บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิตามินเค จำเป็นต่อการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกอย่างไร


                  วิตามินเคเป็นอีกหนึ่งวิตามินที่มีความสำคัญไม่แพ้วิตามินอื่นใด ในเมืองไทยไม่เป็นที่แพร่หลายเนื่องจากจัดอยู่ในกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมันคือ A,D,E,K คนส่วนใหญ่จึงกลัวว่าจะตกค้าง เป็นส่วนเกินในร่างกาย แต่เดี๋ยวก่อน วิตามินเคอยู่ที่หนใด มาดูกันดีกว่า

                  วิตามินเคมี 3 รูปแบบคือ
1.วิตามิน K1( phylloquinine หรือ phytonadione ) พบสูงสุดในผักใบเขียว
2.วิตามิน K2 ( menaquinone ) มีในชีส อาหารหมักดองเช่น ถั่วเหลืองหมักญี่ปุ่น ( natto ) และสามารถสังเคราะห์ได้จากแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ พบในเนื้อเยื่อตับ
3.วิตามิน K3 ( menadione ) ได้จากการสังเคราะห์โมเลกุลและถูกเปลี่ยนเป็น menaquinone ที่ตับ

                  ใน Blog นี้จะกล่าวถึงวิตามินK2 ซึ่งมีห่วงโซ่สายยาวทรงคุณค่าทางโภชนาการที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในรูปแบบอาหารเสริมเพื่อสุขภาพของกระดูกคือ Mk-4,Mk-7

                   Mk-4 ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงสาธารณสุขประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ 1998 ในการป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน ภายใต้ชื่อการค้า Glakay หากบริโภควิตามิน Mk-4 เพียง 45 mgต่อวัน สามารถลดการเกิดกระดูกหักได้มากถึง 87%

                   19 ก.พ 2011 กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ได้อนุมัติอาหารเสริมที่มี Mk-7และวิตามินD3 เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก

                    มีประโยชน์อย่างไร
1.มีบทบาทช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อมีบาดแผล
2.ปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ
3.ลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักและโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน
4.ลดไขมันโคเลสเตอรอล ตามการศึกษาและวิจัยในประเทศเนเธอร์แลนด์ ปี ค.ศ 2004 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง 4800 คน ทั้งเพศชาย&หญิงเป็นเวลา 10 ปี พบว่า วิตามิน K2 ลดความเสี่ยงของการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ
5.อาจลดความเสียหายของเส้นประสาท
6.วิตามิน K 5% ในรูปครีมจะช่วยลดรอยช้ำหลังการผ่าตัดรวมถึงลดรอยคล้ำใต้ตาได้ดีอีกด้วย
7.ช่วยป้องกันการเกาะตัวของหินปูนที่ผนังหลอดเลือดแดงและเนื้อเยื่อต่างๆ
8.มีบทบาทในการผลักแคลเซียมเข้าสู่กระดูกและดูดซึมแคลเซียม
9.เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก
10.ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างกระดูก osteoblastic และยับยั้งการสลายของกระดูก osteoclassic
11.ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

                  วิตามิน K1 มีค่าครึ่งชีวิตที่ค่อนข้างสั้น สลายตัวอย่างรวดเร็วในกระแสเลือดและดูดซึมโดยตับภายใน 8 ชั่วโมง
                  วิตามิน K2 มีค่าครึ่งชีวิตมากถึง 72 ชั่วโมง นั่นหมายความว่า จะยังคงใช้งานทางชีวภาพในร่างกายได้นานและถูกดูดซึมในผนังหลอดเลือด ตับอ่อน อัณฑะ โดยจะนำพาแคลเซียมเข้าสู่กระดูก ที่สำคัญอย่างยิ่งคือป้องกันไม่ให้แคลเซียมถูกนำไปฝากในที่ไม่ควรจะเป็น เช่น หลอดเลือดและอวัยวะที่ก่อให้เกิดอันตรายมีมากเกินจนกลายเป็นกระดูกงอกหรือจับกับหลอดเลือดแดงจนกลายเป็นหินปูนได้ อุ๊ยตาย !! น่ากลัวเนอะ นี่เป็นเหตุผลหลักที่คนบริโภคแคลเซียมแต่ไม่ได้กินวิตามิน K ร่วมด้วย

                   วิตามิน K จะแตกต่างจากวิตามินที่ละลายในไขมันอื่นๆเพราะไม่สามารถเก็บไว้ในร่างกาย

                   มีผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากโรคกระดูกพรุนทั้งๆที่มีการบริโภคแคลเซียมเป็นประจำ จะมีแคลเซียมส่วนเกินในหลอดเลือดแดงและกระดูก เหตุผลคือ การขาดวิตามิน K2 ที่จะช่วยป้องกันการเกิดหินปูนเกาะหลอดเลือดแดงและการสะสมของแคลเซียมมากเกินไปในหลอดเลือดแดง นานวันเข้าจะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด

                   ร่างกายต้องการวิตามิน K ทำงานร่วมกับแคลเซียม,วิตามิน D3 ในการสร้างกระดูก 

                   ผู้ที่มีระดับสูงขึ้นของวิตามิน K จะมีความหนาแน่นของกระดูกมากขึ้น
                   ผู้ที่มีระดับต่ำของวิตามิน K เพิ่มความเสี่ยงของการมีเลือดออกที่ไม่สามารถควบคุมได้

                   ปัจจัยที่ทำให้การดูดซึมวิตามิน K ในลำไส้ลดลง
1.การใช้ยาฆ่าเชื้อจะมีผลทำให้การผลิตวิตามิน K ในลำไส้ลดลง 74%
2.ภาวะไตวายเรื้อรัง
3.ผู้สูงอายุ
4.ผู้เป็นโรคตับ
หมายเหตุ ผู้ที่ใช้ยา warfarin ( coumadin ) ควรปรึกษาแพทย์

                   ผู้หญิงที่มีบุตรมาก กระดูกจะเสื่อมเร็วและกลายเป็นกระดูกพรุนเพราะลูกดึงแคลเซียมไปจากแม่ขณะตั้งครรภ์เพื่อสร้างกระดูกและฟัน นั่นเอง

                   ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนกำลังลดระดับลงและใกล้หมดไปจากร่างกาย ส่งผลให้มวลกระดูกจะเริ่มบางลงเรื่อยๆ ควรเริ่มสะสมแคลเซียมที่มีอัตราส่วนต่อแมกนีเซียม 2:1พร้อม วิตามิน D3 และ วิตามิน K2 ( Mk-7 ) เพื่อวันข้างหน้าเราจะมีกระดูกที่แข็งแรงแม้ในวันที่สูญสิ้นประจำเดือนค่ะ



ที่มา ;
http.//en.wikipedia.org/wiki/vitamin_K
http://www.drweil.com/drw/u/ART0284/vitaminK2
http://www.bbc.co.uk/news/magazine-240
http://www.webmd.com/vitamins-and-supplement

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เคล็ดลับการดูแลเส้นผมฉบับเร่งด่วน



มีหลายคนประสบปัญหาผมหลุดร่วงง่ายพยายามเปลี่ยนแชมพูเป็นสูตรอ่อนโยนแค่ไหน ผมยังร่วงอยู่ดี

แป้งไม่เคยประสบปัญหาภาวะผมร่วง เนื่องจากสุขภาพผมดีมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งหมักผมด้วยเฮนน่าค่อนข้างบ่อย จึงไม่มีปัญหา แต่จะมีอาการคันศีรษะบ้างเป็นครั้งคราว

เมื่อก่อนแป้งสระผมแล้วมักไดร์เป่าผมให้เกือบแห้งสนิท โดยใช้ความร้อนระดับสูงสุด รวมเวลาที่ไดร์ผมราว 15 นาที ความร้อนจากไดร์ ส่งผลให้หนังศีรษะแห้งมากกว่าปกติ งานคันหัวจึงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เกาแกรกๆพอให้ทุเลา สักพักอาการคันก็หายไป สงสัยช่วงที่เกา เป็นการกระตุ้นให้น้ำมันบนหนังศีรษะเพิ่มขึ้น เลยไม่คัน อิอิ

แป้งไม่สามารถทดลองเปลี่ยนยี่ห้อแชมพูได้บ่อยๆเหมือนเปลี่ยนยี่ห้อครีมบำรุงผิวหน้า เพราะมีหลายยี่ห้อในท้องตลาดผสมซิลิโคน สระผมแค่ครั้งเดียวรุ่งเช้าสิวผด สิวอักเสบจะขึ้นหน้าผากและข้างแก้มเลย ไม่คุ้มที่จะลองค่ะ

เคล็ดลับการดูแลเส้นผมฉบับเร่งด่วน

1.ผมร่วง คันศีรษะ ปัญหาสุดคลาสสิก เกิดจากหนังศีรษะแห้งจากการถูกสารเคมีชะล้างจากแชมพู หรือรูขุมขนบนหนังศีรษะอุดตันจากซิลิโคนในแชมพูและครีมนวดผม

สิ่งที่ดีที่สุดตามธรรมชาติสำหรับเส้นผมและหนังศีรษะคือ มะกรูดและมะนาว เนื่องจากทั้งสองมีAHA ซึ่งเป็นกรดอ่อนๆ สามารถทำความสะอาดหนังศีรษะได้หมดจด ไม่เหลือสารเคมีตกค้าง แถมช่วยปรับสภาพเส้นผมให้เงางามอีกต่างหาก

ก่อนสระผม ให้หมักผมด้วยน้ำมะนาวหรือมะกรูด 3-5 ลูกโดยบีบเอาแต่น้ำ ผสมน้ำเปล่า 100 ml.ชโลมเน้นเฉพาะตรงกลางศีรษะทิ้งไว้ 15-30 นาทีค่อยสระผมตามปกติ ทำเพียง 2-3 ครั้งก็เห็นผลทันตาว่า หายคันศีรษะ เวลาที่สระผม ผมจะร่วงน้อยลงกว่าเดิมมาก ผมเงางามนุ่มสลวยกว่าที่เคยด้วยค่ะ

สามารถหมักผมสูตรนี้ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง หรือ มีบางช่วงที่แป้งหมักผมด้วยเฮนน่า อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ทำติดต่อกัน 3 ครั้ง ( จากนั้นหยุดทำ เว้นระยะ 2 เดือนเฮนน่าที่เคลือบผมจะหลุดออกไปหมดจากศีรษะ )

นอกจากผมไม่หลุดร่วงง่าย นิ่มสลวย เงางาม ยังพบว่า แม้มีเหตุที่จะไม่ได้สระผมเป็นเวลา 5 วันแป้งไม่มีอาการคันศีรษะ ผมไม่มีกลิ่นเหม็นแต่อย่างใด

หมายเหตุ : เวลาที่หมักผมด้วยเฮนน่าหรือน้ำมะนาว หลังสระผม จะไม่มีการใช้ครีมนวดชนิดใดๆเพราะเฮนน่า มีคุณสมบัติบำรุงเส้นผม ให้สลวยเงางามอยู่แล้วค่ะ

การใช้ครีมนวดผม เป็นการเพิ่มความมันให้หนังศีรษะเปรียบเสมือนเราสวมหมวกคลุมผมอาบน้ำไว้ตลอดเวลา พอเหงื่อออกรวมตัวน้ำมันที่ถูกขับออกมาจากต่อมไขมัน ผมร่วง ผมมัน คันหัว งานงอกเลยค่ะ

2.ผมที่ผ่านการทำสี จะค่อนข้างแห้งกรอบเป็นไม้กวาด ควรหมักผมอย่างน้อย 30 นาที ด้วยน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันงา น้ำมันมะกอกน้ำมันมะพร้าว โจโจ้บาออยล์ น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ฯลฯ โดยนำน้ำมันไปอุ่นให้ร้อนนิดหน่อย ชโลมนวดหนังศีรษะให้ทั่ว นอกจากเพิ่มความชุ่มชื้น ยังช่วยป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผมได้อีกด้วย

4.ผมไม่มีน้ำหนัก ขาดความเงางาม นำวิตามินอีชนิดเจลแคปซูล เจาะรู บีบเอาแต่น้ำมัน นวดให้ทั่วศีรษะ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นสระผมให้สะอาดเส้นผมจะแข็งแรง ดกดำ เงางาม มีน้ำหนักมากขึ้น

5.ผมมัน ตำราอายุรเวทแนะนำให้หมักผมด้วยไข่ขาว อาทิตย์ละ 2 ครั้ง

ใช้เฉพาะไข่ขาว 2 ฟอง ตีให้เข้ากันจนขึ้นฟูตั้งยอดนำมาชโลมเส้นผมให้ทั่วศรีษะ ทิ้งไว้ประมาณ 30นาที จากนั้นสระผมด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยน

โปรตีนในไข่ขาว จะช่วยให้หนังศรีษะและรากผมสดชื่น ขณะเดียวกันจะช่วยดูดซับน้ำมันลง หลังจากสระผมสะอาด ผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ กับ น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง นำมาราดผมให้ทั่ว ล้างออกด้วยน้ำสะอาด กรด AHA ที่มีในน้ำมะนาว จะช่วยบำรุงผมเงางาม

หมายเหตุ ไม่แนะนำให้ใช้ครีมนวดผมเพราะจะเป็นการเพิ่มความมันให้เส้นผม
หลังสระผมจนสะอาด จะรู้สึกว่าผมกระด้าง ไม่นุ่มลื่นเหมือนตอนใช้ครีมนวดผม span> อย่าได้กังวลใจไปนะคะ นั่นเป็นลักษณะเส้นผมตามธรรมชาติของเราเอง ปล่อยหรือเป่าพัดลมให้แห้ง ผมจะเงางาม มีน้ำหนักกว่าที่เคยค่ะ

หากใครที่ทำตามสูตรนี้ครบ 1 เดือน ผมยังร่วงเท่าเดิม ต้องใช้วิตามินเป็นตัวช่วยแล้วนะคะ

1.ไบโอติน ( biotin ) หรือ วิตามินเอช ( vitamin H) หรือ วิตามินบี7( vitamin B) เป็นวิตามินในกลุ่มวิตามินบีซึ่งสามารถละลายน้ำได้ สำคัญต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ การผลิตกรดไขมัน การเผาผลาญไขมันและกรดอะมิโน

เป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย การสร้างสารพันธุกรรมดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ มีผลทำให้ร่างกายสร้างเซลล์เส้นผมและเล็บใหม่เพื่อทดแทนเซลล์เก่าที่ตายไปอย่างต่อเนื่อง เราจึงมีเส้นผมและเล็บที่แข็งแรง เงางาม ไม่เปราะหลุดร่วงง่าย นั่นเอง

แนะนำ Biotin 5000 mcg ยี่ห้อ jarrow formulasรับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น

2.สังกะสี ( zinc ) เป็นตัวช่วยควบคุมให้กระบวนการต่าง ๆในร่างกายดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และซ่อมบำรุงระบบเอนไซม์และเซลล์ต่าง  หากร่างกายมีเหงื่อออกมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายต้องสูญเสียสังกะสีไปมากถึง 3มิลลิกรัม ต่อวัน

เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณเล็กน้อยแต่ขาดไม่ได้ มีความจำเป็นต่อการสร้างโปรตีน โดยเฉพาะการสร้างเซลล์ที่ประกอบด้วยโปรตีนอย่างเส้นผม

แนะนำ Zinc 50 mg ยี่ห้อ source naturals รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น

3.โอเมก้า 3-6-9 ( omega 3-6-9 ซึ่งเป็นแหล่งรวมน้ำมันหลายชนิด ได้จาก fish oil , flax oil , borage oil , evening oil , wheat germ oil น้ำมันจากสารสกัดเหล่านี้ ล้วนมีความจำเป็นต่อสุขภาพผมที่ดี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้เส้นผม ผมสลวยสวยงาม ผิวพรรณเปล่งปลั่ง นอกจากนี้ยังช่วยลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์และดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดอีกต่างหาก

แนะนำ
1.omega-3 1000 mg EPA400/DHA200 mgยี่ห้อ natural factors รับประทานครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหารเช้า
2.borage oil 1200 mg ยี่ห้อ jarrow formulasครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า


4.แน็ก ( NAC )
NAC ย่อมาจากคำว่า N-acetyl-L-cysteine เป็นแหล่งของกลูต้าไธโอนชั้นเยี่ยม พบได้จากอาหารตามธรรมชาติ แต่มีปริมาณน้อยเกินไป ต้องรับประทานเพิ่มจากอาหารเสริม

โครงสร้างของเส้นผมเกิดจากการเรียงตัวของกรดอะมิโน ชื่อว่า ซีสเตอีน ( cysteine ) ดังนั้นสารอาหารสำคัญสำหรับเส้นผม คือ N-acetyl-L-cysteine นั่นเอง

แนะนำ NAC sustain 600 mg ยี่ห้อ jarrow formulas รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้

5.เอ็มเอสเอ็ม ( MSM )
MSM ย่อมาจาก methyl-sulfonyl-methane เป็นกำมะถันที่พบตามธรรมชาติในความหลากหลายของผลไม้และผักที่มีความสดใหม่ อาหารทะเลนมวัว เนื้อสัตว์แต่มักถูกทำลายด้วยการแปรรูปอาหารเช่น ความร้อน

กำมะถันเป็นส่วนประกอบทางโภชนาการธรรมชาติและจำเป็นอย่างยิ่งในร่างกายมนุษย์ พบได้ในทุกเซลล์ของมนุษย์ มีโครงสร้างและหน้าที่สำคัญเกี่ยวข้องถึง 150 สารรวมถึงฮอร์โมน,enzyme,antibody,สารต้านอนุมูลอิสระพบจำนวนมากในกล้ามเนื้อ ผิวหนัง ผม เล็บ ระดับที่เพียงพอของกำมะถันในของร่างกายจะส่งเสริมให้ผิวกระจ่างใสและผมสลวยสวยงาม ดังนั้นกำมะถันจึงมีอีกชื่อว่า "แร่ธาตุความงามอย่างไรก็ตามมีงานวิจัยพบว่าคนส่วนใหญ่ขาดกำมะถันตามอายุที่เพิ่มขึ้นกำมะถันในร่างกายมนุษย์จะเป็นรูปแบบเกลือซัลเฟตถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้วข้ามblood brain barrier ( ความสามารถในการซึมผ่านเส้นเลือดฝอยขนาดจิ๋วในสมอง ) ละลายน้ำได้ ไม่มีผลกระทบในระยะยาวในมนุษย์

กำมะถันเป็นวัตถุดิบที่สำคัญของโปรตีน เนื้อเยื่อเกี่ยวพันโดยเฉพาะคอลลาเจนและเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกอ่อน

ในระดับโมเลกุล กำมะถันมีความเกี่ยวเนื่องกับความยืดหยุ่นระหว่างเซลล์ ส่งผลโดยตรงกับการเกิดริ้วรอย ประมาณครึ่งหนึ่งของกำมะถันในร่างกายจะสะสมในกล้ามเนื้อ ผิวหนังและกระดูก เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเคราติน ( ส่วนประกอบของโปรตีนที่พบในผิวหนัง ผม เล็บ )

แนะนำ MSM 1000 mg ยี่ห้อ jarrow formulas รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น

อีกทางเลือกในการรักษาผมร่วงอย่างรุนแรง แนะนำปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานนะคะ

1.ยารักษาผมร่วงอย่างรุนแรง มี 2 ชนิด คือ
1.finasteride เป็นยาใช้สำหรับรักษาต่อมลูกหมากโต ยานี้ในขนาดต่ำๆอาจช่วยชะลอการหลุดร่วงของเส้นผมได้ โดยยับยั้งการสร้างdihydrotestosterone ที่ต่อมรากผม จึงช่วยป้องกันไม่ให้เส้นผมมีขนาดเล็กลงและหลุดร่วงได้ง่าย

2.minoxidil เป็นยาลดความดันโลหิต ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผม ในผู้ป่วยที่รับประทานยานี้ โดยยานี้ทำให้ต่อมรากผมกลับโตขึ้นมาใหม่ จึงกระตุ้นการงอกของเส้นผม ในปัจจุบันจึงผลิตเป็นยาทาภายนอกเพื่อช่วยให้เส้นผมบริเวณที่ทางอกขึ้นมา โดยมาบริเวณศีรษะล้านวันละ 2 ครั้ง ต้องทาอย่างต่อเนื่อง หากหยุดใช้ยาทา ผมจะร่วงเหมือนเดิม

ผลข้างเคียง : ระคายเคือง คันศีรษะ

2.ผมร่วงเป็นหย่อม ( alopecia areata ) อาจหายได้เองภายใน 6-24 เดือน แพทย์บางท่านอาจสั่งจ่ายคอร์ติโคสเตียรอยด์ ( corticosteriods ) ชนิดทาภายนอกหรือฉีดที่หนังศีรษะ

3.การปลูกย้ายเซลล์รากผม ( hair transplantation ) เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง โดยการย้ายหนังศีรษะส่วนเซลล์รากผมที่ยังสุขภาพดีอยู่ไปปลูกถ่ายยังส่วนที่ศีรษะล้าน วิธีนี้มีราคาแพงมากและอาจต้องปลูกถ่ายมากกว่าหนึ่งครั้ง



แจ้งให้ทราบอีกครั้งเรื่องวิตามินปลอม


โปรดทราบ

เนื่องด้วยได้มีร้านที่จำหน่ายวิตามินทางอินเตอร์เนตจำนวน 1 ร้าน ได้แอบนำชื่อ ''แป้งปังปอนด์'' เป็นชื่อสินค้ามานานร่วมปี เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเวปไซด์ขายวิตามินที่แป้งแนะนำ

แป้งขอยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเวปไซด์ดังกล่าวแต่อย่างใดนอกจากร้านที่แนะนำใน Blog เท่านั้น

ขณะนี้มีวิตามินปลอมทะลักจากจีนเยอะมาก กินเข้าไปแล้ว จะส่งผลให้เกิดเนื้องอกตามอวัยวะต่างๆในร่างกาย สิ่งที่น่ากลัวคือจะเปลี่ยนรหัสพันธุกรรมกลายเป็นมะเร็งในที่สุด เก็บเงินส่วนต่างราคาวิตามินที่ซื้อไว้ เตรียมจ่ายค่ารักษาตัวได้เลยนะคะ

แป้งใช้เวลาศึกษาและค้นคว้าวิตามินอย่างลึกซึ้งนอกเหนือจากความรู้เดิมที่มีนิสัยรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก อดตาหลับขับตานอนเพื่อแปลภาษาต่างประเทศ ในแต่ละ Blog ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ แต่สำหรับ Blog เปลือกสนทะเลฝรั่งเศส ยากสุดๆ ข้อมูลเยอะมาก ต้องใช้เวลานานถึง 1 เดือน จึงสามารถเขียนบทความมาให้อ่านผ่านสายตากัน แป้งสร้างสรรค์ผลงานด้วยความยากลำบากแสนเข็ญ แต่คนที่เอาเปรียบคนอื่นกลับนำชื่อ ''แป้งปังปอนด์'' เป็นสินค้าตัวหนึ่งในร้าน ใช้กลยุทธ์หลอกลวงผู้บริโภคมาแรมปี การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ยอมความไม่ได้โดยเด็ดขาด

จึงขอเรียนให้ทราบโดยทั่วกัน
แป้งปังปอนด์

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

L-carnitine วิตามินควบคุมน้ำหนักและชะลอความเสื่อมของเซลล์สมอง


 หากเอ่ยชื่อ l-carnitine หลายคนคงจะร้องอ๋อ! รู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็นวิตามินลำดับต้นๆที่ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน หรือ ลดน้ำหนัก นั่นเอง

การสังเคราะห์ l-carnitine โดยธรรมชาติในร่างกายจากการสังเคราะห์ทางชีวเคมีภายในเซลล์ เกิดขึ้นในตับและไต จากกรดอะมิโน ไลซีน ( lysine ) เมไทโอนิน ( methionine ) มีหน้าที่เปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน สำหรับการเต้นของหัวใจ การทำงานของสมองและการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ ถูกเก็บไว้ในกล้ามเนื้อ,กระดูก,หัวใจ,สมองและ สเปิร์ม ส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการจะถูกขับออกทางปัสสาวะ พบมากที่สุดในเนื้อแดง ผลิตภัณฑ์นม ปกติเมื่อร่างกายมีการใช้พลังงานอย่างหนัก l-carnitine จะถูกดึงเข้าสู่ไมโตคอนเดรียเพื่อเปลี่ยนเป็น acetyl-L-carnitine และ coenzyme A จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญไขมันและน้ำตาลเต็มรูปแบบ มิน่า !! คนที่ทำงานหนักและใช้สมอง แต่กินอาหารน้อย จึงได้ผอมบาง เป็นเพราะเหตุนี้เอง

l-carnitine แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังต่อไปนี้
1.l-carnitine ใช้อย่างแพร่หลายทั่วไป แต่มีราคาค่อนข้างแพง
2.acetyl-L-carnitine เป็นรูปแบบที่ใช้ศึกษาวิจัยโรคอัลไซเมอร์และความผิดปกติของสมอง
3.propionyl-L-carnitine มักใช้ในการศึกษาการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

l-carnitine จะถูกแปลงเป็น acetyl-L-carnitine หลังจากการบริโภคในร่างกายมนุษย์

acetyl-L-carnitine จะดูดซึมได้ดีกว่า l-carnitine โดยเทียบกลไกการดูดซึมเดียวกันในลำไส้ และมีประสิทธิภาพในการข้าม Blood Brain Barrier ( ความสามารถในการแทรกซึมผ่านหลอดเลือดฝอยขนาดจิ๋วในสมอง ) มีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญกรดไขมันในไมโตคอนเดรียเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับเซลล์สมอง จึงเสมือนทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์สมองจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ซึ่งจะพบคุณสมบัติเช่นนี้ได้ในวิตามินคุณภาพสูงเท่านั้น

มีประโยชน์อย่างไร
1.มีผลในการลดน้ำหนักและส่วนเกินในร่างกาย ควบคู่กับการงดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต หากออกกำลังกายร่วมด้วยจะเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น
2.บางงานวิจัยพบว่า ลดมวลไขมัน เพิ่มมวลกล้ามเนื้อและลดความเมื่อยล้า
3.บรรเทาอาการซึมเศร้า ภาวะสมองเสื่อม และเพิ่มหน่วยความจำในผู้สูงอายุ
4.ปกป้องหลอดเลือดส่วนปลายและการแข็งตัวของหลอดเลือดแดงจากคราบ plaque ที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดแดง มักทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยล้า เป็นตะคริวที่ขาในขณะที่เดินหรือออกกำลังกาย
5.บางงานวิจัยพบว่า อาจเป็นประโยชน์ต่อเซลล์ประสาทในการรักษาโรคพาร์กินสัน
6.เพิ่มการเคลื่อนไหวของอสุจิ ลดภาวะมีบุตรยากในเพศชาย
7.เพิ่มความสามารถในการออกกำลังกาย ส่งผลให้ร่างกายมีความทนในการออกกำลังกายมากขึ้น ลดการคั่งของกรดแลกติก ตัวการที่ทำให้เราปวดเมื่อยเวลาออกกำลังกายใหม่ๆนั่นเอง
8.ชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์สมองและหัวใจ


แป้งได้ทดลองกิน l-carnitine 500 mg ยี่ห้อ Jarrow formulas ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า พบว่า มีเรี่ยวแรงในการทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างหนักมากขึ้น โดยไม่รู้สึกว่าเพลียหรือชำรุดทรุดโทรมแต่อย่างใด อีกทั้งชอบมากตอนที่ออกกำลังกาย วันรุ่งขึ้นหรือวันต่อๆมาไม่รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเลยสักนิด เปรียบเทียบกับตอนที่ไม่ได้กิน ขนาดซิทอัพแค่ 50 ครั้ง วันถัดมา เจ็บหน้าท้องไปหมด เลยพาลหยุดไม่ออกกำลังกายเลยค่ะ ก็มันระบมนี่นา แค่หัวเราะนิดเดียว ไม่ได้อ้าปากกว้างเท่าไหร่นัก ยังปวดซะจนน้ำตาเล็ด

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Omega-3 คุณค่าแห่งระบบประสาทและความทรงจำแถมลดการอักเสบได้อีกต่างหาก


                  20 ก.ค 56 ครบรอบ 1 ปีที่เขียน blog เกี่ยวกับสุขภาพและความงาม เผลอแป๊บเดียว วันเวลาช่างผ่านไปเร็วจัง อันที่จริงมีข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำมันปลาเยอะแยะมากมาย แต่แป้งก็อยากจะแบ่งปันเรื่องราวของ fish oil อีกสักครั้ง

                  ยังมีอีกหลายคนเข้าใจผิด คิดว่า น้ำมันปลา&น้ำมันตับปลาคืออย่างเดียวกัน มิใช่เลยค่ะ น้ำมันปลาได้จาก ไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อปลาและหนังปลา ส่วนน้ำมันตับปลานั้นสกัดได้จากตับของปลาค้อดหรือปลาฉลาม ซึ่งจะมีวิตามินเอ&ดี สูงมาก ในต่างประเทศนิยมให้กินเสริมในเด็กเพื่อป้องกันโรคกระดูกอ่อน พบมากในเด็กอายุ 6 เดือน-3 ปี ในประเทศที่กำลังพัฒนา มักขาดวิตามินดีเนื่องจากไม่ค่อยโดนแสงแดด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ และพบในเด็กคลอดก่อนกำหนดเนื่องจากมีการสะสมแคลเซียมในปริมาณน้อยเช่นเดียวกัน

                   Fish oil (น้ำมันปลา) เป็นที่รู้จักตั้งแต่ ค.ศ 1930 และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยมาในปี ค.ศ 1990
Omega-3 ถือว่า เป็นกรดไขมันจำเป็น ( essential fatty acid ) สำหรับสุขภาพของมนุษย์ ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น พบมากในปลาทะเล เช่น ทูน่า แซลมอน เฮอริ่ง ( หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้สินะ ) สาหร่าย , krill ปลาน้ำจืดส่วนใหญ่จะมี omega-3 น้อยกว่าปลาทะเล ยกเว้น ปลาเทราต์ที่มีระดับ omega-3 สูงเทียบเท่าปลาทะเล


                  กรดไขมันที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ เรียกว่า กรดไขมันจำเป็นซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว กรดไขมันเหล่านี้จะมีพันธะคู่อยู่ที่ตำแหน่ง 3,6,9 จึงถูกเรียกว่า โอเมก้า 3,6,9

                 แล้วทำไมถึงได้เรียก fish oil ว่า omega-3 มาหาคำตอบกัน
                 Omega-3 มีพันธะอยู่ที่ตำแหน่งที่ 3 ประกอบด้วย

1.ALA ( alpha linoenic acid ) พบในน้ำมันพืช เช่น ถั่วเหลือง คาโนล่า flaxeed และพบในผักใบเขียวบางชนิดเช่น กะหล่ำปลี คะน้า ผักโขม สลัดใบเขียว
2.EPA ( eicosapentaenoic )
3.DHA ( decosahexaenoic )

                 แต่เราจะโฟกัสกรดไขมันจำเป็นแค่ 2 ตัว คือ EPA &DHA สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา แนะนำให้กินปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เทียบเท่า น้ำมันปลา 1000 มิลลิกรัม มีงานวิจัยมากมายแสดงให้เห็นว่า

EPA ลดการอักเสบและความเสื่อมของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ไขข้ออักเสบ
DHA มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง ระบบประสาท เพิ่มหน่วยความจำ และพัฒนาการเรียนรู้รวมถึง retina ที่ช่วยในการมองเห็น ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงถูกผสมในนมผงเลี้ยงเด็กหลากหลายยี่ห้อในเมืองไทย

                  มีประโยชน์อย่างไร
1.ลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์
2.ลดความดันโลหิตสูง
3.ป้องกันและรักษาหลอดเลือดแดงไม่ให้แข็งตัว โดยชะลอการอุดตันในหลอดเลือดและการเกิดคราบจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจ
4.บรรเทาอาการไขข้ออักเสบ ข้อเข่าเสื่อม จากคุณสมบัติของ EPA นั่นเอง
5.เพิ่มระดับไขมัน HDL ซึ่งเป็นไขมันชนิดดี หากมีมากในร่างกายจะลดความเสี่ยงภาวะหัวใจขาดเลือด ต้นเหตุของหัวใจวาย
6.ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากงานวิจัยศึกษาในกรีนแลนด์ ดินแดนทางเหนือสุดของโลก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติก เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก พบว่า ชาวเอสกิโมที่อาศัยบริเวณขั้วโลกเหนือ มีแนวโน้มที่จะกินอาหารไขมันสูงเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายจากสภาพอากาศหนาวเย็นแทบตลอดทั้งปี แต่ก็กินปลาเป็นจำนวนมากที่อุดมไปด้วย omega-3 มีอัตราต่ำของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่&ทวารหนัก , โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง มากกว่าภูมิภาคอื่นในโลก
7.มีบางงานวิจัยพบว่า คนที่ขาด omega-3 ทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้า
8.บรรเทาอาการลำไส้อักเสบ
9.ป้องกันอัลไซเมอร์&ภาวะสมองเสื่อม
10.ลดการเกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อม & อาการตาแห้ง

                   ปริมาณ EPA&DHA ไม่ได้อยู่ที่จำนวนปริมาณของน้ำมันปลาแต่ละเม็ด ฝากวิธีการเลือกซื้อ omega-3 ให้คุ้มค่า&เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกายสูงสุดนะคะ

โดยไม่ต้องดูว่า fish oil กี่พันมิลลิกรัม ให้เล็งปริมาณ EPA ,DHA กรดไขมัน 2 ตัวรวมกัน 300 mg ขึ้นไป จึงจะถือว่าใช้ได้ เพียงพอที่จะบำรุงร่างกาย เช่น fish oil 1000 mg มี EPA 180 mg ,DHA 120 mg ( ส่วนของน้ำมันปลาจริงที่แท้จริง ) รวมกันเป็น 300 mg ที่เหลืออีก 700 mg เป็นส่วนผสมอื่น เช่น water ,กลีเซอริน ,วิตามินอี ฯลฯ

ลองมาดูส่วนประกอบ fish oil ที่ผลิตในอเมริกา 2 ยี่ห้อ ซึ่งแป้งมักพูดถึงเกรดวัตถุดิบกันนะคะ

ยี่ห้อที่1 solgar ; .Gelatin, vegetable glycerin, natural mixed tocopherols. Contains fish (anchovy, mackerel, sardine).
Free of: Gluten, wheat, dairy, yeast, sugar, sodium, artificial flavor, sweetener, preservatives and color.

ยี่ห้อที่ 2 nature made ; Gelatin, glycerin, water, tocopherol.
May also contain: Methacrylic acid copolymer, polysorbate 80, triethyl citrate, propylene glycol, ethylcellulose, sodium alginate, medium chain triglycerides, oleic acid, stearic acid, ammonium, hydroxide, talc.
Contains: Fish (anchovy, sardine) and soy.
Fish Oil liquid softgels are made to Nature Made's guaranteed purity and potency standards.

                  จากข้างบน จะเห็นได้ว่า ยี่ห้อที่ 1 pure มาก ไม่มีการผสม water ให้น้ำมันปลาเจือจางเพื่อจะได้ปริมาณต่อเม็ดมากขึ้น แต่จะผสม natural mixed tocopherols ซึ่งเป็นวิตามินอีคุณภาพสูง ไม่ก่อให้เกิดสิว เพื่อป้องกันการเหม็นหืนของน้ำมันปลา และ vegetable glycerin ( กลีเซอรินที่สกัดได้จากพืช )

                  ส่วนยี่ห้อที่ 2 ผสม water แถมมี tocopherol ซึ่งเป็นวิตามินอีเกรดธรรมดา และ glycerin (สกัดมาจากสัตว์ ) เกรดธรรมดา แถมมีส่วนผสมอีกหลายอย่าง ราคาจึงต่างกันมาก นี่เป็นเพียงส่วนน้อยนิด ในการเลือกวิตามินให้ได้ผลชัดเจนค่ะ

                  สิ่งที่ควรระมัดระวังในการบริโภคน้ำมันปลาคือ โลหะหนัก เช่น ปรอท ตะกั่ว นิกเกิล สารหนู แคดเมียม และสารปนเปื้อน ( CBS ,พิวเรน ,ไดออกซิน ) ถึงแม้กระบวนการกลั่นน้ำมันปลาจะไม่พบสารเหล่านี้ เพราะโลหะหนักที่ปนกับน้ำมันปลามักจะผูกติดกับโปรตีนในเนื้อปลามากกว่าที่จะสะสมในน้ำมัน แต่อย่าได้วางใจนัก

                  แป้งขอแนะนำ fish oil ยี่ห้อ natural factors 1000 mg แต่มี EPA สูงถึง360 mgและ DHA สูงถึง 240 mg รวมกัน 600 mg ต่อเม็ด โอ้โห ! นับว่า EPA&DHA สูงจริงๆ กินแค่เม็ดเดียวได้คุณประโยชน์เปี่ยมค่า ไม่ต้องกินหลายเม็ดด้วย ไร้สารปนเปื้อนตกค้าง ปลอดภัยต่อร่างกายในระยะยาวแถมมีเทคโนโลยีกระบวนการผลิตในระดับ pharmaceutical grade ( มาตรฐานการผลิตยาแห่งสหรัฐอเมริกา ) อีกต่างหาก วุ๊ย ! น่ากินที่สุด

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อนุมูลอิสระภายในร่างกาย ของแถมที่เราไม่ต้องการ


คนเราเกิดมาเพื่อดำรงชีวิต&กินเพื่ออยู่ แต่ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าอยู่เพื่อกิน จึงได้แสวงหาอาหารการกินแสนอร่อย ไม่ว่าไกลแค่ไหน ก็จะต้องดั้นด้นไปชิมให้ได้ ในความเป็นจริงอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายกลับไม่ใช่อาหารที่มีรสอร่อยลิ้น เช่น ข้าวกล้อง สลัดที่อุดมไปด้วยผักใบเขียว แต่อาหารที่รสชาติอร่อยมากๆมักจะเป็นอาหารประเภทปิ้งย่าง ของทอดของมัน เค้ก ไอศครีม เบเกอรี่ เครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ชา กาแฟเย็น ฯลฯ เมื่อก่อนแป้งก็เคยชอบกินอาหารปิ้งย่าง กลิ่นโปรตีนจากเนื้อสัตว์เมื่อโดนความร้อนผสมกับเครื่องเทศปรุงรส จะมีกลิ่นหอมโชยเตะจมูก น่ากินที่สุด เวลาเดินผ่านรถเข็นที่ขายไก่ย่าง หมูปิ้ง กลิ่นอาหารจะยั่วน้ำลายบวกกับข้าวเหนียวร้อนๆ โอ๊ย! เป็นตาแซ่บ

แต่ปัจจุบัน เนื่องจากวัยที่ล่วงเลยผ่าน&อนุมูลอิสระในร่างกายมีมากขึ้นตามกาลเวลาที่หมุนไป ทำให้แป้งลด ละ เลิก กินอาหารเหล่านั้น ตั้งแต่อายุ 27 ปีเป็นต้นมา ซึ่งเมื่อก่อนตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยรุ่น จะชอบกินขนม ของหวาน เบเกอรี่มากมาย จากการอ่านหนังสือก็รู้อยู่แก่ใจว่า ไม่มีประโยชน์ แต่ก็หักห้ามใจไม่ไหว เมื่อเห็นขนม นมเนย ยังเคยคิดเสมอว่า เมื่อไหร่เราจะเลิกกินขนมขบเคี้ยว กรุบกรอบเสียทีนะ อายจัง !! ช่วงที่กินอาหารเหล่านี้ จำได้ว่า ระบบขับถ่ายไม่ดีเลย ยิ่งวันไหนกินขนมแยมโรลแสนอร่อยที่อุดมไปด้วยแป้งขัดขาว ไขมัน น้ำตาล เมื่อนั้นระบบขับถ่ายจะยอดแย่ ปกติก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วนะคะ จึงตัดใจเลิกซื้อขนม นมเนย เบเกอรี่ ทั้งปวง ยกเว้นไปกินอาหารบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรมก็จะกินพอเป็นพิธี ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว แต่จะกินเพียงเล็กน้อย ไม่ตะกละตะกลามเหมือนในอดีตเพราะยึดถืออุดมคติที่ว่า" กินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน "ฟังดูดีเนอะ แต่แป้งคิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะเคยเป็นพยาบาลขึ้นเวรตามโรงพยาบาลเห็นผู้ป่วยทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บที่ตัวเองได้สั่งสมมาทั้งสิ้น ยังคิดเลยว่า อุตส่าห์หาเงินมาตั้งนาน แต่เวลาเจ็บป่วยเนี่ย เหมือนเราเอาเงินไปทิ้งแม่น้ำเลย แค่เป็นไข้หวัดธรรมดา นอน Admit ในโรงพยาบาล คืนเดียวหมดไปร่วม 2 หมื่น ยิ่งถ้าไปโรงพยาบาลรัฐ เป็นไข้เลือดออก อย่าหวังจะได้นอนในโรงพยาบาลนะคะ ไม่ใช่เค้าใจจืดใจดำหรอกค่ะ เพราะไม่มีเตียงรับผู้ป่วยต่างหาก จึงต้องกลับไปบ้านไปพักรักษาตัวเอง แป้งตระหนักถึงการเจ็บป่วยดี จนกระทั่งได้มีโอกาสอ่านหนังสือชีวจิต ซึ่งอาจารย์ สาทิส อินทรกำแหง เป็นผู้ก่อตั้ง ยิ่งอ่านหลายๆเล่ม ก็แปรเปลี่ยนให้แป้งเปลี่ยนจากกินข้าวขาวมาเป็นข้าวกล้อง ขนมปังขัดขาวมาเป็นขนมปังโฮลวีต งดนมวัว ดื่มนมถั่วเหลืองแทนค่ะ

เรามีเพียงหนึ่งร่างกายที่ถือกำเนิดบนโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยมลพิษรอบตัว เช่น นอนดึก พักผ่อนน้อย มีระดับความเครียดสูง กินอาหารไขมันสูง ปิ้งย่าง ของทอดของมัน อาหารแปรรูป หมายถึง อาหารที่ดูไม่ออกว่า หน้าตาเก่าเป็นอย่างไร เช่น ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง ฯลฯ แสงแดด ควันบุหรี่ ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์จากท่อไอเสียรถยนต์ เบนซิน 1,3 บิวทาไดอีน (บิวทาไดอีนตัวนี้ได้มาจากน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละปีมีการผลิตสารตัวนี้ปริมาณมาก ร้อยละ 75 ผลิตยางสังเคราะห์ใช้กับรถยนต์และ อีกส่วนหนึ่งเอาไปทำพลาสติก ) ยิ่งตามเมืองใหญ่ๆ ผู้คนนิยมขับรถยนต์กันมากขึ้นเพื่อความสะดวกสบาย ชีวิตเหนือระดับเหล่านี้ ล้วนก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกายทั้งสิ้น

อนุมูลอิสระ ( free radical ) คือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้ออกซิเจนในกระบวนการเผาผลาญสารอาหารให้เป็นพลังงาน ผลพลอยได้จะมีออกซิเจนซึ่งเป็นอิเลคตรอนอิสระที่สามารถทำปฏิกิริยาทางเคมีกับโมเลกุลบางชนิดในร่างกาย ก่อให้เกิดเซลล์เสื่อมสภาพ ทำลายเนื้อเยื่อ เลวร้ายที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมกลายเป็นเซลล์มะเร็งที่น่าสะพรึงกลัว


ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ยังคงต้องการอากาศบริสุทธิ์คือออกซิเจนในการหายใจ และต้องการอาหารเพื่อดำรงชีพ จึงไม่อาจหยุดยั้งการเกิดอนุมูลอิสระขึ้นได้ แต่สามารถชะลอความชราได้ง่ายๆโดยที่ไม่ต้องไปหาซื้ิอที่ไหนคือการกินให้น้อยลงและออกกำลังกายให้มากขึ้น บางคนจะค้านว่า ถ้ากินน้อยเกินไป ก็ไม่มีเรี่ยวแรงสิ ถูกต้องค่ะ แต่คนส่วนใหญ่มักจะกินเกินความต้องการของร่างกาย ยิ่งกินมากเท่าไหร่ การเผาผลาญอาหารจะเกิดขึ้นมาก อนุมูลอิสระจะมีมากเป็นเงาตามตัวเท่านั้น เป็นของแถมที่ไม่อยากได้เลยจริงๆนะเนี่ย ที่เห็นชัดเจนคือ ไขมันที่พอกพูนตามส่วนต่างๆของร่างกาย นานวันเข้ากลายเป็นโรคอ้วนซะงั้น ท่องให้ขึ้นใจ กินมาก แก่เร็ว เพราะต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญอาหาร อาหารที่มีแคลอรี่สูง จะทำให้เข้าสู่วัยชราอย่างรวดเร็ว หากไม่อยากแก่ นอกจากกินให้น้อยลง ออกกำลังกาย กินผักผลไม้สด อย่านอนดึก พยายามไม่เครียด ยังต้องกินวิตามินที่มีสารต้านอนุมูลอิสระคุณภาพสูงเพื่อยับยั้งอนุมูลอิสระในร่างกายที่เกิดขึ้นตามปกติอีกด้วยนะคะ

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สารสกัดจากขมิ้นชัน (turmeric) มีดีมากมายกว่าที่เราคิด


                 ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome ) เป็นกลุ่มอาการที่พบมากในคนวัยทำงานออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงานตลอดเวลา แทบไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย รู้หรือไม่ว่า การเคลื่อนไหวร่างกาย แม้กระทั่งการหายใจ ล้วนเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อทั้งสิ้น การใช้กล้ามเนื้อต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินกว่าขีดความสามารถของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการล้า นานวันเข้า สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ และปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ เช่น หลัง ไหล่ สะบัก บ่า แขน และข้อมือ

                ผู้ที่มีอายุ 25-55 ปี ก็หนีไม่พ้นโรคนี้เช่นกัน ด้วยสภาพการทำงานที่ต้องรีบเร่ง ล้วนมีส่วนทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป ทั้งการใช้คอมพิวเตอร์วันละหลาย ๆ ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก หน้าดำคร่ำเคร่งเพื่อเร่งงานเสร็จ ส่งผลให้ร่างกายต้องแบกรับความตึงเครียดมหาศาลจากภารกิจระหว่างวัน หลายคนไม่รู้ว่าใช้งานร่างกายหนักมาก โดยปราศจากการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ถูกต้อง รู้ตัวอีกที โอ๊ย! ทำไมปวดหัว ปวดหลังอะไรอย่างนี้

                ไม่ว่ามนุษย์เงินเดือน ข้าราชการ ลูกจ้างประจำหรือเจ้าของกิจการ ไม่มีใครหลีกพ้นความตึงเครียดจากการทำงานที่ต้องใช้สมองหรือแรงกาย ไม่มีงานไหนสบายหรอกค่ะ กว่าจะได้เงินมา ไม่เหนื่อยกายก็ต้องเหนื่อยใจ คนเราเกิดมาเพื่อมีชีวิตอยู่และทำมาหาเลี้ยงชีพ ชีวิตวนเวียนอยู่อย่างนี้ ตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่จะเกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็งตัว นานวันเข้า ร่างกายเกิดความตึงเครียด จึงส่งผลตามมาดังต่อไปนี้

1.นอนไม่หลับ
2.ความดันโลหิตสูง
3.กรดไหลย้อน
4.ปวดศีรษะ
5.ปวดตึงคอ บ่า สะบัก ไหล่
6.มือชา เอ็นอักเสบ จนกลายเป็นผังผืดรัดเส้นประสาท ฯลฯ

                  Blog นี้จะพูดถึงอาการปวดตึงคอ บ่า สะบักและไหล่ แนะนำให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความสามารถของกล้ามเนื้อในด้านต่างๆ อีกทั้งกล้ามเนื้อทุกส่วนผ่อนคลายอีกต่างหาก บางคนต้องทำงานถึงดึก การตื่นนอนตอนเช้าเพื่อออกกำลังกายอาจไม่เหมาะสม จึงควรหาเวลาที่สะดวกเพื่อออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน ส่งผลให้ร่างกายสดชื่น ตื่นตัว มีสมาธิเพิ่มมากขึ้น หากมีอาการไม่มาก ควรนวดแผนโบราณเพื่อคลายเส้นอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่หลายคน ไม่มีเวลาออกกำลังกาย กลับถึงบ้านก็แทบสลบ เท่าที่แป้งเห็นส่วนใหญ่มักจะต้องกินยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น norgesic แต่มีผลข้างเคียงคือ คลื่นไส้ อาเจียน หรือ ยาแก้ปวด เช่น tylenol มีผลข้างเคียงต่อตับ ,ibuprofen หากกินมากเกินจะมีผลต่อกระเพาะอาหาร norgesicและ ibuprofen จึงต้องรับประทานหลังอาหารทันที ป้องกันแผลในกระเพาะอาหาร

                 สมุนไพรชั้นเลิศที่มีมากว่า 4000 ปี ใช้ล้างพิษ&บำรุงตับในอินเดีย ในอินโดนีเซีย ถือได้ว่า เป็น "ราชินีแห่งสมุนไพรทั้งปวง" บ้านเรา เรียกว่า ขมิ้นชัน (Turmeric ) ในขมิ้นชันมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับมาช้านานอีกตัวหนึ่ง คือ curcuminoid ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระสามารถยับยั้งอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย ปกป้องเนื้อเยื่อและซ่อมแซมส่วนของเซลล์ที่ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระได้อย่างดีเยี่ยม


                มีประโยชน์อย่างไร
1.บรรเทาข้อเข่าเสื่อม มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากขมิ้นชัน ช่วยลดอาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อม เทียบเท่า ยาแก้ปวด Ibuprofen แต่ไม่มีสารเคมีตกค้างในตับ แม้จะกินติดต่อกันเป็นเวลานาน
2.บรรเทาอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย
3.ลดการเกิดสิว มีงานวิจัยว่าขมิ้นชันสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า Propionibacterium acne สาเหตุหนึ่งของการอักเสบของผิว
4.รักษาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนต้น เช่น ไข้หวัด หลอดลมอักเสบ
5.ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
6.ลดการอักเสบทั่วร่างกาย เช่น ปวดตึงกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่
7.ล้างพิษในตับ
8.มีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็ง พบในหลอดทดลอง
9.รักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างได้ผลดีเยี่ยม
               

  สารสกัดจากขมิ้นชันในโลก มี 3 รูปแบบ คือ
1.แคปซูลที่บรรจุผง
2.สารสกัดบริสุทธิ์จากของเหลว สุดยอดเทคโนโลยีวิธีการสกัดแบบ "supercritical fluid extraction " ในเมืองไทย ไม่มียี่ห้อไหนสามารถผลิตด้วยกรรมวิธีชั้นสูงนี้ได้ แม้กระทั่งยี่ห้อของอเมริกา เช่น jarrow formuals ก็ยังทำไม่ได้เลยนะคะ
3.สารละลายแอลกอฮอล์

                 Turmeric force 400 mg เป็นขมิ้นชันที่เพาะปลูกในฟาร์มแบบ biodynamic ในสาธารณรัฐคอสตาริกา เป็นประเทศในภูมิภาคอเมริกากลาง มีอาณาเขตจรดประเทศนิการากัวทางทิศเหนือ จรดประเทศปานามาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จรดมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตกและทิศใต้ และจรดทะเลแคริบเบียนทางทิศตะวันออก ประเทศนี้เป็นแบบอย่างที่ดี (role model ) ของภูมิภาคในเรื่องการมีเสถียรภาพทางการเมือง บางครั้งได้ชื่อว่าเป็น "สวิสเซอร์แลนด์ของอเมริกากลาง" มีพื้นที่ประมาณหนึ่งในสามของประเทศไทย เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ทำให้มีพืชพันธุ์ไม้อุดมสมบูรณ์ชนิดที่ไม่สามารถพบได้ในประเทศใดในโลก มีพื้นที่เป็นเขตป่าสงวนมากถึง 25% ของประเทศ

                 ฟาร์มเพาะปลูกขมิ้นชันออร์แกนิก ตั้งอยู่ในภูเขาไฟติดกับป่าฝนที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุที่มีความอุดมสมบูรณ์ การเพาะปลูกแบบ biodynamic คือ การกลับคืนความสมดุลให้ระบบนิเวศทางธรรมชาติ เน้นการใช้ปุ๋ยคอก&ปุ๋ยหมัก ไร้สารเคมีในทุกขั้นตอนจนกระทั่งเก็บเกี่ยว เริ่มมีตั้งแต่ ค.ศ 1924 เยอรมนี เป็นประเทศแรกที่เริ่มทำการเพาะปลูกเช่นนี้ ดีจัง !! ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย ประเทศไทยเป็นแบบนี้คงจะดีไม่น้อย

                 สุดยอดเทคโนโลยีชั้นสูงในกระบวนการสกัด เพื่อให้ได้มาซึ่งสารสกัดขมิ้นชันออร์แกนิกที่บริสุทธิ์มีประสิทธิภาพและเข้มข้นสูงสุด โดยปราศจากสารเคมีในตัวทำละลายทุกขั้นตอน Turmeric force 1 softgel มีปริมาณขมิ้นชัน 4280 mg บีบอัดให้เหลือ 400 mg เทียบเท่าขมิ้นชันแคปซูล 11 เม็ด ในเมืองไทย

                แป้งก็มีภาวะออฟฟิศซินโดรมเหมือนคนทั่วไป เพราะมีภารกิจหลากหลาย ไม่ว่า หน้าที่รับผิดชอบในงานประจำ ตอบคำถามใน Blog & e-mail เขียน Blog ใหม่และล่าสุด เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ เริ่มส่งผลให้ปวดหลัง ไหล่ แต่พอได้กิน Turmuric force 400 mg 1 เม็ด หลังอาหารเช้า อาการเจ็บปวดเมื่อยหลัง หายเป็นปลิดทิ้ง ว๊าว! มหัศจรรย์จริงๆ ไม่ต้องกินยาสักเม็ดเดียวเลยนะคะ

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สารสกัดจากเปลือกสนทะเลฝรั่งเศส นิยามแห่งความอ่อนเยาว์เหนือกาลเวลา


 ที่สุดของวิตามินเหนือระดับ ในบรรดาสารต้านอนุมูลอิสระทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็น Q10,glutathione ,grape seed,ester-c,vitamin e ,beta-carotene,selenium,astaxanthin ฯลฯ ไม่อาจเทียบได้กับ pycnogenol ซึ่งถือกำเนิดเกิดมา ตั้งแต่ ค.ศ 1947 โดย Dr.Jacques Masquelier นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ผู้ปรีชาสามารถ โดยค้นพบ OPC จากการสกัดเปลือกถั่วลิสง โดยบังเอิญ จากนั้นจึงต่อยอดพัฒนาและจดสิทธิบัตรกระบวนการสกัด OPC ( Oligomeric Proanthocyanidins ) จากเปลือกสนทะเลฝรั่งเศส ( frence maritime pine bark ) มีชื่อทางการค้า คือ pycnogenol
โดยสามารถสกัดได้ทั้งจากเปลือกสนฝรั่งเศสและเมล็ดองุ่นแดง ความเข้มข้นของ OPC โดยทั่วไป
ที่รู้จักกันมากที่สุดคือ 95% จะพบได้ในเมล็ดองุ่น และรองลงมา 80-85% ในเปลือกสนทะเลฝรั่งเศส

 Dr.Jacques Masquelier ได้เคยกล่าวไว้ว่า " กระบวนการสกัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้า flavonoid ไม่ได้รับการสกัดอย่างถูกต้อง มันจะมีความเป็นไปได้สูงที่สารต้านอนุมูลอิสระจะกลายเป็นอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย " บรื้อส์ ทำไมท่านพูดได้น่ากลัวอย่างนี้ล่ะ

 ในอดีต จะสกัดOPC ในเปลือกของสนทะเลฝรั่งเศส ได้แค่ 80-85% แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีชั้นสูง สามารถสกัดด้วยกรรมวิธีพิเศษ ผสมผสานเอกลักษณ์ของธรรมชาติในอัตราส่วนคงที่ ระหว่าง proanthocyanidins ,phenolic ,flavonoid และ organic acid โดยสกัด OPC จากเปลือกสนทะเลฝรั่งเศสได้มากถึง 90% แล้วนะคะ น่าสนใจมากๆตรงนี้แหละ สิทธิบัตรที่ใครๆก็อยากครอบครอง

                 มีประโยชน์อย่างไร
1.ปรับผิวพรรณให้เนียนนุ่ม ขาวใส จากคุณสมบัติเพิ่มกรดไฮยาลูโรนิกในชั้นผิวหนังมากขึ้น 44% ส่งผลให้นอกจากขาวใสแล้วยังลดเลือนริ้วรอยลึกได้อีกด้วย
2.ปรับสภาพผิวที่หมองคล้ำ กระ ฝ้า สีผิวไม่สม่ำเสมอจากการทำลายของแสง UV และความเสื่อมของวัย ได้ดีมาก จากคุณสมบัติปกป้องเซลล์จากความเสียหายจากรังสี UV
3.ลดความดันโลหิตสูง จากการเพิ่มประสิทธิภาพผลิตไนตริกออกไซด์ในผนังหลอดเลือดแดง เพื่อลดแรงดันและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังอวัยวะต่างๆ ดังนั้นจึงช่วยลดความดันในหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดคลายตัว ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น มีความยืดหยุ่นสมบูรณ์แบบ ลดโอกาสเกิดโรคความดันโลหิตสูง,ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและโรคหัวใจ ตามทฤษฎี "โมเลกุลแห่งชีวิต ; ไนตริกออกไซด์ในหลอดเลือดหัวใจ"ของ Professer Louis Ligarro เภสัชกรชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลโนเบล ปี ค.ศ 1998 สาขาสรีระวิทยาหรือการแพทย์ นั่นเอง
4.ลดระดับน้ำตาลในเลือด
5.ปรับปรุงและสร้างสมดุลคุณภาพของสเปิร์ม
6.รักษาเส้นเลือดขอดและลดความเสี่ยงของหลอดเลือดดำอุดตัน
7.ป้องกันผลกระทบต่อร่างกายความเสียหายจากควันบุหรี่
8.ลดความเจ็บปวด (การบีบรัดตัวของมดลูก ) ระหว่างมีประจำเดือน
9.เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเส้นเลือด
10.ลดไขมันคอเลสเตอรอลและลดอุบัติการณ์โรคหลอดเลือดสมอง
11.ลดอาการวัยทอง เช่น ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก
12.ลดอาการภูมิแพ้, หอบหืด,หูอื้อ
13. ปรับปรุงลานสายตาจากภาวะจอประสาทตาเสื่อม
14.บรรเทาอาการโรค ADHD ( Attention Deficit Hyperactivity Disorder ) หรือเรียกว่า สมาธิสั้น นั่นเอง ในต่างประเทศ เป็นที่นิยมมาก
15. บรรเทาความเครียดและเพิ่มพลังงานให้เซลล์ต่างๆในร่างกาย
16. ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ,โรคหลอดเลือดหัวใจ
17.เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์

 การค้นคว้างานวิจัยของ pycnogenol มีมากกว่า 280 บทความและ 98 การทดลองทางคลีนิก ยืนยันถึงความปลอดภัยในการกิน pycnogenol ซึ่งละลายน้ำได้ และมีความโดดเด่นในเรื่องผิวพรรณ กล่าวคือ

 pycnogenol ลดความเสียหายของอนุมูลอิสระที่คอยพรากความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ มีผลดีอย่างมากในการปกป้องคอลลาเจนและอีลาสตินจากการย่อยสลายของเอนไซม์โปรตีน ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจของนักวิทยาศาสตร์หลายคน ว่าทำไมการกิน pycnogenol สม่ำเสมอ จะสามารถย้อนอายุผิวได้มากถึง 10-15 ปี 


ดีกว่าการที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน นิยมกินคอลลาเจนสกัดเป็นหลายพันมิลลิกรัม พอนานวันเข้า ร่างกายย่อยสลายไม่หมด จึงกลายเป็นผังผืดรัดที่ไต อันตรายเห็นๆ เพราะฉะนั้น การที่เราจะทดแทนและเสริมสร้างคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพจากวัยที่มากขึ้น ควรเลือกกิน Pycnogenol ®จะเป็นวิธีดูแลผิวพรรณและฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างปลอดภัยสูงสุด แถมยังสามารถป้องกันผลกระทบความเสียหายของแสงยูวีได้อีกด้วย

 Pycnogenol ®ยังเกิดผลดีในผิวหมองคล้ำไม่สม่ำเสมอ ฝ้า กระ ลดลงอย่างชัดเจนภายใน 16 สัปดาห์

 แป้งมองข้าม super anti- oxidant ตัวนี้ไปตั้งแต่คราวแรก เพราะเห็นว่ามี OPC มากที่สุดแค่ 85% แต่ต้องรีบหันกลับมาทบทวนใหม่ เมื่อศึกษาข้อมูลจากเวปต่างประเทศแล้ว พบว่า เมื่อก่อน pycnogenol จากเปลือกสนทะเลฝรั่งเศส ที่จดสิทธิบัตรกระบวนการสกัดด้วยกรรมวิธีพิเศษนั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของ Dr.Jacques Masquelier แต่ปัจจุบัน (นานแล้ว ) ได้ถูกเปลี่ยนมือมาเป็นสิทธิบัตรของ บริษัท Horphag Research มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และสำนักงานสาขาในสหรัฐอเมริกา ผู้มีสิทธิ์ขาดในการทำตลาดและจัดจำหน่ายเพียงผู้เดียวทั่วโลก เป็นสัจธรรมที่ปลาใหญ่ย่อมต้องกินปลาเล็กเสมอ

 อย่าสับสนนะคะ เพราะมี pycnogenol หลายยี่ห้อ เขียนแปะข้างขวดว่า standardize 95% polyphenols ราคาถูกมาก คาดว่าน่าจะสกัดมาจาก grape seed , เปลือกถั่วลิสง,แอปเปิ้ล ก็เป็นได้ ที่ถูกต้องจะเขียนข้างขวดว่า standardize .....% proanthocyanidins ต่างหาก จึงจะถือได้ว่า เป็น pycnogenol ที่สกัดมาจากเปลือกสนทะเลฝรั่งเศส อย่างแท้จริง และต้องระวัง pycnogenol ที่สกัดจากเปลือกสนปนเปื้อนจากจีน ราคาถูกเช่นเดียวกัน

 แป้งเลือกกิน pycnogenol 100 mg วันละ 2 เม็ด หลังอาหารเช้า เพียง 4 สัปดาห์ ( แต่ก่อนหน้านั้นกินวิตามินผิวขาวใสเป็นเวลาปีกว่าๆ ) ผิวเปล่งปลั่ง ขาวใส มีน้ำมีนวล ยากที่จะหาวิตามินใดมีศักยภาพเทียบเท่า


 นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกเจ้าของรางวัลโนเบล ปีค.ศ 1998 Professer Louis Ligarro ยังแนะนำให้กิน pycnogenol เลย เราจะไม่สนใจกินสุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระเหนือกาลเวลาเหรอค่ะ

 เวลาที่ทำเลเซอร์หรือนวัตกรรมความงามใดๆ ก็งดงามแค่ใบหน้า แต่ทว่า กิน pycnogenol เรียกได้ว่า "สวยทุกเซลล์ " จากภายในเปล่งประกายสู่ภายนอกเลยนะคะ
 

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม