บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2566

CoQ10 วิตามินเพิ่มพลังงานแถมดูแลหัวใจอีกด้วยนะ

CoQ10 เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มพลังงาน  โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ผู้สูงอายุหรือคนที่เหนื่อยง่าย จะเห็นได้ชัดเจนว่า กิน Q10 แล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังงานเพิ่มขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย เหมือนย้อนวัยได้เป็น 10 ปี แต่ในคนที่สุขภาพดี อายุยังน้อย กิน Q10 ไม่ค่อยเกิดประโยชน์เท่าไหร่นะคะ

อย่างสามีแป้งอายุ 54 ปี เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เคยให้กิน Q10 300 mg ต่อวัน เป็นเวลา 2 เดือน แกบอกว่า รู้สึกเฉยๆ แป้งเลยงดวิตามินไป
แต่ช่วงปลายปี 2565 บ่นเหนื่อย ลองให้กิน Q10 อีกครั้ง ผลปรากฏว่า มีเรี่ยวแรงมากขึ้น ไม่ค่อยเหนื่อยเหมือนเมื่อก่อน

Coenzyme Q10 หรือเรียกว่า CoQ10 เป็นสารประกอบที่ช่วยสร้างพลังงานในเซลล์ของมนุษย์  จ่ายพลังงานให้กับเซลล์ ขนส่งอิเล็กตรอน และควบคุมระดับความดันโลหิต

บทบาทสำคัญอื่นๆ ของ CoQ10 คือ การทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและปกป้องเซลล์จากความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น

ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นในร่างกาย เรียกว่า กระบวนการ
เมตาบอลิซึม( Metabolism )

CoQ10 เป็นสารที่พบได้ทั่วร่างกาย พบมากในหัวใจ ตับ ไต และตับอ่อน ถูกเก็บไว้ในไมโตคอนเดรียของเซลล์
เรียกว่า "โรงไฟฟ้า" ของเซลล์ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไม CoQ10 จึงเกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงาน

ร่างกายสามารถผลิต CoQ10 ได้ตามธรรมชาติ แต่การผลิตมีแนวโน้มลดลงตามอายุ  เมื่อเราอายุล่วงเลยไปประมาณ 40 ปี

CoQ10 สารต้านอนุมูลอิสระที่ปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ ถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์เป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่นใช้สำหรับการรักษาโรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ อายุรแพทย์โรคหัวใจมักจ่ายอาหารเสริม CoQ10 ให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจทุกราย

อนุมูลอิสระในปริมาณที่มากเกินไปจะก่อให้เกิดความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งอาจรบกวนการทำงานของเซลล์ตามปกติ นานวันเข้าทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง ฯลฯ

มีประโยชน์อย่างไร

1. อาจช่วยรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
ภาวะหัวใจล้มเหลวมักเป็นผลจากภาวะหัวใจอื่นๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจหรือความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชันเพิ่มขึ้น การอักเสบของหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดง

งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า CoQ10 สามารถเพิ่มประสิทธิผลในการรักษาผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวได้

การทบทวนการศึกษา 14 ชิ้นอีกครั้ง พบว่า ผู้มีภาวะหัวใจล้มเหลวที่รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร CoQ10 มีอัตราการเสี่ยงชีวิตลดลงและเพิ่มความสามารถในการออกกำลังกายดีขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ที่รับประทานยาหลอก

2. สามารถช่วยเรื่องการเจริญพันธุ์
ภาวะเจริญพันธุ์ของเพศหญิงจะลดลงตามอายุ เนื่องจากปริมาณการผลิตและคุณภาพของไข่ที่มีอยู่น้อยลง

CoQ10 เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการนี้ เมื่ออายุมากขึ้น การผลิต CoQ10 จะน้อยลง ร่างกายจึงมีประสิทธิภาพในการปกป้องไข่จากอนุมูลอิสระลดลง

ในทำนองเดียวกัน สเปิร์มของผู้ชายไวต่อความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งอาจส่งผลให้จำนวนสเปิร์มลดลง คุณภาพของสเปิร์มไม่ดี และเกิดภาวะมีบุตรยาก

งานวิจัยหลายชิ้นสรุปว่า การเสริม CoQ10 อาจช่วยเรื่องคุณภาพของไข่และสเปิร์มให้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น

3.อาจช่วยปกป้องผิวให้แข็งแรง

จากการศึกษาหนึ่งในปี 2558 การใช้ CoQ10 กับผิวหนังโดยตรงอาจลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระทั้งภายในและภายนอก โดยเพิ่มการผลิตพลังงานในเซลล์ผิว

เมื่อใช้ CoQ10 กับผิวหนังโดยตรง อาจช่วยลดความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่เกิดจากรังสี UV และช่วยลดความลึกของริ้วรอย  ป้องกันความเสียหายต่อผิวหนัง ซึ่งอาจช่วยชะลอวัยของผิวให้แข็งแรง ตามการศึกษาของมนุษย์และการทดลองในสัตว์

4. สามารถลดอาการปวดศรีษะ
การทำงานของไมโตคอนเดรียที่ผิดปกติ ทำให้เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากเซลล์และการผลิตอนุมูลอิสระที่มากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้เซลล์สมองมีพลังงานต่ำและอาจทำให้เกิดไมเกรนได้

การศึกษาขนาดเล็กอีกชิ้นหนึ่งในกลุ่มตัวอย่าง 80 คน พบว่า ผู้ที่รับประทาน CoQ10 100 มิลลิกรัมต่อวัน มีผลทำให้ความถี่ ความรุนแรง และระยะเวลาของการเป็นไมเกรนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่มีรายงานผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

นอกจากนี้ การศึกษาหนึ่งในปี 2560 แสดงให้เห็นว่า CoQ10 อาจช่วยลดความถี่ของอาการปวดศีรษะ ทำให้อาการปวดสั้นลงและรุนแรงน้อยลง

5.สามารถช่วยในการออกกำลังกาย
ความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันอาจส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ และส่งผลต่อประสิทธิภาพการออกกำลังกาย

ยิ่งไปกว่านั้น การเสริม CoQ10 อาจช่วยลดความเหนื่อยล้า ซึ่งอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกายได้ด้วย

6. อาจช่วยเรื่องเบาหวาน

การทบทวนหนึ่งจากการศึกษา 13 ชิ้น แสดงให้เห็นว่า CoQ10 สามารถลดน้ำตาลในเลือดและระดับฮีโมโกลบิน A1c (HbA1c) ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทุก 3 เดือนในผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2

7.ช่วยลดผลข้างเคียงของยากลุ่มสแตติน(Statin)
เป็นยาที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล มีผลช่วยป้องกันภาวะหัวใจวาย แต่ผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อและอ่อนแรง ซึ่งมักเกิดในเพศหญิง งานวิจัยบางชิ้นแนะนำว่า CoQ10 อาจลดผลข้างเคียงเหล่านี้ได้

การทบทวนในปี 2018 พบว่าการเสริม CoQ10 ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อ  ตะคริว และความล้าของกล้ามเนื้อที่เกิดจากยากลุ่ม statin

CoQ10 มีอยู่ 2 รูปแบบคือ ยูบิควินอล(Ubiquinol) และ ยูบิควิโนน(Ubiquinone)

Ubiquinol คิดเป็น 90% ของ CoQ10 ในเลือดและเป็นรูปแบบที่ดูดซึมได้มากที่สุด ดังนั้นควรเลือกอาหารเสริมที่มีรูปแบบยูบิควินอล(Ubiquinol)

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร CoQ10 มีจำหน่ายในขนาดต่างๆ ตั้งแต่ 30- 600 มก.

มีการใช้ปริมาณ 100–400 มก. ต่อวันในการศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพของหัวใจ ในขณะที่ปริมาณตั้งแต่ 600–3,000 มก. ถูกใช้เพื่อรักษาความผิดปกติของระบบประสาท

เนื่องจาก CoQ10 เป็นสารประกอบที่ละลายในไขมัน การดูดซึมจึงช้าและจำกัด การเสริม CoQ10 พร้อมอาหารสามารถช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่า

Q10 พบมากในอาหารหลายประเภท ดังนี้
เครื่องในสัตว์: หัวใจ ตับ และไต
เนื้อติดมันบางส่วน: เนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อไก่
ปลาที่มีไขมัน: ปลาเทราต์ ปลาเฮอริ่ง ปลาแมกเคอเรล และปลาซาร์ดีน
พืชตระกูลถั่ว: ถั่วเหลือง ถั่วเลนทิล และถั่วลิสง
ถั่วและเมล็ดพืช: เมล็ดงาและถั่วพิสตาชิโอ
น้ำมัน: น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันคาโนลา
ผลไม้ ผัก ผลิตภัณฑ์นม และซีเรียลบางประเภทก็มี CoQ10 เช่นกัน แม้ว่าในปริมาณที่น้อยกว่ามาก

การเสริมด้วย CoQ10 สามารถใช้ได้ในปริมาณสูงถึง 1,200 มก.ต่อวัน

ผลข้างเคียง

อาจมีอาการนอนไม่หลับ(ในกรณีที่กินในมื้อเย็น)หรืออาหารไม่ย่อย เสียดท้อง ปวดท้องหรือท้องไส้ปั่นป่วน

หมายเหตุ ไม่ควรใช้ยานี้หากกำลังรับประทานยาบางชนิด เช่น Warfarin (Jantoven) และยารักษามะเร็งบางชนิด



ที่มา :

www . healthline . com/nutrition/coenzyme-q10

www . medicalnewstoday . com/articles/327209

draxe . com/nutrition/all-about-coq10/

วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2566

วิตามินคุณภาพสูงกับความชราที่มาไม่ถึง EP.2

ผลการตรวจเลือดประจำปี เมื่อวันที่ 19/5/2565
ผลเลือดทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติ ถึงแม้ไขมันคอเลสเตอรอล 234 mg/dl จะสูงกว่าเกณฑ์(ไม่อยากบอกว่า ค่าคอเลสเตอรอลระดับนี้มาเป็นเวลาเกือบ 20+ปี)แต่ไขมันดี(HDL) 77 mg/dl ค่อนข้างสูง คุณหมอบอกว่า บาลานซ์กันพอดี

ค่าเอนไซม์ตับ
SGOT= 13 mg/dl(ค่าปกติ 0-33)
SGPT= 18 mg/dl (ค่าปกติ 0-32)

ค่าการทำงานของไต
BUN =10.8 mg/dl(ค่าปกติ 6.0-20.0)
Cr=0.67 mg/dl(ค่าปกติ 0.51-0.95)
ค่าอัตราการกรองของไต
eGFR =104.28 ( ปี 2019 = 103 ) ค่าปกติ >90

ปกติยิ่งอายุมากขึ้น อัตราการกรองของไตจะเสื่อมลงตามสภาพร่างกาย การรับประทานยาและวิตามินจะมีผลให้ตับไตทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม แต่ค่าอัตราการกรองไตของแป้งกลับสวนทางกับอายุ
แสดงว่า วิตามินคุณภาพสูงวันละ 20+ เม็ด ที่กินมาต่อเนื่องตลอด ไม่มีผลต่อการทำงานของตับไตแถมค่าเอนไซม์ตับอยู่ในเกณฑ์ปกติ อีกทั้งค่าไตและอัตราการกรองของไตก็ดีมากๆแสดงว่า
มาถูกทางแล้วนะคะ

เป็นความจริงที่ว่า ถึงแม้ผลการตรวจเลือด,X-ray ปอด,EKG(คลื่นไฟฟ้าหัวใจ)จะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ไม่ได้การันตีว่า เราจะไม่เป็นโรคร้าย เช่น มะเร็งชนิดต่างๆเพราะมะเร็งคือ ภาวะที่เซลล์ในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงในระดับพันธุกรรม ทำให้มีการเจริญเติบโตมากขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมและจำกัดขอบเขตได้ มีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นในร่างกาย เช่น ปอด ตับ สมอง กระดูก เป็นต้น  ซึ่งมะเร็งในระยะเริ่มแรกมักจะตรวจไม่พบ  จนระยะลุกลามมีก้อนเนื้อไปกดเบียดการทำงานของอวัยวะต่างๆเช่น ตับ ปอด หัวใจ ฯลฯ ถึงจะตรวจเจอด้วย CT scan,MRI

โชคดีที่แป้งร่ำเรียนพยาบาลมา ทำให้รู้จักสังเกตความเปลี่ยนแปลงและวิเคราะห์อาการที่เกิดขึ้นในร่างกายเบื้องต้น
โดยที่ไม่ต้องไปพบแพทย์ ไม่ว่าจะมีอาการผิดปกติเล็กน้อย เช่น
ทำไมแป้งเริ่มมีอาการนอนไม่หลับช่วงอายุ 32-33 ปี ลองกินวิตามินที่ช่วยให้หลับง่ายมาแทบทุกยี่ห้อ ดื่มชาคาโมมายล์ กินกล้วยหอม+นมก่อนนอน 2 ชม.ดมน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์แม้กระทั่งสูดดมน้ำมันกัญชาสารพัดวิธี

จนสุดท้ายพบว่า สิ่งกระตุ้นที่ทำให้นอนไม่หลับคือ การกินอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตน้อยเกินไป(เพิ่งจะทราบแน่ชัดเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง หลงประเด็นมาหลายสิบปี คิดว่า เกิดจากดื่มเครื่องคาเฟอีนหรือออกกำลังกายดึก)แป้งไม่ชอบกินข้าว ปกติกินได้ครึ่งทัพพี ตอนหลังเลยกินขนมปัง+ลูกเดือยเพิ่มขึ้นทดแทนข้าว ปรากฎว่า มีหลายคืนไม่ต้องกินเมลาโทนินก็หลับสบายถึงเช้า ไม่ตื่นกลางดึกอีกแล้ว เย้! 🥳

อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจะมีกรดอะมิโนที่จำเป็นชนิดหนึ่ง คือ ทริปโตแฟน(tryptophan) ซึ่งใช้ในการผลิตซีโรโทนิน(serotonin)ในสมอง

serotonin เป็นสารสื่อประสาทที่มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการลดอาการซึมเศร้าและช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น เราจะสังเกตได้ว่าผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก โดยงดอาหารคาร์โบไฮเดรต มักมีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด โกรธง่ายกว่าปกติ
 
วันที่ 15 เดือนพ.ค พ.ศ 2566 แป้งจะมีอายุครบ 49 ปี จำได้ว่าเริ่มกินวิตามินตั้งแต่อายุ 26-27 ปี วิตามินตัวแรกที่กินคือ วิตามินซี & บีของ Blackmore ถามว่า เห็นผลลัพธ์อะไรบ้าง อืม! ช่วงนั้นแป้งขึ้นเวรดึกบ่อย+พักผ่อนน้อย ภูมิแพ้กำเริบแถมคันตาบ่อย พอเลิกงานก็แวะหาหมอ GP ที่มาออกตรวจในโรงพยาบาล คุณหมอเอาเครื่องมือ Opthalamoscope ส่องตาแล้วกล่าวว่า คนไข้เป็นต้อกระจกนะครับ หือ!! ถามว่า เชื่อเลยไหม

เครื่อง Ophthalmoscope ทำให้แพทย์เห็นภายในดวงตา ทั้งจอรับภาพ (retina) ขั้วประสาทตา (optic disc) และลักษณะเส้นเลือดที่จอรับภาพ ช่วยให้แพทย์เห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งในหลายกรณีสามารถรักษาได้ทันท่วงที เช่น เมื่อคนไข้จอประสาทตาลอก (retinal detachment) หรือเป็นต้อหิน (glaucoma)

หมอ GP = เวชปฏิบัติทั่วไป (General Practitioner)  คือ แพทย์ที่ให้บริการดูแลรักษาสุขภาพบุคคลและครอบครัว เรียน 6 ปี
ทำหน้าที่ประสานกับแพทย์สาขาอื่น ๆ โดยการดูแลสุขภาพจะเป็นแบบพื้นฐานและต่อเนื่อง ดูแลปัญหาสุขภาพ, พฤติกรรมและสังคม

คำตอบคือ ไม่คะ
ไม่เชื่อคำวินิจฉัยโรคของคุณหมอท่านนี้เพราะไม่ได้เรียนจบเฉพาะทางเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาเรียกว่า จักษุแพทย์

ต้อกระจกเกิดจากความเสื่อมของโปรตีน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเลนส์ตา ทำให้เลนส์ตาขุ่นและแข็งขึ้น มักพบมากในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป

สาเหตุหลักคือ ความเสื่อมตามวัย โดยสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น แต่อาจพบได้กลุ่มอายุน้อยได้เช่นกัน เช่น ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์

แป้งอายุแค่ 27 ปี ทำงานขึ้นเวรในโรงพยาบาลมาตลอดตั้งแต่เรียนจบ แทบไม่เจอแสงแดดด้วยซ้ำไป เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นต้อกระจก

ก่อนหน้านั้น 2 สัปดาห์ แป้งมีอาการคันหัวตา น้ำตาไหล เผลอเอามือขยี้ตา ตาเลยแดงก่ำ พบจักษุแพทย์ เข้าเครื่องตรวจตาที่เรียกว่า OCT (Optical Coherence Tomography) เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ในการตรวจจอประสาทตาอย่างละเอียด ปรากฎว่า แป้งเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบ (Conjuctivitis) คือ ภาวะที่เยื่อบุตาเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ ซึ่งเยื่อบุตาเป็นเยื่อเมือกใสที่คลุมตาขาวและบุด้านในของเปลือกตา สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส แบคทีเรีย หรือสารก่อภูมิแพ้ ทำให้เกิดอาการ เช่น ตาแดง แสบตา คันตา หรือระคายเคือง จักษุแพทย์แจ้งว่า ไม่ได้เป็นต้อกระจกแต่อย่างใด

ได้น้ำตาเทียมยี่ห้อ Cellufresh มาหยอดเช้า-เย็นและ Spersallerg Eye Drop contain antazoline หยอดครั้งละ 1-2 หยดเช้า-เย็น

ยา antazoline เป็นยาต้านฮีสตามีน ช่วยลดอาการของโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากฮีสตามีน รวมถึงโรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้หรือเยื่อตาขาวอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic conjunctivitis)

ในตำรับยาหยอดตามีการนำยานี้มาผสมกับ tetrahydrozoline (หรือ tetryzoline) ซึ่งยาชนิดหลังมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดที่เยื่อตาหดตัว จึงลดอาการตาแดงที่เกิดจากสิ่งระคายเคืองดวงตา ใช้รักษาอาการทางตาที่เกี่ยวข้องภูมิแพ้ รวมถึงโรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้

เวลาผ่านไป 24 ชม.หายคันระคายเคือง น้ำตาหยุดไหลเลยคะ
แต่พอผ่านไป 2 สัปดาห์ แป้งก็มีอาการเดิมอีกครั้ง แต่ช่วงเย็นไม่มีแพทย์เฉพาะทาง เลยมาตรวจกับหมอ GP ผลคือ อ้าว!!เป็นต้อกระจกเฉย แป้งเลยไปหาซื้อยาตัวเดิมจากร้านขายยา แค่วันเดียวอาการก็หายเป็นปลิดทิ้งคะ

ยาหยอดตาและน้ำตาเทียม เป็น 2 สิ่งที่ติดตัวแป้งไปตลอดทุกทริปโดยเฉพาะต่างประเทศ อาการกำเริบระหว่างทางขึ้นมาหาซื้อยาพวกนี้ยากมาก เพิ่งจะได้โยนยาทิ้งเมื่ออายุน่าจะ 40 ปีเพราะเริ่มศึกษาวิตามินจากอเมริกาแล้วพบว่า ร่างกายมนุษย์จะแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บต้องมีระดับภูมิคุ้มกันสูง เมื่อไหร่ที่อนุมูลอิสระมีมากกว่าสารต้านอนุมูลอิสระ ความเจ็บป่วยจะเกิดขึ้นทันที

อย่างแป้งเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เด็ก หากมีภาวะเครียดหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ อาการจะกำเริบโดยจะคันตา คันหู ระคายเคืองตา
แป้งพยายามถามจักษุแพทย์ทุกคนที่รักษาแป้ง ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า ทำไมถึงได้คันหูและคันตา บางครั้งคันเพดานปาก แต่อาการไอจาม น้ำมูกใสไม่ค่อยเป็น ซึ่งอาการหลังไม่สงสัยคะ

ตอนนั้นแป้งอายุ 31 ปี ทำงานที่แผนกตรวจสุขภาพผู้เอาประกันช่วงที่ว่างจากงาน นั่งอ่านนิตยสารไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสะดุดเนื้อหาของแพทย์สาขากุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน จำชื่อคุณหมอไม่ได้ แต่เหมือนว่า คุณหมอจะมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง ไม่งั้นคงไม่ได้ลงหนังสือ มีใจความประมาณว่า

โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ บางครั้งเรียกว่า แพ้อากาศ จะมีอาการคันจมูก จาม น้ำมูกใส คัดแน่นจมูก บางครั้งจะคันหัวตา คันเพดานปากหรือคันหูด้วย อาจพบอาการหอบหืดหรือผื่นคันตามผิวหนังร่วมด้วย โรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม ไม่หายขาด แต่ถ้าไม่สัมผัสสารที่แพ้ จะไม่มีอาการ

เหมือนคุณพระมาโปรด อาการที่เราสงสัยมานานคือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โล่งใจมากมาย ถ้าแป้งไปตรวจกับแพทย์สาขานี้ จะได้คำตอบที่ค้นหามาแสนนาน แต่สุดท้ายได้จากการอ่านนี่เองคะ

ดูเหมือนว่าโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้จะเลือนหายไปจากชีวิตประจำวันของแป้งเมื่ออัดวิตามินเต็มคาราเบล+ออกกำลังกาย
ถามว่า ทำไมไม่กินยารักษาภูมิแพ้หรือใช้เครื่องฟอกอากาศ

เรื่องยารักษาโรค เคยกินสมัยจบพยาบาลใหม่ๆ ขนาดเป็นยาแก้แพ้อย่างดีที่ไม่ทำให้ง่วงเหงาหาวนอน แต่แป้งก็ง่วงและตาแห้งอยู่ดี แถมกินก็รู้สึกไม่ค่อยช่วยอะไร เลยเลือกที่จะไม่กิน

กินวิตามิน+พักผ่อนเยอะๆแทน ได้ผลดีทีเดียว ยิ่งกินวิตามินซีเยอะๆ ช่วงที่ภูมิแพ้กำเริบ จะไม่รู้สึกเพลียเหมือนคนป่วยทั่วไป แม้จะมีน้ำมูกใส ไอ จาม หมดทิชชู่เป็นกล่อง พอหายจากโรคแล้วจะฟื้นตัวเร็ว หน้าตาผุดผ่องใส ทาแป้งติดหน้าดีเชียว

ส่วนเครื่องฟอกอากาศ เคยสั่งมาใช้ในสำนักงานเครื่องหลายหมื่นน่าจะเกือบ 3 หมื่น(เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว)สิ่งที่รู้สึกได้ชัดเจน คือ อากาศสะอาด โล่งขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องภูมิแพ้เท่าไหร่นักเพราะกำเริบอยู่ดี จำได้ว่า ออกจากห้องน้ำ ล้างมือเรียบร้อย ใช้มือที่สะอาดหมุนลูกบิดประตู เผอิญรู้สึกระคายเคืองตา เลยใช้มือข้างที่หมุนลูกบิดขยี้ตาเบาๆ(มือเราสะอาดจริง แต่ลูกบิดประตูเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียซูโดโมแนส แอรูจิโนซา คุณพระ!!)ชั่ววินาที โอ๊ย!! ระคายเคืองหนักกว่าเดิม ตาเริ่มบวมแดงอีกล่ะ คราวนี้ต้องถ่อไปฉีดยาสเตียรอยด์(Dexamethasone)เข้าเส้นเลือดที่โรงพยาบาล

เหตุการณ์นี้ทำให้แป้งไม่เชื่อถือในประสิทธิภาพเครื่องฟอกอากาศ
เป็นที่มาของการค้นคว้าวิตามินคุณภาพสูงจากอเมริกานับตั้งแต่นั้นมา อาจมีหลายคนที่ใช้เครื่องฟอกอากาศแล้วเห็นผลเรื่องภูมิแพ้ แต่แป้งไม่เลย วิตามินช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุดแล้วคะ

เชื้อโรคต่างๆ เช่น ไวรัสและแบคทีเรียอยู่รอบตัวและในร่างกายของเราทุกคน เมื่อใดก็ตามที่ระดับภูมิคุ้มกันต่ำลง ไวรัสจะถาโถมจู่โจมจนเราตั้งตัวไม่ทัน เริ่มต้นดูแลตัวเอง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อุดมไปด้วยพืชผัก ผลไม้ ลดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง( 2 สิ่งนี้ส่งผลให้ร่างกายเกิดการอักเสบ) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ มองโลกในแง่ดี เครียดให้น้อยลง ปลงให้มากขึ้น

ความสุขจากการมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย จะดีกว่ามั้ยที่อย่างน้อยเราได้ใช้เงินที่หามา เก็บออมหรือเที่ยวนั่นโน่นนี่ ไม่ได้ใช้จ่ายเพื่อรักษาตัวโดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนราคาแพงมากๆ
หากจะรักษาโรงพยาบาลรัฐ ประหยัดกว่าเยอะ แต่แลกมาด้วยการตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อให้ได้คิวรักษาแรกๆ

ร่างกายมนุษย์ไม่ได้มีอะไหล่สำรองเหมือนรถยนต์ ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ เช่น ตับไตแขนขา ฯลฯ แต่สิ่งที่ได้มา ไม่มีทางเหมือนเดิม อย่างกรณีผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไต ต้องกินยากดภูมิคุ้มกันไปตลอดชั่วระยะเวลาหนึ่ง(ไตใหม่ที่ได้รับมานั้นเป็นไตของผู้อื่น ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดการต่อต้านเนื้อเยื่อของร่างกายได้ หากรับประทานยากดภูมิไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย) กว่าจะฟื้นตัว ชีวิตประจำวันที่เหลืออยู่ จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

สุดท้ายไม่ว่าจะเกิดโรคแพร่ระบาดรุนแรงแค่ไหน หากเรามีระดับภูมิต้านทานที่สูงอยู่ตลอด เชื้อโรคไม่ว่าจะเป็นไวรัส แบคทีเรียหรือรา จะไม่สามารถทำอะไรได้เลย  ความแข็งแกร่งของระบบภูมิคุ้มกันจากสารต้านอนุมูลอิสระจะเห็นเด่นชัด เมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้นคะ

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม