บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2562

R-ALA สารต้านอนุมูลอิสระที่ไม่เหมือนใคร

กรดไลโปอิก(LA)หรือที่เรียกว่ากรดอัลฟ่าไลโปอิก(ALA),R-ALA หรือเรียกว่ากรด Thioctic เป็นสารที่ประกอบด้วยซัลไฟด์ พบได้ในเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกาย

 ALA จากธรรมชาติหรือเรียกว่า R-ALA พบในเนื้อเยื่อสัตว์และพืช ในปริมาณน้อยมาก ทำหน้าที่เป็นปัจจัยร่วมสำหรับเอนไซม์ไมโตคอนเดรีย(Mitochondria)ในระหว่างการผลิตพลังงาน

เนื่องจากมีความยากลำบากอย่างมากและค่าใช้จ่ายสูงในการแยกส่วนประกอบของ R-ALA นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาและยุโรปจึงทำการศึกษาด้วยกรดไลโปอิกสังเคราะห์ 

กรดไลโปอิกสังเคราะห์ประกอบด้วยส่วนประกอบ 50:50 ของสองรูปแบบ(enantiomers)ที่เรียกว่า R-ALA และ S -ALA  ซึ่งทั้งสอง R-ALAและ S -ALA เป็นรูปแบบของ ALA ที่เรียกว่าไอโซเมอร์

ความแตกต่างของ ALA และ R-ALA คือ ALA เป็นสารต้านอนุมูลอิสระคล้ายวิตามิน ในขณะที่ R-ALA เป็นรูปแบบตามธรรมชาติ มีความคงตัวสูงและดูดซึมได้ดีกว่า ALA

 นอกจากนี้ ALA โจมตีอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ ในขณะที่ R-ALA ทำหน้าที่เป็นปัจจัยร่วมสำหรับเอนไซม์ ไมโตคอนเดรีย(Mitochondria)ในระหว่างการผลิตพลังงาน จากการหายใจด้วยเซลล์

  การวิจัยแสดงให้เห็นว่า R-ALA เป็นรูปแบบทางชีวภาพของ ALA ที่ให้ประโยชน์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะระบบประสาทมากขึ้นในขนาดที่ต่ำกว่ากรดไลโปอิกสังเคราะห์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

 ความเข้มข้นของกรดไลโปอิกในพลาสมาโดยทั่วไป จะสูงสุด ในหนึ่งชั่วโมงหรือน้อยกว่าและลดลงอย่างรวดเร็ว

 อาหารเสริมกรดอัลฟาไลโปอิกสังเคราะห์ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบ Rและ Sในปริมาณที่เท่ากัน  อย่างไรก็ตามมีเพียง R-ALA เท่านั้น เป็นรูปแบบที่พบตามธรรมชาติในร่างกาย

 แม้ว่ากรดไลโปอิกจะถูกผลิตขึ้นตามธรรมชาติในร่างกาย แต่นักวิจัยก็ไม่ได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของ ALA จนกระทั่งปี ค.ศ. 1930

 เมื่อตัวอย่างบริสุทธิ์ถูกแยกออกในปี ค.ศ 1950 เป็นครั้งแรกที่เชื่อว่าเป็นวิตามินใหม่

 ต่อมานักวิจัยค้นพบว่าในความเป็นจริง ALA เป็นโคเอนไซม์ที่จำเป็น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาการขนส่งอิเลคตรอนแบบ ไมโตคอนเดรีย(Mitochondria)ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกลูโคสเป็นสารให้พลังงานสูงแก่เซลล์(ATP)

 ในปี 1988 นักวิจัยได้เรียนรู้ว่า ALA เป็นสารต้านอนุมูลอิสระทางชีวภาพที่ทรงพลัง เมื่อค้นพบว่า ALA ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมันและละลายน้ำ ซึ่งสามารถข้ามเยื่อหุ้มเซลล์ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น ALA จึงสามารถป้องกันอนุมูลอิสระให้กับโครงสร้างเซลล์ทั้งภายในและภายนอก

 กรดอัลฟ่าไลโปอิก(ALA) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีลักษณะคล้ายวิตามินซึ่งสามารถต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ซ่อมแซมตับที่เสียหาย บรรเทาโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน (polyneuropathy) และป้องกันกระบวนการออกซิเดชั่นที่เร่งให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย

  Dr.Lester Packer นักวิทยาศาสตร์อาวุโสที่สถาบัน Lawrence Berkeley Laboratory และหัวหน้าห้องแล็บที่ University of California ใช้เวลากว่า 35 ปีในการศึกษาว่า สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C, E และกลูตาไธโอนมีปฏิกิริยาอย่างไรในร่างกาย

 ดร. แพคเกอร์ค้นพบครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนว่า วิตามินอีถูกรีไซเคิลโดยวิตามินซี

แม้จะมีความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับวัฏจักรการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย เมื่อดร. แพคเกอร์และนักวิจัยคนอื่นทดสอบวิธีการเพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระ พวกเขาพบปัญหาเมื่อพยายามเพิ่มระดับกลูตาไธโอนภายในเซลล์ ในขณะที่เพิ่มการบริโภคแหล่งอาหารจากธรรมชาติหรืออาหารเสริม สามารถเพิ่มระดับวิตามินอีและซีได้อย่างง่ายดาย

  แต่นอกเหนือจากการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพที่ทรงพลังแล้ว ดร.แพคเกอร์ยังค้นพบว่า ALA ยังสามารถเพิ่มระดับกลูตาไธโอนในเซลล์ได้อีกด้วย

 มีประโยชน์อย่างไร
 1.ลดความเสียหายของผิวและชะลอริ้วรอยก่อนวัย กรดไลโปอิกที่เป็นส่วนประกอบในครีมบำรุงช่วยเพิ่มความหนาของชั้นผิว ลดความหยาบกร้านและความเสียหายของผิวที่โดนแสงแดด

 2.กรดไลโปอิกอาจมีประโยชน์ในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โดยการลดระดับของ cytokines(สารที่หลั่งจากเซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกันในภาวะที่ถูกกระตุ้นด้วยแอนติเจนหรือตอบสนองต่อภาวะการอักเสบ)ในเลือด

 3.กรดไลโปอิกเมื่อรวมกับ Acetyl-l-carnitine จะช่วยลดความดันโลหิตและส่งเสริมการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย

 4.ช่วยยับยั้งการเกิดต้อกระจกและช่วยลดการตายของเซลล์ในจอประสาทตา(พบในสัตว์ทดลอง)

 5.ช่วยลดการอักเสบและการเสื่อมของกระดูกอ่อนในหนูที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม
 6.กรดไลโปอิกสามารถจับโลหะที่เป็นพิษและทำปฏิกิริยาเป็นกลาง เช่น แคดเมียม ทองแดง สังกะสี ตะกั่ว จึงป้องกันสารพิษสะสมในตับและกระแสเลือด

 7.มีประสิทธิภาพในป้องกันความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ

 8.ช่วยเพิ่มระดับกลูตาไธโอนและเอนไซม์ Superoxide Dismutase(SOD)

  9.ช่วยรีไซเคิลวิตามินซี อี ที่ถูกทำลายลงให้นำกลับมาใช้ในร่างกายได้อีกครั้ง

  10.ลดภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นนานเกินกว่า 5 ปี(คนที่เป็นเบาหวานนานเกิน 5 ปีขึ้นไป มักจะมีอาการชาปลายมือปลายเท้า โดยจะมีอาการเฉพาะบริเวณข้อมือหรือข้อเท้าเท่านั้น)

 หมายเหตุ อาหารเสริมกรดไลโปอิกที่วางจำหน่ายในขนาด 600-1800 มิลลิกรัมต่อวัน

 มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ปริมาณที่เพิ่มจะตามด้วยผลข้างเคียงที่มากขึ้น  ผลข้างเคียง : ผื่น ลมพิษ หายใจลำบาก คลื่นไส้ คันที่ผิวหนัง         





  ที่มา

 R-Lipoic Acid - The most active form of alpha-lipoic acid to support healthy nerve and brain function* |

Thorne www .thorne. com › products › r-li... iew

 www .selfhacked. com › blog › lipoi...Alpha-Lipoic Acid Benefits + Dietary Sources - SelfHacked

www .everydayhealth. com › a...Alpha-Lipoic Acid - Side Effects, Dosage, Interactions - Drugs - Everyday Health

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Mentalk ลูกอมโสมทะเลทรายเกรดพรีเมี่ยมชื่อดังในตำนาน

Mentalk เป็นลูกอมโสมทะเลทรายเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เกรดพรีเมี่ยมชื่อดังในตำนาน ผลิตในประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วยสมุนไพรชั้นเยี่ยม ปราศจากสารเคมีในทุกขั้นตอนการผลิต ไม่มีส่วนผสมของยาไวอากร้า(Viagra)หรืออนุพันธ์ของไวอากร้า

มีประสิทธิภาพสูง เห็นผลภายใน 3 ชม.มีฤทธิ์สูงสุด 5 วันและคงอยู่ในร่างกาย 5-7 วัน ขึ้นอยู่กับระดับความวิตกกังวลหรือความเครียด

หากมีความความเครียดสูง จะทำให้อนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ลูกอมโสมทะเลทรายจะลดระดับลงอย่างรวดเร็วจนหมดไปจากร่างกายภายใน 3 วัน

เรามาดูกันว่า Mentalk ลูกอมโสมทะเลทรายรสกาแฟนี้มีดีอย่างไร

ส่วนผสม ; น้ำตาลทรายแดง เมล็ดกาแฟคั่วบด สารสกัดจากมอลต์ สารสกัดจากทับทิม โสมเกาหลี ( panax ginseng ) โสมทะเลทราย ( cynomorium songaricum )
     
โสมเป็นพืชล้มลุกที่ปลูกยาก ต้องปลูกในที่มีอากาศหนาวเย็นสม่ำเสมอ ห่างไกลจากทะเล น้ำและดินไม่มีมลพิษ มีรากลึกประมาณ 1ฟุต ลำต้นสูงประมาณ 1เมตร โสมทางฝั่งเอเชียนิยมเพาะปลูกทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ส่วนโสมอเมริกาจะมาจากรัฐวิสคอนซินหรือแคนาดา ปัจจุบันมีการเพาะปลูกโสมเชิงพาณิชย์ เนื่องจากโสมป่าเป็นของที่หายากมาก
     
มีประโยชน์อย่างไร
     
สาร Adaptogens ในโสม มีคุณสมบัติลดระดับความเครียด ช่วยปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้ทนต่อภาวะกดดันต่างๆ ได้มากขึ้นและยังช่วยลดความเมื่อยล้า โดยกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายสร้างพลังงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงมากขึ้น นอกเหนือจากสรรพคุณที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีรายงานผลการวิจัยของโสมเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

1.กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง โดยการสร้างสาร Interferon ซึ่งเป็นสารต้านเชื้อไวรัส และกระตุ้นการสร้างโปรตีน Interleukin- 1
2.มีส่วนช่วยเพิ่มการสร้างพลังงาน ทำให้นักกีฬามีความทนทานต่อการออกกำลังกายอย่างหนักได้ดีขึ้น และสามารถนำพาออกซิเจนไปใช้ทั่วร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3.ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบในหญิงวัยหมดประจำเดือนหรืออาการวัยทอง
4.ลดการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียดจากต่อมหมวกไต
5.ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
6.เพิ่มระดับภูมิต้านทานในร่างกายให้สูงขึ้น
7.ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเป็นปกติ
8.ลดระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับมาตรฐาน
9.ลดอาการข้างเคียงจากการฉายรังสี
     
โสมทะเลทราย ( cynomorium songaricum ) เติบโตในทะเลทรายมีลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์และสภาพอากาศ ซึ่งความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวัน-กลางคืนมากกว่า 100 องศาเซลเซียส เวลากลางวันอุณหภูมิสูงสุด 95 องศาเซลเซียส ส่วนเวลากลางคืนอุณหภูมิต่ำสุด -30 องศาเซลเซียส พบมากในมองโกเลีย ทิเบต ทะเลทรายซาฮาราในประเทศซาอุดิอารเบีย
     
มีประโยชน์อย่างไร

1.ต่อต้านอนุมูลอิสระที่คอยทำร้ายเซลล์ต่างๆในร่างกาย
2.ปรับปรุงคุณภาพของสเปิร์มให้แข็งแรง
3.บำรุงกล้ามเนื้อและกระดูก
4.ลดอาการปวดตามข้อต่อ
5.เพิ่มระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย
6.เพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ เพิ่มพลังงานในร่างกาย
7.บรรเทาความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า
8.เพิ่มการสร้างจำนวนเม็ดเลือดแดง เพิ่มการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย
9.เพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ ไม่มีส่วนผสมของยาไวอะกร้าหรืออนุพันธ์ของยาไวอะกร้า

ใครที่ได้ลิ้มลอง จะย้อนคืนวันชายฉกรรจ์ช่วงอายุ 20 ปีอีกครั้ง อย่างไร้ข้อกังขา ไม่ว่าปัจจุบันจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม

ดังนั้นจึงมีแต่เพิ่มกำลังวังชา เพิ่มความทนในการออกกำลังกายแถมเพิ่มความกระชุ่มกระชวย กระปรี้กระเปร่า ไม่หมดแรงเหนื่อยง่าย แข็งแรงตลอดไปจากคุณสมบัติของสมุนไพรชั้นเลิศในลูกอมโสมทะเลทราย


ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เกรดพรีเมี่ยม เห็นผลชัดเจน ปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาว มีจำหน่ายเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย





สอบถามราคาและสั่งซื้อได้ที่

Tel.061-742-9944
ID line : 0617429944



ขนาดบรรจุ 30 เม็ด
รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ก่อนมีเพศสัมพันธ์ 3 ชม.ออกฤทธิ์ได้นาน 5-7 วัน

หมายเหตุ
1.ไม่ควรใช้ลูกอม Mentalk ในขณะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพลดลง
2.ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงและเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ผลข้างเคียงต่างๆจากการกินวิตามินที่เราควรรู้

ทุกวันนี้ตลาดอาหารเสริมหรือวิตามินเติบโตอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดเนื่องจากคุณประโยชน์หรือสรรพคุณของวิตามินที่มีมากมาย แป้งเชื่อว่ามีหลายคนรับประทานอาหารเสริมเพื่อจุดประสงค์ต่างๆ เช่น ชะลอวัย ฟื้นฟูสุขภาพและบำรุงผิวพรรณ ฯลฯ

แต่ใช่ว่าเราจะได้รับประโยชน์จากอาหารเสริมเพียงด้านเดียว
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น มีไม่น้อยจนทำให้ไม่สามารถรับประทานวิตามินชนิดนั้นได้เช่นกัน

มาดูกันว่าอาหารเสริมเหล่านั้นมีผลทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร เกิดกรดไหลย้อน คลื่นไส้หรือเกิดสิว ผดผื่นคัน ฯลฯได้หรือไม่

1.วิตามินบี 6 และโกโก้ อาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารหรือทำให้เกิดอาการเสียดท้องในบางคน

2.อาร์จินีน(Arginine)อาจเพิ่มระดับกรดในกระเพาะอาหารและทำให้เกิดกรดไหลย้อน(โปรดทราบว่า อาร์จินีนอาจถูกชูเป็นจุดเด่นเพียงตัวเดียวหรือเป็นส่วนประกอบในอาหารเสริมเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ)

หากรับประทานร่วมกับยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพื่อใช้รักษากรดไหลย้อน เช่น omeprazole(Prilosec)หรือเซนต์จอห์นเวิร์ต(St John's Wort)ซึ่งเป็นสมุนไพรบรรเทาโรคซึมเศร้า อาจทำให้อาการเกิดกรดไหลย้อนเพิ่มขึ้น

3.วิตามินซีอาจทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นในบางคน แต่โชคดีที่มีวิตามินซีรูปแบบพิเศษ(Ester-c)ซึ่งมีประโยชน์คือ สกัดความเป็นกรดออกไปจนหมดสิ้น จึงไม่ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

4.วิตามินเกลือแร่รวม(Multivitamin)มักมีแร่ธาตุ เช่น เหล็ก(Iron)และสังกะสี(Zinc)ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร

5.ซิตรัสไอโอฟลาโวนอยด์(Citrus Bioflavonoid)ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่พบบ่อยใน Multivitamin(วิตามินเกลือแร่รวม) สามารถทำให้เกิดอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนได้ในผู้หญิงเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือใช้ฮอร์โมนทดแทน

6.CoQ10 สามารถทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อย่างไรก็ตามสามารถลดผลข้างเคียงได้โดยการแบ่งปริมาณวิตามินและควบคุมช่วงเวลาของวัน

ไม่ควรรับประทานตอนเย็นเนื่องจาก CoQ10 เป็นวิตามินที่ให้พลังงาน อาจมีผลทำให้นอนไม่หลับในช่วงกลางคืน

7.NAC,ALA อาจมีผลทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารหรือเกิดผดผื่น คันตามตัว

8.อาหารเสริมน้ำมันปลา(Omega-3,Fish oil)มีผลทำให้เกิดกรดไหลย้อน คลื่นไส้และเรอกลิ่นคาวปลาได้ในบางคน

9.แมกนีเซียม(Magnesium)ทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือท้องเสีย

10.SAM-e อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องในบางคน ซึ่งสามารถลดลงได้โดยการใช้สูตรเคลือบลำไส้(Enteric),ขนาดเล็ก
(Mini Dose),แบ่งขนาดหรือรับประทานพร้อมอาหาร

11.การศึกษาหนึ่งพบว่า Curcumin(ขมิ้นชัน)ใช้รักษาอาการกรดไหลย้อน แต่อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และปวดท้องเล็กน้อยในบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานขมิ้นชันปริมาณสูงหรือใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน

12.แม้ว่าจะมีหลักฐานเบื้องต้นว่า Ginger(ขิง)มีประโยชน์สำหรับลดอาการคลื่นไส้หรือลดกรดไหลย้อน แต่อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือกรดไหลย้อนได้ในบางคน

13.วิตามินบีรวม(B-complex)ที่มีส่วนประกอบเป็นวิตามินซี ไบโอติน(Biotin)และกรดโฟลิก(Folic Acid )อาจทำให้เกิดอาการมึนงงปวดศีรษะ คลื่นไส้และท้องเสียเล็กน้อย

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของสูตร B-complex คือกรดไหลย้อนและท้องผูก

กรดไหลย้อนไม่ได้เป็นผลข้างเคียงในทันทีของการรับประทาน
วิตามินบีรวม อย่างไรก็ตามเม็ดวิตามินที่มีขนาดใหญ่มาก อาจทำให้หลอดอาหารระคายเคืองมีผลทำให้เกิดการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหาร

14.R-ALA อาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารและเกิดกรดไหลย้อนได้

15.Collagen 2500 mg ขึ้นไป มีผลทำให้เกิดสิวอุดตัน สิวผดได้ในผู้ที่มีผิวผสม-ผิวมัน






ที่มา
https://www.consumerlab.com › hea...Supplements That Cause Reflux, Heartburn & GERD | Consumerlab ...
https://www.livestrong.com › articleIs it Normal to Have Acid Reflux After Taking a Vitimin B Complex ...
บล็อกแป้งปังปอนด์



กาแฟเบอร์รี่ 3 in 1 เพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้อย่างไร

กาแฟเบอร์รี่ 3 in 1 เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เกรดพรีเมี่ยม ผลิตในประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วยสมุนไพรชั้นเยี่ยม ปราศจากสารเคมีในทุกขั้นตอนการผลิต ไม่มีส่วนผสมของยาไวอากร้า(Viagra)หรืออนุพันธ์ของไวอากร้า มีฤทธิ์สูงสุด 5 วันและคงอยู่ในร่างกาย 5-7 วัน ขึ้นอยู่กับระดับความวิตกกังวลหรือความเครียด

หากมีความความเครียดสูง จะทำให้อนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น กาแฟสมุนไพรจะลดระดับลงอย่างรวดเร็วจนหมดไปจากร่างกาย( 3 วัน)

ประกอบด้วยส่วนผสมสำคัญดังนี้

1.Peruvian Maca ( Lepidium meyenii )เป็นผักตระกูลกะหล่ำซึ่งเป็นพืชชนิดเดียวกันกับบรอกโคลี กะหล่ำปลีและคะน้า

Maca เป็นพืชขนาดเล็กที่เติบโตสูงประมาณหกนิ้ว มีรูปทรงคล้ายหัวผักกาด ส่วนใหญ่จะเติบโตในเทือกเขาแอนดีสทางตอนเหนือของเปรูและโบลิเวียในภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยและสูงมากคือสูงกว่า 13,000 ฟุต (4,000 เมตร)มีประวัติยาวนานของการใช้เป็นอาหารและยาในเปรู

นักวิจัยทางการแพทย์เรียกสมุนไพรนี้ว่า” Adaptogen “หมายถึงการมีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มระดับความต้านทานของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความเครียดทางร่างกายรวมถึงจิตใจ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ เพิ่มพลังงานและความทนทานของกล้ามเนื้อ

2.Tribulus terrestris(โคกกะสุน)เติบโตได้ดีในบางส่วนของยุโรป, เอเชีย, แอฟริกาและตะวันออกกลาง

นิยมใช้ทั้งรากและผลของพืชเพื่อผลิตยาในการแพทย์แผนจีนและยาอายุรเวทอินเดีย

ทุกวันนี้ Tribulus terrestris ใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพทั่วไปเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน

นักวิจัยบางคนพบว่า เมื่อผู้ชายที่มีแรงขับทางเพศลดลง
การบริโภคสมุนไพร Terrestris Tribulus 750–1,500 มก. ต่อวันเป็นเวลาสองเดือน จะช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศ 79%

3.Tongkat Ali(ตงกัดอาลี) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปลาไหลเผือก

รัฐบาลมาเลเซียส่งเสริมให้เป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงของประเทศ พบมากในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์และภาคใต้ของไทย

มีประโยชน์อย่างไร

1.เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ใช้ได้ผลแม้กระทั่งผู้ที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศไปแล้ว
2.เพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ เพิ่มพลังงานในร่างกาย
3.ปรับปรุงคุณภาพของสเปิร์มให้แข็งแรง
4.ฟื้นฟูบำรุงกล้ามเนื้อและกระดูกให้แข็งแรง
5.เพิ่มความยาวขององคชาต(พบในหนูทดลอง)
6.บรรเทาความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า
7.เพิ่มการสร้างจำนวนเม็ดเลือดแดง
8.เพิ่มความทนทานในการออกกำลังกาย
9.ขยายหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกาย

ดังนั้นจึงมีแต่เพิ่มกำลังวังชา เพิ่มความทนในการออกกำลังกายแถมเพิ่มความกระชุ่มกระชวย กระปรี้กระเปร่า ไม่หมดแรงเหนื่อยง่าย แข็งแรงตลอดไปจากคุณสมบัติของสมุนไพรชั้นเลิศในกาแฟเกรดพรีเมี่ยม

ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เกรดพรีเมี่ยม เห็นผลชัดเจน ปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาว





มีจำหน่ายเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย 
สอบถามและสั่งซื้อได้ที่

mentalksiam.lnwshop.com
ID line : 0617429944
Tel: 061-742-9944












ที่มา
https://www.healthline.com/nutrition/tribulus-terrestris

https://en.wikipedia.org › wiki › But...Butea superba - Wikipedia

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=rainny-season&month=06-2017&date=23&group=2&gblog=108

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=rainny-season&group=2

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2562

ทำไมเราถึงไม่ได้รับประโยชน์จากวิตามิน

แป้งสงสัยมานานแล้วว่า ทำไมเวลาที่เราอ่านสรรพคุณของวิตามินต่างๆแต่ละตัว(บางทียาวเป็นหางว่าว)จะมีประโยชน์หลากหลายแทบจะเคลิ้ม บางทีกินวิตามินแค่ตัวเดียวจบ วิตามินอย่างอื่นไม่จำเป็นเลย

แต่ในความเป็นจริงพอเรากินวิตามินเข้าไป เราจะได้รับประโยชน์เพียงไม่กี่อย่างหรือส่วนมากจะแค่อย่างสองอย่างด้วยซ้ำไป จึงทำให้เราต้องกินวิตามินหลายชนิดรวมกันในวันหนึ่งๆ

อ้าว! แล้วสรรพคุณอื่นๆของวิตามินทำไมเราไม่ได้รับทั้งหมด นอกเหนือจากเหตุผลในคุณภาพของวิตามินและการดูดซึม
พอมาอ่านบทความเกี่ยวกับสัตว์ทดลอง ถึงได้เข้าใจว่าเป็นแบบนี้นี่เอง

มีการตั้งคำถามถึงกระบวนการทดลองในแง่มุมที่ค่อนไปทางทารุณสัตว์เพราะพวกมันไม่ได้เต็มใจด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ถูกนำมาศึกษาชีววิทยาขั้นพื้นฐานหรือหลักการเกิดโรค แม้ที่ผ่านมาสัตว์ทดลองสร้างความก้าวหน้าให้กับโลกการแพทย์จนสาธยายคุณความดีไม่หมด แต่มันก็เหมือนทดลองในส้มแล้วไปเทียบกับผลแอปเปิล
การทดลองในสัตว์ไม่ได้ให้ผลแม่นยำ จนสามารถนำมาเทียบกับมนุษย์ได้ทุกครั้งไป เพราะสิ่งมีชีวิตล้วนมีความแตกต่างในเชิงกายภาพ

ทุกๆ ปีจะมีสัตว์ถูกทดลองกว่า 100 ล้านตัวต่อปีทั่วโลก
ส่วนใหญ่สัตว์ทดลองถูกเพาะพันธุ์ในสภาพแวดล้อมปิด เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม

ในจำนวนนี้ 95% เป็นเหล่าหนู นก และปลา เนื่องจากมีวงจรชีวิตสั้น เพาะพันธุ์ได้เร็ว ระยะหลังมีการห้ามทดลองกับ ‘ลิง’ ในสหรัฐอเมริกา แต่ก็มีข้อมูลว่า ลิงยังถูกทดลองอยู่อีกกว่า 60,000 ตัวต่อปีทั่วโลก

การทดลองเพื่อหายารักษาโรคมะเร็งที่ได้ผลจากการทดลองในสัตว์อย่างดีเลิศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนู กลับล้มเหลวเมื่อนำไปใช้กับมนุษย์ในอัตราส่วน 9 ต่อ 10 เลยทีเดียว และยาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท 100 ตัว ได้ผลจริงๆ แค่ 2 ตัวเท่านั้น

แม้สัตว์ทดลองจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราได้ยาทรงประสิทธิภาพมากมายที่กินในทุกวันนี้ แต่ส่วนหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ผลที่ได้
ค่อนข้างถูกเบี่ยงเบนหลายประการ

ดังนั้นสรรพคุณของวิตามินต่างๆซึ่งใช้สัตว์ทดลองเช่นเดียวกับยารักษาโรค ถึงแม้จะพบว่าวิตามินมีประโยชน์มากมายในสัตว์ทดลอง แต่พอมนุษย์กินเข้าไป ผลที่ได้รับกลับแตกต่างจากสัตว์ทดลองอย่างสิ้นเชิง

อนึ่งเหตุผลที่ส่วนใหญ่การศึกษาวิจัยไม่ทดลองในมนุษย์ เนื่องจากควบคุมองค์ประกอบหลายๆอย่างไม่ได้ ต้องใช้คนจำนวนมาก ที่สำคัญคือ ค่าใช้จ่ายมหาศาลเมื่อเทียบกับสัตว์ทดลอง








ที่มา
https://thematter.co

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เนื้องอกมดลูกไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

ช่วงนี้แป้งได้ยินเรื่องราวของเพื่อนๆร่วมรุ่นและคนรู้จักพากันเป็นเนื้องอกมดลูก(Myoma Uteri,Uterine Fibroids)จำนวนหนึ่ง ซึ่งต้องรับการผ่าตัดเพื่อตัดมดลูก(hysterectomy)ทราบมาว่า บางคนมีค่าใช้จ่ายการผ่าตัดผ่านกล้องเกือบ 500,000 บาท ในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง(มีประกันชีวิต แทบไม่ต้องจ่ายเพิ่ม)ทำให้รู้สึกว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ เลยพลอยต้องมาศึกษาเพิ่มเติมว่า โรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง

เนื้องอกประมาณ 25-30% ของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ เกิดจากการเจริญเติบโตของ noncancerous(เนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง)ก้อนเหล่านี้เกิดขึ้นในผนังของมดลูก มักจะอยู่ในช่วงอายุ 35-50ปี

ผู้หญิงจำนวนมากมีเนื้องอกแต่ไม่มีอาการ ผู้หญิงแอฟริกัน-อเมริกันมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นเนื้องอกที่มีอาการมากกว่าผู้หญิงในกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ถึงสามเท่า

เกือบร้อยละ 80 ของผู้หญิงที่มีเนื้องอก อาจเกิดจากพันธุกรรม
มีความเสี่ยงมากหากแม่หรือพี่สาวมีเนื้องอก

เนื้องอกมดลูกที่มีขนาดใหญ่มากสามารถขยายมดลูกให้มีขนาดเท่ากับการตั้งครรภ์ไตรมาสที่สอง หากโตมาด้านหน้าใต้กระเพาะปัสสาวะ(anterior)จะกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ มีผลทำให้ปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะลำบาก แต่ถ้าเนื้องอกเจริญเติบโตอยู่ด้านหลัง(posterior)จะกดเบียดลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ท้องผูก

เนื้องอกมดลูก แบ่งเป็น 3  ชนิดคือ

        1.  Subserosal fibroids คือเนื้องอกที่โตยื่นออกไปจากตัวมดลูก
         2.   Intramural fibroids คือเนื้องอกที่โตในกล้ามเนื้อมดลูก
         3. Submucous fibroids คือเนื้องอกที่โตในโพรงมดลูก

เนื้องอกมดลูกเกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยาก การแท้งบุตร และการคลอดก่อนกำหนด แต่หนักที่สุดคือจะมีประจำเดือนออกมาเป็นก้อนเลือดเรียกว่า menorrhagia กล่าวคือต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าอะไรทำให้เกิดเนื้องอก 
ยีน(Gene)ที่เร่งการเจริญเติบโตของเซลล์กล้ามเนื้อมดลูก
อาจมีบทบาท ความผิดปกติในหลอดเลือดมดลูกอาจมีส่วนร่วม 
ความแปรปรวนของฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนดูเหมือนจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของเนื้องอก

เนื้องอกมดลูกมักไม่เกิดขึ้น ก่อนที่จะมีประจำเดือนครั้งแรก

การตั้งครรภ์สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมักจะหดตัวลงหลังวัยหมดประจำเดือน

เนื้งอกมดลูกที่มีขนาดใหญ่สามารถทำให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนดังนี้
ความเจ็บปวด
เลือดออกจำนวนมาก
ท้องผูก
โรคโลหิตจาง
มีบุตรยาก
การแท้งบุตร


การรักษา
1.20-50%ของผู้หญิงที่มีเนื้องอก ไม่จำเป็นต้องรักษา
ในขณะที่ไม่มีอาหารชนิดใดสามารถรักษาหรือป้องกันไม่ให้เกิดเนื้องอก อย่างไรก็ตามผู้หญิงที่มีเนื้องอกมดลูกส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรักษา

หากอายุยังน้อยและมีอาการไม่รุนแรง สูตินรีแพทย์มักจะแนะนำให้สังเกตและอัลตราซาวน์เพื่อติดตามการรักษา เนื่องจากเนื้องอกมดลูกมีแนวโน้มที่จะหดตัวหลังจากวัยหมดประจำเดือน 

2.การรักษาโดยการใช้ยาตามดุลยพินิจของสูตินรีแพทย์

3.การผ่าตัดมี 2 แบบคือ
3.1การตัดเฉพาะเนื้องอก(myomectomy ) มักจะทำในผู้ป่วยที่อายุน้อยหรือยังต้องการมีบุตร
3.2การตัดมดลูก(hysterectomy) ทำในผู้ป่วยที่อายุมากหรือมีบุตรเพียงพอแล้ว

ข้อเสียอย่างหนึ่งของการตัดเฉพาะเนื้องอกมดลูก(myomectomy )คืออาจเกิดการยึดเกาะ (การยึดเกาะเป็นเนื้อเยื่อแผลเป็นชนิดหนึ่งที่ก่อตัวในอวัยวะอุ้งเชิงกรานและเชื่อมเข้าด้วยกัน) อีกอย่างหนึ่งคือเนื้องอกเจริญอาจเกิดขึ้นอีกเนื่องจากมดลูกไม่ได้ถูกกำจัดออกไป ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับการรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดี( Gallbladder)เป็นอวัยวะบริเวณช่องท้องทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำดี ทำให้น้ำดีเข้มข้นเพื่อพร้อมสำหรับย่อยไขมัน ส่วนใหญ่ศัลยแพทย์มักจะตัดถุงน้ำดีออกไปด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและอาจเกิดนิ่วในถุงน้ำดีอีกครั้ง

ในผู้หญิงที่ตัดเฉพาะเนื้องอก 10-33% มักมีการผ่าตัดครั้งที่สองภายในห้าปี

เกือบร้อยละ 80 ของผู้หญิงที่มีเนื้องอก อาจเกิดจากพันธุกรรม มีความเสี่ยงมากหากแม่หรือพี่สาวมีเนื้องอก

การเจริญเติบโตของเนื้องอกมดลูกไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติในผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน แต่หากเกิดในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเนื้องอกจะขยายตัว(ปกติผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเนื้องอกจะฝ่อลงตามมดลูกไป)อาจบ่งบอกถึงความร้ายกาจและควรติดตามอย่างใกล้ชิด

ผู้หญิงที่มีอาการข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ควรปรึกษาแพทย์
• ปวดประจำเดือนมากกว่าปกติหรือปวดรุนแรงขึ้นทุกเดือน
• มีประจำเดือนออกมาก หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดกะปริดกะปรอยนานเกิน ๑ สัปดาห์
• มีอาการปวดหน่วงๆ ที่ท้องน้อยหรือปวดหลังส่วนล่างแบบเรื้อรัง
• มีอาการปวดขณะร่วมเพศ
• ท้องผูกเรื้อรัง
• ปัสสาวะบ่อย กะปริดกะปรอย หรือปัสสาวะขัด
• คลำพบก้อนที่ท้องน้อย หรือท้องโตคล้ายคนท้อง











ที่มา
https://www.healthline.com › healthผลการค้นเว็บFibroids: Types, Causes, and Symptoms - Healthline
https://www.uclahealth.org › fibroidsFibroids: What are Fibroids? Fibroids Symptoms, Treatment, Diagnosis - UCLA - UCLA Health
https://www.doctor.or.th › detailเนื้องอกมดลูก - บทความสุขภาพ โดยมูลนิธิหมอชาวบ้าน
https://www.medicinenet.com › articleผลการค้นเว็บUterine Fibroids: Pain, Symptoms, Treatment, Causes & Surgery - MedicineNet

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Peruvian Maca วิตามินไวอากร้าธรรมชาติจากเทือกเขาสูงชัน

Peruvian Maca Lepidium meyenii )เป็นผักตระกูลกะหล่ำซึ่งเป็นพืชชนิดเดียวกันกับบรอกโคลี กะหล่ำปลีและคะน้า

Maca เป็นพืชขนาดเล็กที่เติบโตสูงประมาณหกนิ้ว มีรูปทรงคล้ายหัวผักกาด ส่วนใหญ่จะเติบโตในเทือกเขาแอนดีสทางตอนเหนือของเปรูและโบลิเวียในภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยและสูงมากคือสูงกว่า 13,000 ฟุต (4,000 เมตร)มีประวัติยาวนานของการใช้เป็นอาหารและยาในเปรู

Maca มีความแตกต่างกันในองค์ประกอบทางเคมีและการใช้งานของราก แบ่งเป็น 3 กลุ่มสีพื้นฐานดังนี้

1.Yellow Maca คิดเป็นประมาณ 60% ของราก Maca ทั้งหมดที่เก็บเกี่ยวในเปรู เป็นรูปแบบที่ถูกใช้มากที่สุดและวิจัยมากที่สุดของผลิตภัณฑ์ Maca ทั้งหมด มีประสิทธิภาพในการเพิ่มพลังงาน ปรับความสมดุลของฮอร์โมน  

2.Red Maca ประกอบไปด้วยประมาณ 25% ของการเก็บเกี่ยวประจำปี มีรสชาติที่หอมหวานกว่า Maca สีอื่น

การศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีระดับ
ไฟโตเคมิคอล( phytochemical) สูงสุดของสี Maca ทั้งหมด ถือได้ว่าเป็นชนิดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับผู้หญิง เนื่องจากมีผล
กระทบต่อความสมดุลของฮอร์โมนเพศ

3.Black Maca เป็นสีที่หายากที่สุดของ Maca ทั้งหมดซึ่งคิดเป็นประมาณ 15% ของการเก็บเกี่ยวประจำปี

 การศึกษาแสดงให้เห็นว่า Maca สีดำมีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อความอดทนการมุ่งเน้นด้านจิตใจและความใคร่

ผง Maca เตรียมจากรากที่เก็บเกี่ยวตากแห้งให้สะอาดแล้วบดให้เป็นผงละเอียด ในระหว่างกระบวนการนี้รากจะไม่ถูกความร้อนสูงกว่า 45 C (115 F) ดังนั้นจึงรักษาปริมาณสูงสุดของสารอาหาร เอนไซม์และglucosinolates(กลูโคซิโนเลตคือสารประกอบที่เป็นสารต้านมะเร็ง มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ กระเพาะปัสสาวะและปอดลงได้ถึง 60% เช่นเดียวกับคุณประโยชน์ในคะน้า กะหล่ำปลี บรอกโคลี ฯลฯ)

ในการเตรียมผง Maca ที่ทำเจลลาติไนซ์ รากที่ตากแดดแล้วจะถูกต้มก่อน ต่อมาจึงถูกอัดแรงดันเพื่อกำจัดปริมาณแป้งทั้งหมด โดยใช้ผง Maca 4 กิโลกรัมในการผลิตสารสกัด Maca gelatinized 1 กิโลกรัม (อัตราส่วน 4: 1) 

การให้ความร้อนแก่ Maca จะทำลายเอนไซม์และเปลี่ยนแปลงบางส่วนของกลูโคซิโนเลต แต่ก็จะมีความเข้มข้นของสารประกอบที่มีประสิทธิภาพอยู่จำนวนมาก รวมทั้งทำให้ย่อยง่ายขึ้นในระบบทางเดินอาหาร

การเจลลาติไนซ์ (gelatinization) คือปรากฏการณ์ของน้ำแป้งเมื่อได้รับความร้อน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภายในโมเลกุล
ของเม็ดแป้ง (starch granule) เนื่องจากความร้อนทำลายพันธะไฮโดรเจนภายในโมเลกุลของสตาร์ชในเม็ดแป้ง สายพอลิเมอร์
ของอะไมโลส (amylose) และอะไมโลเพกทิน (amylopectin) ที่อัดแน่นอยู่ในเม็ดแป้งจะคลายตัวและรวมกับน้ำที่ล้อมรอบ
ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลักษณะปรากฏ เม็ดแป้งพองตัว และความหนืดของน้ำแป้งเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง


โดยทั่วไปถือว่า Maca ปลอดภัย
ขนาดมาตรฐานของMaca ชนิดผงแห้งหรือMaca gelatinized
ที่เหมาะสมมักจะมีปริมาณ 1,500-3,000 มกวันละครั้งหรือสองครั้งต่อวัน

ผลข้างเคียง : โดยทั่วไปไม่มีผลข้างเคียง เว้นแต่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ควรพิจารณา Maca ในรูปแบบ
เจลาติไนซ์

นอกจากนี้หากคุณมีปัญหาต่อมไทรอยด์ ควรต้องระวัง Maca
เพราะมีgoitrogens(สารที่อาจรบกวนการทำงานปกติของต่อมไทรอยด์)สารประกอบเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อร่างกายหากคุณมีการทำงานของต่อมไทรอยด์บกพร่อง

มีประโยชน์อย่างไร
1.เพิ่มความใคร่
การศึกษาพบว่าราก Maca อาจช่วยเพิ่มความใคร่
ประโยชน์ที่รู้จักกันดีที่สุดของราก Maca คือศักยภาพในการเพิ่มความใคร่ 

มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนข้อนี้
ยกตัวอย่างเช่นการศึกษาเก่าจากปี 2002พบว่าผู้ชายที่รับประทาน Maca 1.5 หรือ 3 กรัต่อวัน มีประสบการณ์ความใคร่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับยาหลอก

การทบทวนการศึกษาเกี่ยวกับ Maca และการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในปี 2010พบหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าMaca สามารถปรับปรุงความใคร่ได้ แต่ผู้เขียนบทความเตือนว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม

2.เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพิ่มพลังงานและปรับปรุงประสิทธิภาพการออกกำลังกาย

3.ลดอาการต่างๆของสตรีวัยหมดประจำเดือน
ราก Maca อาจช่วยทำให้ระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนในช่วงวัยหมดประจำเดือน มีความสมดุล ซึ่งระยะเวลาก่อนที่ผู้หญิงจะถึงวัยหมดประจำเดือนระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะผันผวนและทำให้เกิดอาการต่างๆเช่น ร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ฯลฯ

งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า สตรีวัยหมดประจำเดือนที่รับประทาน Maca วันละสองเม็ด มีอาการต่างๆเกี่ยวกับฮอร์โมนเพศหญิงลดลง เช่นร้อนวูบวาบและเหงื่อออกตอนกลางคืน

4.เพิ่มการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย แต่ไม่มีผลในผู้ที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศไปแล้ว

5.Maca มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ทั้งหมดที่จัดว่าเป็น“ adaptogen ” นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้นักการตลาดบางคนเข้าใจผิดว่าเป็น’’โสมเปรู’’

 Maca ไม่ได้อยู่ในตระกูลโสม แต่มีกิจกรรม adaptogenic ี่คล้ายโสม(Ginseng)คือ
  • ฟื้นฟูพลังชีวิตในคนที่ร่างกายอ่อนแอ
  • เพิ่มพลังงาน
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของจิตใจและร่างกาย
  • ลดระดับความเครียดและเพิ่มการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด

6.เมื่อใช้กับผิวหนัง Maca อาจช่วยปกป้องความเสียหายจากดวงอาทิตย์

รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์อาจไหม้และทำลายผิวหนังที่ไม่มีการป้องกันและถูกแสงแดดโดยตรง
เมื่อเวลาผ่านไปรังสียูวีอาจทำให้เกิดริ้วรอยและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนัง

มีหลักฐานบางอย่างที่แสดงว่าการใช้ Maca extract ในรูปแบบเข้มข้นบนผิวของมนุษย์ อาจช่วยปกป้องอันตรายจากรังสี UV

การศึกษาหนึ่งพบว่าสารสกัด Maca นำไปใช้กับผิวของหนูห้าตัวในช่วงสามสัปดาห์ สามารถป้องกันความเสียหายของผิวจากการสัมผัสกับรังสียูวี ผลการป้องกันถูกนำมาเชื่อมโยงประกอบกับสารต้านอนุมูลอิสระโพลีฟีนอลและกลูโคซิโนเลตที่พบใน Maca

โปรดทราบว่า Maca extract ไม่สามารถแทนที่ครีมกันแดดแบบเดิมได้ นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวเมื่อนำไปใช้กับผิว ไม่ใช่เมื่อรับประทาน

7.Maca สามารถเพิ่มการผลิตอสุจิและปรับปรุงคุณภาพของตัวอสุจิซึ่งจะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ในเพศชาย

เป็นที่น่าสังเกตว่างานวิจัยเกี่ยวกับ Maca ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
การศึกษาจำนวนมากมีขนาดเล็กซึ่งทำในสัตว์ทดลองและ / หรือได้รับการสนับสนุนจาก บริษัทที่ผลิตหรือขายMaca














ที่มา
https://www.healthline.com › nutrition9 Benefits of Maca Root (and Potential Side Effects) - Healthline
https://www.medicalnewstoday.com › ...10 health benefits of maca root - Medical News Today
www.foodnetworksolution.com › wikiผลการค้นเว็บGelatinization / การเจลาติไนซ์ - Food Wiki | Food Network Solution

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

รู้จักเลือกส่วนผสมสำคัญ(Active Ingredients)ในเครื่องสำอางกันดีกว่า

เวลาที่เราดูละครโทรทัศน์ไม่ว่าจะช่องไหนก็ตาม หากเรามองหน้าตัวละครไม่ว่าจะเป็นพระเอก
นางเอก นักแสดงสมทบต่างๆ

หากไม่นับความสวย-หล่อ เราจะเห็นความเต่งตึงหรือริ้วรอย บนใบหน้านักแสดงเหล่านั้นเสมอ

ดาราระดับพระเอก นางเอกไม่เว้นแม้แต่นักแสดงสมทบ
ที่อายุเกิน 25 ปีขึ้น มักจะมีใต้ตาบวม ร่องแก้ม ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยย่นระหว่างคิ้วและ
หน้าผากแทบทุกคน

ทางลัดไปสู่ความงามที่เป็นอมตะคือ การเข้าคลีนิกผิวพรรณสม่ำเสมอ จะทำให้หน้าเรียบเนียนใส
ไร้ริ้วรอยรอยไปจนอายุ 50-65 ปี ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ขอแค่มีเงินเท่านั้นเอง

คนทั่วไปจำนวนมาก ไม่ได้มีงบประมาณเสริมความงามราคาแพงได้เรื่อยๆ อย่างทำเลเซอร์
ซึ่งมีผลทำให้ใบหน้าจะเรียบเนียนใสราว 4-6 เดือน หลังจากนั้นผิวจะดร็อปลงเรื่อยๆจนเป็นเหมือน
ก่อนทำเลเซอร์

วิธีที่ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนใส แม้ผลลัพธ์ไม่อาจเทียบเคียงเลเซอร์ แต่ไม่ต้องเทียวเข้าเทียวออก
คลีนิคผิวพรรณ โดยเราต้องรู้จักเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า

ก่อนที่จะเลือกใช้ครีมบำรุงผิวใดๆก็ตาม ควรรู้จักอ่านส่วนประกอบที่สำคัญเพื่อช่วยในการตัดสินใจ
เป็นอันดับแรก

กรดที่ใช้ในวงการเครื่องสำอางมักถูกมองว่าอันตราย อันที่จริงกรดส่วนใหญ่ เมื่อโดนผิวแล้วจะ
ให้ผลลัพธ์ที่นุ่มนวล เรียบเนียนเพราะผิวตามธรรมชาติมีความเป็นกรดอยู่แล้ว

กรดเหล่านี้มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น เพิ่มความผุดผ่อง เปล่งปลั่ง ผลัดเซลล์ผิว ช่วยปกป้องและ
ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

1.AHA(Alpha Hydroxy Acid) หรือเรารู้จักกันดีในชื่อ ‘’กรดผลไม้’’ช่วยกระตุ้นให้เซลล์เก่าหมองๆ
หลุดลอก ทำให้เผยผิวเซลล์ผิวใหม่ที่อ่อนเยาว์ ด้วยเหตุนี้ผิวจึงแลดูเปล่งปลั่งเพราะเม็ดสีจำนวนหนึ่ง
หลุดติดไปกับเซลล์ผิวเก่าด้วย

2.กรดไกลโคลิก(Glycolic)และกรดแลกติก(Lactic)จะซึมผ่านผิวหนังได้เร็วที่สุด เป็นกรดที่มี
ประสิทธิภาพมากที่สุดแต่สร้างความระคายเคืองได้ง่าย ไม่เหมาะกับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย

3.เบต้า ไฮดรอกซี แอซิด(Beta Hydroxy Acid)หรือ BHA เรียกอีกอย่างว่า กรดซาลิไซลิก
(Salicylic Acid)

กรด AHA ละลายในน้ำและทำปฏิกิริยากับผิวชั้นบนสุด ในขณะที่ BHA ละลายในน้ำมัน
นั่นหมายความว่าBHA จะลงลึกถึงต่อมไขมันเพื่อกำจัดคราบสกปรกและเซลล์ที่ตายแล้ว
รวมถึงฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุ
ของสิวอีกด้วย

ด้วยเหตุผลนี้ BHA จึงเหมาะกับคนที่ผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย

เคลนเซอร์ที่ผสม BHA หรือ กรดซาลิไซลิก เหมาะที่จะใช้ทุกวันโดยเฉพาะสูตรที่มีความเข้มข้น
2% หรือ มาสก์หน้าที่มีกรดซาลิไซลิก 2%สัปดาห์ละ 1 ครั้ง(หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์
รักษาสิวในวันนั้นเพราะอาจทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย)

แป้งจำได้ว่า ช่วงอายุ 30 ต้น เคยใช้เคลนเซอร์ที่มีส่วนผสมของ BHA ยี่ห้อ
Murad ซึ่งได้ผลดีมากเพราะไม่เห็นมีสิวขึ้นสักเม็ด พอจะใช้ขวดที่สองต่อ
กลับไปซื้ออีกที อ้าว!ยกเคาน์เตอร์กลับอเมริกาไปซะล่ะ

4.ไฮยาลูโรนิกแอซิด(Hyaluronic Acid)และกรดไขมัน(Fatty Acid)

ไฮยาลูโรนิกแอซิด(Hyaluronic Acid)มีความชุ่มชื้นเสมือนเป็นแม่เหล็กดูดน้ำ
ในเซลล์ช่วยหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ

ไฮยาลูโรนิกแอซิดนอกจากป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง แต่ยังทำให้ผิวเปล่งปลั่งขึ้นทันตาอีกด้วย

หากอยากมีผิวนุ่มนวลสุดๆ ลองใช้ไฮยาลูโรนิกแอซิด 1%และกรดไขมันควบคู่กัน

ส่วนผิวที่บอบบางแพ้ง่าย ควรเลือกใช้กรดไขมัน(Fatty Acid)เป็นส่วนผสมหลัก

กรดไขมัน(Fatty Acid)มีชื่อเรียกว่า ลิโนเลอิก(Linoleic),อัลฟา-ลิโนเลอิก(Alpha-Linoleic)
หรือแกมมา-ลิโนเลอิก(Gamma-Linoleic)มีคุณสมบัติเป็นเกราะกำบังของผิว คอยปกป้องผิว
จากการระคายเคือง ในขณะเดียวกันยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ เมื่อไหร่ที่ผิวแห้งเกินไป
เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวโดยธรรมชาติจะหยุดทำงาน ผิวจึงแลดูหมองคล้ำและ
ไม่เรียบเนียน

ครีมบำรุงที่ผสมกรดไขมัน(Fatty Acid)จะช่วยบรรเทาสารพัดเรื่องผิว ตั้งแต่ผิวอักเสบ
จากมลภาวะฝุ่นละออง สายลมแรง แสงแดดระอุ ไปจนถึงผิวอักเสบจากการใช้ผลิตภัณฑ์
ที่มีส่วนผสมของกรดต่างๆมากเกินไป

5.โคจิก แอซิด(Kojic Acid)และอะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid)
ขณะที่กรดต่างๆมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวกระจ่างสว่างใสด้วยการค่อยๆกำจัด
เซลล์ผิวหมองคล้ำออกไป

โคจิก แอซิดจะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการสร้างเมลานินในเซลล์ผิวชั้นที่ลึกลงไป
เม็ดสีจึงขึ้นมาสู่ผิวชั้นบนน้อยลง

อะเซเลอิก แอซิดจะทำหน้าที่ควบคุมการผลิตเม็ดสีมากกว่าเข้าไปขัดขวางเหมือนโคจิก แอซิด
 ดังนั้นคนผิวสีมักได้ประโยชน์นี้มากกว่าเพราะอะเซเลอิก แอซิด จะทำให้ผิวปกติที่อยู่ใกล้
บริเวณจุดด่างดำสว่างขึ้นโดยไม่เป็นอันตราย

ประโยชน์อีกอย่างของอะเซเลอิก แอซิดคือ คุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย
จึงช่วยบรรเทาการเกิดสิวโรซาเซีย(Rosacea)และผิวเปลี่ยนสีเนื่องจากการอักเสบรวมถึง
รอยดำและรอยแดงจากสิวได้ดีอีกด้วย

อะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid)มีจำหน่ายรูปแบบครีมในชื่อการค้าคือ Skinoren
ปริมาณ 30 กรัม ราคา ~410 บาท มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป

หมายเหตุ ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย อาจทำให้แสบระคายเคือง
เพราะอะเซเลอิก แอซิดมีฤทธิ์เป็นกรด

ถึงอย่างไรโคจิก แอซิด(Kojic Acid)และอะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid มีพลังไม่เท่ากับ
ไฮโดรควิโนน(Hydroquinone)ซึ่งจัดการกับเม็ดสีทุกประเภทตั้งแต่จุดด่างดำขึ้นบางบริเวณ
ไปจนถึงรอยกระหรือฝ้าที่เป็นปื้น(สั่งจ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น)

6.เรตินอยด์ แอซิด(Retinoid Acid)กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดเลือนริ้วรอย
และเร่งระดับการผลัดเซลล์ ไม่ให้เซลล์เก่าทับถมซึ่งเป็นต้นเหตุของผิวหมองคล้ำหรือ
รูขุมขนอุดตัน แต่ประโยชน์เหล่านี้อาจแลกมาด้วยผิวแห้ง ลอกเป็นขุย รอยแดง

เรตินอยด์ แอซิด(Retinoid Acid)มีจำหน่ายในรูปครีมตามแพทย์สั่ง

ส่วนเรตินอยด์ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าและมีขายทั่วไปอย่างเรตินอล(Retinol)
หรือเรตินัลดีไฮด์(Retinaldehyde)จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นกรดเรตินอยด์ในร่างกาย เช่น Retin-A

ไม่ว่าเราจะเลือกส่วนผสมแบบไหนก็ตาม อย่าลืม!ทาครีมกันแดดในทุกๆวัน
หากมีส่วนผสมซิงก์ออกไซด์(Zinc Oxide)ที่มีมิเนอรัล
ฟิลเตอร์เป็นส่วนผสม ซึ่งช่วยปกป้องผิวได้ดีอย่างกับกำแพงอิฐเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวจากรังสีของแสงทุกคลื่นความยาว แม้กระทั่งแสง
ที่ปล่อยจากจอคอมพิวเตอร์หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า
สามารถทำให้เกิดจุดด่างดำได้เช่นกัน

ในบรรดาส่วนผสมที่ทำให้ผิวหน้าใส เรียบเนียน เราต้องรู้จักส่วนผสมอันตรายต่อ
ผิวหน้าด้วย ยิ่งใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานนานผิวจะอ่อนแอและบางลง
มีผลให้เกิดสิวปะทุ ผดผื่น กระฝ้าตามมา

ปัจจุบันจะพบครีมหน้าขาวใสเด้งที่ขายตามอินเตอร์เน็ต เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วภายใน
3-7 วันอยู่มากมาย เวลาที่เราเห็นเพื่อนๆหรือคนอื่นใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
อย่าเพิ่งรีบร้อนใช้ตาม ฉุกคิดเสียก่อนว่า ขนาดครีมบำรุงผิวตามเคาน์เตอร์แบรนด์
ราคาแพง ใช้จนหมดไปหลายกระปุก ผิวหน้ายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

แต่ครีมบำรุงผิวที่ทำให้หน้าใสรวดเร็วไวขนาดนั้น ย่อมต้องมีส่วนผสมที่เป็นกรด
ซึ่งหากมีความเข้มข้นสูง จัดได้ว่ามีอันตรายต่อผิวพรรณอย่างมาก

ตามปกติกรดจะทำหน้าที่เพิ่มความผุดผ่อง เปล่งปลั่ง ผลัดเซลล์ผิว
ซึ่งคนที่มีผิวแห้งและผิวบอบบางแพ้ง่าย จะไม่สามารถใช้ได้ ยิ่งใช้ยิ่งหน้าบางและ
อ่อนแอจากคุณสมบัติของกรด ในประเทศไทยมักแอบใช้ส่วนผสมอันตรายดังนี้

1.ปรอท(Mercury)มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase)
มีผลทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานิน(Melanin) ลดลง ผิวจึงแลดูขาวใสขึ้น
และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิด staphylococcus จึงป้องกันสิว ไม่มีสิวมากวนใจ
ยิ่งใช้ครีมที่มีส่วนผสมของปรอท หน้าจะขาวใสไร้สิว แต่อย่าหยุดใช้เชียวนะคะ

ใบหน้าจะเกิดผื่นแดง หน้าหมองคล้ำ ผิวไวต่อแสงจนเกิดฝ้าถาวร

2.สเตียรอยด์(Steroid)ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะสารประกอบที่ใช้รักษาเฉพาะที่(ทาผิวหนัง)
เพื่อบรรเทาโรคผิวหนังชนิดต่างๆเช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบฯลฯ

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการใช้สเตียรอยด์เฉพาะที่(ทาผิวหนัง)คือ ผิวหนังฝ่อ
ช้ำง่าย หลอดเลือดขยาย(Telangiectasis)มีรอยแตกตามผิวหนัง


3.ไฮโดรควิโนน(Hydroquinone) พบครั้งแรกในปีค.ศ 1820
โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส PelletierและCaventou ผ่านกระบวนการกลั่นแห้งของกรดQuinic

ออกฤทธิ์การยับยั้งกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดสี(Melanocyte)
โดยไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส(Tyrosinase)ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดสี(Melanin)

เมื่อปริมาณเม็ดสีลดลง ผิวจึงขาวขึ้นได้
ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ไฮโดรควิโนนนิยมนำมาใช้เป็นยาทารักษาผิวที่เป็นฝ้า    
ปี 2006 องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา(FDA)ได้เพิกถอน
สารไฮโดรควิโนนเนื่องจากพบอุบัติการณ์เนื้องอกในหนูทดลอง
แต่ในยุโรปบางประเทศยกเลิกการใช้ไฮโดรควิโนนตั้งแต่ปีค.ศ 1976

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อ.ย)กำหนดให้มีส่วนผสม
สารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้า ปริมาณไม่เกิน2%แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น






ที่มา
women’s health,June 2013

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม