บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ที่สุดแห่งเทคโนโลยีชะลอวัยเพื่อคงความงามของยุคนี้

 


แทบทุกคนปรารถนาอยากมีผิวพรรณแต่งตึง  ไร้ริ้วรอยเหี่ยวย่นเหมือนเมื่อครั้งเยาว์วัย ซึ่งต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่จากภายในสู่ภายนอก หากดูแลร่างกายดีมาจากข้างในมักจะส่งผลต่อภายนอกด้วยเช่นกัน 


อย่างไรก็ตามความเสื่อมของร่างกายจะเพิ่มขึ้นตามอายุหรือวัย

ซึ่งมีสาเหตุจากอนุมูลอิสระ เช่น ความเครียด แสงแดด การพักผ่อนนอนหลับ โรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ พรากความงดงามของผิวพรรณไปไม่น้อย  เมื่อโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ไม่ตอบโจทย์กับปัญหาผิวพรรณบางประการ ในรอบ 10+ปีมานี้ มีเทคโนโลยีแห่งความงามผุดขึ้นมาบนโลกใบนี้เพื่อชะลอผิวพรรณให้เต่งตึง ไม่ให้ร่วงโรยตามวัย เช่น Ulthera,Thermage, HIFU, Facelift


1.Ulthera(อัลเทอร่า)เป็นคลื่นเสียง(Ultrasound)

Thermage(เทอทาจ)เป็นคลื่นวิทยุ(Radiofrequency)


อัลเทอร่าและเทอมาจ มีหลักการทำงานโดยเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่ 60-65 องศาเซลเซียส(ประมาณไข่ดาวสุกได้) จะเกิดการคลายและพันเกลียวของเส้นใยคอลลาเจน ส่งผลให้มีการสร้างและเรียงตัวของเส้นใยคอลลาเจนขึ้นมาใหม่


อัลเทอร่า เน้นหน้ายกกระชับ(lifting)มากกว่าหน้าแน่น ลงได้ลึกกว่าชั้น SMAS(ชั้นที่หมอศัลยกรรมใช้ผ่าตัดดึงหน้า)


เทอมาจ เน้นหน้าแน่น(tightening) มากกว่าหน้ายก ลงลึกได้ไม่ถึงชั้น SMAS แต่ลดไขมันที่แก้มได้ดี


ระดับความเจ็บปวดระหว่างทำ


เจ็บมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความทนของแต่ละคน พลังงานที่ใช้และตำแหน่งที่ทำ เช่น พลังงานสูงจะรู้สึกเจ็บมากและได้ผลดีมาก


พลังงานต่ำจะรู้สึกเจ็บน้อยและได้ผลเล็กน้อย

บริเวณแก้มเจ็บน้อยกว่าคอ กรอบหน้า


ราคาอัลเทอร่าและเทอมาจใกล้เคียงกันเพราะต้นทุนทางเทคโนโลยีที่ทันสมัยทัดเทียมกัน


ปกติทำแล้วอยู่ได้นานประมาณหนึ่งปี ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิวและการดูแลตัวเองหลังจากนั้น


คำแนะนำสำหรับการทำอัลเทอร่า


300 ถึง 400 shot สำหรับอายุไม่เกิน 30 ปี ใบหน้าเล็ก ไม่หย่อนคล้อย ทำเฉพาะบริเวณแก้ม


400 ถึง 600 ช็อต เหมาะสำหรับอายุเกิน 30 ปีหรือมีพื้นที่เยอะ เน้นกรอบหน้า


600 ถึง 800 ช็อต เหมาะสำหรับคนที่อายุเกิน 50 ปีหรือต้องการความเป๊ะมากๆหรือมีความหย่อนคล้อยเยอะ เน้นกรอบหน้า เหนียง และคอ


ส่วนใหญ่จะคิดค่าใช้จ่ายตามช็อต ยิ่งอายุมากต้องยิ่งจ่ายเยอะ


หมายเหตุ 

คำว่า shot(ช็อต) แปลว่าจำนวนนัดยิง


2.เทอมาจ(Thermage)เป็นนวัตกรรมยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดเช่นเดียวกับอัลเทอร่า


เริ่มมีตั้งแต่ค.ศ. 2005 ถึง 2006 โดยเริ่มแรกใช้กับใบหน้า คอ ท้องแขน หน้าท้อง(ในคนที่มีน้ำหนักเยอะๆพอลดน้ำหนักแล้วผิวย้วยหย่อนคล้อย)และขา โดยจะเห็นผลภายในหกสัปดาห์แรกคือ บริเวณเหนียง ส่วนร่องแก้มจะหายไปในเดือนที่หก 


ความร้อนที่โดนผิวจะทำให้ผิวเรียบเนียน หากทำบริเวณหลังมือ มือจะหายเหี่ยวทันที


สามารถทำบริเวณรอบดวงตาที่มีริ้วรอยโดยมีหัวยิงพิเศษ ซึ่งเป็นคนละอย่างกับที่ใช้สำหรับใบหน้าหรือคอ


เหมาะสำหรับคนที่มีอายุตั้งแต่ 35 จนถึง 60 ปี หากเกิน 60 ปีไปแล้ว กรุณาอย่าคาดหวัง


ความหย่อนคล้อยเป็นสัญลักษณ์แห่งความชราของผิว ซึ่งเกิดจากคอลลาเจนเสื่อม มีสาเหตุหลักคือ แสงแดด


คนที่สูบบุหรี่ ไม่เหมาะที่จะทำเทอมาจ เพราะการสูบบุหรี่จะมีนิโคตินทำลายผิว


ทำหนึ่งครั้งอยู่ได้ปีครึ่งถึงสองปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและหลีกเลี่ยงแสงแดด


ระดับความเจ็บปวด ทำใต้ตาจะเจ็บไม่มากเท่าบริเวณใบหน้า


สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในสองสัปดาห์แรกคือ รูขุมขนละเอียด

ครบหนึ่งเดือน หน้ายกกระชับ หางตายกขึ้น

ในคนที่เป็นฝ้า สามารถทำได้โดยไม่ทำให้ฝ้าแย่ลง(แต่ไม่ช่วยลดฝ้า)


เทอมาจ(Thermage) เป็นแบรนด์อเมริกา มีจุดเด่นคือลดไขมันที่แก้ม แต่ถ้าโชคไม่ดีเจอแพทย์ที่วิเคราะห์ผิวหน้าไม่เป็น หลังทำเสร็จแก้มจะตอบลง ซึ่งมีผลทำให้ดูโทรมทันที


คนที่เติมไขมันที่หน้า สามารถทำเทอมาจได้ แต่ไขมันจะยุบตัวลงไปบางส่วน


คนที่ฉีดฟิลเลอร์และโบทอกซ์สามารถทำเทอมาจได้ แต่อายุของฟิลเลอร์หรือโบทอกซ์จะสั้นลง


มีคนไข้ประมาณ 10% ที่อายุถึงเกณฑ์ แต่ทำเทอมาจแล้วไม่เห็นผล หากไม่เกี่ยวข้องกับฝีมือแพทย์และคุณภาพของเครื่องมือ เกิดจากภายในร่างกายชราภาพสุดๆ เช่น มีอายุ 30 ปี แต่ข้างในเสื่อมหย่อนคล้อยเหมือนคนอายุ 40 ปี จะใช้พลังงานแค่ 300 ช็อตได้หรือไม่


 คำตอบคือ ไม่พอ ต้องใช้อย่างน้อย 900 ช็อต จนถึง 1200 ช็อต


เทอมาจไม่ช่วยลดรอยเหี่ยวย่น แต่ช่วยลดถุงใต้ตาได้ดี

คนที่มีสภาพผิวแย่ คุณภาพผิวไม่ดี ผิวหน้าไหม้ หน้าแก่กว่าเพื่อนวัยเดียวกัน กระฝ้า ผิวคล้ำแดดสะสม ทำเทอมาจไม่ค่อยเห็นผล


ผลข้างเคียง

หากใช้พลังงานสูง ผิวอาจจะไหม้(Burn)ไขมันยุบ ตุ่มน้ำพอง ผิวยุบ 

เพราะฉะนั้นต้องหาข้อมูลเลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ใครก็ได้ หน้าเราจะเละ นอกจากไม่เห็นผล เสียเงินฟรีแถมเจ็บตัวอีกต่างหาก


แป้งเคยเห็นรุ่นพี่ไปทำเทอมาจที่คลินิกแห่งหนึ่ง ผลปรากฏว่าหลังทำเสร็จบริเวณแก้มยุบตัวลง แพทย์แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มแก้ม จากที่จ่ายเงินไปแล้ว 80,000 กว่าบาท จ่ายค่าฟิลเลอร์เพิ่มอีก 30,000 กว่าบาท 


ควรทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ไม่ใช่จบใหม่ไก่กาอาราเล่ ก่อนตัดสินใจทำ เช็คข้อมูลแพทย์ คุณภาพของเครื่องมือทุกครั้งเพราะแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญขนาดฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ยังเป็นก้อนใต้ตาเลย ขืนให้ทำ Thermage หน้าพังพอดี


3.Hifu (Hi Intensity Focused Ultrasound) เป็นแบรนด์เกาหลี ทำเดือนละหนึ่งครั้ง ราคาย่อมเยากว่าเทอมาจและอัลเทอร่า 


Hifu(ไฮฟู่)และ Thermage(เทอมาจ)เป็นเทคโนโลยีชนิดเดียวกันคือใช้คลื่นความถี่วิทยุ(Radiofrequency)


หากใช้พลังงานสูง ผิวอาจจะไหม้(Burn)เกิดรอยแผลเป็นคีลอยด์ 

ไขมันยุบ ตุ่มน้ำพอง ผิวยุบ 


หากแพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญในการประเมินผิวและวิเคราะห์โครงหน้าเผลอยิงชอตเยอะ จะทำให้แก้มบุ๋มผิดที่ ย่น ย้อย เพราะเนื้อที่แก้มลดไปมากบวกกับอายุที่มาก(40+) บางคลีนิคแนะนำจะต้องร้อยไหมเพิ่ม


หมายเหตุ 

หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีสภาพผิวเหี่ยวย่น หย่อนคล้อยมาก

ทำอัลเทอร่า เทอมาจและไฮฟู่ มักจะไม่ได้ผล ควรศึกษาการผ่าตัดดึงหน้า ปัจจุบันมีมากมายหลายเทคนิค ซึ่งมีความแตกต่างกันตามระดับความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด


4.ผ่าตัดดึงหน้าหรือศัลยกรรมดึงหน้า(Facelift) เป็นการผ่าตัดแก้ไขใบหน้าที่หย่อนคล้อยอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงที่มาตามวัยที่เพิ่มขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงของมวลกระดูก กล้ามเนื้อ  และความยืดหยุ่นบนใบหน้า กล้ามเนื้อและผิวหนังที่หน้าผาก  ส่งผลให้แก้ม กราม คางและคอห้อยลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก การผ่าตัดดึงหน้าจึงเป็นวิธีการที่ทำให้ใบหน้าสดใส เต่งตึง แลดูอ่อนเยาว์ 


การผ่าตัดดึงหน้ามีหลายเทคนิค แพทย์บางท่านอาจจะใช้เพียงเทคนิคเดียว หรือหลายเทคนิคร่วมกันเพื่อให้ได้ผลการผ่าตัดที่ดีที่สุด ดังนี้

1. การผ่าตัดดึงโหนกแก้ม ร่องแก้ม แผลหน้าหู และบริเวณตาล่าง (Mini face lift and Mid face lift)

2. ผ่าตัดดึงหน้าทั้งหมด( โหนกแก้ม ร่องแก้ม แนวกราม- คาง)  ด้วยแผลหน้าหู และ หลังหู เย็บชั้นกล้ามเนื้อ SMAS ให้ตึง ( Full facelift )

3. ผ่าตัดยกกระชับใบหน้าด้วยวัสดุสังเคราะห์  ( Endotine  Mid face lift)

4. ผ่าตัดยกกระชับคางห้อย ด้วยการเย็บกล้ามเนื้อใต้คาง ( Neck lift / Neck Tuck )

5. ผ่าตัดดึงคิ้ว ( Forehead lift )

6. ผ่าตัดเพิ่มความอวบอิ่ม ( Fat transfer : เติมไขมัน)


ปัจจุบันเทคนิคการดึงหน้า ได้มีการพัฒนาไปมากและมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง สามารถเลือกดึงได้ตามสภาพผิวหน้า บางคนอาจจะดึงหน้าเฉพาะจุดหรือแค่บางส่วน เช่น ดึงบริเวณขมับและแก้มที่ห้อยให้ยกขึ้น หรือบางคนที่ผิวหย่อนคล้อยมากทั้งหน้าทั้งคอ จำเป็นต้องศัลยกรรมดึงหน้าทั้งหมด คือ ดึงหน้า ดึงหน้าผาก ดึงคอ ซึ่งจะดึงจุดไหนหรือมากน้อยเพียงใดขึ้นกับสภาพผิวหน้าของแต่ละคน และดุลยพินิจของแพทย์


หลังผ่าตัดดึงหน้า ผิวหน้าจะดูอ่อนเยาว์ขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป

 ผิวหน้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ส่วนผิวหน้าจะคงสภาพความเต่งตึงเอาไว้ได้นานแค่ไหนนั้น  ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวหน้าของแต่ละคน โดยเฉลี่ยจะคงอยู่ได้นาน 5 ปีขึ้นไป แต่ใครที่ดูแลผิวหน้าดีๆ อาจอยู่ได้นานเป็น 10 ปีก็มี(อันนี้ท่าทางจะยากเพราะอย่าลืมว่า !!ชั้นคอลลาเจนได้เสื่อมลงหมด ฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนก็หมดหน้าที่ลง)ดังนั้นถ้าอยากให้ผิวหน้าคงความเต่งตึงเอาไว้นานๆ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำร้ายผิว ซึ่งจะช่วยยืดระยะเวลาให้ยาวนานขึ้นได้ เช่น แสงแดด ความเครียด นอนดึก


ค่าใช้จ่ายโดยรวมประมาณ 200,000-300,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพผิวก่อนทำการรักษา


ยกตัวอย่างค่ารักษาเฉพาะจุดของรพ.ยันฮี


ดึงหน้า (Midface) 67,000 บาท

ดึงหน้าผาก (Forehead) 81,000 บาท

ดึงคอ (Neck lift) 45,500 บาท


ศัลยกรรมดึงหน้า ทำให้ใบหน้าเด็กลงเป็นสิบปีได้จริงหรือ?

ตามหลักการแพทย์ไม่สามารถบอกตัวเลขที่ชัดเจนได้ว่า การดึงหน้าของแต่ละคนจะสามารถลดอายุลงได้กี่ปี 


แต่โดยทั่วไปแล้ว หากอยากลดอายุได้มากๆ อย่างแรกคือ ก่อนผ่าตัด คนไข้ต้องมีริ้วรอย ความหย่อนคล้อยในเกณฑ์ที่มาก เช่น คนที่ผิวบาง คนใบหน้าแคบๆ และมีริ้วรอยเยอะ ถ้าทำในคนไข้กลุ่มนี้เวลาผ่าตัดดึงหน้าก็จะเปลี่ยนแปลงได้เยอะ จากที่ริ้วรอยที่มีเยอะ ก็จะแก้ไขได้มาก เพราะฉะนั้นใบหน้าก็จะดูเด็กลง ลดลงได้โดยเฉลี่ยประมาณ 10-15 ปี


แต่ขณะเดียวกันก่อนผ่าตัด ถ้าเป็นคนที่อายุยังน้อย เช่น อายุ 30 กว่าปี อยากศัลยกรรมดึงหน้า ทำเสร็จคนไข้จะรู้สึกว่าหน้าตึงขึ้นเพราะมีการผ่าตัดไปแล้ว แต่ถามว่าคนทั่วไปดูแล้วจะรู้สึกว่าอายุลดลงไป 10 ปีไหม ก็ไม่ขนาดนั้น ความแตกต่างอาจไม่มาก เพราะว่าก่อนผ่าตัดไม่ได้มีริ้วรอยจำนวนมาก


การดึงหน้าบางคนคิดว่าจะทำทั้งทีต้องทำทั้งหน้า ทั้งคอ จริงๆไม่ใช่อย่างนั้น ใบหน้าคนเราแบ่งเป็น 4 ส่วน ส่วนแรกคือบริเวณหน้าผากด้านบน สำหรับคนที่มีริ้วรอยที่หน้าผาก เวลาขมวดคิ้วมีร่องระหว่างคิ้ว ก็ต้องดึงหน้าผาก


ต่อมาคือใบหน้าด้านบน บริเวณหางตา หางคิ้ว จะเรียกว่าการดึงหน้าส่วนบน ต่อมาคือส่วนล่าง การดึงหน้าส่วนนี้จะแก้บริเวณร่องเเก้ม ร่องน้ำหมาก เหนียงที่คาง สุดท้ายคือที่คอ คนไข้แต่ละคนไม่จำเป็นต้องทำทั้งหน้า ต้องอาศัยการตรวจวิเคราะห์โครงหน้าเสียก่อน ศัลยแพทย์ตกแต่งจะแนะนำตามความเป็นจริงว่าส่วนไหนที่จำเป็นต้องทำ ส่วนไหนที่ยังไม่จำเป็นก็ไม่ต้องทำ เลือกทำเฉพาะส่วนที่มีปัญหาจริงๆ


บางคนมีปัญหาแค่หย่อนคล้อย แต่ผิวหน้าไม่ได้เหี่ยวย่นมาก แค่ผ่าตัดดึงหน้าทั้งหมด(Full facelift)ผลลัพธ์จะออกมาดีไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม 


การทำมากเกินไป เช่น ร่องแก้ม บางคนอยากให้หมอดึงจนไม่มีร่องแก้มเลย ตามหลักการแพทย์ทำได้แต่ไม่ควรทำเพราะมันดึงจนตึงเกินไป หน้าก็จะแข็ง ดูหลอก ที่สำคัญร่องแก้มเป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อในการยิ้ม การพูด แสดงสีหน้า ถ้าร่องแก้มหายไปเวลาแสดงสีหน้า ไม่ว่าจะยิ้ม พูดก็ดูไม่ธรรมชาติ


แต่ในคนที่ผิวเหี่ยว แก้มตอบ จำเป็นต้องฉีดไขมันเพิ่ม(Fat graft)โดยเอาไขมันของตัวเองจากส่วนอื่นมาฉีดใส่หน้าให้

ดูอวบอิ่ม เต่งตึง สำหรับคนที่หน้าเหี่ยวย่นและแก้มผอมตอบ การเพิ่มไขมันบนใบหน้าจึงจำเป็นอย่างยิ่ง 


หากบางเคสใต้ตาเหี่ยวมาก แค่ผ่าตัดดึงหน้าเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องเติมฟิลเลอร์อีก


ไม่ว่าจะเลือกวิธีใดก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลต่างๆรวมถึงผลข้างเคียงหลังผ่าตัด สำคัญที่สุดคือ ศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีทักษะและประสบการณ์สูง(เช็ครายชื่อแพทย์ได้ที่เวปสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย)


ความสวยความสาวมีราคาที่ต้องจ่ายซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่น้อย

เรามีสิทธิเลือกหมอ เลือกให้ดีก่อนขึ้นเขียง จะได้ไม่มาเสียใจภายหลังเพราะการแก้ไขแต่ละครั้ง ใช้เงินพอๆกับการผ่าตัดครั้งแรกเลยนะคะ



#  Ulthera Thermage 

# แป้งปังปอนด์






ที่มา 

ศัลยกรรมดึงหน้า ผ่าตัดดึงหน้า | โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่ง กมล | โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่ง กมล

เพจ Prof Dr worapong/ศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ

เพจ Dr.Yui คุยทุกเรื่องผิว

ศัลยกรรมดึงหน้า ทำให้ดูเด็กลงเป็น 10 ปี ได้จริงหรือ? ฟังความจริงจากปากคุณหมอ (คลิป)


วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เรื่องบางอย่างที่เราคาดไม่ถึง

1.น้ำมันมะกอกและน้ำมันคาโนลา มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง จัดเป็นอาหารต้านโรคหัวใจที่ดีที่สุด

2.หัวหอม กระเทียม หัวไชเท้า มีสารอัลลิซิน ที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสามารถทำลายเชื้อที่ก่อให้เกิดโรค โดยไม่ทำอันตรายต่อเชื้อแบคทีเรียที่ดีภายในร่างกาย

โดยทั่วไปเราจะเรียกเชื้อจุลินทรีย์ที่รู้จักกันดีว่า เป็นแบคทีเรียที่เป็นมิตรกับร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านการติดเชื้อและโรคต่างๆ

รู้หรือไม่ว่า มีแบคทีเรียที่เป็นมิตรหลายพันล้านตัวในร่างกายของเราช่วยกันทำงานอย่างน่าอัศจรรย์ เช่น ช่วยในการย่อยอาหาร ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยรักษาฮอร์โมนให้อยู่ในระดับปกติ ป้องกันการรุกรานจากเชื้อราและยีสต์ ซึ่งอาจรุกรานเข้ากระแสเลือดและก่อให้เกิดโรคร้ายแรงได้ อีกทั้งยังช่วยในการสร้างวิตามินบีบางชนิดด้วย

3.ส่วนประกอบหลักของมาการีน คือน้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนหรือกรดไขมันทรานส์ ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าไขมันอิ่มตัวในเนยเสียอีก

4.วิตามินบี 1 ช่วยรักษาอาการเมารถ เมาเรือและเมาเครื่องบินได้

5.แร่ธาตุโบรอน พบในแอปเปิ้ล องุ่นและลูกเกด ช่วยชะลอการสูญเสียมวลกระดูกในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน โบรอนยังช่วยผู้หญิงที่ใช้ฮอร์โมนบำบัด(ERT)เก็บรักษาฮอร์โมนเอสโตรเจนในเลือดได้ยาวนานขึ้น

โบรอน(Boron)เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่มีขนาดที่แนะนำอย่างเป็นทางการ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความสำคัญของมันลดลงเลย โดยเฉพาะในการทำงานร่วมกับแคลเซียม แมกนีเซียมและวิตามินดี เพื่อช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และยังอาจช่วยให้สมองทำงานได้ดียิ่งขึ้นด้วย พบในผักและผลไม้เกือบทุกชนิด

แต่ทว่าผลไม้ตากแห้ง เช่น พรุนหรือแอพริคอต จัดเป็นแหล่งของโบรอนที่ดีที่สุด ในการรับประทานเพื่อเสริมอาหาร แนะนำขนาด 3 มิลลิกรัมต่อวัน(ห้ามเกินวันละ 10 มิลลิกรัม)

6.การแปรงฟันภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากดื่มน้ำอัดลมทุกประเภท(หรือเครื่องดื่มที่มีความเป็นกรดและมีแคลเซียมต่ำ)อาจทำให้ชั้นเคลือบผิวฟันผุกร่อนได้

7.เราสามารถลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารลงได้ถึงร้อยละ 50 โดยการรับประทานหอมใหญ่ครึ่งหัวทุกวัน

จากการศึกษาเป็นเวลา 4 ปีในเนเธอร์แลนด์พบว่า สารอัลลีลิกซัลไฟด์ในหัวหอม(สารต้านมะเร็ง)ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ไปยับยั้งสารก่อมะเร็ง

8.คนส่วนใหญ่ขาดเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยนม(Lactase)หลังอายุ 12 ปีเป็นต้นไป จึงเป็นสาเหตุให้ผู้ใหญ่จำนวนมากมีอาการท้องอืดเฟ้อหรืออาหารไม่ย่อยหลังดื่มนม

9.จากการศึกษาของคณะวิจัย USDA Human Nutrition Research Center on Aging มหาวิทยาลัยทัฟต์ พบว่า การรับประทานวิตามินซีเสริมอาหารทุกวัน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก

10.ฟลาโวนอยด์ในองุ่นแดงมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอีมากกว่าพันเท่าในการยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของคอเลสเตอรอลชนิด
แอลดีแอล(LDL)

11.มีการศึกษาพบว่า การมีระดับของซีลีเนียมในร่างกายที่เพียงพอ จะช่วยชะลออาการของโรคเอดส์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

12.อาการเส้นประสาทถูกกดทับที่ข้อมือ(Carpal tunnel syndrome )และภาวะไม่สมดุลของฮอร์โมน อาจเป็นอาการแสดงของการขาดวิตามินบี 6

13.สารต้านอนุมูลอิสระ NAC (N-Acetylcysteine)อาจทำงานได้ดีกว่าวิตามินซีในการบรรเทาอาการไข้หวัด

14.การรับประทาน ฉีด หรือสูดดมสเตียรอยด์เพื่อรักษาอาการหอบหืดในปริมาณสูง อาจเป็นสาเหตุของต้อกระจกและกระดูกพรุนได้

15.หากต้องนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยตลอดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่า จำเป็นต้องเสริมแคลเซียมเป็นพิเศษ เพราะร่างกายสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูกไปในระหว่างที่ต้องนอนนานๆ

16.โพรโพลิส(Propolis)เป็นผลพลอยได้จากการผลิตน้ำผึ้ง นมผึ้งคือน้ำนมจากผึ้ง เป็นสารคัดหลั่งสีขาวที่เปี่ยมไปด้วยโภชนาการจากผึ้งงาน ตัวอ่อนผึ้งทุกตัวจะกินอาหารมหัศจรรย์สุดเข้มข้นชนิดนี้ในช่วง 3 วันแรกของชีวิต แต่หลังจากนั้นจะมีเพียงนางพญาผึ้งที่มีโอกาสได้กินต่อ

นมผึ้งเป็นอาหารอย่างเดียวของนางพญาผึ้ง จึงส่งผลให้มีขนาดร่างกายโตกว่าผึ้งเพศเมียตัวอื่นๆถึงร้อยละ 50 มีอายุยืนยาวกว่าผึ้งตัวอื่นถึงสี่สิบเท่าและมีอัตราการเจริญพันธุ์สูงมาก

นมผึ้งมีกรดอะมิโนจำเป็นเช่นเดียวกับวิตามินเอ ซี ดี อี วิตามินบี 9 ตัวรวมถึงบี 12และแร่ธาตุอย่างแคลเซียม ทองแดง เหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ซิลิคอนและซัลเฟอร์ นมผึ้งเป็นโปรตีนที่สมบูรณ์ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและกระตุ้นต่อมหมวกไต ซึ่งเป็นต่อมที่ควบคุมระบบการเผาผลาญอาหาร อารมณ์ ความอยากอาหารและแรงขับทางเพศ 

17.ไม่ควรรับประทานไข่ขาวดิบเพราะอาจขัดขวางการทำงานของไบโอตินในร่างกาย

18.การรับประทานอาหารไขมันสูง จะเพิ่มการดูดซึมของฟอสฟอรัสและลดระดับของแคลเซียม

19.เหงื่อออกมากผิดปกติ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมได้
20.การรับประทานสังกะสี(Zinc) อาจส่งผลให้ร่างกายสูญเสียเหล็ก(Iron)และทองแดง(Copper)ได้

21.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาร์เอ็นเอ-ดีเอ็นเอ(RNA-DNA) ทำให้ระดับกรดยูริกในร่างกายสูงขึ้น ผู้ที่เป็นโรคเกาต์จึงไม่ควรรับประทานโดยเด็ดขาด

22.ไม่ควรรับประทานวิตามินเอร่วมกับยารักษาสิวโรแอคคิวเทน(ไอโซ-เทรทิโนอิน)

23.ยาฆ่าเชื้อจะมีประสิทธิภาพลดลง หากรับประทานร่วมกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร(ควรรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนหรือ 2 ชั่วโมงหลังจากรับประทานยาฆ่าเชื้อ)

24.อาหารที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรมปลอดภัยพอที่จะรับประทานได้หรือไม่

หากหลีกเลี่ยงที่จะรับประทานได้ ก็ควรจะทำ แต่อาจจะเป็นเรื่องยากเพราะสองในสามของอาหารสำเร็จรูปล้วนมีส่วนประกอบที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม(GMO)

มีการศึกษาในปี ค.ศ 1998 พบว่า หนูตั้งท้องที่เลี้ยงด้วยอาหารที่ผ่านการตัดต่อทางพันธุกรรมมีดีเอ็นเอจากอาหาร ผ่านเข้าไปยังเซลล์บุผนังลำไส้ เม็ดเลือดขาวและเซลล์สมองเช่นเดียวกับเซลล์ของตัวอ่อนในครรภ์ สิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ในมนุษย์เช่นกัน ยังไม่มีใครทราบถึงผลกระทบระยะยาว

25.วิตามินเอ(Vitamin A,palmitate)ในปริมาณสูงอาจก่อให้เกิดความพิการแต่กำเนิด โดยเฉพาะหากรับประทานในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ จึงไม่แนะนำให้รับประทานในหญิงตั้งครรภ์

วิตามินเอจะพบมากในน้ำมันตับปลา(cod liver oil)เป็นคนละอย่างกับน้ำมันปลา(Fish oil,Omega-3)



ที่มา Vitamin Bible

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วิตามินคุณภาพสูงกับความชราที่มาไม่ถึง

 
แป้งเพิ่งมีอายุครบ 46 ปี เมื่อเดือน พ.ค 63 ผ่านมาไม่นานนี้เอง ถึงแม้จะมีอายุใกล้วัยทองเข้าไปทุกที แต่กายภาพกลับสวนทางกับอายุอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ทุกคนสังขารร่วงโรยเรียบร้อยแล้ว แถมหลายๆคนมีโรคประจำตัวที่ต้องกินยารักษาอย่างต่อเนื่อง เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ

เพื่อนวัยเดียวกันพากันบ่นจะเริ่มหมดประจำเดือน มดลูกยุติการทำหน้าที่ถาวร เลือดประจำเดือนจะออกน้อยลงเรื่อยๆ แต่แป้งกลับมีประจำเดือนเหมือนสาววัยยี่สิบ อันนี้เป็นผลจากการกินวิตามินบางตัวที่ออกฤทธิ์ส่งเสริมการทำงานของมดลูกค่ะ

จะว่าไป แป้งเริ่มกินวิตามินตั้งแต่อายุราว 26 ปี เป็นวิตามินซีและวิตามินบีรวมยี่ห้อแบลคมอร์ ตามด้วยแปะก๊วยจำยี่ห้อไม่ได้(กินแค่ 2-3 เดือน)มากินต่อเนื่องจริงจังตอนที่ได้ศึกษาวิตามินจากอเมริกาเมื่อตอนอายุ 38 ปี พบว่า วิตามินคุณภาพสูงช่วยชะลอวัยอย่างได้ผลชัดเจน

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว แป้งได้ลองกินวิตามินD 5000iu ครั้งละ 1 เม็ดต่อวัน ทั้งที่ทราบว่า วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน หากร่างกายมีวิตามินดีมากเกินไป จะเก็บสะสมไว้ในตับ แต่อยากได้ประสิทธิภาพเกี่ยวกับการนอนหลับ ซึ่งแป้งมักมีอาการนอนไม่หลับอยู่บ่อยๆ

แม้ว่าจะกินวิตามินกลุ่มช่วยให้หลับได้ลึกคืนละ 5-6 เม็ด ยังไม่เป็นผลอยู่ดี(เพิ่งจะนึกเมื่อไม่นานว่า สาเหตุหลักที่ทำให้แป้งนอนไม่หลับนอกจากคาเฟอีนในน้ำอัดลม ดื่มกาแฟไม่ได้เพราะใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน(เฮ้อ!) เนื่องจากพอกลับจากออฟฟิศ รู้สึกอ่อนเพลีย จึงมักนอนช่วงโพล้เพล้ประมาณวันละ 1 ชม.ส่วนวันหยุดก็นอนกลางวันครั้งละ 1-2 ชม.)

เดือนส.ค 61 แป้งตรวจสุขภาพประจำปี ผลทุกอย่างดีหมด ยกเว้นค่าเอนไซม์ตับประกอบด้วย SGOT,SGPT

SGOT 23 (ค่าปกติ 0-32 U/L)
SGPT 31 (ค่าปกติ 0-33 U/L)
ค่าที่ควรกังวลคือ SGPT เกือบชนเพดาน ซี่งผลเลือดจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับการขับออกของสารพิษต่างๆ เช่น ยา วิตามิน แอลกอฮอล์
มาตริตรองว่า ยาไม่เคยกิน แอลกอฮอล์ไม่เคยแตะ เหลือแต่วิตามิน
แป้งกินวิตามินเยอะมากๆเมื่อเทียบกับคนทั่วไปมาเกือบ 10 ปี
ค่าเอนไซม์ตับอยู่ในเกณฑ์ปกติมาตลอด ทำไมครั้งนี้ SGPT ถึงได้สูง

พุ่งเป้ามาที่วิตามินดีเพราะเป็นวิตามินตัวใหม่ ซึ่งกินต่อเนื่องนานถึง 8 เดือน ถามว่าช่วยเรื่องการนอนหลับได้ดีไหม ขอบอกว่า ช่วยได้เยอะ นอนหลับเร็วและไม่ตื่นกลางดึก(ซึ่งคนอายุเกิน 35 ปี มักจะพบกับปัญหานี้ พอสะดุ้งตื่นแล้วนอนไม่หลับอีกเลย หลับๆตื่นๆ จนรุ่งเช้า)

พอเจอสาเหตุ วิตามินดีก็หมดพอดี จบสิ้นกันไป ไม่กินอีกแล้ว
ยกเว้นหากแป้งเข้าสู่วัยชรา ต้องอาศัยอยู่แต่ในบ้าน วันๆไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหน ไม่เจอแสงตะวัน ค่อยว่ากันอีกทีค่ะ(อันที่จริงก่อนที่จะกินวิตามินดีต้องตรวจระดับวิตามินดีในร่างกายเสียก่อน)

ถามว่า พอค่าเอนไซม์ตับสูง ควรจะกิน Milk Thistle+Dandelion เพื่อเร่งกระบวนการขับสารพิษออกจากตับ แต่แป้งเลือกที่จะไม่กินเพราะ Milk Thistle เป็นสมุนไพรที่มีไฟโตเอสโตรเจนค่อนข้างเยอะ
พอดีมีโอกาสได้กินวิตามินที่ช่วยล้างพิษในตับอีกตัวหนึ่งที่ไม่ใช่สมุนไพร เลยกินมาต่อเนื่องจนครบปี

ถึงเวลาตรวจสุขภาพประจำปีอีกครั้งในเดือนพ.ย62 ผลปรากฎว่า ค่าเอนไซม์ตับลดลงมาอยู่ในระดับดีมาก

SGOT 13 (ค่าปกติ 0-32 U/L)
SGPT 8 (ค่าปกติ 0-33 U/L)

แบบว่าตอนที่เห็นผลเลือด โอ้โห!แทบไม่อยากเชื่อสายตา ค่า SGOT&SGPT ลดฮวบฮาบกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติเหมือนตอนก่อนกินวิตามินดีอีกครั้ง

มีน้องๆถามบ่อยๆว่า ทำไมพี่แป้งไม่ค่อยรีวิววิตามินเหมือนเมื่อก่อน
ตอบตรงๆคือ ยังขยาดกับวิตามินดีไม่หาย เลยไม่อยากเป็นหนูทดลองวิตามินเท่าไหร่นัก อีกอย่างแป้งค้นพบวิตามินครบแทบทุกระบบที่ตัวเองมีปัญหาสุขภาพและผิวพรรณหมดแล้ว

จริงๆแล้วการกินวิตามินคุณภาพสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่ต้องหยุดพัก นอกจากจะช่วยย้อนเวลาให้แทบทุกอวัยวะไม่เสื่อมไปตามวัยแล้ว ยังเพิ่มพลังงานและพลังชีวิตเหนือคนอื่นที่ปล่อยให้ร่างกายหมุนไปตามกาลเวลาอีกด้วยนะคะ

คนอื่นอาจจะกินวิตามินแค่เพื่อชะลอวัย บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
แต่แป้งยังใช้วิตามินรักษาโรคที่ไม่ซับซ้อน เช่น ภูมิแพ้ กรดไหลย้อน กระเพาะอาหารอักเสบ ปวดเมื่อยตามตัว นอนไม่หลับ อ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง ความทรงจำแย่ วุ้นในตาเสื่อม ผมร่วง เกาต์ฯลฯ ซึ่งเห็นผลชะงัดโดยไม่ต้องใช้ยาแม้แต่เม็ดเดียว โดยมีพื้นฐานจากการร่ำเรียนพยาบาลและมีประสบการณ์ทำงานเป็นพยาบาลวิชาชีพมาก่อน ดังนั้นการใช้วิตามินแทนยารักษาโรค จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับแป้งค่ะ

ยังคิดอยู่เลยว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีวิตามิน แป้งจะอยู่อย่างไรในเมื่อออกกำลังกายก็ไม่ค่อยทำ พาหะธาลัสซีเมียและโรคโลหิตจางทำให้ร่างกายแป้งเพลียเหมือนคนหมดแรง เมื่อก่อนแค่ยืนล้างจานครึ่งชั่วโมงก็โอดโอยปวดเอวปวดหลัง
(สามีต้องมาล้างแทนเพราะสงสารแป้ง)

ปัจจุบันยืนล้างจานเป็นชั่วโมง(ถ้วยรามชามไห+อุปกรณ์
ทำเบเกอรี่)ยังไม่เหนื่อยเลย ชีวิตดี๊ดี แถมกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนสักนิดเนื่องจากกินวิตามินบางตัวที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันค่ะ

แป้งลงผลการตรวจเลือดให้ดูเป็นประจักษ์พยานว่า วิตามินคุณภาพสูงที่กินเป็นกอบเป็นกำต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปี ไม่ได้มีผลทำให้ค่าเอนไซม์ตับ ไตสูงขึ้นแต่อย่างใด นอกจากสุขภาพดีแล้ว หน้าตาผิวพรรณยังไม่เหี่ยวแห้งตามวัยอีกด้วย

เมื่อช่วงโควิดระบาดเดือนตั้งแต่เดือนมี.ค-ก.ค 63 รวม 5 เดือนที่แป้งงดกินวิตามินเกี่ยวกับผิวตัวหนึ่ง ตอนแรกคิดว่า คงไม่มีผลต่อผิวมากนัก

แต่สังเกตว่า เวลานอนกลางวัน พอตื่นขึ้นมา บางครั้งหน้ายับเป็นแถบด้านที่เรานอนตะแคง กว่ารอยจะจางใช้เวลา 2-3 ชม.หรือหลายๆคืน ตื่นเช้ามาจะเกิดร่องข้างแก้มด้านซ้ายชัดมาก(ยังทำใจอยู่เลยว่า สงสัยเราจะแก่ขึ้นจริงๆ)

เมื่อไม่กี่วันนี่เอง ตื่นเช้ามาส่องกระจก อ้าว!ไม่เห็นมีร่องแก้มยับเหมือนหลายเดือนที่ผ่านมา อ๋อ!เป็นเพราะได้เริ่มกินวิตามินผิวตัวเดิมที่งดกินไปนี่เอง นอกจากพลังงานที่เพิ่มขึ้น งานผิวก็มาด้วยเช่นกัน

 

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เคล็ดลับรักษารอยด่างดำที่เกิดจากสิวบนใบหน้า

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิวแต่ละอย่าง เช่น สิวอักเสบเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนใต้ผิวหนัง โดยมีสิ่งกระตุ้นหลายทาง เช่น ความแปรปรวนของฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนและแอนโดรเจน ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของสารที่มีโมเลกุลใหญ่(mineral oil,petrolatum,paraffin,lanolin)ความเครียด การอดนอน อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ฯลฯ

เมื่อผิวมีการอักเสบไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดๆก็ตาม พอสิวยุบลงมักจะเกิดรอยดำ-รอยแดงขึ้น(รอยแดงเกิดจากเส้นเลือดฝอยขยายตัวตอนที่ผิวอักเสบ)ขั้นตอนการคงอยู่ของร่องรอยอารยธรรมมักจะเกิดขึ้นแรมเดือนไปจนถึงแรมปี การซ่อมตัวเองของเซลล์ผิวจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆในคนที่มีผิวแห้งถึงแห้งมาก(บางครั้งรอยดำจะกลายกระ) แต่จะเกิดอย่างรวดเร็วในคนที่มีผิวมันเนื่องจากผิวมีความชุ่มชื้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

หากเรายังอายุไม่มาก รอยดำมักจะจางลงไปเองในเวลาไม่นาน
แต่บางคนอาจจะอยากให้สีผิวสม่ำเสมอโดยเร็วเพราะรอยดำจากสิว ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในผิวหน้า

มีหลายวิธีที่ค่อนข้างได้ผลดีดังนี้

1.Azeleic Acid 2%(กรดอะเซเลอิก)ชื่อทางการค้าคือ Skinoren เป็นยาทาฝ้าและลดรอยดำซึ่งออกฤทธิ์ต่อเม็ดสีที่ทำงานมาก จึงไม่ทำให้ผิวหนังที่มีเม็ดสีที่ทำงานปกติมีสีจางลง 

ผลแทรกซ้อนคือ ทำให้ผิวระคายเคือง ผิวเห่อแดง คัน ปวดแสบปวดร้อน และลอกเป็นขุย ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ตามทุกครั้งเพื่อป้องกันผิวระคายเคืองหรือลอกเป็นขุย

2.Retinoid(กรดวิตามินเอ) ชื่อทางการค้า คือ Retin-a ออกฤทธิ์โดยเปลี่ยนแปลงการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์ผิวหนัง เร่งให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนที่มีเม็ดสีเมลานินหลุดลอกออก

ในต่างประเทศมีการจ่ายยาผสมสูตรยาทาฝ้าที่มีส่วนผสมของทั้งกรดวิตามินเอ สเตียรอยด์ และไฮโดรควิโนน พบว่าได้ผลเร็วขึ้น

การทายาตัวนี้อาจเริ่มที่ความเข้มข้นต่ำก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นของยา ควรทาวันละครั้งก่อนนอน การใช้ในสตรีมีครรภ์ยังไม่ยืนยันความปลอดภัย การใช้ยาอาจทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น

เรตินเอในระดับความเข้มข้นสูงอาจมีผลข้างเคียงคือ หน้าแห้ง ระคายเคือง ผิวลอก ทำให้ผิวบางลงและไวต่อแสงแดด ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ตามทุกครั้งเพื่อป้องกันผิวระคายเคืองหรือลอกเป็นขุย

3.BHA(Beta hydroxy acid)เป็นตัวยาที่สังเคราะห์ในกลุ่มที่ช่วยละลายเคราติน (โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของผิวชั้นนอก ผม และเล็บ) ใช้รักษาโรคผิวหนังที่มีผื่นหนา เป็นขุย ใช้ใน Chemical peeling เพื่อลดเลือนริ้วรอยและรักษาสิว

สารในตระกูลบีเอชเอตัวหนึ่งที่เรารู้จักกันส่วนใหญ่คือ กรดซาลิกไซลิก(Salicylic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติละลายในไขมันได้ดี ผ่านลงไปในชั้นผิวหนังได้มาก

BHA ออกฤทธิ์โดยไปทำให้เคราตินที่แข็งนุ่มลง ทำให้ผิวที่แห้งเป็นขุยหลุดออกง่ายและลดการอักเสบของสิว

BHA ช่วยให้การหลุดลอกของเซลล์เยื่อบุในรูขุมขนช้าลง ป้องกันการอุดตัน และช่วยสลายสิวอุดตันทั้งชนิดปลายเปิดและปลายปิด(สิวเสี้ยนชนิดหัวดำและหัวขาว) รวมทั้งลดการอักเสบของสิวอักเสบ

บีเอชเอจะมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าผลัดตัวเร็วขึ้นดีกว่าเอเอชเอ ซึ่งมีคุณสมบัติละลายในน้ำได้ดี ซึมผ่านลงไปในชั้นผิวหนังได้น้อย

ว่านหางจระเข้(Aloe Vera)มีสารประกอบ BHA ตามธรรมชาติ คนที่เป็นสิวหรือมีรอยดำ จะเห็นผลค่อนข้างชัดเจนหากใช้ว่านหางจระเข้อย่างเนื่องสม่ำเสมอ

ผลข้างเคียงส่วนใหญ่มีอาการคันยิบๆบริเวณที่ทา ควรใช้ในความเข้มข้นที่ค่อนข้างต่ำ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่เหมาะกับคนที่มีผิวแห้งเป็นทุนเดิม

ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ BHA ร่วมกับยาทาสิวพวก Benzyl Peroxide, Retinoid ,โฟมที่มีเม็ดบีทส์

4.อาร์บูติน(Arbutin)มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hydroquinone-beta-D-glucoside ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นเซลล์ผิวให้ยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวหมองคล้ำหรือเกิดจุดด่างดำ อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการยับยั้งเอ็นไซม์ Tyrosine และ DOPA ในกระบวนการออกซิเดชัน(Oxidation)หรือการสร้างอนุมูลอิสระซึ่งจะส่งผลเสียหลายประการต่อผิวพรรณ

ดังนั้นการใช้อาร์บูตินจึงช่วยให้รอยด่างดำจางหายลงไป ผิวเรียบเนียนแลดูกระจ่างใสขึ้น

อาร์บูตินยังเป็นสารที่ได้มาจากธรรมชาติ 100% โดยส่วนใหญ่จะสกัดมาจากส่วนต่างๆของพืชหลายชนิด ส่วนมากมักเป็นพืชที่พบในเมืองหนาว เช่น ยุโรป อเมริกาเหนือ และแคนาดา โดยเฉพาะประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เชื่อว่าเป็นแหล่งของอาร์บูตินที่ดีที่สุดในโลก ผลไม้ที่มีอาร์บูติน เช่น แบเบอร์รี่ (Bearberry), บลูเบอร์รี่, แครนเบอร์รี่, มัลเบอร์รี่, ลูกแพร์ เป็นต้น

เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว(ยกเว้นผู้ที่มีผิวแห้ง) โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ

5.การใช้เลเซอร์ (Laser)เป็นวิธีที่ลดรอยดำได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาทายาลดรอยดำนานแรมเดือน

5.1 Q-Switch Laser เป็นเลเซอร์ในกลุ่มที่ใช้รักษา ฝ้า กระ ปาน ลบรอยแผลเป็นและรอยสัก ซึ่งให้ผลประสิทธิภาพดีกว่า IPL

หลักการคือ เป็นการปล่อยพลังงานแสงออกมาเพื่อทำให้เซลล์เม็ดสีแตกตัว หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะดูดซึมหรือย่อยสลายเม็ดสีที่ผิดปกติ และจะถูกกำจัดโดยการขับเป็นของเสียออกจากร่างกายโดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ ปกติต้องทำเลเซอร์ประมาณ4- 5 ครั้ง

ขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวนิดนึง ช่วงอายุประมาณ 42 ปี ได้ไปลองทำเลเซอร์ Q-Switch 1 ครั้งเพื่อรักษารอยดำจากสิว ราคา~2500 บาทต่อครั้ง ทำแค่ครั้งเดียว

แป้งมีสิวอุดตันขึ้นบริเวณแก้ม 1 จุด พอสิวยุบลงเหลือรอยดำขนาดเม็ดถั่วเกิดขึ้น พอดีพาเพื่อนไปฉีดสิวที่คลินิก เห็นมีโปรโมชั่นเลเซอร์ Q-Switch เลยลองทำดู ปรากฎว่า รอยดำจางหายไปภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งค่อนข้างแปลกใจเพราะเครื่องเลเซอร์ที่ใช้ในคลีนิกนำเข้ามาจากเกาหลี ไม่ได้ผลิตในยุโรปหรืออเมริกา

สอบถามคุณหมอได้ความว่า หากรอยดำเกิดขึ้นมาไม่นาน(ไม่เกิน 1 เดือน)ประสิทธิภาพของเครื่องเลเซอร์ที่ผลิตในเกาหลีจะทำให้รอยดำจางเลือนหายไปราวกับว่า บริเวณผิวตรงนั้นไม่เคยเกิดการอักเสบจากสิวมาก่อน แต่หากเป็นรอยดำที่เกิดขึ้นมานานหลายเดือน จะแทบไม่เกิดผลอะไรเลย
ซึ่งรอยดำจะจางลงนิดเดียวถึงแม้จะทำ 5 ครั้งก็ตาม ยกเว้นเครื่องเลเซอร์ที่ผลิตในยุโรป จะเห็นผลชัดเจน(ขึ้นอยู่กับการประเมินผิวพรรณและการตั้งค่าพลังงานของเครื่อง หมอที่ไม่ได้จบเฉพาะทางด้านผิวหนัง มักจะตั้งค่าพลังงานค่อนข้างต่ำ พอยิงเลเซอร์แล้วเม็ดสีไม่กระจาย แต่ถ้าตั้งค่าพลังงานสูงไป หน้าคนไข้จะเป็นรอยดำ เรียกว่า Post Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH(เกิดขึ้นหลังจากที่ผิวเกิดการอักเสบหรือได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจะกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสี ผลิตเม็ดสีที่เพิ่มขึ้น)

น.พ.จิโรจ สินธวานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เคยให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันแพทย์ที่ทำงานยังไม่ครบ 1 ปี มักจะถูกซื้อตัวจากคลินิกความงาม โดยที่แพทย์คนนั้นไม่มีความรู้เรื่องผิวหนัง เพียงแต่ทำยอดให้ได้ตามสั่ง ซ้ำยังไม่มีความรู้จริงในการแก้ไขโรค เช่น เมื่อพบความผิดปกติบนใบหน้าก็วินิจฉัยว่าเป็นสิวหรือฝ้าไปหมด

5.2 Dual Yellow เป็นเครื่องเลเซอร์ของบริษัท Norseld จากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่สามารถผลิตเลเซอร์ชนิดนี้

Dual Yellow Laser มีแหล่งกำเนิดพลังงานเลเซอร์ คือ สาร Copper และ Bromide ทำให้แสงเลเซอร์ที่เครื่องผลิตออกมามี

2 ชนิดด้วยกัน คือ แสงสีเหลือง ความยาวคลื่น 578 นาโนเมตร และแสงสีเขียว ความยาวคลื่น 511 นาโนเมตร

เมื่อมองในแง่ของ Chromophore absorption พบว่า แสงสีเหลืองสามารถถูกดูดซับได้ดีใน Oxyheamoglobin จึงเหมาะสำหรับการรักษารอยโรคต่างๆที่มีสีแดง ได้แก่ เส้นเลือดผิดปกติ ปานแดง รอยแผลเป็นสีแดง เป็นต้น

ส่วนแสงสีเขียวจะถูกดูดซับได้ดีใน Melanin จึงใช้สำหรับรักษารอยโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสี ได้แก่ รอยแผลเป็นสีดำ กระ หรือรอยดำที่เกิดขึ้นภายหลังการอักเสบของผิวหนัง (Post Inflammatory Hyper-pigmentation) เป็นต้น

นอกจากนี้เครื่อง Dual Yellow Laser new version ยังมี Y10G mode ที่เกิดจากการผสมแสงเลเซอร์ทั้ง 2 ความยาวคลื่นออกมาในสัดส่วน แสงสีเหลือง 100% ร่วมกับแสงสีเขียวอีก 10% เพื่อใช้สำหรับรักษาฝ้าและ Rejuvenation ให้ใบหน้าขาวใสยิ่งขึ้น

Dual Yellow Laser เหมาะกับการรักษารอยแดงและเส้นเลือด เช่น รอยสิว ไฝแดง ปานแดง เส้นเลือดฝอย กระ ฝ้า ปานดำ รอยแผลเป็นสีดำต่างๆ

คลีนิกหลายๆแห่งที่มีค่าคอร์สราคาถูก ส่วนใหญ่มักจะให้พยาบาลหรือผู้ช่วยพยาบาลที่ได้รับการฝึกมา เป็นคนยิงเลเซอร์ให้ลูกค้า ซึ่งเป็นค่าพลังงานกลางๆที่แพทย์เป็นคนตั้งค่าไว้

แต่ในความเป็นจริง ปัญหาผิวและสุขภาพผิวของคนไข้มีหลากหลายแบบ บางคนทายารักษาสิวจนหน้าแห้งหน้าบางขาดความชุ่มชื้นเหลือเพียงรอยดำทิ้งไว้ พอทำเลเซอร์ที่ตั้งค่าพลังงานไม่เหมาะสมกับปัญหาผิว จึงไม่เห็นผล แถมได้รอยดำเพิ่มขึ้นมาอีกต่างหาก


มีน้องชายเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่ง อยากให้ตัวเองหน้าใสตลอดทั้งปี ตัดสินใจทำเลเซอร์Q-Switch เดือนละ 2 ครั้ง ผลที่ได้คือ หน้าใสโดดเด้ง แต่พอทำไปเรื่อยๆจนครบปีเศษ ผิวบริเวณแก้มสองข้างเกิดด่างขาวถาวรเนื่องจากเม็ดสีในผิวหนังหรือเมลานินมีปริมาณลดลง ซึ่งเป็นผลจากการที่เซลล์เม็ดสีในผิวหนังถูกทำลายไปมาก หรือบางครั้งเซลล์เม็ดสีไม่ได้ถูกทำลายไปหมด แต่มีจำนวนลดลงหรือทำงานผิดปกติไป ทำให้ไม่สามารถสร้างเม็ดสีได้ในปริมาณที่เหมาะสม

ก่อนตัดสินใจจะไปทำเลเซอร์อะไรก็ตาม ควรพิจารณาศึกษาข้อมูลให้รอบคอบอย่างถี่ถ้วนเพราะเราจ่ายเงินเพื่อซื้อความสวยเพียงอย่างเดียว ไม่มีใครอยากได้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวหลังทำแถมมาด้วย กรณีเช่นนี้ไม่ค่อยมีคลีนิกที่ไหนรับผิดชอบหรอกคะ


ที่มา
ww w . bangkokpattayahospital. c om › ...ผลการค้นเว็บDual Yellow - Bangkok Hospital Pattaya
ตาย... จากยาฝ้า? - บทความสุขภาพ โดยมูลนิธิหมอชาวบ้าน
ww w .doctor. or. th › detailAHA และ BHA ขาวเนียนสดใส จริงหรือ? - บทความสุขภาพ โดยมูลนิธิหมอชาวบ้าน
ww w . tcijthai. c om › scoopธุรกิจ'คลินิกความงาม'แม่เหล็กดูดหมอ ช่องโหว่ทำแพทย์สาขาจำเป็นขาดแคลน - ศูนย์ข้อมูล&ข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ)

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563

วิตามินเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่ง ห่างไกลโควิด-19

เชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่(Coronavirus,Covit-19)ทำเอาคนทั้งโลกเจ็บป่วยและเสียชีวิตลงจำนวนมาก รวมถึงสร้างความหวาดผวาจนประสาทหลอนไปตามๆกัน

จากสถานการณ์โรคปอดอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ ไวรัสโควิด -19 ซึ่งขณะนี้ มีผู้ป่วยสะสมทั่วโลกอยู่ที่ 796,397 ราย มีผู้เสียชีวิต 38,576 ในจำนวนนี้มีผู้รักษาหายแล้ว 169,218 ราย (ข้อมูล  วันที่ 31 มีนาคม 2563 เวลา 17.00 .)   

โดยสหรัฐอเมริกายังคงครองอันดับหนึ่งของโลกที่มียอดผู้ป่วยสะสมที่ 164,359 ราย รองลงมาคืออิตาลีที่มียอดผู้ป่วยสะสมที่ 101,739 ราย อันดับสามเป็นสเปนอยู่ที่ 94,417 ราย อันดับสี่เป็นจีนที่ 81,518 ราย และอันดับที่ห้าเป็นเยอรมันที่ 67,051 ราย (ข้อมูล  วันที่ 31 มีนาคม 2563 เวลา 17.00 .)

 นายแพทย์เรวัต วิศรุตเวช อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า PM 2.5 มีขนาดเล็กมาก เล็กกว่า 2.5 ไมครอน ถ้าเทียบกับขนาดของเส้นผมคนจะเล็กกว่าประมาณ 25 เท่า  โคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ก็มีขนาดเล็กมากเช่นกัน เพราะฉะนั้นการสวมใส่หน้ากากอนามัยแบบธรรมดา จะไม่สามารถป้องกันได้  ดังนั้นคำแนะนำจึงควรใช้หน้ากากอนามัย N95 จะช่วยป้องกันได้ทั้งฝุ่นและไวรัส 

  สำหรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าเริ่มมีมาตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2562 ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน โดยทางการจีนได้ทำการสืบสวนหาแหล่งแพร่เชื้อ พบว่าผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกเป็นคนงานและลูกค้าของตลาดขายส่งอาหารทะเลฮั่วนาน ซึ่งขายสัตว์มีชีวิตที่ใช้ทำอาหาร เช่น เป็ด ลา อูฐ สุนัขจิ้งจอก งู ค้างคาว แบดเจอร์ หนูอ้น กระทั่งเชื้อมีการกลายพันธุ์มากขึ้น จนสามารถติดต่อจากคนสู่คน

 ความจริงแล้วไวรัสโคโรน่าไม่ใช่ชื่อใหม่สำหรับสาเหตุการระบาดของโรคทางเดินหายใจ แต่ก่อนหน้านี้เคยมีมาแล้วถึง 2 ครั้ง เพียงแค่เป็นโคโรน่าคนละสายพันธุ์

 โรคร้ายแรงที่เคยเกิดจากไวรัสโคโรน่า ได้แก่
1.โรคซาร์ส(SARS) ระบาดจากจีนในช่วงปี .. 2002 มีผู้ติดเชื้อกว่า 8,000 คน มีอัตราเสียชีวิต 10%
2.โรคเมอร์ส(MERS) ระบาดจากซาอุดิอาราเบียในปีค.. 2012 มีผู้ติดเชื้อรวม 1,733 คน และมีอัตราเสียชีวิตสูงถึง 36%   

ในอเมริกามีบทความเกี่ยวกับอาหารเสริมที่ขายหมดเร็วที่สุดคืออาหารเสริมที่มีมานานในการวิจัยเกี่ยวกับบรรเทาอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่ รวมถึงสังกะสี วิตามินดีและสารสกัด elderberry 

ยอดขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในอเมริกาพุ่งขึ้นทั่วประเทศอย่างไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากผู้บริโภคตื่นตระหนกกระหน่ำซื้อวิตามิน สมุนไพร สารสกัดต่างๆที่ช่วยแก้โรคหวัดและไข้หวัดใหญ่  

ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่แสดงให้เห็นว่า สามารถลดโอกาสในการติดเชื้อ coronavirus หรือทำให้อัตราการเจ็บป่วยลดลง และการใช้วิตามินปริมาณมากอาจทำให้เกิดอันตรายได้  

แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ยอดขายที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ว่าคนจำนวนมากหมดหวังที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและเพิ่มความวิตกกังวลแก่ร่างกาย

 Joan Driggs นักวิเคราะห์จาก IRI ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดที่ติดตามยอดขายใน Walmart, Walgreens, Safeway, CVS ,ร้านขายยาและร้านค้าปลีก กล่าวว่าตัวเลขที่เราได้เห็นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ ผู้คนพยายามปกป้องตนเองและพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาต้องใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ”  

ในขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มขึ้น 6% ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว   ยอดขายวิตามินซีซึ่งเป็นวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันอ้างว่าพุ่งขึ้น 146%

 ขณะที่ยอดขายสังกะสีซึ่งเป็นวิตามินยอดนิยมสำหรับโรคหวัดและโรคทางเดินหายใจพุ่งขึ้น 255%   

ยอดขายของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร elderberry ซึ่งวางตลาดเพื่อส่งเสริมภูมิคุ้มกันนั้นเพิ่มขึ้น 415%  

 Echinacea สมุนไพรที่ใช้รักษาอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่พุ่งขึ้น 122%  

การได้รับวิตามินดีในปริมาณที่พอเหมาะนั้น ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นหวัดและไข้หวัดใหญ่ แต่ผลที่เกิดขึ้นมักพบในคนที่มีระดับต่ำหรือบกพร่อง และการทดลองขนาดเล็กที่ได้รับทุนจากอุตสาหกรรมอาหารเสริมจำนวนหนึ่งพบว่า สารสกัด elderberry สามารถลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่ลงได้  

แต่หลักฐานส่วนใหญ่ของอาหารเสริมเหล่านี้ไม่แข็งแรงพอและเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์ว่า จะช่วยป้องกันหรือรักษา coronavirus เพราะวิตามินมีประสิทธิภาพต่อโรคหวัดและไข้หวัดใหญ่(โคโรน่าไวรัสเป็นโรคระบบทางเดินหายใจที่โจมตีปอด มีผลกระทบรุนแรงต่อทางเดินหายใจส่วนล่างและระยะฟักตัวนานกว่าเมื่อเทียบกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ )

 วิตามินที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานเพื่อช่วยให้ร่างกายต่อสู้เชื้อไวรัส 
1.วิตามินดี
เป็นสารอาหารที่ละลายในไขมันที่จำเป็นต่อสุขภาพและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน  

วิตามินดีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อโรคจาก monocytes และ macrophages( เซลล์เม็ดเลือดขาวที่เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันระบบภูมิคุ้มกัน)และลดการอักเสบซึ่งช่วยส่งเสริมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน  

งานวิจัยพบว่า คนที่มีระดับวิตามินดีในเลือดปกติ มีโอกาสติดไวรัสน้อยกว่า บางการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การเสริมด้วยวิตามินดีอาจช่วยเพิ่มการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน

 2.สังกะสี
สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่ถูกเติมเข้าไปในอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพอื่น  เพื่อเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจากสังกะสีมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน  

สังกะสีจำเป็นสำหรับการพัฒนาเซลล์ภูมิคุ้มกันและมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองการอักเสบ  

การขาดแร่ธาตุนี้ส่งผลต่อความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการทำงานอย่างเหมาะสม มีผลทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคภัยรวมถึงโรคปอดอักเสบ  

การศึกษาจำนวนมากพบว่า อาหารเสริมสังกะสีอาจป้องกันการติดเชื้อทางระบบเดินหายใจ เช่นโรคหวัด ยิ่งไปกว่านั้นการเสริมด้วยสังกะสีอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ป่วยอยู่แล้ว

การทดลองแบบสุ่มพบว่าการรับประทานในปริมาณที่สูงอาจช่วยลดความเสี่ยงในการติดโรคหวัดและลดระยะเวลาความเจ็บป่วยลง 20%

3. วิตามินซี 
วิตามินซีอาจเป็นอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ เนื่องจากมีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน

วิตามินซีสนับสนุนการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันต่าง  และเพิ่มความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อ 

นอกจากนี้ยังจำเป็นสำหรับการตายของเซลล์ ซึ่งช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงโดยการชะล้างเซลล์เก่าและแทนที่ด้วยเซลล์ใหม่

วิตามินซียังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพป้องกันความเสียหายที่เกิดจากความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งเกิดขึ้นจากการสะสมของโมเลกุลปฏิกิริยาที่เรียกว่าอนุมูลอิสระ

ความเครียดออกซิเดชันสามารถส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกันและเชื่อมโยงกับโรคต่าง 

การเสริมวิตามินซีช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนรวมถึงโรคหวัด 

จากการศึกษาจำนวน 29 งานใน 11,306 คนแสดงให้เห็นว่า การเสริมวิตามินซีเป็นประจำด้วยขนาดเฉลี่ย 1-2 กรัมต่อวัน ลดระยะเวลาการเป็นหวัด 8% ในผู้ใหญ่และ 14% ในเด็ก

ที่น่าสนใจคือการทบทวนกรณีศึกษา ยังแสดงให้เห็นว่าการรับประทานวิตามินซีเป็นประจำนั้น ช่วยลดอาการหวัดที่พบบ่อยในผู้ที่มีความเครียดทางร่างกายสูง รวมถึงนักวิ่งมาราธอนและทหาร
มากถึง 50%

4.Elderberry 
Black elderberry (Sambucus) ซึ่งมีการใช้กันมานานในการรักษาการติดเชื้อและกำลังได้รับการวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน

ในการศึกษา(หลอดทดลอง)สารสกัดElderberry
แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสที่มีผลโดยตรงต่อเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบนและเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการแสดงเพื่อเพิ่มการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน อาจช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคหวัดรวมถึงลดอาการที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัส

การรับประทานอาหารเสริม Elderberry อาจช่วยลดอาการระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม


5. เห็ดสมุนไพร 
มีการใช้เห็ดสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณเพื่อป้องกัน,รักษาโรคและการติดเชื้อ มีการศึกษาเห็ดสมุนไพรหลายชนิดสำหรับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

เป็นที่ทราบกันดีว่า เห็ดสมุนไพรกว่า 270 สายพันธุ์มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น Cordyceps(ถั่งเช่า),Lion’s mane(เห็ดแผงคอของสิงโต), Maitake(เห็ดไมตาเกะ) shitake(เห็ดหอม)reishi(เห็ดหลินจือ)และTurkey tail(เห็ดหางไก่งวง)ซึ่งเป็นเห็ดสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน

งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า การเสริมด้วยเห็ดสมุนไพรบางชนิดอาจช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันในหลาย  ด้านและลดอาการของโรค รวมถึงโรคหอบหืดและปอด

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าอาหารเสริมเหล่านี้อาจให้ประโยชน์เล็ก  น้อย  ต่อระบบภูมิคุ้มกัน แต่ไม่สามารถใช้แทนชีวิตที่มีสุขภาพดีได้

การควบคุมอาหารให้สมดุล นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและไม่สูบบุหรี่ เป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อและโรคภัยไข้เจ็บ

ขนาดยังไม่มีงานวิจัยศึกษาที่น่าเชื่อถือจำนวนมากพอที่จะได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญ ซี่งกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยสนับสนุนการใช้อาหารเสริมเพื่อป้องกัน COVID-19 โดยเฉพาะ

แต่อาหารเสริมที่มีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบขายจนหมดเกลี้ยงชั้นวางสินค้าภายในไม่กี่วันหลังจากผู้นำสหรัฐอเมริกาประกาศภาวะฉุกเฉินระดับชาติสู้โควิด-19 ในวันที่ 13 มี. 63 ค่ะ











ที่มา :

https://www.nytimes.com › well › live Supplements for Coronavirus Probably Won't Help, and May Harm - The New York Times
https://www.healthline.com › nutritionCan Supplements Fight Coronavirus (COVID-19)? 15 Immune Boosters - Healthline
https://www.drweil.com › novel-cor...Novel Coronavirus: A Virus Threat? | Disease & Disorders | Andrew Weil, M.D. - Dr. Weil
https://www.nutraingredients.com › ...Hospital turns to high-dose vitamin C to fight coronavirus - NutraIngredients.com
เฟซบุ๊ก นพ.เรวัติ วิศรุตเวช



เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม