บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Goutless ชาสมุนไพรที่คนเป็นเกาต์และปวดข้อเข่าจะต้องหลงรัก

แป้งได้รับข้อความขอบคุณจากหลังไมค์ท่านหนึ่ง ซึ่งอ่านบทความในบล็อก’’Goutless ชาลดอาการกำเริบโรคเกาต์อย่างเห็นผลชะงัด’’ ซึ่งพ่อของผู้อ่านท่านนี้ป่วยเป็นโรคเกาต์มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ จนย่างเข้าวัย 50 ปีเศษ

ก่อนหน้าที่จะมาอ่านเจอบล็อกแป้ง ได้รักษากับแพทย์แผนปัจจุบันมาตลอด กินยาสม่ำเสมอไม่เคยขาด แต่ทว่าโรคเกาต์ไม่มีทีท่าจะบรรเทาเบาบางลง มักเกิดอาการปวดตามข้อต่างๆ โดยเฉพาะนิ้วเท้าจนเดินไม่ได้ บางทีต้องคลานเอา แม้กระทั่งไปเดินห้างหรือที่แห่งไหนก็ตาม ยกเว้นไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดยาเวลาที่เกาต์กำเริบ

พอได้ดื่มชา Goutless ซองแรกในตอนเช้า
พอตกกลางคืน อาการที่เคยปวดตามข้อเป็นประจำลดลงไป 50% รุ่งเช้าดื่มชา Goutless ซองที่สอง พอบ่ายๆ กลับหายเป็นปลิดทิ้ง
ไม่ทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดอีกต่อไป

สองคนพ่อลูกดีใจอย่างมาก เพราะผู้เป็นพ่อไม่เคยได้ออกจากบ้านมานานแล้ว ตอนนี้ชวนพ่อออกไปกินข้าวนอกบ้านได้อย่างสบายใจ แถมยังแนะนำให้อาที่ป่วยเป็นโรคเกาต์เหมือนกัน ให้ดื่มชา Goutless อีกด้วย

แป้งอ่านข้อความแล้ว ยิ้มแก้มปริเลยค่ะ ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ คนเราถึงจะมีเงินมากมายแค่ไหน หากแต่ต้องมาทนทุกข์กับความเจ็บปวดที่ไม่รู้ว่าจะกำเริบเมื่อไหร่ ไม่มีทางมีความสุขได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกค่ะ

หลายคนอาจคิดว่า Goutless อาจผสมเสตียรอยด์หรือเปล่า
ทำไมความเจ็บปวดถึงได้หายเป็นปลิดทิ้งอย่างรวดเร็ว
ทั้งๆที่กินยารักษาโรคเกาต์ อาการยังไม่ดีขึ้นเทียบเท่าแบบนี้เลย

มีการส่งตัวอย่างชา Goutless ไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า ปราศจากสารสเตียรอยด์ อย่างสิ้นเชิง



ดังนั้นใครที่ดื่มชา Goutless สบายใจได้เลยค่ะ


อีกตัวอย่างหนึ่ง มีย่าทวดอายุ 86 ปีท่านหนึ่ง ปวดหัวเข่าทั้งสองข้างมานานจนลุกไปไหนมาไหนเองไม่ได้ ต้องมีคนช่วยพยุง บางทีเข้าห้องน้ำลุกไม่ไหว ลูกหลานก็พากันอุ้มเข้าห้องน้ำ พ่อแป้งลองเอาชาสมุนไพร Goutless ให้ลองดื่มวันละซอง สองวันต่อมาปรากฏว่า ลุกเดินได้เอง เดินไปโน่นนั่นนี่ได้เหมือนคนปกติ วิตามินที่ผลิตในมาเลเซียมีประสิทธิภาพสูงและเห็นผลชัดเจนจริงๆ ไม่ลองไม่รู้นะคะ


โรคเกาต์มักพบในเพศชายที่มีอายุเกิน 40 ปี ส่วนใหญ่มีประวัติดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์ไปขัดขวางกระบวนการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย

อีกทั้งแอลกอฮอล์ช่วยเร่งปฏิกิริยาการสร้างกรดยูริก โดยเร่งกระบวนการสลายตัวของสารอะดีโนซีนไตรฟอสเฟต(adenosine triphosphate)ในเซลล์

โปรดทราบไว้ว่า การดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะการดื่มเบียร์
จะมีผลทำให้เกิดอาการข้ออักเสบได้ทันที เพราะเบียร์มีสารกวาโนซีน(guanosine)ซึ่งเปลี่ยนแปรสภาพเป็นกรดยูริกในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

เหล้าเป็นสาเหตุสำคัญทำให้กรดยูริคในเลือดสูง จนเกิดโรคเกาต์ หลังดื่มเหล้าอาจมีอาการปวดบวมที่นิ้วหัวแม่เท้าอย่างรุนแรง  และยังทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้กรดยูริคตกตะกอนภายในข้อ จึงกระตุ้นให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง

มีงานวิจัยพบว่า การดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้กล่อง ที่มีน้ำตาลฟรุกโตสหรือน้ำตาลผลไม้เกินวันละหนึ่งแก้วอยู่เป็นประจำส่งผลให้ระดับของกรดยูริคสูงจนกลายเป็นโรคเกาต์ได้

สาเหตุเกิดจากการที่น้ำตาลฟรุคโตสจำนวนมาก ถูกเผาผลาญในร่างกาย ก่อให้เกิดสารที่มีชื่อว่า เอเอ็มพี(AMP) จำนวนมหาศาล
ซึ่งสาร AMP จะถูกร่างกายเปลี่ยนเป็นกรดยูริคในเลือด 

ส่วนเพศหญิงที่เป็นโรคเกาต์ มักจะปรากฏอาการหลังจากเข้าสู่วัยทองเนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงโดยเฉพาะเอสโตรเจนจะควบคุมกรดยูริคในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ เพราะฮอร์โมนเพศหญิงจะเพิ่มการกำจัดกรดยูริคออกทางไต โรคเกาต์จึงพบในผู้ชายมากกว่า นั่นเอง

ระดับของกรดยูริคในเลือดสูง จะบ่งบอกถึงปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเกาต์ ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดเสื่อมสภาพนิ่วในไต และไตวาย
อย่าลืม! ว่า ผู้ป่วยโรคไตวายที่ได้รับการฟอกไตในประเทศไทย นอกจากมีสาเหตุจากโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ยังมีโรคเกาต์เป็นอันดับต้นๆอีกด้วย

ไม่มียารักษาโรคใดๆที่จะลดความเจ็บปวดทรมานจากโรคเกาต์ ไขข้ออักเสบภายใน1-3 วัน ได้ดีเท่ากับสมุนไพรจากมาเลยเซียอีกแล้วค่ะ



ดังนั้นหากเรามีวิตามิน Goutless ยี่ห้อ Mary life ที่สกัดจากสมุนไพร ปลอดภัยต่อร่างกาย ผลิตในมาเลเซีย สามารถลดระดับกรดยูริก และบรรเทาความเจ็บปวดตามข้อโดยเฉพาะข้อนิ้วหัวแม่เท้า ส่งผลให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป
แป้งว่าดีกว่ากินยาโคลชิซีน(colchicine) หรือ อัลโลพิวรินอล (allopurinol)เยอะเลยค่ะ


ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคุณภาพสูง นำเข้าจากมาเลเซีย เห็นผลชัดเจนและปลอดภัยต่อร่างกายในระยะยาว
มีจำหน่ายเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย

สอบถามราคาสินค้าและสั่งซื้อได้ที่
hamercandysiam.lnwshop.com
Tel. 061-7429944
Id line : a0617429944(มีตัว a นำหน้า)

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Krill Oil วิตามินที่ทรงคุณค่าต่อร่างกายจากใต้ท้องทะเลึก

Antarctic Krill(Euphausia superba)เรียกสั้นๆว่า Krill

เป็นหนึ่งในสัตว์ทะเลที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก

โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่ามีประมาณ 500 ล้านตันที่พบในมหาสมุทรใต้(Southern Ocean)หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ มหาสมุทรแอนตาร์กติก(Antarctic Ocean)ไข่ตัวเมียสามารถวางไข่ได้ถึง 10,000 ฟองต่อครั้ง และสามารถวางไข่ได้หลายครั้งในแต่ละฤดูกาล


Krill ดำรงชีวิตยืดหยุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ ในช่วงฤดูหนาวเมื่ออาหารขาดแคลน จะสามารถหาแหล่งอาหารอื่น ๆ เช่น สาหร่ายที่อยู่ใต้พื้นผิวของน้ำแข็งบนพื้นมหาสมุทร แม้ในช่วงเวลาที่โหดร้าย

krill สามารถอยู่ได้ถึง 200 วันโดยไม่มีอาหาร



Krill Oil(คริลออยล์)เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากสัตว์ทะเลขนาดเล็กกลุ่มเดียวกับกุ้ง อาศัยอยู่แถบมหาสมุทรแอนตาร์กติก ซึ่งเป็นมหาสมุทรที่อยู่ล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกา บางส่วนปกคลุมด้วยทะเลน้ำแข็งตลอดทั้งปีและเกือบทั้งมหาสมุทรในฤดูหนาว


คริลออยล์มีสีแดงที่โดดเด่น ในขณะที่น้ำมันปลามีสีเหลืองหรือสีทอง


Krill Oil มักมีราคาแพงกว่าน้ำมันปลา


Krill Oil และน้ำมันปลา(Fish Oil)เป็นอาหารเสริมที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกัน คือกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้แก่ DHA และEPA แต่ Krill Oil ประกอบด้วยสารประกอบที่โดดเด่นอีกตัวชื่อว่า Astaxanthin(แอสตาแซนธิน) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ


ไขมันโอเมก้า 3 ในน้ำมัน Krill พบได้ในรูปของโมเลกุลที่เรียกว่า phospholipids ซึ่งดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายขึ้น


ฟอสโฟไลปิด(phospholipids)มีหน้าที่สะสมพลังงานในเซลล์ไขมัน(Fat cell)เป็นส่วนประกอบของเซลล์เมมเบรน(Cell Membrane)ซึ่งทำหน้าที่ให้สารบางชนิดผ่านเข้าไปในเซลล์ได้

พบมากในสมองและเส้นประสาท อีกทั้งทำหน้าที่เป็นสารรับส่งสารเคมีไปยังส่วนต่างๆ(Chemical messenger)


Krill Oil มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง เช่น docosahexaenoic acid(DHA)และ eicosapentaenoic acid(EPA)ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ


การตรวจสอบอย่างหนึ่งจากประเทศนอร์เวย์ โดยรวบรวมผลจากการศึกษา 14 ชิ้น พบว่า DHA และ EPA ที่พบใน Krill Oil สามารถออกฤทธิ์ทางชีวภาพมากกว่าน้ำมันปลา จึงเป็นอาหารเสริมที่นิยมในยุโรป ซึ่งเป็นตลาดระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 35% ซึ่งประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียในภูมิภาคยุโรปจัดเป็นผู้บริโภครายใหญ่


ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของ Krill Oil ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน

ลมหายใจมีกลิ่น ท้องอืดท้องเฟ้อ


มีประโยชน์อย่างไร

1.ลดการสะสมไขมันในผนังหลอดเลือด ลดการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล(Cholesterol)ลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์(Triglyceride)และไขมันไม่ดี(LDL)

2.ลดอาการอักเสบในร่างกาย โดยเฉพาะโรคข้อเข่าเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

3.ดูดซึมได้ดีกว่าน้ำมันปลา(fish oil หรือ Omega-3)เนื่องจากมีโครงสร้างโมเลกุลแบบ phospholipids

4.ปราศจากสารปนเปื้อนด้วยโลหะหนักและปรอท เนื่องจาก krill อาศัยอยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร

5.มีส่วนประกอบของโคลีน(Choline)ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสำหรับ acetylcholine ที่ส่งสัญญาณไปยังสมอง จึงช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ระบบประสาทและสมอง

6.Krill มีสารประกอบแอสตาแซนธิน(Astaxanthin) ทำให้มีความเสถียรและมีโอกาสน้อยที่จะเกิดการออกซิไดซ์

7.ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ




แป้งทดลองกิน Krill Oil 1000 mg ต่อวัน ได้ไม่ถึงเดือน น่าจะเกือบ 3 สัปดาห์ ปรากฎว่า น้ำหนักเพิ่มขึ้นฮวบๆ 2 กิโลกรัมแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว กินอะไรก็อร่อยไปหมด เลยไม่ทันได้เปรียบเทียบว่า Krill Oil ดีกว่า Fish Oil อย่างไร เพราะหยุดกินไปโดยปริยาย กลัวว่าน้ำหนักที่เกินมา จะรีดออกยากค่ะ

























ที่มา :

Are Krill Oil Benefits Even Better than Fish Oil Benefits? - Dr. Axehttps://draxe.com › krill-oil-benefits
Krill oil vs fish oil: Which is better and why? - Medical News Todayhttps://www.medicalnewstoday.com › arti...
Krill Oil vs Fish Oil: Which Is Better for You? - Healthlinehttps://www.healthline.com › nutrition
Why Krill Oil Is More Stable than Fish Oil
| Nutritional Outlookwww.nutritionaloutlook.com › omega-3

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม