( lactic acid ) กรดโพรพิโอนิก ( propionic acid )

กระบวนการหมักนี้จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของไบฟิโดแบคทีเรีย ( bifidobacteria ) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีต่อสุขภาพ อีกทั้งในสภาวะที่เป็นกรดจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรค เช่น คลอสตริเดียม เพอร์ฟรินเจนส์ ( clostridium perfingens ) โดยแบคทีเรียกลุ่มนี้จะทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ดังนั้นจึงป้องกันและลดอาการท้องเสียจากเชื้อโรคได้ดีมาก อืม!! แลดูซับซ้อนซ่อนเงื่อนเสียจริง ลำไส้ใหญ่ไม่ได้มีหน้าที่ขับถ่ายอย่างเดียวนะเนี่ย

4.รักษาโรคลำไส้แปรปรวน

5.ป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อยีสต์ในช่องคลอดรวมถึงการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

6.โดยปกติพรีไบโอติกส์จะจับตัวกับแร่ธาตุบางอย่าง แต่ด้วยโครงสร้างที่ซับซ้อน จึงไม่สามารถดูดซึมที่ลำไส้เล็ก เมื่อเคลื่อนมาถึงลำไส้ใหญ่ พรีไบโอติกส์จะปลดปล่อยแร่ธาตุที่จับตัวออกมา ในสภาวะที่เป็นกรดจะช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม เหล็ก และแมกนีเซียม

7.ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในช่องท้อง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ จากกระบวนการหมักบ่ม ( fermentation ) ของแบคทีเรียชนิดดีกับพรีไบโอติกส์ ทำให้เพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดดีต่อสุขภาพ ระบบทางเดินอาหารมีความสมดุล จึงกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายบีบตัว เกิดการขับถ่ายเกิดขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูกและลดระยะเวลาการสะสมสารพิษหรือสารก่อมะเร็ง ส่งผลช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกทางหนึ่ง

8.ลดไขมันโคเลสเตอรอล พบในสัตว์ทดลอง เมื่อแบคทีเรียชนิดดีหมักกับพรีไบโอติกส์ จะทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น ( short-chain fatty acid ) เช่น กรดโพรพิโอนิก ( propionic acid ) สามารถยับยั้งการสังเคราะห์ไขมันคอเลสเตอรอลและช่วยลดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวจากไขมันคอเลสเตอรอลอีกด้วย

แม้ว่าพรีไบโอติกส์จะเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย หากได้รับปริมาณมากเกินไป อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร จุกเสียด แน่นท้องเนื่องจากแก๊สในระบบทางเดินอาหาร

พรีไบโอติกส์ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ ฟรุกโต-โอลิโกแซ็กคาไรด์ ( fructo-oligosaccharides ) อินนูลิน ( inulin )

อาหารที่มีพรีไบโอติกส์สูง เช่น รากชิโครี่ ( พืชเมืองหนาว ) อาร์ติโชก กล้วย ข้าวบาร์เล่ย์ หัวหอม กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง รำข้าวสาลี ข้าวสาลี และอยู่ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่วางจำหน่ายทั่วโลก

จะเห็นได้ว่า ความเสื่อมของร่างกายเกิดขึ้นทุกขณะที่มีลมหายใจ การที่จะดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยาก ไม่ใช่การที่จะขับถ่ายของเสียออกมาได้ทุกวัน แต่เราจะต้องรู้เท่าทันกระบวนการต่างๆภายในร่างกายเป็นอย่างดีอีกด้วย

พรีไบโอติกส์ต้องกินต่อเนื่องไปตลอด หากหยุดกินเมื่อไหร่ กระบวนการหมักของแบคทีเรียชนิดดีกับพรีไบโอติกส์จะไม่เกิดขึ้นเหมือนกับการกินวิตามินเช่นเดียวกัน ทุกอย่างจะกลับสภาพเดิมเหมือนก่อนกินนะคะ



ที่มา
Gourmet cuisine / food for life/ดร.ฉัตรกา หัตถโกศล


โปรไบโอติกส์ ( Probiotics ) คืออะไรนะ


กระแสของอาหารที่มีส่วนประกอบของโปรไบโอติกส์ ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีมีการพูดถึงกันอย่างมากโดยเฉพาะในแง่มุมของประโยชน์ต่อสุขภาพมายาวนาน
โปรไบโอติกส์คือ แบคทีเรียชนิดดีที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ เป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ แบคทีเรียที่สร้างกรดแลคติก ( lactic acid ) เช่น แล็กโตบาซิลลัส ( Lactobacillus ) และ ไบฟิโดแบคทีเรีย ( Bifidobacteria ) 
แบคทีเรียกลุ่มนี้พบในผลิตภัณฑ์อาหารหมัก ( fermentation ) เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต แหนม กิมจิ น้ำหมัก ( น้ำหมักป้าเช็ง ของเค้าก็มีประโยชน์นะเนี่ย เพียงแต่ควรจะใช้รับประทานเพียงอย่างเดียว ไม่ควรใช้หยอดบริเวณที่สะอาด เช่น ดวงตา ขนาดเราเอามือไปขยี้ตาเพียงครู่เดียว การอักเสบจะเกิดขึ้นทันที ) จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อโรค ซึ่งในระบบย่อยอาหารของมนุษย์จะมีแบคทีเรียชนิดดีและแบคทีเรียก่อโรคอาศัยอยู่ปะปนกันไปเปรียบเสมือนคนในสังคมที่มีคนดีและคนไม่ดีอยู่รวมกัน นั่นเอง
โดยปกติแล้วแบคทีเรียโปรไบโอติกส์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตส่วนใหญ่ คือแบคทีเรียในกลุ่ม แล็กโตบาซิลลัส ( Lactobacillus ) และ สเตร็บโตค็อกคัส  ( Streptococcus ) แต่จากการศึกษาคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของแบคทีเรียในลำไส้จากอดีตจนถึงปัจจุบัน พบว่า ความจริงแล้ว ไบฟิโดแบคทีเรีย ( Bifidobacteria ) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในอุตสาหกรรมประเภทนี้
โปรไบโอติกส์ ( Probiotics ) ในรูปที่เป็นอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เมื่อรับประทานด้วยปริมาณที่พอเหมาะจะส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภค เช่น โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวหลากหลายยี่ห้อในท้องตลาด ( ต้องวางขายในตู้แช่เย็นเท่านั้น ) แต่ไม่นับรวมถึงนมเปรี้ยวพร้อมดื่มประเภทยูเอชที เพราะไม่มีแบคทีเรียกรดนมเหลืออยู่ เนื่องจากผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อที่ความร้อนสูง นอกจากผลิตภัณฑ์สำหรับคนแล้ว 
ในปัจจุบัน ยังมีโปรไบโอติกส์สำหรับส่งเสริมสุขภาพของปศุสัตว์และประมงอีกด้วย

 ประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในผู้นำทางการศึกษาเรื่องแบคทีเรียในลำไส้ เป็นผู้บุกเบิกในการผลิตโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ได้จากหมักของ Bifidobacteria ซึ่งแม้ว่ารสชาติจะไม่ดีเท่าผลิตภัณฑ์ที่หมักจาก Lactobacillus  ( ถึงว่าสิ รสชาติแย่มาก ) แต่ด้วยประโยชน์ที่มากกว่า จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้รักสุขภาพ
ในเมืองไทยมีโยเกิร์ตที่หมักโดย Bifidobacteria วางจำหน่ายแล้ว คือ แอคทีเวีย ดัชมิลล์ โยเกิร์ตโดยทั่วไป จะต้องมีแบคทีเรียชนิดดี 2 ชนิดคือ Streptococcus thermophilus และ Lactobacillus bulgaricus แต่โยเกิร์ตของแอคทีเวีย ดมิลล์ จะมี Bifidobacteria เพิ่มมาด้วย ราคาจึงสูงกว่ายี่ห้ออื่นในท้องตลาด 
มีประโยชน์อย่างไร
1.ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ลดอาการท้องผูกเนื่องจากกรดแลคติกที่จุลินทรีย์ บิฟิโดแบคทีเรีย ( bifidobacteria ) ผลิตขึ้น จะกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ และช่วยเพิ่มความชื้นของอุจจาระ ส่งผลให้สามารถขับถ่ายได้สะดวกมากขึ้น
2.ป้องกันและรักษาภาวะท้องเสียโดยไปยับยั้งแบคทีเรียชนิดไม่ดีที่ก่อให้เกิดโรค 
3.เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ลดการติดเชื้อไข้หวัด 
4.ลดระดับไขมันในเลือดโดยไปลดระดับของแอลดีแอลคอเลสเตอรอล ( LDL-cholesterol ) พบในสัตว์ทดลอง
5.เพิ่มการดูดซึมของวิตามินและแร่ธาตุ เช่นแคลเซียมและแมกนีเซียม
6.ลดการอับเสบภายในร่างกาย โดยเฉพาะโรคติดเชื้อยีสต์ในช่องคลอดและการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
 มนุษย์มีการนำเอาโปรไบโอติกส์มาใช้ในอาหาร เป็นเวลานานกว่าหลายร้อยปีหลายประเทศทั่วโลก อาหารที่มีส่วนประกอบของโปรไบโอติกส์ เช่น นมเปรี้ยว นัตโตะ มิโสะ,เทมเป้ของประเทศญี่ปุ่น โยเกิร์ต,คีเฟอร์ของประเทศแถบยุโรป นมแพะหมักของอินเดีย ชีสสด ซาวเคราท์ซึ่งเป็นกะหล่ำปลีหมักของเยอรมนี และกิมจิของประเทศเกาหลี 
ประเภทของโปรไบโอติกส์
1.แล็กโตบาซิลลัส ( Lactobacillus ) พบโปรไบโอติกส์ชนิดนี้มากที่สุด เช่น โยเกิร์ตและอาหารหมักอื่นๆ 
2.ไบฟิโดแบคทีเรีย ( Bifidobacteria ) แยกได้ครั้งแรกจากทารกที่กินนมแม่ ในปีค.ศ 1899 โดย Henry Tissier กุมารแพทย์ชาวฝรั่งเศส ทำงานที่สถาบันปาสเตอร์ กรุงปารีส แบคทีเรียนี้มีชื่อว่า Bacillus bifidus communis ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Bifidobacteria พบในพืชและน้ำนมมารดา มีการศึกษาทางคลีนิกคือ ป้องกันและรักษาโรคท้องร่วงในทารก
จะเห็นได้ว่า สุขภาพดีเริ่มต้นง่ายๆที่ลำไส้ คนทั่วไปอาจมองข้าม อันที่จริงมีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อเรากินทั้งพรีไบโอติกส์และโปรไบโอติกส์เข้าไปทุกวัน กระบวนการหมัก ( fermentation ) ภายในลำไส้ใหญ่จะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ การขับถ่ายจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ไม่ต้องใช้แรงเบ่งหน้ามืดตามัว สารพิษตกค้างในร่างกายจะน้อยลงเพราะได้ถูกขับออกไปทุกวัน รู้อย่างนี้ต้องรีบไปหาโยเกิร์ตมากินเสียแล้ว 
แต่แป้งกินส้มตำปลาร้า อาหารประจำชาติคนอีสานเกือบทุกวันอยู่แล้ว ถือได้ว่ากินโปรไบโอติกส์กับเค้าเหมือนกัน แถมยังเอาน้ำหมักจากแอปเปิ้ล ( ทำเอง หมักไว้ 2-3 ปี ) มาแช่ข้าวเหนียวก่อนหุงทุกครั้ง ข้าวเหนียวนุ่มมาก แซ่บเวอร์








ที่มา 

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558

10 อาหารที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในร่างกาย


ความเยาว์วัยในอดีตเป็นสิ่งที่แทบทุกคนโหยหาเพราะเมื่อเวลาผ่านไป อะไรหลายอย่างแทบไม่เหมือนเดิม อาทิเช่น ตอนวัยรุ่นไม่แพ้อาหารอะไรเลย แต่พอย่างเข้าสามสิบกลายเป็นว่า แพ้นั่นโน่นนี่ไปหมด ระบบเผาผลาญอาหารทำงานลดลง กินเข้าไปนิดเดียวยังอ้วนหรือแทบไม่ได้กินอะไรเลย น้ำหนักที่มองเห็นบนตาชั่ง ขึ้นพรวดพราด นี่มันอะไรกันหนอ ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ลองมาพิจารณาอาหารที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย 10 ชนิด มีดังนี้

1.ส้มโอ ( grape friut ) อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ช่วยเร่งการเผาผลาญแคลอรี่ได้มาก ผลไม้นี้จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วและรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มเมนูส้มโอในสลัดผลไม้ น้ำปั่นหรือน้ำส้มโอ ก็ดีไม่น้อย



2.คื่นช่าย ( celery ) ความลับของคื่นช่ายเป็นผักที่มีแคลอรี่น้อยมากนอกจากมีไฟเบอร์แถมอุดมไปด้วยน้ำจึงเป็นพืชที่สร้างความสมดุลในร่างกายได้เป็นอย่างดี



3.ธัญพืชที่ผ่านการขัดสีน้อยที่สุด (whole grain  ) มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า whole grain อุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรตแต่มีไขมันต่ำ มีประโยชน์มากกว่าธัญพืชที่ผ่านกระบวนการแปรรูป ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ ใช้เวลาย่อยในระบบทางเดินอาหารค่อนข้างนาน จึงทำให้เราไม่หิวง่าย



4.ชาเขียว อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ชาเขียวอุ่นเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน จึงช่วยลดน้ำหนักได้



5.กรดไขมัน omega-3 ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า omega-3 ทำหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญไขมัน เป็นกรดไขมันที่มีผลต่อระดับฮอร์โมนเลปติน ( สร้างจากเซลล์เนื้อเยื่อไขมัน (adipose tissue) ทำหน้าที่เป็นสัญญาณที่ส่งไปยังสมองส่วนไฮโปทาลามัส (hypothalamus) เพื่อกระตุ้นให้รู้สึกอิ่มหรืออยากอาหารน้อยลง ) สามารถเพิ่ม omega-3 โดยการรับประทานปลา ( ปลาทูน่า แซลมอน เฮอร์ริ่ง ) หรืออาหารเสริม omega-3



6.คาเฟอีน ( cafein ) ช่วยให้มีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า มีพลังในการทำงาน ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น สูบฉีดเลือดนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ช่วยเผาผลาญแคลอรี่แต่ต้องไม่เติมครีมเทียม น้ำตาลลงไป สามารถแทนที่ด้วยการเติมอบเชย ( cinnamon ) ไม่ควรดื่มเกิน 1-2 แก้วต่อวัน 



7.อะโวคาโด ประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ( monounsaturated ) ที่เร่งการเผาผลาญในร่างกาย ปกป้องแหล่งผลิตพลังงานของเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านลดระดับไขมัน รักษาบาดแผล ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง บำรุงสายตาและเส้นผมให้นุ่มสลวย



8.พริก เป็นอาหารที่ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้เร็วขึ้น ไร้แคลอรี่ ทำให้รับประทานได้มากขึ้น




9.เมล็ดเชีย ( chia seed ) อุดมไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีน กรดไขมัน omega-3 ช่วยเพิ่มการเผาผลาญ ระงับความอยากอาหาร เพียงแช่เมล็ดเชีย 15 นาทีจะทำให้บวมน้ำขึ้นเป็น 10 เท่า ผสมในสลัด โยเกิร์ต ข้าวโอ๊ต



10.ถั่วบราซิล ( brazil nut ) เป็นถั่วที่อร่อยที่สุด ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมัน โดยการแปลงฮอร์โมนไทรอยด์ T4 เป็น T3 แถมยังช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและลดเซลลูไลต์ได้อีกด้วย



อีกหนึ่งทางเลือก สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและเพิ่มอัตราการเผาผลาญอย่างยั่งยืนร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วยนะคะ

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

น้ำมันมะกอก ผลไม้จากดินแดนแห่งเทพเจ้า คุณประโยชน์ล้นเหลือ


ตั้งแต่เกิดมาจนอายุจะ 40 ปี เพิ่งมีครั้งนี้ที่แป้งสามารถกินผักสดได้ต่อเนื่องเกิน 2 อาทิตย์ รู้ซึ้งและเข้าใจอย่างดีว่าผัก ผลไม้สดมีประโยชน์มากมาย แต่จะให้กินต่อเนื่องเกิน 3 วัน มันไม่ไหวค่ะ แต่ถ้ากินผักสดเป็นเครื่องเคียงกับอาหารต่างๆก็กินได้ไม่มากเช่น แตงกวา กะหล่ำปลี กินเยอะไปก็เพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหาร ( ผักสดบางชนิด ร่างกายจะไม่มีเอนไซม์ย่อย จึงเกิดแก๊สทำให้ท้องอืด ) เวลาอ่านชีวจิตมักจะเห็นว่ามีสาวสุขภาพดีจะกินสลัดผักเป็นประจำ ยังเคยคิดตามอยู่เสมอว่า " กินผักสลัดทุกวันเข้าไปได้ยังไง ไม่เลี่ยนเลยเหรอ " 

แป้งเพิ่งมาถึงบางอ้อ ก็ต่อเมื่อ นึกได้ว่า มีน้ำสลัดบัลซามิก ( น้ำส้มสายชูที่ได้จากการหมักไวน์องุ่นเขียวพันธุ์หนึ่งทางตอนเหนือของอิตาลี ) เคยทำกินหนหนึ่งเมื่อประมาณ 6-7 ปีมาแล้ว สูตรนั้นไม่ค่อยเวิร์กเนื่องจากต้องร่ำไห้เป็นประจำในระหว่างซอยหอมแดง กว่าจะได้กินที น้ำตาไหลอาบแก้ม กะโพดกะเหลือ เลยเลิกกินน้ำสลัดบัลซามิกตั้งแต่นั้นมา หันมากินน้ำสลัดเทาน์ซั่นไอส์แลนด์ ก็อีกนั่นแหละ อุดมไปด้วยมายองเนส อร่อยได้หน่อยเดียว รู้สึกถึงความเลี่ยน จึงไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่นัก

คงจะเป็นเพราะอายุอานามใกล้เคาะฝาโลงเข้าไปทุกที อุ๊บส์!! ไม่ใช่สิ ร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรมตามวันเวลาที่ร่วงโรย นอกจากกินวิตามินที่ช่วยเพิ่มพละกำลังให้คนที่เป็นพาหะธาลัสซีเมียอย่างแป้งได้มีเรี่ยวแรง กระฉับกระเฉงแล้ว ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตที่กินอาหารนอกบ้านสลับกับทำกับกินเอง มาเป็นทำกับข้าวกินเองทุกมื้อเสียแล้วโดยกินผักสลัดทุกเย็น ส่วนมื้อเที่ยงกินข้าวกล้อง มื้อเช้าเป็นขนมปังโฮลวีตกับนมถั่วเหลือง 500 ml.ผสมวิตามินเพียบ


 
น้ำมันมะกอก ( olive oil ) เป็นไขมันชนิดดีที่ได้จากผลมะกอกที่เติบโตแถบลุ่มน้ำเมดิเตอร์เรเนียน ประเทศที่มีอาณาเขตติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมี 15 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา กรีซ ตุรกี ไซปรัส เลบานอน ซีเรีย อิสราเอล สาธารณรัฐอียิปต์ ลิเบีย ตูนิเซีย แอลจีเรีย โมร็อกโก



 สเปนเป็นผู้ผลิตน้ำมันมะกอกรายใหญ่ที่สุดของโลก รองลงมาเป็นอิตาลีและกรีซ ในตลาดสหรัฐอเมริกา น้ำมันมะกอกที่ผลิตจากสเปนและอิตาลีจะได้รับการยอมรับว่าเป็นน้ำมันมะกอกคุณภาพดีที่สุด 

น้ำมันมะกอกหากนำมาทำน้ำสลัดจะเป็นผลดีต่อสุขภาพเพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว ( ไขมันชนิดดี ) ซึ่งดีกว่ากรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นโทษต่อร่างกาย เพียงแค่วันละ 1-2 ช้อนโต๊ะทุกวันเท่านั้นเอง

 น้ำมันมะกอกชนิด extra virgin จะมีคุณค่ามากที่สุดโดยสกัดได้จากผลมะกอกบีบอัดครั้งแรก รสชาติและกลิ่นจะเข้มข้น ประกอบด้วยสาร hydroxytyrosol จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟีโนลิก



มีประโยชน์อย่างไร
1.ลดการอักเสบทั่วร่างกาย

2.เพิ่มความแข็งแรงของผนังเซลล์หลอดเลือดแดง

3.เพิ่ม HDL ลด cholesterol,LDL

4.ช่วยลดความดันโลหิตทั้ง systolicและ diastolic


5.ลดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารและชะลอการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ไม่พึงประสงค์


6.หลากหลายชนิดของมะเร็งในมนุษย์เริ่มจากเซลล์ถูกโจมตีโดย oxidative stress ( ความเสียหายของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมีระหว่างอนุมูลอิสระและโมเลกุลอื่นๆในร่างกาย ) และการอักเสบเรื้อรังที่มากเกินไป มีการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า เพียง1-2 ช้อนโต๊ะของน้ำมันมะกอก สามารถลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม มะเร็งระบบทางเดินอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่


7.ช่วยย่อยอาหาร เพิ่มการผลิตน้ำดี ลดโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

8.เพิ่มระดับการต่อต้านอนุมูลอิสระ


9.ป้องกันการโจมตีของโรคกระดูกพรุน ตามการศึกษาในสัตว์ทดลอง ( หนูเพศหญิงที่ถูกตัดรังไข่ ) พบว่า เพิ่มการสร้างกระดูกและสุขภาพกระดูกดีขึ้นหลังจากให้กินน้ำมันมะกอก


10.ซ่อมแซมเซลล์ผิวจากความเสียหายของแสงแดด ควันบุหรี่และมลพิษต่างๆ


11.ลดการเกิดรังแคและขจัดรังแคจากความแห้งเป็นขุย น้ำมะนาวมีความเป็นกรด ช่วยลดการเกิดรังแคในขณะที่น้ำมันมะกอกช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะ โดยผสมน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวในอัตราส่วนเท่ากัน นวดหนังศีรษะ 20 นาทีแล้วล้างออก สระผมตามปกติ



สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องเปลี่ยนวิธีคิดเอง ไม่มีใครบังคับเราได้ ในอดีตตั้งแต่ร่ำเรียนพยาบาลจนกระทั่งทำงานเป็นพยาบาลวิชาชีพจวบจนอายุ 27 ปี ( ย้อนอดีตไปเยอะ ) แป้งจะชอบกินขนมนมเนย ไอศกรีม เค้ก ทุกอย่างที่ได้ชื่อว่า อร่อยลิ้น แต่จะสังเกตว่าเวลาที่กินขนมแยมโรล ไม่ว่าข้างทางหรือห้างหรู จะไม่ขับถ่ายไป 3-5 วัน พลางนึกไปว่าตนเองระบบขับถ่ายไม่ดี น้าน!! คิดได้เนอะ 

พอได้มาอ่านหนังสือชีวจิตเท่านั้นแหละ รู้สาเหตุแห่งความเจ็บป่วยทั้งปวง มาจากพฤติกรรมการกินของเรานี่เอง


ผักและผลไม้สด มีแร่ธาตุ วิตามิน อุดมไปด้วยกากใย เปรียบได้กับไม้กวาดวิเศษช่วยปัดของเสียต่างๆที่ถูกลำไส้ใหญ่กำจัดเพื่อลดสารพิษคั่งค้างในร่างกายและลดโอกาสการเกิดโรคร้าย รู้อย่างนี้แล้วหันมากินผักผลไม้สดและน้ำมันมะกอกกันเถอะค่ะ










ที่มา:
www.oliveoiltimes.com/olive-oil-health-benefit
www.whfood.com/genpage.php?name=foodspeice&dbid...

พรีไบโอติกส์ ( prebiotics ) คืออะไร ใครรู้บ้าง


 
หลายปีมานี้คงจะมีคนเคยได้ยินคำว่า พรีไบโอติกส์มาบ้างแล้ว ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในระบบทางเดินอาหารที่ซับซ้อนภายในร่างกายของมนุษย์เลยทีเดียว

พรีไบโอติกส์ ( prebiotics ) คือส่วนประกอบของพืชที่ไม่สามารถย่อยได้ แต่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยมีผลในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นโดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกัน

พรีไบโอติกส์เป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ( แป้งและน้ำตาล ) ได้แก่ โอลิโกแซ็กคาร์ไรด์ ( oligosaccharide ) โพลีแซ็กคาร์ไรด์ ( polysaccharide ) และเส้นใยอาหาร ( dietary fiber ) แต่สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดไม่ได้จัดเป็นพรีไบโอติกส์ ด้วยโครงสร้างที่ซับซ้อนทำให้เอนไซม์ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กไม่สามารถย่อยสลาย จึงไม่ถูกดูดซึมในลำไส้เล็ก ทำให้สามารถผ่านไปยังลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย อุ๊ยตาย !! ลำไส้ใหญ่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดนะเนี่ย

มีประโยชน์อย่างไร
1.พรีไบโอติกส์จะทำหน้าที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตเฉพาะแบคทีเรียชนิดดีที่มีประโยชน์ในลำไส้ใหญ่เท่านั้น ได้แก่ บิฟิโดแบคทีเรีย ( bifidobacteria ) และ แลคโตบาซิลลัส ( lactobacillus )
2.โอลิโกแซ็คคาร์ไรด์ ( oligosaccaride ) นอกจากพบในพืชธรรมชาติแล้ว ยังพบในน้ำนมของมนุษย์ เชื่อว่ามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกันของทารก

ค่อนข้างน่าทึ่งที่นมแม่จะช่วยให้ทารกแรกเกิดมีการกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดดีบางชนิดในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นโดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกัน เด็กทารกที่มีโอกาสได้ดื่มนมมารดาตั้งแต่แรกเกิดจะไม่ป่วยง่าย ไม่เป็นโรคภูมิแพ้จากคุณสมบัติของพรีไบโอติกส์ นั่นเอง

3.สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทนต่อน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร จึงไม่ถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็ก เมื่อเคลื่อนตัวมาถึงลำไส้ใหญ่จะกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ใหญ่ เมื่อแบคทีเรียหมักกับพรีไบโอติกส์ จะทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น ( short-chain fatty acid ) เช่น กรดแลคติก ( lactic acid ) กรดโพรพิโอนิก ( propionic acid )

กระบวนการหมักนี้จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของไบฟิโดแบคทีเรีย ( bifidobacteria ) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีต่อสุขภาพ อีกทั้งในสภาวะที่เป็นกรดจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรค เช่น คลอสตริเดียม เพอร์ฟรินเจนส์ ( clostridium perfingens ) โดยแบคทีเรียกลุ่มนี้จะทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ดังนั้นจึงป้องกันและลดอาการท้องเสียจากเชื้อโรคได้ดีมาก อืม!! แลดูซับซ้อนซ่อนเงื่อนเสียจริง ลำไส้ใหญ่ไม่ได้มีหน้าที่ขับถ่ายอย่างเดียวนะเนี่ย

4.รักษาโรคลำไส้แปรปรวน

5.ป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อยีสต์ในช่องคลอดรวมถึงการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

6.โดยปกติพรีไบโอติกส์จะจับตัวกับแร่ธาตุบางอย่าง แต่ด้วยโครงสร้างที่ซับซ้อน จึงไม่สามารถดูดซึมที่ลำไส้เล็ก เมื่อเคลื่อนมาถึงลำไส้ใหญ่ พรีไบโอติกส์จะปลดปล่อยแร่ธาตุที่จับตัวออกมา ในสภาวะที่เป็นกรดจะช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม เหล็ก และแมกนีเซียม

7.ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในช่องท้อง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ จากกระบวนการโรคลำไส้แปรปรวน ของแบคทีเรียชนิดดีกับพรีไบโอติกส์ ทำให้เพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดดีต่อสุขภาพ ระบบทางเดินอาหารมีความสมดุล จึงกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายบีบตัว เกิดการขับถ่ายเกิดขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูกและลดระยะเวลาการสะสมสารพิษหรือสารก่อมะเร็ง ส่งผลช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกทางหนึ่ง

8.ลดไขมันโคเลสเตอรอล พบในสัตว์ทดลอง เมื่อแบคทีเรียชนิดดีหมักกับพรีไบโอติกส์ จะทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น ( short-chain fatty acid ) เช่น กรดโพรพิโอนิก ( propionic acid ) สามารถยับยั้งการสังเคราะห์ไขมันคอเลสเตอรอลและช่วยลดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวจากไขมันคอเลสเตอรอลอีกด้วย

แม้ว่าพรีไบโอติกส์จะเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย หากได้รับปริมาณมากเกินไป อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร จุกเสียด แน่นท้องเนื่องจากแก๊สในระบบทางเดินอาหาร

พรีไบโอติกส์ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ ฟรุกโต-โอลิโกแซ็กคาไรด์ ( fructo-oligosaccharides ) อินนูลิน ( inulin )

อาหารที่มีพรีไบโอติกส์สูง เช่น รากชิโครี่ ( พืชเมืองหนาว ) อาร์ติโชก กล้วย ข้าวบาร์เล่ย์ หัวหอม กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง รำข้าวสาลี ข้าวสาลี และอยู่ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่วางจำหน่ายทั่วโลก

จะเห็นได้ว่า ความเสื่อมของร่างกายเกิดขึ้นทุกขณะที่มีลมหายใจ การที่จะดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยาก ไม่ใช่การที่จะขับถ่ายของเสียออกมาได้ทุกวัน แต่เราจะต้องรู้เท่าทันกระบวนการต่างๆภายในร่างกายเป็นอย่างดีอีกด้วย

พรีไบโอติกส์ต้องกินต่อเนื่องไปตลอด หากหยุดกินเมื่อไหร่ กระบวนการหมักของแบคทีเรียชนิดดีกับพรีไบโอติกส์จะไม่เกิดขึ้นเหมือนกับการกินวิตามินเช่นเดียวกัน ทุกอย่างจะกลับสภาพเดิมเหมือนก่อนกินนะคะ



ที่มา
Gourmet cuisine / food for life/ดร.ฉัตรกา หัตถโกศล

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

โคเอนไซม์ คิวเทน วิตามินชะลอความความชรา ได้จริงหรือ

 
                 Co-enzyme Q10, Co Q10 หรือ Q10 มีชื่อเรียกทางเคมีว่า Ubiquinone,Ubiquinol
ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ 1957 โดย Frederick L.Crane at the University of Wisconsin โดยสกัดได้จาก Mitochondria (ทำหน้าที่เป็นแหล่งสร้างพลังงานของเซลล์ ประกอบด้วยสารจำพวกโปรตีนและไขมัน) ในเนื้อวัวที่สหรัฐอเมริกา คนอเมริกันเค้าชอบบริโภคเนื้อวัวมากที่สุดในโลกอยู่แล้วนี่นา

                 ปี ค.ศ 1977 บริษัทอุตสาหกรรมเคมี ชื่อว่า Kaneka Corporation ในญี่ปุ่น เริ่มผลิต Q10 ที่ได้จากการหมักยีสต์

                 ปี ค.ศ 1978 Peter Mitchell นักเคมีชาวอังกฤษ ได้รับรางวัลโนเบลจากการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับ Q10 ที่สกัดจาก Mitochondria

                 ปี ค.ศ 1997 ได้มีการก่อตั้ง สมาคม Q10ระหว่างประเทศโดย นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง นักโภชนาการและแพทย์ที่มีชื่อเสียง Kaneka Corporation บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกครั้งแรก

                  ปี ค.ศ 2006 เนื่องจากการบริโภค Q10 เพิ่มจำนวนมากขึ้น มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของ Q10ในอเมริกา จึงทำให้ Kaneka Corporation ผงาดขึ้นมาอย่างสวยสดงดงามและได้ก่อตั้งโรงงานผลิต Q10 เป็นแห่งแรกในอเมริกา

                  ปัจจุบัน Kaneka Corporation ของญี่ปุ่น เป็นบริษัทที่ผลิต Q10 บริสุทธิ์ คุณภาพสูง ที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตอาหารเสริมและเครื่องสำอาง เหลือพอที่จะส่งออกไปยังนานาประเทศมากที่สุดในโลก Q10 ที่ผลิตในอเมริกาก็มีที่มาจากประเทศญี่ปุ่น นั่นเอง

                   Q10 เป็นสารชีวภาพที่ร่างกายผลิตได้เอง ป้องกันการทำลายของเยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการลำเลียงสารอาหารเข้าสู่เซลล์ และกำจัดของเสียออกนอกเซลล์ มีคุณสมบัติคล้ายวิตามิน ละลายได้ดีในไขมัน เป็นกุญแจที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของหัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ สมองและช่วยชะลอความชรา เหี่ยวก่อนวัยอันควร แต่หลังจากอายุ 20 ปี ปริมาณการสร้าง Q10 จะลดลงต่ำกว่าระดับที่ร่างกายต้องการ พบมากในอาหารจำพวก เนื้อวัว ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ผักขม ถั่วลิสง แต่จะถูกทำลายจากความร้อนที่ใช้ในการหุงต้ม มิน่า! ชาวอเมริกันถึงได้กินสเต๊กเนื้ิิอวัวแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ เค้าจะเก็บวิตามิน Q10 ไว้ให้มากที่สุดนี่เอง

                    ญี่ปุ่น เป็นประเทศแรกที่สามารถผลิต Q10 ได้ในระดับอุตสาหกรรม จากการหมักยีสต์ เพราะหากสกัด Q10 จากไมโตรคอนเดรียของเนื้อวัวได้อย่างเดียว ป่านฉะนี้ วัวคงตายหมดไปจากโลกเราแล้วล่ะ คนเอเชียก็เก่งใช่ย่อย นะเนี่ย สามารถใช้เทคโนโลยีทางด้านการสังเคราะห์ การควบคุมคุณภาพให้บริสุทธิ์ และความคงตัวเหมือน Q10 ในร่างกายมนุษย์เปี๊ยบเลย

                     ชาวญี่ปุ่น ได้ทำการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ต่อยอดการประยุกต์ใข้ Q10 กับผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นครั้งแรกของโลกอีกด้วย จนมีคำกล่าวว่า ในประเทศญี่ปุ่น ผู้ป่วยโรคหัวใจทุกคนจะต้องได้รับวิตามิน Q10 เพื่อเสริมฤทธิ์ยารักษาโรคหัวใจทุกครั้งที่ไปพบแพทย์ ยิ่งไปกว่านั้น Q10 ยังช่วยลดความดันโลหิตสูง และช่วยป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์(เป็นโรคของการเสื่อมทางสติปัญญาที่พบได้เมื่ออายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยจะมีอาการความจำเสื่อม หลงลืมตัวเองและคนในครอบครัว ซึมเศร้า สับสน ไม่สามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้)

                    ผู้ป่วยที่มีปัญหาระดับโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดสูง มักจะได้รับยาลดไขมันกลุ่ม Statin Drugs เช่น Zimvastatin ส่วนใหญ่แพทย์จะให้กินวันละ 10-20 mg แป้งเห็นหลายคนในออฟฟิศกินกันอยู่นะคะ ซึ่งระดับไขมันลดลงก็จริงแต่จะทำลายตับและกล้ามเนื้อของเราอีกด้วย โดยเฉพาะ กล้ามเนื้อหัวใจ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจไม่แข็งแรง แม้จะมีอายุน้อยแต่หัวใจจะแก่ก่อนวัย จึงจำเป็นต้องเสริม Q10 เข้าไปเพื่อช่วยการทำงานของหัวใจเพราะเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักตลอดชีวิต ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น ยกเว้นตอนมัดตราสังข์ เท่านั้น ถึงจะได้พักจริงๆ

                   ในต่างประเทศ มีการทดลองเอา อาหารเสริม Q10 จำนวน 10 ยี่ห้อ หยอดใส่ปากหนูที่กำลังหายใจพะงาบๆ (กำลังจะตาย) ปรากฎว่า มีเพียงยี่ห้อเดียวที่ทำให้หนูฟื้นคืนชีพ กลับมาหายใจเป็นปกติ อีกครั้ง นั่นแสดงว่า Q10 ที่มีความบริสุทธิ์ คุณภาพสูง และมีความคงตัว จะดูดซึมได้ดีและรวดเร็ว ร่างกายนำไปใช้ได้ทันที ช่างแตกต่างกับวิตามินที่ผลิตในไทยเสียจริง ส่วนผสมที่เป็นวิตามินมีน้อยนิด ที่เหลือใส่อะไรให้เรากิน ไม่รู้นะเนี่ย

                  Q10 ที่ดูดซึมได้ดีจะอยู่ในรูป Reduce Form มีชื่อทางเคมีว่า Ubiquinol มีราคาสูงมาก หากแต่ Q10 ที่มีชื่อทางเคมี ว่า Ubiquinone ก็สามารถกินเป็นอาหารเสริมได้เช่นกัน แต่ต้องกิน dose สูงมากขึ้นเพื่อให้เพียงพอแก่การชะลอวัย และจะเห็นผลชัดเจนเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไปเพราะทุกส่ิงอย่างในร่างกายเสื่อมโทรมไปหมดแล้ว คนที่อายุน้อยๆ ไม่ว่าจะกินแบบไหน ก็ไม่ค่อยเห็นผลมากนัก เนื่องจากสภาพร่างกายยังไม่ชำรุดทรุดโทรม นั่นเอง แต่จะทำให้คนที่กิน Q10 รู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีกำลังวังชา มากกว่าปกติ (แม้ในยามที่ร่างกายอ่อนล้า) การกิน Q10 ปริมาณมากเกินไป(ร่างกายไม่ได้ขาดเสียหน่อย) อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ หัวใจเต้นแรง นอนไม่หลับ เท่านั้น อย่างว่าค่ะ ของถูกไม่มีดี ของดีไม่มีถูก ของฟรีไม่มีในโลก เลือกบริโภคตามสะดวกนะท่าน

                   Q10 ละลายได้ดีในไขมัน หากมื้อไหนกินอาหารที่มีไขมันมากแล้วกินวิตามิน Q10 ร่างกายจะดูดซึมได้ดีมาก แต่Q10 คุณภาพสูง ไม่จำเป็นต้องกินพร้อมอาหารที่มีไขมัน เพราะได้ผสมน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะกอก รวมไว้ในเม็ดเดียว จึงไม่ต้องห่วงเรื่องการดูดซึม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรกิน Q10 พร้อมหรือหลังอาหารทันทีเพื่อให้มีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากที่สุด บางยี่ห้อจึงผสมวิตามินอี เข้าไปด้วยเลย

                   มีงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับ Q10 ต่อการลดริ้วรอย พบว่า สามารถทำให้ริ้วรอยลึกลดลง โดยใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ Q10 0.3 % ทารอบดวงตา เป็นเวลา 6 เดือน ปรากฎว่า ความลึกของริ้วรอยลดลงถึง 27 % แสดงว่า Q10 มีส่วนช่วยลดริ้วรอยและชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง ได้อย่างแท้จริง

                   หากอยากได้ผลเลิศจาก Q10 ในการชะลอและลดริ้วรอยอย่างเต็มที่ ควรเลือก Q10 คุณภาพสูง แนะนำครีมบำรุงที่ผสม Q10 ทาลงบนผิวหนังโดยตรงจะเห็นผลชะงัดเลยค่ะ แต่ต้องมี Q10ปริมาณความเข้มข้นมากพอนะคะ บางยี่ห้อใส่มาแค่วิญญาณ ทาจนหมดโรงงาน หนังหน้าก็ยังเหี่ยวอยู่ดีแหละ




วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

Alpha Lipoic Acid วิตามินผิวสว่างใสดุจหลอดไฟนีออน


                 Alpha Lipoic Acid หรือ ALA เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ครอบจักรวาล (Universal Antioxidation) ถูกใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และทดลองทางคลีนิกในปี ค.ศ 1950 และได้รับการยอมรับในแง่ของสารต้านอนุมูลอิสระ ในปีค.ศ 1988
          
         ร่างกายสามารถสร้างได้เอง พบมากที่ตับ,เนื้อเยื่ออื่นๆและอาหารบางชนิดเช่น บร็อกโคลี่ ผักขม เครื่องในสัตว์ ยีสต์ มะเขือเทศ แต่ไม่มากพอที่จะใช้เพื่อเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (ชะลอความเสื่อมของเซลล์) บางประเทศอนุมัติให้เป็นยารักษาโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน (คนที่เป็นเบาหวานนานเกิน 5 ปีขึ้นไป มักจะมีอาการชาปลายมือปลายเท้า เฉพาะบริเวณข้อมือหรือข้อเท้าเท่านั้น ) โรคตับอักเสบ เช่น ประเทศเยอรมัน แต่ในอเมริกาและญี่ปุ่น จัดเป็นอาหารเสริม

         ทำหน้าที่เปลี่ยนกลูโคสให้กลายเป็นพลังงานและคอยจัดการกับอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ถูกปล่อยออกมาจากกระบวนการสลายกลูโคสภายในเซลล์ จึงมีผลในการลดน้ำตาลได้อีกด้วย แต่จะสร้างลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ทั้งสามารถออกฤทธิ์ได้ในส่วนของร่างกายที่เป็นน้ำและน้ำมัน เรามารู้จักก่อนนะคะว่าวิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน เช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอีและวิตามินเค อาศัยน้ำดีช่วยในการดูดซึม ร่างกายเก็บสะสมไว้ที่ตับ หากมีมากเกินจะเกิดอาการแพ้ได้ ส่วนวิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำ เช่น วิตามินบีและวิตามินซี ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้จากการกินเข้าไปเท่านั้น หากมีมากเกิน ร่างกายจะขับออกมาทางปัสสาวะ ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระแทบทุกตัวจะออกฤทธิ์ได้ดีในส่วนที่เป็นน้ำหรือน้ำมัน เท่านั้น

          อนุมูลอิสระถือเป็นตัวเร่งที่สำคัญอันดับต้นๆที่ทำให้คนเราเข้าสู่วัยชรา ก่อนเวลาอันควร ปัจจัยที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ คือ ความเครียด มลภาวะ อาหารขยะ แสงแดดและการนอนดึก(ช่วงเวลา 22.00-02.00 เป็นเวลาที่อวัยวะภายในต้องได้รับการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเพื่อพร้อมใช้งานในวันต่อไป) ไม่เคยมีใครนอนดึก แล้วตื่นขึ้นมาสวยเด้งเลยซักคน มีแต่โทรมกับโทรมค่ะ

           กรดอัลฟ่าไลโปอิก มีบทบาทส่งเสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ เช่น วิตามินซี วิตามินอี กลูต้าไธโอนและCOQ10 เลิศเลอเพอร์เฟคที่สุดนะเนี่ย ปกติ สารต้านอนุมูลอิสระพวกนี้เมื่อผ่านกระบวนการกำจัดอนุมูลอิสระแล้ว จะหมดฤทธิ์ทันทีแต่กรดอัลฟ่าไลโปอิกจะชุบชีวิตให้ฟื้นคืนเพื่อทำหน้าที่อีกครั้ง ว๊าว!ดีจังเลยค่ะ

            นอกจากนั้น ยังเพิ่มปริมาณกลูต้าไธโอนที่ผลิตได้ในร่างกาย โดยกระบวนการนี้จะทำให้ขจัดสารพิษออกจากตับได้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย มิน่า!คนที่กินวิตามิน Alpha Lipoic Acid 600mg,Grape Seed 300 mg,Lyc-o-mato 15 mg และ Ester-c 1000mg วันละเม็ด ถึงได้มีออร่ามาแต่ไกล ขาวใสยังกับหลอดไฟนีออนแน่ะ

             มีประโยชน์อย่างไร
1.กระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนในการย่อยเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน จึงมีส่วนช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ดีขึ้น

2.กรดอัลฟ่าไลโปอิก มี Sulfurเป็นองค์ประกอบ ช่วยทำให้ผิวสะอาด รวมถึงลดอาการบวมแดงจากสิวได้อีกด้วย

3.กรดอัลฟ่าไลโปอิก ช่วยลดขนาดของรูขุมขน จึงทำให้ต่อมไขมันทำงานได้น้อยลง รูขุมขนจึงกระชับขึ้น

4.ในอเมริกาและสวีเดน กรดอัลฟ่าไลโปอิก ความเข้มข้น 5% นิยมนำมาผสมในครีมลดริ้วรอยเพื่อช่วยลดริ้วรอยลึกจากการทำลายของแสงแดดได้อย่างดีเยี่ยม จากคุณสมบัติ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว

5.ใบหน้าขาว สว่างใส จากการที่กรดอัลฟ่าไลโปอิกดึงกลูต้าไธโอน กลับมาในฟอร์มที่ใช้งานได้อีก ถ้างั้น ก็ไม่ต้องกินอาหารเสริม กลูต้าไธโอน ได้สินะเพราะมีโมเลกุลใหญ่มาก กลืนลงไปกระเพาะย่อยหมดไม่เหลือซาก คนจึงนิยมฉีดเข้ากระแสเลือด งัยค่ะ

6.ลดอาการปวดไมเกรน

7.ปัองกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

8.ร่างกายแข็งแรงขึ้น จากการที่กรดอัลฟ่าไลโปอิก กระตุ้นให้กลูต้าไธโอนขจัดสารพิษออกจากตับได้อย่างรวดเร็ว

           แค่ประโยชน์ไม่กี่อย่าง ยังน่ากินได้มากขนาดนี้ แป้งเพิ่งเริ่มกินวิตามิน Alpha Lipoic Acid 600mg เพียงเดือนเดียว ผิวเปลั่งปลั่ง ขาวสว่างใส รูขุมขนกระชับ อย่างที่ไม่ได้รับจากวิตามินตัวไหนมากเท่านี้อีกแล้ว

            ลืมบอกไป ใบหน้าของแป้งขาวผ่องขึ้น จนต้องเปลี่ยนเบอร์แป้งเลยค่ะ ปกติ ใช้ primer ของ guerlain และใช้รองพื้นของ cle de peau แบบ fluid เบอร์ oc10แล้วตามด้วย แป้งฝุ่นของ lanagie เบอร์ 01 ตอนนี้ต้องเปลี่ยนใหม่หมดเลย ไม่งั้นหน้าจะขาวลอย เฮ้อ! ตกลงหน้าขาวขึ้นแล้วมันดีตรงไหนเนี่ย ก่อนหน้านั้น กิน Alpha Lipoic Acid 300mg ของ swanson มา 8เดือน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว เลยรู้ว่า วิตามินทุกไลน์ของเค้าเกรดต่ำมาก ราคาจึงถูก นั่นเอง







          รูปนี้ถ่ายเมื่อครั้งไปเที่ยว อังกฤษ- สก็อตแลนด์ ตอนนั้นอายุ 36 ปี ระหว่างที่รอเช็คอินห้องพักที่ วินเดอร์เมียร์ เลคไซต์ ประมาณ 2-3 ทุ่ม เป็นโรงแรมที่สวยม๊าก อยู่กลางป่าเขา มีแมกไม้เขียวขจี แป้งโชคดีได้ห้องพักอยู่ชั้นล่าง เค้าจัดห้องได้น่ารักมากๆ กว้างสุดๆ พอตอนเช้าเปิดประตูออกมา เจอระเบียงมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งจิบชาสวยแบบผู้ดีอังกฤษ มองออกไปเห็นทะเลสาบ สวยมากมาย มีหงส์ 5-6ตัวลอยไปมา แป้งนึกว่าตัวเองอยู่ในดินแดนแห่งเทพนิยายเสียอีก ยังกะสวรรค์ชั้นฟ้าเลยค่ะ โรแมนติกสุดๆ

          หงส์ทุกตัวที่เกิดในสหราชอาณาจักร เป็นสมบัติของพระราชินีอลิซาเบทที่ 2 เพียงผู้เดียว ห้ามใครล่าหรือฆ่าโดยเด็ดขาด มิฉะนั้น จะมีความผิดตามกฎหมายค่ะ ขณะนั้นสายฝนโปรยปรายเล็กน้อย เดินออกไป 10ก้าวก็ถึงทะเลสาบแล้ว มีพี่ๆร่วมคณะกางร่มถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึก 2-3คน แต่แป้งคงไม่ไปถ่ายรูปกะเค้าหรอก กลัวจับไข้ จะเที่ยวไม่สนุก แป้งเหลือบมองนาฬิกา ว๊าย! จะ 6.30 น.แล้ว ยังไม่ได้อาบน้ำเลย ไปดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันกินข้าวเช้า 



                 



Create Date : 09 กันยายน 2555
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2557 11:13:58 น.
Counter : 71929 Pageviews.

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม