บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อาหารกับการล้างพิษ

ในสภาวะปัจจุบัน ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เกิดมลพิษมากมายจากโลกอุตสาหกรรมที่เจริญเติบโตอย่างขีดสุด แม้กระทั่งลมหายใจเข้าออกยังถือว่า เป็นอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากการสันดาปภายในเซลล์ นับประสาอะไรกับกระแสการบริโภคที่เปลี่ยนไป อาหารทุกประเภทที่เรารับประทานลงไปแต่ละมื้อ จะส่งต่อสุขภาพเราโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นเกิดการอักเสบอย่างช้าๆ หลายคนอาจมองข้ามอวัยวะต่างๆภายในร่างกายที่เรามองไม่เห็น แท้จริงแล้ว อาหารมีส่วนอย่างมากที่บ่งบอกว่า ความแข็งแรงกับความอ่อนแอ ( เจ็บป่วย ) อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม

การดีท๊อกซ์หรือการล้างพิษจะช่วยลดโอกาสเกิดความเจ็บป่วยหรืออาการผิดปกติบางอย่างในร่างกายให้ดีขึ้น เนื่องจากการดีท๊อกซ์มีประโยชน์กับระบบอวัยวะภายในเกือบทุกส่วน เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบทางเดินหายใจ ระบบการย่อยอาหาร ระบบกล้ามเนื้อ ฯลฯ การดีท๊อกซ์ส่งผลให้ร่างกายกลับไปสู่สภาวะสมดุลและสามารถกำจัดของเสียหรือสารพิษภายในร่างกายได้อย่างดีขึ้น

การล้างพิษมีหลากหลายวิธี สารพัดรูปแบบ แต่แป้งจะโฟกัสเฉพาะการล้างพิษด้วยวิตามิน เพราะมีคำถามจากผู้อ่านว่า การที่ร่างกายจะดูดซึมวิตามินได้ดีขึ้น ควรมีการล้างพิษก่อนกินวิตามินหรือไม่

ร่างกายมนุษย์ในภาวะปกติ ไม่มีโรคประจำตัวที่ต้องรับประทานยาต่อเนื่องนานๆ เปรียบได้กับโรงงานที่มีเครื่องจักรฟันเฟืองทำงานสมบูรณ์แบบ ไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อเริ่มมีอาหารผ่านเข้าสู่กระเพาะอาหาร น้ำย่อยจะถูกปล่อยออกมาย่อยอาหารก่อนการดูดซึม ส่วนกากอาหารจะถูกลำเลียงยังลำไส้ใหญ่เพื่อรอวันขับออก รวมกับของเสียอื่นๆจากร่างกาย ผ่านตับและไตไปยังลำไส้ ซึ่งมีเชื้อจุลินทรีย์เจ้าถิ่นที่อาศัยอยู่ เพื่อคอยปราบเชื้อจุลินทรีย์ที่แปลกปลอมจากภายนอกจู่โจมเข้าไป

ส่วนตับจะคอยจับสารพิษที่หลุดรอดเข้ามา โดยไปรวมกับเอนไซม์จากตับ จากนั้นจะถูกกรองทิ้งที่ไต กระบวนการเช่นนี้หมุนเวียนทุกเมื่อเชื่อวัน จนกว่าเราจะสิ้นอายุขัย ถือได้ว่า สามารถกำจัดและล้างพิษจากร่างกายได้อย่างเป็นระบบ

หากเราเลือกรับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติ อุดมไปด้วยพืชผักและผลไม้สด ธัญพืชไม่ขัดสี พืชสมุนไพร เห็ดต่างๆ รวมถึงอาหารไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งโดยไม่รู้ว่าหน้าตาเก่าเป็นอย่างไร เช่น ไส้กรอก กุนเชียง หมูยอ แหนม ฯลฯ โดยเฉพาะผัก เห็ด ผลไม้สดมีกากใยอาหารสูง เปรียบได้กับไม้กวาดปัดเป่าทำความสะอาดลำไส้โดยตรง ถือได้ว่า เป็นการล้างพิษอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานวิตามินเพื่อล้างพิษแต่อย่างใด

ตัวแป้งเอง ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพตั้งแต่อายุ 30 ปี พอเริ่มกินวิตามินคุณภาพสูงที่ผลิตในอเมริกา ก็เห็นผลอย่างชัดเจน ผม ผิว เล็บ ความแข็งแรงของร่างกาย โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันสูงขึ้นกว่าในอดีต 300% โดยที่ไม่ได้กินวิตามินล้างพิษเพื่อให้ร่างกายดูดซึมวิตามินได้ดียิ่งขึ้นแม้แต่เม็ดเดียว เรียกได้ว่า ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลก็ว่าได้

ส่วนผู้ที่ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง ชอบอาหารทอดๆ มันๆ ปิ้ง ย่าง อาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันสูง ( อาหารกลุ่มนี้มักทำให้เกิดการอักเสบระดับเซลล์ ) นิยมฝากท้องไว้กับอาหารแช่แข็งอายุยืนตามร้านสะดวกซื้อ ขาดการออกกำลังกาย พักผ่อนไม่เพียงพอ สะสมความเครียดเป็นนิจ การกินวิตามินเพื่อล้างพิษเป็นสิ่งจำเป็น เพราะร่างกายได้สะสมสารพิษเป็นเวลาเนิ่นนาน กระบวนการล้างพิษตามธรรมชาติ ไม่สามารถขจัดของเสียต่างๆหรือเรียกว่า "อนุมูลอิสระ "ออกไปได้หมดอย่างสิ้นเชิง เหล่านี้ส่งผลให้คนเราสู่วัยชรามาพร้อมกับโรคภัยเร็วขึ้น

การสร้างสมดุลให้ร่างกายเบื้องต้น ไม่มีอะไรยากมากมาย เพียงแต่ต้องอาศัยความตั้งใจจริงและเปลี่ยนความคิดเพียงนิดเดียว อาหารเพื่อสุขภาพมักมีรสชาติไม่ค่อยอร่อย อาหารอร่อยกลับอุดมไปด้วยผงปรุงรสที่มีส่วนประกอบหลักคือ ผงชูรส นั่นเอง หากเราไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเสียตั้งแต่วันนี้ วันข้างหน้าโรคภัยจะค่อยๆคืบคลานมาหาจู่โจมเราโดยไม่รู้ตัว

สารพิษต่างๆ เหล่านี้ ปกติร่างกายดำเนินการกำจัดหรือถ่ายเทมันออกตามธรรมชาติอยู่แล้วโดยอวัยวะที่ทำหน้าที่กำจัดของเสียเหล่านี้คือตับ ท่อน้ำดี ไต ผิวหนัง ปอด ในรูปของอุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อไคล และลมหายใจ

แต่เมื่อใดก็ตามที่อวัยวะเหล่านี้ไม่สามารถขับสารพิษออกไปได้เร็วพอๆ กับที่ถูกสร้างขึ้น ก็จะเกิดการสะสมของสารพิษในร่างกายซึ่งหากสะสมไว้จนถึงระดับหนึ่ง ก็จะมีผลให้ร่างกายเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นได้

โดยปกติร่างกายสามารถกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่มันจะทำอันตรายต่อเซลล์ แต่ถ้ามีการสร้างอนุมูลอิสระอย่างรวดเร็วหรือมากเกินกว่าร่างกายจะกำจัดทัน อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว

แม้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระไม่อาจแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว แต่จะชะลอความเสียหายให้ช้าลงได้ โดยเฉพาะโรคเรื้อรังซึ่งเป็นผลจากสะสมที่เกิดจากเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายเสียหายเป็นปีๆ (โดยมากเป็นเวลาหลายสิบปี) เริ่มจากวัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ดังนั้นจึงควรได้รับสารต้านอนุมูลอิสระให้พอเพียงต่อความต้องการในแต่ละวัน เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างสารต้านอนุมูลอิสระ และอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย


การบริโภค ผัก เห็ด ผลไม้ ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีและพืชสมุนไพรต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังได้เป็นอย่างดี

มีหลายคนคิดว่า กินวิตามินเยอะๆจะทำให้ตับไตเสื่อมเร็วขึ้น วิตามินไม่ใช่ยารักษาโรคที่ประกอบด้วยสารเคมีนะคะ ความจริงแล้ว มีงานวิจัยมากมายบ่งชี้ว่า สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับอาหาร เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ( อัลไซเมอร์ ) ฯลฯ อีกทั้งช่วยชะลอกระบวนการที่ทำให้เกิดความชราภาพได้

การป้องกันไว้ล่วงหน้า ก่อนเกิดความเสียหายต่อสุขภาพโดยรวม ดีกว่าปล่อยให้เกิดความเสียหายจนถึงระดับเซลล์ จนไม่อาจแก้ไขได้ หากไม่อยากใช้เงินที่หามาอย่างยากลำบากเพื่อรักษาตัวจากโรคที่เกิดจากความเสื่อมแห่งวัย ควรทำใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ลดละความตึงเครียดลง ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกโดยเฉพาะเพศหญิง (เมื่อใดที่ถึงวัยหมดประจำเดือน การสลายตัวของกระดูกจะเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว ) มองโลกในแง่ดีเพราะร่างกายทุกส่วนมีความสัมพันธ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าทำเช่นนี้ได้ วันข้างหน้า แก่ไปไม่เป็นภาระใครค่ะ


วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

phosphatidylserine ( ฟอสฟาติดิลซีรีน ) กับการสลายความเครียด

บางทีคนเราอาจไม่รู้ตัวว่ามีความเครียดเกิดขึ้น โดยปกติการอดนอน ออกกำลังกายอย่างหนัก อดอาหาร ทำงานหนัก การผ่าตัดใช้ความคิดเยอะ อุณหภูมิที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด ฯลฯ เหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความวิตกกังวลจนกลายความเครียดทั้งสิ้น นานวันเข้าระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ( cortisol ) จะสูงอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งยามหลับ 

phosphatidylserine ( ฟอสฟาติดิลซีรีน ) คือชนิดของไขมันในเยื่อหุ้มเซลล์ สารไขมันนี้มีชื่อเรียกว่า ฟอสโฟไลปิด ( phospholipid )มีหน้าที่ห่อหุ้มและปกป้องเซลล์สมอง จัดเป็นศูนย์กลางของสารสื่อประสาทและการทำงานของสมอง ค้นพบในปี . 1847 โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศสชื่อ Maurice Gobley

Phosphatidylserine  จัดเป็น   Phospholipid   (สารประกอบของไขมันและฟอสฟอรัสสลายตัวกลายเป็นกรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างทางชีววิทยาของเยื้อหุ้มเซลล์ของพืชสัตว์ และสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น 

 Phosphatidylserine  เป็นสารที่สกัดแยกมาจากไขมันในสมองที่เรียก Cephalins  โดยจะประกอบด้วย Phosphatidylserine กับPhosphatidylethanolamine  นอกจากนั้นยังสามารถพบ Phosphatidylserine ได้ใน ไข่แดงถั่วเหลือง หรือสารสกัดโดยกระบวนการทางเคมีที่ชื่อว่า Lecithin Phosphatidylserine

Phosphatidylserine จะถูกเปลี่ยนเป็น Cholineและเปลี่ยนเป็น Acetylcholine ซึ่งถือเป็นสารที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเซลล์ประสาท (สารสื่อประสาทช่วยให้การสื่อสารของระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น จึงส่งผลให้ความจดจำและการเรียนรู้ดียิ่งขึ้น

Phosphatidylserine เป็นกรดไขมันที่ช่วยให้สมองควบคุมปริมาณคอร์ติซอล ( cortisol )ที่ผลิตโดยต่อมหมวกไต มีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่นอนไม่หลับ จากระดับความเครียดสูงเพราะระดับคอร์ติซอลสูงส่วนใหญ่มักเกิดจากความเครียด นอกจากนี้ร่างกายจะมีการหลั่งคอร์ติซอลสูงสุดตอนเช้ามืด เพื่อให้ร่างกายตื่นตัว ก่อนตื่นนอนจนถึงตอนเช้า จนกระทั่งในช่วงกลางวันจะลดลงไปเรื่อยๆ จะต่ำที่สุดในช่วงกลางคืนและก่อนนอน เป็นเช่นนี้ทุกๆวัน 


ในอดีตสกัด phosphatidylserine ( ฟอสฟาติดิลซีรีน ) ได้จากเซลล์สมองวัว แต่เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับโรควัวบ้า ผู้ผลิตส่วนใหญ่จึงสกัดจากถั่วเหลืองหรือกะหล่ำปลีแทน

มีประโยชน์อย่างไร
1.ฟื้นคืนความทรงจำได้อย่างดีเยี่ยม
2.ลดภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ ( dementia )  เป็นกลุ่มอาการซึ่งเกิดมาจากความผิดปกติในการทำงานของสมอง มีการสูญเสียหน้าที่ของสมองหลายด้านพร้อม  กัน แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เกิดขึ้นอย่างถาวร ส่งผลให้มีการเสื่อมของระบบความจำและการใช้ความคิดด้านต่าง  

ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการแก้ไขปัญหาหรือการควบคุมตนเอง มีการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ พฤติกรรม และส่งผลกระทบต่อการทำงาน รวมถึงการดำรงชีวิตประจำวัน

3.เพิ่มระดับความคิดให้เฉียบแหลมคม
4.ลดระดับความเครียดและความวิตกังวลได้เป็นอย่างดี
5.เพิ่มความทรงจำและสมาธิในเด็กวัยเรียนได้
6.เป็นประโยชน์ในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ( alzheimer )
7.เพิ่มพลังงาน ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย
8.ช่วยปรับสมองให้ผ่อนคลายหลังจากทำงานหนัก 

9.ช่วยลดระดับความเครียดทางกายที่เกิดจากการออกกำลังกายมากเกินไป มีหลายคนที่ประสบปัญหานี้โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การนอนไม่หลับรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าตลอดเวลาแม้ในขณะพักอยู่เฉยๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นอาการที่บ่งบอกว่า ร่างกายมีความเครียดเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติ

10.ช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ( cortisol level ) ระหว่างการนอนหลับ ( คอร์ติซอลมักมีระดับสูงขึ้นในผู้ที่มีความเครียดเรื้อรัง )

11.เหมาะสำหรับผู้ที่มีระดับความเครียดสูงวิตกกังวล จนทำให้นอนไม่หลับ

แหล่งอาหาร : พบได้ในเนื้อสัตว์ ปลาเพียงจำนวนเล็กน้อย ไข่แดง ถั่วเหลือง

ผลข้างเคียง : คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย

ส่วนตัวแป้ง ไม่ได้ทดลองกินวิตามินตัวนี้เพราะไม่เคยปวดศีรษะอะไรกะเค้าสักที แต่ได้ให้น้องชายที่มีระดับความเครียดสูง ถามว่า แป้งรู้ได้อย่างไร ขอตอบว่า คนที่กินยาแก้ปวดไมเกรนแทบทุกวัน ไม่เรียกว่า"เครียดก็ไม่รู้จะเรียกว่า อะไรแล้วค่ะ 

โดยให้รับประทานวิตามิน phosphatidylsrine 100 mg ยี่ห้อ Jarrow formulas ครั้งละ 2 เม็ดก่อนนอน พบว่า ไม่ปวดศีรษะไมเกรนเลย มีบางวันที่มีเพียงอาการมึนศีรษะเล็กน้อย แต่ที่แน่ๆ น้องชายไม่ได้กินยาแก้ปวดไมเกรนอีกเลย แค่นี้แป้งก็ดีใจมากมาย อย่างน้อยวิตามินตัวนี้ ช่วยลดความถี่ของไมเกรนได้แถมนอนหลับสบายอีกด้วยค่ะ

หากเรามีสุขภาพแข็งแรงพร้อมกับสุขภาพจิตที่ดี การนอนหลับได้ลึกนี่ถือเป็นสวรรค์ชั้นยอดเลยนะคะ ชีวิตนี้จะมีอะไรดีไปกว่า วิตามินที่ช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันที่ฝังอยู่ในสมอง แกะยังไงก็ยากยิ่ง แต่ phosphatidylserine สามารถทำให้เรานอนหลับไปพร้อมกับความเครียดที่ลดลง จัดว่าเยี่ยมค่ะ









ที่มา :
nootriment_com/phosphatidylserine for sleep

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม