มีเพื่อนรุ่นน้องผู้หญิงไถ่ถามมาว่า ปีนี้อายุมากขึ้น(43 ปี) อยากกิน
คอลลาเจนเพื่อให้ผิวพรรณดี แก่ช้าลง แนะนำคอลลาเจนยี่ห้ออะไรดี
แป้งเลยถามว่า ทำไมถึงคิดว่ากินคอลลาเจน แล้วจะทำให้แก่ช้าลงหรือผิวพรรณดีขึ้นเหรอค่ะ
เค้าตอบว่า เห็นเพื่อนรุ่นน้องอายุ 30 กว่าปี โพสต์ขายคอลลาเจนว่า
กินแล้ว ผิวสวย ผิวอิ่มเอิบ ผิวขาวขึ้นกว่าเมื่อในอดีต เลยอยากกินตามบ้าง
แป้งบอกว่า จะบ้าเหรอ รูปถ่ายที่ผ่านไม่รู้กี่แอปเนี่ยนะ แล้วมาบอกคนอื่นว่า กินแล้วดีอย่างงั้นอย่างงี้
เอาแบบนี้นะ มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 39 ปี มีริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก เวลายิ้มที ตีนกาเพียบ เห็นฟีดโฆษณาคอลลาเจนเด้งในหน้า fb
อ่านคุณสมบัติครอบจักรวาล กินแล้วผิวพรรณอ่อนเยาว์ ริ้วรอยจางหาย สิวหายเกลี้ยง เลยสนใจสั่งซื้อมากิน
เป็นคอลลาเจน 6000 mg ต่อ 1 scoop type 1&3
ชงดื่มวันละ 1 ครั้ง กินมา 8 เดือน ส่องกระจกทีไร รอยเหี่ยวย่นยังคงเดิม หน้าไม่ฟูเด้งเหมือนที่เคยหวังไว้ รู้สึกผิดหวังอย่างแรง เกิดมาเพิ่งจะเคยกินวิตามินครั้งแรกในชีวิต นึกว่าจะได้ผลดีเหมือนคนอื่นๆตามที่อ่านคอมเม้นท์ในเพจขายคอลลาเจน ซึ่งเป็นรีวิวที่เกิดจากหน้าม้าขายของทั้งนั้น
แป้งเคยอ่านรีวิวของต่างประเทศ เป็นเว็ปขายคอลลาเจนมีทั้งแบบผงชงดื่ม แคปซูล เม็ดเคลือบ อ่านไปเรื่อยๆ บางคนก็เห็นผล บางคนก็ไม่เห็นผล แต่มีอยู่คนหนึ่งรีวิวว่า ตัวเองมีริ้วรอยตีนกาทั้งสองข้าง
พอกินคอลลาเจนยี่ห้อนี้เข้าไป รอยตีนกาหายไปเลย ประมาณว่าประหลาดใจมากมาย
พอแป้งได้อ่านถึงประโยคดังกล่าว ก็รู้ได้ทันทีว่า เว็ปนี้มีหน้าม้าแหกตาชัดๆ
ปกติรอยตีนกาเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อรอบดวงตา ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดต่างๆเวลาที่มีการเเสดงออกทางใบหน้า เช่น ยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว ซึ่งริ้วรอยจะจางหายได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์เท่านั้น
เอาจริงๆแล้ว ถ้าคอลลาเจนช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ ริ้วรอยหาย หน้าเด็กลง คงไม่มีผู้หญิงคนไหนเทียวเข้าเทียวออกคลีนิคผิวพรรณเป็นว่าเล่น เข้าไปที เงินหล่นหายไปหลักหมื่น นั่งดื่มผงคอลลาเจนที่บ้านสวยๆไม่ดีกว่าเหรอค่ะ
การฉีดโบท็อกซ์เป็นการฉีดสารคลายกล้ามเนื้อลงไปในชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อหรือเป็นอัมพาตชั่วคราว ผลที่ได้คือช่วยลดรอยเหี่ยวย่นในบริเวณต่างๆของใบหน้า เช่น บริเวณหน้าผาก หางตา หว่างคิ้วเนื่องจากเป็นบริเวณที่กล้ามเนื้อมีการขยับจึงเกิดการพับ ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นตามมา
แป้งเคยฉีดโบท็อกซ์บริเวณหางตาตอนอายุ 39 ปี
พอตื่นนอนตอนรุ่งสาง ส่องกระจกยิ้มซ้ายยิ้มขวาดู ว๊าว! เหมือนเป็นสาวแรกรุ่น หน้าตึงเป๊ะ ไร้ริ้วรอยใดๆ ดีใจสุดๆ
แต่พอสังเกตุดีๆ อ้าว!ทำไมเหมือนยิ้มไม่สุด ยิ้มแหยๆตาแข็งดูดุมาก(แป้งยิ่งตากลมโตเหมือนไข่ห่านอยู่แล้วด้วย)
ปกติคนเราเวลายิ้มจะส่งผลให้ใบหน้าดูหวาน โลกสดใส แต่พอเจอฤทธิ์โบท็อกซ์เข้าไป ยิ้มทีเหมือนแสยะยิ้มชอบกล แถมบางคนไปฉีด
โบท็อกซ์ลดกรามมา ซึ่งต้องใช้ปริมาณโบท็อกซ์มากกว่าบริเวณหางตา ขนาดแป้งฉีดแค่หางตายังยิ้มไม่สุดเหมือนเกร็งปาก
แล้วโบท็อกซ์กราม ยิ้มปากไม่เบี้ยว ก็แปลกล่ะค่ะ
อย่าลืมว่า บริเวณมุมปากเป็นกล้ามเนื้อเหมือนบริเวณรอบดวงตาเช่นกันค่ะ
ในใจภาวนาให้หมดฤทธิ์โบท็อกซ์เร็วๆด้วยเถิด ซึ่งประมาณเดือนที่ 3 กล้ามเนื้อที่เป็นอัมพาตชั่วคราว เริ่มคลายตัวพร้อมกับโบท็อกซ์ที่หมดฤทธิ์ลง เดือนที่ 4 เริ่มเห็นรอยตีนกาชัดเจนเหมือนตอนก่อนฉีด
ต่อมาแป้งก็ยังฉีดโบท็อกซ์บริเวณหางตาปีละ 1 ครั้ง
ปัจจุบันอายุ 45 ปี แป้งไม่ได้ฉีดโบท็อกซ์มา 3 ปีแล้ว
และมีแนวโน้มว่า จะไม่ฉีดเพราะไม่ชอบใบหน้าเวลายิ้ม
นอกจากไม่เป็นธรรมชาติสุดๆ ยังหน้าแข็งเกร็ง ดูประหลาดๆ
จำได้ว่า พอหมดฤทธิ์โบท็อกซ์ แป้งก็ถ่ายรูปอัพเฟซบุ๊คตามปกติ
มีเพื่อนเก่าสมัยม.ต้น เข้ามาชมว่า แป้งหน้าหวานจัง อืม!จริงๆด้วย
ถึงจะมีรอยตีนกาตามวัย แต่ยิ้มดูเป็นธรรมชาติดีกว่า ไม่มีใครที่จะไม่แก่หรอกค่ะ สาวสองพันปีมีแต่ในนิยาย ชีวิตจริงต้องพึ่งเทคโนโลยีทางความงามทั้งนั้น ที่สำคัญ ไม่อยู่ถาวรต้องทำซ้ำเรื่อยไปตลอดค่ะ
เวลาถ่ายรูปก็อมยิ้มนิดๆเอา จะได้ไม่เห็นตีนกาชัดเจน
ไม่น่าเชื่อว่า แค่แพทย์ผิวหนังใช้เข็มปลายเล็กจิ๋วจิ้มกล้ามเนื้อรอบๆดวงตา จะมีผลให้ปากยิ้มเหมือนคนสแยะยิ้ม ยิ้มแหยเกได้
นวัตกรรมชะลอความชรา มาพร้อมกับผลข้างเคียงเสมอ