บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2565

Energizing fat burner วิตามินลดน้ำหนักและเพิ่มอัตราการเผาผลาญ

 ชีวิตคือการเดินทางของร่างกายที่เสื่อมถอยลงในทุกๆวัน ตัวการใหญ่คือ อนุมูลอิสระ(Free Radical)เป็นสิ่งที่เกิดหลังจากกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า ออกซิเดชั่น(Oxidation Stress)ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยจะเกิดในช่วงของกระบวนการเผาผลาญอาหาร(บ่งบอกว่า คนที่กินอาหารเยอะเกินความต้องการ จะไม่เกิดผลดี มีแต่ข้อเสียเพราะยิ่งกินมาก อนุมูลอิสระจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว) ส่งผลให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ความชราและการอักเสบในร่างกายสะสมจนกลายเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

ในความเป็นจริง สารต้านอนุมูลอิสระจะไม่สามารถซ่อมแซมร่างกายที่เสียหายจากอนุมูลอิสระ แต่สามารถชะลอความเสื่อมได้นะคะ

แป้งเริ่มกินวิตามินเพื่อชะลอวัย โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือ เพิ่มพลังงานเนื่องจากมีภาวะโลหิตจางและพาหะธาลัสซีเมีย ทำให้เป็นลมและอ่อนเพลียง่ายมาตั้งแต่เด็ก พอมากินวิตามินเต็มคาราเบลจากอเมริกาเพียงไม่กี่ปี ผลการตรวจเลือด CBC เมื่อ 4 ปีมาแล้ว ไม่เป็นโลหิตจาง แต่พาหะธาลัสซีเมียยังคงอยู่เพราะเป็นโรคเลือดที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ที่ฝังในยีน(Gene)เรียบร้อย

ปัจจุบันแป้งรู้สึกแข็งแรงกว่าเดิมและมีพลังงานเพิ่มมากกว่าในอดีตเยอะมากๆ สังเกตได้จากยืนล้างจาน ทำงานบ้านต่อเนื่องเป็นชั่วโมงแบบไม่ต้องพัก เมื่อก่อนยืนล้างจานเสร็จ นั่งพัก 15 นาที ดูดฝุ่นนั่งพัก 15 นาที ถูพื้นนั่งพัก 15 นาที เดี๋ยวนี้ทำงานบ้านต่อเนื่องแบบไม่พัก สบายๆคะ

เมื่ออายุมากขึ้น เราจะไม่สามารถกินได้เหมือนตอนอายุน้อย
เป็นเพราะระบบเผาผลาญของมีแนวโน้มที่จะช้าลงตามอายุ ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่ายและลดน้ำหนักได้ยากขึ้น
ซึ่งมีเหตุผลบางประการ ได้แก่ การสูญเสียกล้ามเนื้อ การใช้งานน้อยลง และกระบวนการเมตาบอลิซึมช้าลงตามธรรมชาติ

เมตาบอลิซึม(Metabolism)คือ ปฏิกิริยาเคมีทั้งหมดที่ช่วยให้ร่างกายมนุษย์มีชีวิตอยู่ได้

การสร้างความร้อนจากกิจกรรมที่ไม่ได้ออกกำลังกาย คือแคลอรี่ที่เผาผลาญผ่านกิจกรรมอื่นที่ไม่ใช่การออกกำลังกาย รวมถึงงานต่างๆ เช่น ยืนล้างจาน และงานบ้านอื่นๆ
ผู้สูงอายุมักจะมีความกระฉับกระเฉงน้อยลงและเผาผลาญแคลอรี่น้อยลงเมื่อทำกิจกรรมต่างๆ

แป้งเคยมีเรื่องกังวลใจไม่น้อยหลังจากฉีดวัคซีนโควิด AZ เข็มแรกเมื่อเดือนพ.ย 64(สามีบังคับ)มีความผิดปกติเกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น แค่วันแรกก็นอนไม่หลับ ในวันเสาร์อาทิตย์บางคืนกว่าหลับได้คือ 7-8 โมงเช้า เป็นอย่างนี้ร่วม 7-8 เดือน น้ำหนักพุ่งพรวดจาก 54 โล กลายเป็น 60 โลภายใน 3 เดือน เสื้อผ้าจากไซส์ S เป็น L เรียกได้ว่า ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้ายกตู้เลยคะ

พอย่างเข้าเดือนต.ค 65 น้ำหนักจาก 60 โล ลดลงมาเหลือ 56 โลโดยที่ไม่ได้ทำอะไรและเริ่มมีวงจรนอนหลับได้ตามปกติเนื่องจากวัคซีนได้หมดสิ้นไปจากร่างกาย แป้งดีใจสุดๆยิ่งกว่าอะไรเลยคะ

ต้นเดือนพ.ย 65 แม่บ่นว่า กินเยอะน้ำหนักขึ้นจนชุดใส่ออกงานคับไปหมด แป้งเลยจัดวิตามิน Energizing Fat burner  ยี่ห้อ Natural Letter ผลิตในอเมริกา  กินครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น  กินไปได้เพียงเดือนเดียว แม่โทรมาถามว่า หยุดกินได้ไหม เพราะน้ำหนักลง 2  โล พุงยุบ ชุดหลวมแต่หน้าตอบ  แลดูไม่ดีเหมือนคนเพิ่งสร่างไข้ พอแป้งได้ยินดังนั้น เลยรีบจัดวิตามินตามแม่ ครบ 1  เดือนน้ำหนักลดลง 2.5 โล ปัจจุบันเหลือ 53.5 โล  เย้!!

วิตามิน Energizing Fat Burner ยี่ห้อ Natural Letter มีส่วนประกอบสำคัญดังนี้

1.Pyruvate หรือกรดไพรูวิก(Pyruvic Acid)เป็นสารประกอบทางชีวเคมีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกายรวมถึงการเผาผลาญไขมัน โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต การเก็บไกลโคเจนและการผลิตพลังงานภายในเซลล์

 Pyruvate จำเป็นสำหรับวงจรกรดซิตริกหรือวงจร Krebs ซึ่งเป็น
กระบวนการที่เซลล์ผลิตพลังงานในรูปแบบของ adenosine triphosphate (ATP)

 ATP คือเชื้อเพลิงหลักทางเคมีของร่างกาย เป็นสารที่ได้มาจาก Metabolism หรือการเผาผลาญสารอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรต
จัดเป็นโมเลกุลที่เก็บพลังงานไว้ได้มาก

หาก ATP ถูกสลาย จะปลดปล่อยพลังงานมาให้ร่างกายใช้ประโยชน์ เช่น ใช้ในการหดตัวของกล้ามเนื้อ หรือใช้ในการขนส่งสารต่างๆเข้าและออกจากเซลล์ เป็นต้น

2.แพนเทธิน(Pantethin)เป็นอนุพันธ์ของวิตามิน B5(Pantothenic ) เกี่ยวข้องกับการทำงานของสาร Coenzyme A ซึ่งจำเป็นในกระบวนการเผาผลาญสารอาหารเพื่อให้พลังงานของร่างกาย เช่น คาร์โบไฮเดรตและการเผาผลาญไขมัน

 Pantethine มักถูกใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในการลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด
 
3.กรีนที ไฟโตโซม(Green Tea Phytosome) รูปแบบของชาเขียวและโพลีฟีนที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เป็นสารสกัดที่มีมาตรฐานสูงของชาเขียว(Camellia sinensis)มีโพลีฟีนอล(Polyhpenol) 60 เปอร์เซ็นต์และ EGCG 40 เปอร์เซ็นต์
จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพสูง ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์และลดการอักเสบทั่วร่างกาย

มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนประโยชน์ด้านสุขภาพมากมายตั้งแต่การช่วยลดน้ำหนักไปจนถึงการต่อต้านความเครียดจากอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันโรคเรื้อรังหลายชนิด

งานการวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อใช้ร่วมกับอาหารที่มีแคลอรี่ลดลง(ให้พลังงานน้อย)Green tea phytosome อาจช่วยให้ลดน้ำหนักได้มากกว่าการลดแคลอรี่เพียงอย่างเดียว 

มีการศึกษาวิจัยในชายและหญิงที่เป็นโรคอ้วน 50 คนโดยจำกัดแคลอรี่ในอาหารและรับประทาน Green tea phytosome เป็นเวลา 90 วัน พบว่า น้ำหนักโดยเฉลี่ยลดลง 30 ปอนด์ ในขณะผู้ที่จำกัดแคลอรี่เพียงอย่างเดียว สูญเสียน้ำหนักเฉลี่ย 11 ปอนด์

มีประโยชน์อย่างไร
1.ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้เป็นไปตามปกติ แม้จะมีอายุมากขึ้น
2.ควบคุมความหิว ลดความอยากอาหาร มีผลทำให้รู้สึกอิ่มมากขึ้น เพื่อให้ได้รับแคลอรี่น้อยลงต่อวัน
3.มีผลทำให้น้ำหนักลดลง สัดส่วนจึงลดลงตามไปด้วย
4.กำจัดสารพิษที่สะสมในร่างกาย
5.เพิ่มการไหลเวียนเลือด
6.ต่อต้านอนุมูลอิสระ
7.เพิ่มพลังงาน ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย
8.ลดไขมันคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
9.ลดการสะสมคราบพลัค(Pluque)ในหลอดเลือด
10.ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญอาหาร(Metabolism)เป็นหัวใจสำคัญสำหรับคนที่มีรูปร่างสมส่วน ซึ่งจะเผาผลาญสารอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อ พร้อมส่งพลังงานสารอาหารไปยังอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เมื่อระบบการเผาผลาญดี จะทำให้ร่างกายมีปริมาณไขมันส่วนเกินน้อยลงและมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น หากออกกำลังกายร่วมด้วย จะเห็นชัดเจน

11.เพิ่มการเผาผลาญไขมัน(สลายไขมันเป็นพลังงาน)มีผลทำให้เผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น

เมื่อวานแป้งกินน้ำพริกปลาทูตำเอง เผลอใส่พริกเยอะกว่าปกติ ในใจคิดว่า น่าจะไม่รอด คงแสบท้องเป็นกรดไหลย้อนเหมือนเคยแน่ๆ พอตื่นเช้ามา อ้าว! ทำไมเราไม่แสบท้องล่ะ แปลกใจมาก แต่น่าจะเป็นผลจากวิตามิน Energizing Fat burner ที่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารเป็นไปตามปกติ

จะบอกว่า แป้งไม่ได้จำกัดอาหารอะไรทั้งสิ้น ยังคงกินเบเกอรี่ที่ทำเอง เช่น เค้ก คุ้กกี้ ทาร์ตสับปะรด ฯลฯ กินอาหารรสจัด ซีฟู้ด คาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานสูงได้หมด ทั้งๆที่เพื่อนรุ่นเดียวกัน เริ่มกินอาหารได้น้อยลง แค่เคี้ยวก้านคะน้ากรอบยังเจ็บเหงือกปวดฟัน เคยกินข้าว 5 ทัพพี ตอนนี้เหลือ 3 ทัพพี กินเผ็ดเหมือนตอนสาวๆไม่ได้แล้ว จะปวดมวนท้องเข้าห้องน้ำ ขนาดออกกำลังกายวันละ 1 ชม.น้ำหนักไม่ลดแม้เพียงขีดเดียว  เพื่อนออกกำลังกายที่ยิมมาหลายปีแล้ว เจอทีไรชอบบ่นว่า น้ำหนักไม่ลงแต่แป้งผอมเอาๆ

เพื่อนอีกคน ปกติจะเคี้ยวอาหารโดยใช้ฟันกรามด้านซ้าย ต้องเปลี่ยนมาเคี้ยวอีกฝั่งเพราะเหงือกร่น ฟันกรามซี่ในสุดเหมือนจะเคี้ยวไม่ละเอียด เนื้อสัตว์ทุกชนิดเหนียวไปหมด เคี้ยวไม่ขาด กินเผ็ดไม่ได้เช่นกัน สาเหตุที่กินเผ็ดไม่ได้เนื่องจากผนังเยื่อบุกระเพาะอาหารบางลง คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ผิวหน้าและผิวกายจะบางลง มองเห็นเส้นเลือดดำชัดเจน เยื่อบุอวัยวะภายในก็เช่นกัน สังขารไม่เที่ยงจริงๆ

ยกตัวอย่างเบาๆแค่เพื่อน 2 คน ที่เหลือยังไม่ได้เจอกัน
เพื่อนกลุ่มนี้ ไม่ได้กินวิตามินเพื่อชะลอวัยแบบแป้ง ถึงแม้จะหมดเงินกับค่าเลเซอร์ โบท็อกซ์ อัลเทอร่า ฯลฯ เพื่อให้หน้าตึงไร้รอยเหี่ยวย่นแค่ชั่วคราว แต่ข้างในกลับแก่ชราไปตามวัย เพราะฉะนั้นคำว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข นี่ไม่เป็นความจริงเลยนะคะ

สนใจสอบถามและสั่งซื้อได้ที่
hamercandysiam.lnwshop.com
วิตามิน Energizing Fat Burner ยี่ห้อ Natural Letter - Hamer candy

Tel.061-7429944
ID line : 0617429944

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

 รู้หรือไม่ว่า อาหารเสริมบางอย่างอาจทำให้ใจสั่นได้

บางครั้งเรารับประทานวิตามินเพื่อหวังผลในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บหรือชะลอวัย
การได้รับวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอจะช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้ดีที่สุด  แต่ภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นหากได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนส่งผลให้ใจสั่น (Palpitation) คือ อาการที่คนไข้รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว เต้นแรง เต้นไม่สม่ำเสมอหรือเต้นๆหยุดๆ

1.โฟเลต(Folate)
โฟเลต(Folate)เรียกอีกอย่างว่า กรดโฟลิกหรือวิตามิน B9 อาจส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ ตามรายงานของสำนักงานอาหารเสริมแห่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (ODS)  ในทางกลับกันโรคโลหิตจางอาจทำให้หัวใจวายได้

 การขาดโฟเลตจะมีอาการดังนี้ คือ
 ความเหนื่อยล้า
 หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็ว
 ไม่มีเรี่ยวแรง
 ปวดศีรษะ
 หงุดหงิด
 
ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดยืนยันว่าขาดโฟเลต  แพทย์สามารถแนะนำอาหารเสริมที่เหมาะสมหรืออาจแนะนำให้เพิ่มแหล่ง
กรดโฟลิกตามธรรมชาติในอาหาร

อาหารที่อุดมด้วยโฟเลต ได้แก่ ตับวัว ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำดาว พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่ว ถั่วลันเตา และถั่วเลนทิล

2. วิตามินบี 12
การขาดวิตามินที่อาจทำให้ใจสั่นคือ วิตามินบี 12  เช่นเดียวกับการขาดโฟเลต การขาดวิตามิน B12 สามารถนำไปสู่ภาวะโลหิตจางและด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้หัวใจวายได้

การขาดวิตามินบี 12 มักจะเกิดขึ้นได้ช้าและมักสับสนกับเงื่อนไขอื่น ๆ ดังนั้นควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสอบว่าขาดสารอาหารนี้หรือไม่  หากมีวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอ แพทย์อาจสั่งวิตามินสำหรับอาการใจสั่นและอาการอื่นๆ ในรูปแบบการฉีดหรือรับประทานอาหารเสริม

สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าได้รับสารอาหารเพียงพอ หากรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นประจำเนื่องจากผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์เป็นแหล่งวิตามินหลักของ B12

แหล่งวิตามิน B12 ที่ดี ได้แก่ อาหารทะเล เช่น หอยและปู เนื้อวัวและตับเนื้อ ยีสต์ ซีเรียล(ผู้ผลิตมักเติมB12เข้าไป)  ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง และเทมเป้ ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีสโยเกิร์ต และนม
 
วิตามินบี 12 มากเกินไปอาจทำให้หัวใจวายได้หรือไม่
ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าการรับประทานวิตามินในปริมาณมากอาจทำให้หัวใจวายได้  อย่างไรก็ตาม อาจนำไปสู่อาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลียหรืออ่อนแรง ชาที่มือและเท้า

3. วิตามินดี
วิตามินดีเป็นอาหารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่อาจทำให้ใจสั่นเมื่อรับประทานในปริมาณมาก

การทบทวนในเดือนมีนาคม 2018 ใน ​Circulation​ พบว่า การมีวิตามินดีส่วนเกินในร่างกายเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับการเต้นของหัวใจห้องบน ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

จากข้อมูลของ Mayo Clinic การรับประทานยา 60,000 หน่วยสากล(IU)ทุกวันในช่วงหลายเดือนสามารถนำไปสู่ความเป็นพิษได้

เพื่อป้องกันปัญหานี้ ผู้ใหญ่ควรปฏิบัติตามแนวทางการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันที่แนะนำให้รับประทานวิตามินดี 600 หน่วยสากล(IU)ต่อวันเท่านั้น ยกเว้นจะได้รับการตรวจเลือดเพื่อเช็คระดับวิตามินเสียก่อน

วิตามินดีที่พบในอาหาร จะมีอยู่ 2 ชนิด นั่นคือ
1.วิตามินดี 2 (Vitamin D2) หรือ เออโกแคลซิเฟอรอล (Ergocalciferol) ซึ่งจะมาจากอาหารที่เป็นพืช เช่น เห็ด นมและซีเรียลที่เติมวิตามินดี
2.วิตามินดี 3 (Vitamin D3) หรือ โคเลแคลซิเฟอรอล (Cholecalciferol) พบในเนื้อสัตว์ เช่น ปลาทะเล ไข่แดง นมที่เติมวิตามินดี

ตับจะเปลี่ยนวิตามินดี 2 ให้กลายเป็น 25-Hydroxyvitamin D2 และวิตามินดี 3 เป็น 25-Hydroxyvitamin D3 ซึ่งเป็นรูปแบบวิตามินดีที่ร่างกายนำไปใช้ได้ จะเรียกสาร 2 ตัวนี้ว่า Calcifediol

วิตามินดี 3 จะเพิ่มระดับ Calcifediol ในเลือดได้มากกว่า วิตามินดี 2 เป็นสองเท่า ดังนั้นหากซื้ออาหารเสริมวิตามินดี ควรเลือกซื้อเป็น วิตามินดี 3 จะดีกว่าคะ

ควรพบแพทย์หากมีสัญญาณของการได้รับวิตามินดีเกินขนาด เช่น
ไม่มีเรี่ยวแรง คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะบ่อย

เมื่อไม่นานมานี้ มีพี่ผู้หญิงอายุน่าจะ 50 ปีกว่า มีประวัติ Hyperthyroidism ปัจจุบันแพทย์สั่งหยุดยากินแล้ว
มาปรึกษาแป้งว่า กิน D3 5000iu +เมลาโทนิน 3 mg อย่างละ 1 เม็ดต่อวัน มาเป็นเวลา 2 เดือนกว่า ไม่พบปัญหาอะไร
 2 วันที่ผ่านมา มีอาการใจสั่น ลองหยุดกินวิตามินทั้ง 2 ตัว ปรากฎว่า ไม่มีอาการใจสั่นเกิดขึ้น

แป้งลองไปค้นข้อมูลว่า วิตามินมีผลทำให้เกิดอาการใจสั่นได้หรือไม่
ผลปรากฏว่าว่า วิตามินดีที่ overdose(เกินขนาด)จะทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นนะคะ

สังกะสี(Zinc)หรือวิตามินซีทำให้หัวใจวายได้หรือไม่

ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการขาดสังกะสี(Zinc)หรือวิตามินซีหรือการใช้ยาเกินขนาดอาจทำให้หัวใจวายได้

อย่างไรก็ตาม การขาดแร่ธาตุสังกะสีอาจทำให้เกิดอาการอื่นๆ เช่น
เด็กจะเจริญเติบโตช้า เบื่ออาหาร การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้การขาดวิตามินซีจะทำให้เกิดอาการเลือดออกตามไรฟัน ความเหนื่อยล้า เหงือกอักเสบ ปวดข้อ แผลหายช้า

แต่สังกะสีหรือวิตามินซีมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องร่วง

4.แคลเซียม

การมีแคลเซียมไหลเวียนในเลือดมากเกินไป เป็นภาวะที่เรียกว่าภาวะแคลเซียมในเลือดสูง บางครั้งอาจทำให้หัวใจวายได้
อย่างไรก็ตาม อาการใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดปกตินั้นพบได้น้อยมาก และเป็นผลมาจากภาวะแคลเซียมในเลือดสูงอย่างรุนแรง

ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงสามารถเกิดขึ้นได้ หากรับประทานวิตามินดีในปริมาณสูงหรืออาหารเสริมแคลเซียมในปริมาณมาก ภาวะนี้มักเกิดจากภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป หรืออาจเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินดี วิตามินเอ หรือแคลเซียมเสริมมากเกินไป รวมทั้งอาจพบได้ในผู้ที่เป็นโรคไต วัณโรค

ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่มีสาเหตุจากโรคมะเร็ง เป็นภาวะคุกคามชีวิตที่พบได้บ่อย ประมาณร้อยละ10-30
มะเร็งท่ีพบบ่อยได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้และมะเร็งที่แพร่กระจายไปกระดูก รวมถึงผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายได้น้อย มีการกดทับที่กระดูกเป็นระยะเวลานาน ทำให้กระดูกปลดปล่อยแคลเซียมเข้าสู่เลือด
โดยผู้ที่มีแคลเซียมในเลือดสูงไม่มากนัก มักจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในรายที่แคลเซียมในเลือดสูงรุนแรง อาจแสดงอาการแตกต่างกันไป เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลีย สับสน หัวใจเต้นผิดจังหวะ ใจสั่น รวมไปถึงกระดูกบางและแตกหักได้ง่าย

เมื่อสงสัยว่ามีภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ให้พบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา  และหากมีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อความสามารถของร่างกายในการประมวลผลแคลเซียม เช่น โรคไต ให้ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
 
หากม่มีข้อกังวลด้านสุขภาพใดๆ ก็ตาม ให้ยึดตามแนวทางการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันที่แนะนำให้บริโภค 1,000 มก. ต่อวัน หรือ 1,200 มก. ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 51 ปี

5. แอล-ไลซีน
L-lysine เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและผลิตคอลลาเจน แต่การได้รับแอล-ไลซีนไม่เพียงพออาจทำให้หัวใจวายทางอ้อม การขาดสารอาหารนี้อาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น หัวใจเต้นผิดปกติ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการต่างๆเช่น  ความเหนื่อยล้า คลื่นไส้ เวียนหัว เบื่ออาหาร ดวงตาแดงก่ำ เด็กเจริญเติบโตช้า

ควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนซึ่งมีไลซีนให้มากๆ อาหารเหล่านี้ได้แก่  เนื้อสัตว์ ปลา ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้และเทมเป้ ถั่วและเนยถั่ว พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่ว ถั่วลันเตา และถั่วเลนทิล

 6.โพแทสเซียม
โพแทสเซียมเป็นอาหารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่อาจทำให้หัวใจวายได้  เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นและอิเล็กโทรไลต์ที่ช่วยให้จังหวะการเต้นของหัวใจทำงานได้ตามปกติ แต่การได้รับสารอาหารไม่เพียงพออาจส่งผลให้เกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวกับหัวใจ เช่น อาการใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ
 
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำที่ควรระวัง ได้แก่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง อัมพาต รู้สึกแสบร้อนหรือเหน็บที่แขนและขา
ในทางกลับกัน การมีโพแทสเซียมมากเกินไปในระบบซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า ภาวะโพแทสเซียมสูง อาจนำไปสู่ปัญหาที่คล้ายคลึงกันได้ ในกรณีที่รุนแรง อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้

โพแทสเซียมมีอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในผลไม้และผักทุกชนิด แต่พบมากในกล้วย กีวี ลูกพรุน อะโวคาโด แคนตาลูป มันฝรั่ง มันเทศ ถั่วต่างๆ ไข่ โยเกิร์ต หรือในอาหารเสริมบางประเภท แต่พบได้น้อยในเนยแข็ง

โพแทสเซียมในเลือดสูงมีได้หลากหลายอาการที่พบได้บ่อย เช่น เหนื่อย คลื่นไส้ เคลื่อนไหวได้ช้าลง หัวใจและชีพจรเต้นผิดจังหวะและเต้นช้า เป็นลมหมดสติ

ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำอย่างรุนแรงและภาวะโพแทสเซียมสูงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการ

7. แมกนีเซียม
การขาดแมกนีเซียมอย่างรุนแรงอาจส่งผลให้เกิดปัญหาหัวใจ เช่นจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติและอาการกระตุกของหลอดเลือด
แมกนีเซียมยังมีบทบาทในการใช้วิตามินดี แคลเซียม และโพแทสเซียมในร่างกาย ทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่อาการใจสั่นได้เช่นเดียวกัน

อาการของการขาดแมกนีเซียม เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ไม่มีเรี่ยวแรง ปวดหัว อาการชาหรือรู้สึกเสียวซ่า กล้ามเนื้อหดตัวหรือเป็นตะคริว

อาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ผักใบเขียว ผักโขม
ผักที่มีแป้ง เช่น มันฝรั่ง อะโวคาโด ถั่ว แซลมอน

สำหรับผู้ใหญ่ ปริมาณแมกนีเซียม 310-420 มิลลิกรัมต่อวัน ถือว่าปลอดภัย

ผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะระบบทางเดินอาหารและเบาหวานชนิดที่ 2
 มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดแมกนีเซียมอย่างรุนแรง หากอยู่ในข้อใดข้อหนึ่งเหล่านี้และมีอาการ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม

แม้ว่าวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดอาจทำให้หัวใจวายได้ นอกเหนือจากอาหารเสริม โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือสารกระตุ้นอื่นๆและนิโคตินในผลิตภัณฑ์ยาสูบสามารถนำไปสู่การเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอหรือเต้นเร็วได้

ยาบางชนิดอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วได้ เช่น ยาสูดพ่นหอบหืด
ยาแก้คัดจมูก ยาที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ยาไทรอยด์
ยาแก้ไอและยาแก้หวัด






ที่มา

www . livestrong . com/article/285943-vitamins-that-cause-heart-palpitations/

แคลเซียมในเลือดผิดปกติ อันตรายกว่าที่คิด | โรงพยาบาลเปาโล - Paolo Hospital

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Dark chocolate มีประโยชน์อย่างไร

 ดาร์กช็อกโกแลต (Dark Chocolate)

ดาร์กช็อกโกแลตผลิตมาจากเมล็ดโกโก้ เป็นประเภทของช็อกโกแลตที่มีสัดส่วนของโกโก้อยู่เยอะที่สุด
ดาร์กช็อกโกแลตที่วางขายในท้องตลาด จะมีปริมาณโกโก้ดังนี้
1.ดาร์กช็อกโกแลต 50% ขึ้นไป : มีรสชาติหวาน ออกขมนิดๆ เป็นดาร์กช็อกโกแลตที่กินง่ายที่สุด
2.ดาร์กช็อกโกแลต 70% ขึ้นไป : รสชาติเข้มข้น ออกหวานนิดๆ และมีรสขมอมเปรี้ยวแบบเฝื่อนๆ แต่ยังคงกินง่าย
3.ดาร์กช็อกโกแลต 80%-99% : รสชาติขม เข้มข้น มีรสเปรี้ยวติดลิ้น นิยมนำไปทำขนมเบเกอรี่

ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดโกโก้
 • เนื้อโกโก้ (cocoa liquor หรือ cocoa mass)
 • โกโก้ผง (cocoa powder)
 • เนยโกโก้ (cocoa butter)
 • ช๊อกโกแลต (chocolate)

ดาร์กช็อกโกแลตนอกจากจะมีน้ำตาลน้อยกว่าช็อกโกแลตประเภทอื่นแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุต่าง ๆ อีกด้วย เช่น ฟลาโวนอยด์ ธาตุเหล็ก ทองแดง สังกะสี แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้นสารอาหารในดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลตที่มีผงโกโก้ 70-85 % ปริมาณ 30 กรัม จะมีสารอาหารโดยประมาณ ดังนี้
 •   พลังงาน 180 แคลอรี่
 •   ไขมัน 12.78 กรัม
 •   โปรตีน 2.34 กรัม
 •   คาร์โบไฮเดรต 13.8 กรัม
 •   เส้นใยอาหาร 3.3 กรัม
 •   น้ำตาล 7.2 กรัม
 •   คาเฟอีน 0.02 มิลลิกรัม
 •   น้ำ 0.42 กรัม
 •   แร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ
ประโยชน์ของดาร์กช็อกโกแลต
1.มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งหลายการศึกษาพบว่า สารโพลีฟีนอลจะช่วยส่งเสริมให้หลอดเลือดแข็งแรง มีส่วนช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี HDL ซึ่งช่วยลดการอักเสบและการก่อตัวของลิ่มเลือดได้

2.ลดระดับความดันโลหิต การรับประทานดาร์กช็อกโกแลตสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ช่วยลดความดันโลหิต ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว

3.ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจาก
ดาร์กช็อกโกแลตอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายมากมาย จึงช่วยบำรุงหลอดเลือดทำให้เกิดการไหลเวียนโลหิตได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง

4.ช่วยเพิ่มระดับไขมันดี HDL และลดไขมันไม่ดี LDL ในร่างกาย ใน American Journal of Clinical Nutrition ระบุไว้ว่า ในโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตจะมีสารฟลาโวนอยด์ และโพลีฟีนอลในดาร์กช็อกโกแลต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี LDL และเพิ่มคอเลสเตอรอลดีอย่าง HDL ในเลือดได้

5.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง สารฟลาโวนอยด์
ในดาร์กช็อกโกแลต มีฤทธิ์ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ออกซิเจนและเลือดลำเลียงไปสู่สมองได้ดี ส่งผลให้เราจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

6.ช่วยลดความเครียด มีการศึกษาพบว่า คนที่รับประทาน
ดาร์กช็อกโกแลตปริมาณ 40 กรัมทุกวัน นาน 2 สัปดาห์ ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนแห่งความเครียดลดลง เมื่อเทียบกับวันแรกที่เริ่มรับประทาน

แม้ดาร์กช็อกโกแลตจะมีประโยชน์กับร่างกาย แต่หากรับประทานมากเกินไป จะได้รับน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย จึงควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม คือ 20 – 30 กรัม หรือ 1 ชิ้นเล็กต่อวัน และควรเลือกช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของโกโก้อย่างน้อย 70 % ขึ้นไป เนื่องจากจะมีส่วนประกอบของน้ำตาลน้อย และมีสารฟลาโวนอยด์สูง

ส่วนประกอบของโกโก้
สารสำคัญคือ alkaloid ได้แก่ ทีโอโบรมีน (theobromine) จากโกโก้มีโครงสร้างคล้าย caffeine (คาเฟอีน)มาก แต่จะมีฤทธิ์อ่อนกว่า  ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและหัวใจ ขับปัสสาวะ ขยายเส้นเลือด คลายกล้ามเนื้อเรียบ บรรเทาอาการหอบหืดคล้ายกับฤทธิ์ของทีโอฟิลลีน (theophylline)

Theophylline (ทีโอฟิลลีน) เป็นยาในกลุ่มยารักษาโรคหอบหืด (Antiasthmatic) และโรคปอด มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อบริเวณรอบ ๆ ทางเดินหายใจภายในปอด ทำให้ทางเดินหายใจภายในปอดกว้างขึ้น และหายใจได้สะดวกขึ้น รวมถึงช่วยในเรื่องการหดตัวของกระบังลม ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการหายใจ และลดการตอบสนองของทางเดินหายใจจากสารระคายเคืองที่มากระตุ้น ยานี้ใช้เพื่อป้องกันหรือรักษาอาการต่าง ๆ เช่น แน่นหน้าอก หายใจถี่จากโรคหืด โรคหลอดลมอักเสบ และโรคปอดอื่น ๆ

หมายเหตุ ห้ามใช้ยานี้หากกำลังบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเมทิลแซนทีน( Metyl-Xanthine) ในปริมาณมาก เช่น ช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีคาเฟอีน

เมทิลแซนทีน เป็นกลุ่มของแอลคาลอยด์ รวมทั้งกาเฟอีน ทีโอโบรมีน และทีโอฟิลลีน (theophilline) ซึ่งพบมากอยู่ในชา กาแฟ โกโก้ และช็อกโกแลต

โดยทั่วไปแล้วผงโกโก้ธรรมชาติจะมีรสชาติเปรี้ยวอ่อน ๆ คล้ายผลไม้ และมีสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มแล้วแต่ลักษณะของสายพันธ์ที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ปลูก

ในการผลิตผงโกโก้นั้นมีขบวนการผลิตที่นิยมหลักๆ อยู่ 2 แบบคือ
1. Natural Cocoa Powder นิยมผลิตในแถบอเมริกา เช่น Hershey's, Ghirardelli, และ Scharffen Berger
2. Dutch-Process Cocoa Powder หรือ Alkalized Cocoa Powder นิยมผลิตในแถบยุโรป เช่น Cocoa Dutch, Valrhona, Cacao Barry และ Van Houten

ผงโกโก้ธรรมชาติที่เกิดจาการทำ Natural Process (Natural Cacao Powder) และ ผงโกโก้ที่ผ่านกระบวนการดัตช์ (Dutch-Processed Cocoa Powder) ต่างกันอย่างไร

ผงโกโก้แบบธรรมชาติ (Natural Cocoa Powder) จะมีสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีของดิน และมีความเป็นกรดอยู่ ในการทำเบเกอรี่จึงควรจะใช้คู่กับ Baking Soda เพื่อให้ลดความเป็นกรดลง โกโก้แบบธรรมชาตินั้นจะมีสีอ่อนกว่าแต่มีรสขมเข้มกว่าแบบ Dutch Process

ส่วนการผลิต Dutch-Process Cocoa Powder ซึ่งกระบวนการนี้ถูกคิดค้นโดยนักเคมีที่มีชื่อว่า Mr. Coenraad J. Van Houten หรือที่รู้จักกันดีในนามของ Van Houten Chocolate ที่โด่งดังไปทั่วโลก สาเหตุที่เรียกว่า Dutch-Process นั้นเป็นเพราะว่า Mr. Van Houten เป็นชาวดัตช์ หรืออีกชื่อที่เราคุ้นเคยนั้นคือ ชาวเนเธอร์แลนด์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบนั่นเอง

โดยขั้นตอนเริ่มต้นเหมือนกับผงโกโก้แบบธรรมชาติ แต่จะเพิ่มขั้นตอนการลดความเป็นกรดโดยการใช้โปรแตสเซียมคาร์บอเนต ในขั้นตอนการผลิตก่อนจะนำมาบีบอัดแยกไขมันและทำเป็นผงโกโก้ ผลที่ได้จะทำให้ผงโกโก้มีสีที่เข้มขึ้น แต่ความขมจะลดลง และมีรสนุ่มนวลมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากความเข้าใจทั่วไปว่า สีเข้มน่าจะขมมากกว่า ในการทำเบเกอรี่ควรใช้คู่กับผงฟู (Baking Powder)

ผงโกโก้ส่วนมากที่วางจำหน่ายในประเทศไทยจะเป็นแบบ Dutch process เช่น Cacao Barry, Cocoa Dutch, Van Houten, และ Tulip ซึ่งสีเข้มก็จะผ่านขบวนการลดความเป็นกรด (Alkalisation) มากกว่าสีอ่อน

ส่วน Black Cocoa Powder คือผงโกโก้แบบ Dutch-Process ที่ผ่านขบวนการลดความเป็นกรดที่มากขึ้น ใช้เวลานานขึ้น จนได้ผงโกโก้ที่มีสีดำสนิท โดยทั่วไปจะขมน้อยกว่าแบบสีเข้มและสีอ่อน
เรารู้จักกันดีคือ ขนมคุ้กกี้โอรีโอ้ ซึ่งถ้าใช้ผงโกโก้ทั่วไป ยากที่จะทำออกมาให้สีดำสนิท


ที่มา :

ประโยชน์ของดาร์กช็อกโกแลต - MedPark Hospital www . medparkhospital . com › content › health-be...

7 ประโยชน์ดีๆ ที่คุณจะได้รับ เมื่อกิน 'ดาร์กช็อกโกแลต' www . ofm . co . th › blog › dark-chocolate-benefits

Cocoa / โกโก้ - Food Wiki www . foodnetworksolution . com › wiki › word

ความแตกต่างระหว่างผงโกโก้ธรรมชาติกับผงโกโก้แบบดัตช์ www . chocolasia . com › 2019/06/22 › โกโก้-dutc...

ผงโก้โก้สีดำ (ฺBlack Cocoa Powder),วิธีการทำโกโก้,Natural homemademarket . co . th › blog › blog1

Theophylline (ทีโอฟิลลีน) - รายละเอียดของยา - พบแพทย์ - Pobpadh www . pobpad . com › theophylline

Revitalizing immune force วิตามินเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันทุกช่วงของชีวิต

 ทุกวันนี้โลกของเราเต็มไปด้วยอนุมูลอิสระมากมาย  โดยเฉพาะช่วง 3 ปีที่ผ่านมา(2019-2021) ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เชื้อไวรัสได้พัฒนาตัวเองขั้นสุดโจมตีมวลมนุษย์ชาติแทบทุกภูมิภาค ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ไม่น่าจะมีใครลืมโรค CIVID-19 ซึ่งติดต่อกันง่ายมาก

ไวรัสตัวนี้มักจะเริ่มต้นจู่โจมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยการเพิ่มจํานวนของไวรัสเกิดข้ึนในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและในปอด มีงานวิจัยในช่วงแรกระบุว่า
มีการเพิ่มจํานวนของไวรัสได้ในระบบทางเดินอาหาร แต่การติดต่อผ่านระบบทางเดินอาหารยังไม่เป็นที่ยืนยัน

ตามปกติภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งสร้างได้จากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ รับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่สะสมความเครียด ฯลฯ คงจะดีไม่น้อยหากเราเลือกรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระที่รวมวิตามินหลายชนิดไว้ในเม็ดเดียว

วิตามิน Revitalizing immune force ยี่ห้อ Holistic Nutrition ผลิตในอเมริกา มีส่วนประกอบดังนี้
1. Modified Rice Bran คือสารสกัดจากรำข้าวดัดแปลง
อะราบิน็อกซีแลน(arabinoxylan) เป็นเส้นใยอาหารชนิดที่ละลายได้ในน้ำ จัดเป็นประเภทเฮมิเซลลูโลสที่อยู่ในกลุ่มพอลิแซ็กคาไรด์(polysaccharides)

สารประกอบอะราบิน็อกซีแลนเป็นสารสกัดจากรำข้าว  
ที่ทำปฏิกิริยากับเอนไซม์จากเห็ดหอมชิตาเกะ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพ รำข้าวที่ดัดแปลงด้วยเอนไซม์จะช่วยให้การทำงานของเซลล์นักฆ่า(Natural Killer cell) มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

สารประกอบอะราบิน็อกซีแลนจากรำข้าวมักใช้เพื่อส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน  นอกจากนี้ยังใช้สำหรับโรคมะเร็ง ลดผลข้างเคียงของการรักษามะเร็ง อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (CFS) โรคตับอักเสบซีและอาจเพิ่มความต้านทานต่อการติดเชื้อไวรัสและมะเร็งในผู้สูงอายุ

ความเชื่อมโยงระหว่างความแข็งแกร่งของภูมิคุ้มกันที่ลดลงกับการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นและโรคมะเร็ง ได้รับการพิสูจน์ในการศึกษาจำนวนมากซึ่งแสดงให้เห็นว่า การลดลงของการทำงานเชิงคุณภาพของเม็ดเลือดขาวในช่วงอายุมากขึ้น จึงไม่แปลกที่ผู้สูงอายุมักจะติดเชื้อในกระแสเลือดบ่อยครั้ง

นักวิจัยเชื่อว่าเส้นใยนี้ ช่วยให้ร่างกายผลิตเซลล์นักฆ่าที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นและกระตุ้นเซลล์เหล่านั้น

ในการศึกษาหนึ่ง สารสกัดรำข้าวดัดแปลงแสดงให้เห็นว่า สามารถเพิ่มเซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติได้ 84% งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า สารสกัดรำข้าวดัดแปลงทำงานได้ดีในเวลาเพียงสองวัน สามารถใช้ได้ในช่วงฤดูไข้หวัดใหญ่เมื่อผู้ป่วยมีความอ่อนไหวต่อเชื้อโรคมากขึ้น

2.Himematsutake (Agaricus Blazei) เรียกอีกอย่างว่า เห็ดกระดุมบราซิล

เห็ดกระดุมบราซิล(Agaricus Blazei) ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางทั่วโลกว่าเป็นของขวัญจากธรรมชาติที่นำมาซึ่งสุขภาพที่ดีและอายุยืน
 
ในบรรดาเห็ดที่มีศักยภาพมากที่สุดนั้น เห็ดกระดุมบราซิลมี polysaccharides มากถึง 27 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลที่ประกอบขึ้นเป็นระดับโมเลกุลของโครงสร้างคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
โพลีแซคคาไรด์บางชนิดมีหน้าที่เก็บพลังงาน ในขณะที่มนุษย์ได้รับพลังงานจากการรับประทานอาหาร แต่โพลีแซคคาไรด์บางชนิดมีหน้าที่ในการรักษาโครงสร้างของเซลล์
 
นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่บริโภคเห็ดกระดุมบราซิลเป็นประจำนั้น
มีแนวโน้มที่จะไม่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังที่รุนแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบต้ากลูแคน(โพลีแซคคาไรด์)ในเห็ด ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีศักยภาพที่ไม่เหมือนใคร

3.Bacillus subtilis (1.5 Billion CFU) บาซิลลัส ซับทิลิสเป็นที่รู้จักว่าสามารถทนต่อความร้อน น้ำดี และกรดในกระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้ประโยชน์ เช่น เพิ่มระดับภูมิต้านทาน ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง ปรับระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น ฯลฯ

แบคทีเรียนี้ชนิดใช้กันอย่างแพร่หลายในระดับอุตสาหกรรมโดยบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการผลิตเอนไซม์ ส่วนประกอบทางเภสัชกรรม และ GMOs  

บาซิลลัส ซับทิลิสเป็นที่นิยมทั่วโลกก่อนเริ่มมีการใช้ยาปฏิชีวนะ เมื่อใช้ บาซิลลัส ซับทิลิสเป็นสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อช่วยรักษาโรคทางระบบเดินอาหารและระบบทางเดินปัสสาวะ หลังจากทศวรรษ 1950 ยาปฏิชีวนะถูกใช้อย่างแพร่หลาย โปรไบโอติกตัวนี้ได้รับความนิยมลดลง แต่ในทางกลับกัน  บาซิลลัส ซับทิลิสถูกใช้อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมปศุสัตว์และสัตว์ปีกเพื่อทดแทนยาปฏิชีวนะ

4.Selenium (as L-selenomethionine) เป็นโคเอนไซม์ของสารต้านอนุมูลอิสระ ร่างกายได้รับจากอาหารประเภทผัก เน้ือสัตว์และ อาหารทะเล เชื่อว่าสามารถป้องกันโรคมะเร็งและลดโอกาสการเกิดโรคเรื้อรังได้

Selenium ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปีค.ศ 1817 โดยนักเคมีชาวสวีเดน John Jacob Berzelius และ J.G Gahn จัดเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญพบปริมาณน้อยในร่างกาย ทำงานเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร่วมกับวิตามินอีในการป้องกันเซลล์ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ( ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความชราและการเกิดโรคร้ายต่างๆ ) เป็นส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระเอนไซม์ peroxidase glutathione และ reductase thioredoxin
ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุและเป็นสารต้านการอักเสบในการรักษาข้ออักเสบ

รูปแบบที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ L-selenomethionine ดูดซึมได้ง่ายและเก็บไว้ในร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นรูปแบบที่ถูกนำมาใช้ทดลองทางคลีนิกมากที่สุด

มีประโยชน์อย่างไร

1.เพิ่มจำนวนเซลล์นักฆ่า(Natural Killer cell)
เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ซึ่งเซลล์ชนิดนี้เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวส่วนน้อยของเม็ดเลือดขาวทั้งหมดโดยจะมีอยู่ประมาณ 5-10% ของเม็ดเลือดขาวที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย

โดยทั่วไปเซลล์นักฆ่าจะมีหน้าที่หลักคือ การลาดตระเวนและตรวจตราหาเซลล์แปลกปลอม เซลล์ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือ เซลล์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจนอาจก่อให้เกิดอันตรายภายในร่างกาย เมื่อเซลล์นักฆ่าตรวจสอบพบเซลล์ที่มีความเปลี่ยนแปลงหรือกลายพันธุ์ไปซึ่งมักเกิดจากจากการติดเชื้อหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นเซลล์มะเร็งนั้น เซลล์นักฆ่าจะทำลายเซลล์ผิดปกติดังกล่าวก่อนที่เซลล์เหล่านั้นจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือพัฒนาไปสู่การเป็นโรคมะเร็ง

2.จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยเพิ่มระดับภูมิต้านทาน เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่งทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย
3.เพิ่มระดับพลังงานทำให้ไม่เหนื่อยง่าย

4.ลดอาการไอจาม น้ำมูกไหลจากภาวะภูมิแพ้

5.เพิ่มประสิทธิภาพของปอดให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

6.ช่วยฟื้นฟูร่างกายและลดการอักเสบในระดับเซลล์
ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิต้านทานผิดปกติ(Autoimmune disease)เช่น ไทรอยด์ SLE ข้ออักเสบรูมาตอยด์

พัฒนาการของบีเซลล์ (B cell) และทีเซลล์ (T cell) ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกายมนุษย์ เป็นกระบวนการอันซับซ้อนซึ่งทำให้เกิดกลุ่มของเซลล์ที่มีความหลากหลาย  แยกไม่ออกว่า เซลล์ใดคือเชื้อโรค เซลล์ใดเป็นเซลล์ปกติของตัวเอง ซึ่งอาจทำให้มีเซลล์บางเซลล์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น การเกิดภูมิต้านเนื้อเยื่อตนเอง(Autoimmune disease)

7.ป้องกันการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด ทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบ ฯลฯ

8.ช่วยลดความอ่อนเพลียจากการฉายรังสีหรือเคมีบำบัด

9.อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมของร่างกาย ป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปกติไม่ให้เป็นเซลล์มะเร็งได้

10.อาจช่วยป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็งแทบทุกชนิด  ชะลออัตราการขยายตัวของเซลล์และเพิ่มความแตกต่างของเซลล์

เซลล์มะเร็งเป็นการทำให้เกิดการแบ่งตัว เพิ่มจำนวนเซลล์อย่างรวดเร็วของเซลล์ที่เป็นอมตะ (ไม่มีการตายของเซลล์) เกิดจากไมโตคอนเดรียที่เสียหาย ในคนที่มะเร็งระยะสุดท้าย เซลล์มะเร็งมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วจนเซลล์ไม่แตกต่างกันมากพอที่จะระบุได้ว่าเป็นเซลล์ชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น เซลล์เต้านมหรือเซลล์ตับ เซลล์มะเร็งที่ไม่แตกต่างกัน เรียกว่าเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง สามารถกระจายในกระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย โดยที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่รับรู้ว่าเป็นเซลล์แปลกปลอม สามารถแบ่งตัวและแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียงผ่านทางระบบเลือดหรือระบบทางเดินน้ำเหลืองได้อย่างรวดเร็ว

ภูมิคุ้มกันสำคัญกับชีวิตผู้คนทุกช่วงทุกวัย หากมีระบบภูมิต้านทานที่แข็งแกร่งซึ่งมักจะมาพร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ว่าเราจะมีอายุมากเพียงไร ร่างกายจะกระฉับกระเฉง คล่องแคล่วว่องไว
ไม่เจ็บป่วยออดๆแอดๆ สามวันดีสี่วันไข้ ในอดีตแป้งเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เด็ก คันหูคันตาและเหนื่อยง่าย(โลหิตจาง+พาหะธาลัสซีเมีย)ถือเป็นเรื่องปกติ จวบจนสิบกว่าปีที่ผ่านมา
อาการภูมิแพ้ได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนเหมือนคนปกติ จะกำเริบแค่ช่วงที่นอนดึกและเครียดเท่านั้น(ในหนึ่งปีมี 1-2 ครั้ง)ตลอดเวลาหลายปีแป้งมีภูมิต้านทานที่สูงขึ้น ร่างกายแข็งแรง พลังงานเยอะ ไม่เหนื่อยล้าง่าย มองเห็นตัวหนังสือชัด ไม่ต้องใส่แว่น ตื่นนอนตอนเช้าสดชื่นแม้จะนอนดึกแค่ไหน ซึ่งเป็นผลจากการกินวิตามินคุณภาพสูงต่อเนื่อง ไม่เคยหยุดพัก คนที่กินวิตามินแบบแป้ง จะรู้สึกได้เช่นเดียวกันว่า ความเจ็บป่วยกับอ่อนเพลียอยู่ห่างไกลเหลือเกิน

ในความหมายของคำว่า ‘’ชะลอวัย’’คือ ป้องกันและฟื้นฟูความเสื่อมของสุขภาพ ปรับสมดุลต่างๆให้กับร่างกาย ปีนี้ที่อายุ 48 แป้งถือว่า สอบผ่านนะคะ




สอบถามสินค้าและสั่งซื้อได้ที่
hamercandysiam.lnwshop.com
Revitalizing immune force - Hamer candy : Inspired by LnwShop.com

Tel.061-7429944
Line id : 0617429944



ที่มา :

https://www.reliasmedia.com/articles/124587-rice-bran-arabinoxylan-for-regulation-of-the-immune-system

7 Science-Based Health Benefits of Selenium - Healthlinehttps://www.healthline.com › ... › Nutrition

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3168293/

แถลงข่าว “ก้าวแรกสู่ความสำเร็จ การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วยเซลล์ ...https://www.chula.ac.th › news

อะพอพโทซิส - วิกิพีเดียhttps://th.wikipedia.org › wiki › อะพอพโทซิส

What is NK Cell Therapy? How you can improve your Natural ...https://www.bioxcellerator.com › blog › w...

12 Proven & Potential Benefits of the Probiotic B. subtilishttp://anabio.com.vn › ... › Science News




หมายเหตุ
1.รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น กรณีบำรุงสุขภาพทั่วไปหรือต้องการเพิ่มระดับภูมิต้านทาน
2. รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น
กรณีเป็นโรคระบบภูมิต้านทานผิดปกติ(Autoimmune disease)ที่อาการแสดงไม่มาก
3.รับประทานครั้งละ 2 เม็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น กรณีโรคมะเร็ง

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2565

อาการไอคืออะไร

 เมื่อกลางเดือนที่แล้ว สามีแป้งป่วยเป็นโควิด มีอาการไข้และไอ กินยาพาราเซตามอลหลังอาหารเช้า-เย็น เพียง 2 วัน ไข้ลดลง ส่วนอาการไอ เป็นการไอแบบมีเสมหะ จะไอมากในเวลากลางคืน
แป้งไม่ได้จัดยาแก้ไอให้เพราะยาแค่ระงับการไอเพียงชั่วคราว
พยายามให้ดื่มน้ำอุ่นเยอะๆเพื่อช่วยละลายเสมหะ  วันที่ 3 ก็ไม่ไอแล้ว

แป้งซื้อกล้วยหอมมา 1 หวี สามีเกรงว่าจะกินไม่หมด เลยช่วยกินกล้วยทั้งวัน ประมาณ 5-6 ลูก เนื่องจากเห็นว่าเป็นผลไม้ แต่กลับกลายเป็นไอหนักมากกว่าก่อนที่จะหายไอเสียอีก แป้งเลยงงว่า อ้าว!อาการไอดีขึ้นแล้ว นานๆครั้งถึงจะไอแคร๊กสักที เลยไปค้นหาข้อมูลของกล้วยว่า สามารถกระตุ้นการไอหรือไม่

อาการไอคืออะไร
การไอเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการขับสิ่งแปลกปลอม ของเหลวหรือเสมหะที่ไม่ต้องการออกจากลำคอ อาการไอเป็นครั้งคราวนั้นดีต่อสุขภาพ แต่อาจบ่งชี้ว่ามีการอักเสบหากยังมีอาการอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น

อาการไอเกิดจากอะไร
อาการไอ อาจเกิดจากไวรัสหรือจากการแพ้อาหารบางชนิด
อาการไออาจเป็นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง อาการไอเฉียบพลันคงอยู่น้อยกว่าสามสัปดาห์ และอาการไอเรื้อรังจะคงอยู่นานกว่าแปดสัปดาห์ บางคนอาจมีอาการไอในฤดูหนาวและเมื่อเราเป็นไข้หวัดหรือมีอาการคล้ายหวัด  หากเป็นคนที่ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่เป็นประจำ อาจเป็นสาเหตุของอาการไอ 

มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไอและอาจจะเกิดขึ้นชั่วคราวหรือถาวร สาเหตุทั่วไปบางประการของการไอมีดังนี้:
 • การติดเชื้อ-แบคทีเรียหรือไวรัส
 • สูบบุหรี่
 • หอบหืดและภูมิแพ้
 • สิ่งแปลกปลอมหรือสารระคายเคือง
 • ไอที่เกิดจากยาลดความดันโลหิต Lisinopril และ Enalapril

อาการไอมีกี่ประเภท

 • ไอแห้ง อาการไอแห้งๆ ไม่ได้ทำให้เกิดเสมหะ อาจเกิดจากไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ หรือกรดไหลย้อน ซึ่งกรดในระบบทางเดินอาหาร เคลื่อนตัวขึ้นไปยังหลอดอาหาร ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองของเนื้อเยื่อ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อมากเกินไป โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง รวมถึงการดื่มชา กาแฟ ซึ่งมีผลทำให้กล้ามเนื้อหูรูดระหว่างกระเพาะและหลอดอาหารส่วนปลายหย่อน
 • ไอมีเสมหะ  เป็นการไอที่ช่วยขับเสมหะออกจากระบบทางเดินหายใจ การติดเชื้อเฉียบพลันหรือเรื้อรังบางอย่างอาจทำให้เกิดอาการไอแบบนี้ได้

กล้วยทำให้ไอหรือไม่
กล้วยอุดมด้วยสารอาหารและวิตามิน แต่ก็มีฮีสตามีน(Histamine)เช่นกัน ฮีสตามีนมีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันและระบบย่อยอาหารของร่างกาย ในตำราอายุรเวท กล้วยจัดว่าเป็นอาหารที่มีฤทธิ์เย็น

นอกจากนี้โรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้น เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือมีไข้ ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอยู่ในระดับต่ำตลอดเวลา ซึ่งในภาวะนี้ การรับประทานทานกล้วยอาจเพิ่มความไวต่อเชื้อไวรัส ส่งผลให้เกิดการไอและกระตุ้นให้มีเสมหะมากขึ้น

ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบอกได้ว่า กล้วยสามารถก่อให้เกิดอาการไอได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่า การกินกล้วยจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวมากขึ้นระหว่างที่มีอาการไอและเป็นหวัด

กล้วยทำให้เกิดเสมหะหรือไม่
กล้วยมีสารฮีสตามีน(Histamine)ซึ่งเชื่อว่า เพิ่มการสร้างเสมหะในร่างกาย  กล้วยอาจทำให้เกิดเสมหะได้ แต่มันเป็นเพียงด้านหนึ่งของความจริง การแพ้ฮีสตามีนแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ฮีสตามีนเป็นสารเคมีที่ร่างกายผลิตเองตามธรรมชาติ แต่ก็พบได้ในอาหารบางชนิด เช่น กล้วยหอม

คนที่มีแนวโน้มที่จะแพ้ฮีสตามีนสามารถทำให้เกิดเสมหะมากขึ้น ในขณะที่บางคนอาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย หากมีประวัติแพ้
ฮีสตามีน แนะนำให้หลีกเลี่ยงกล้วย

การกินกล้วยเมื่อเป็นหวัดเป็นอันตรายหรือไม่
การกินกล้วยอาจทำให้เกิดเสมหะ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป อันที่จริง น้ำมูกนั้นดีอย่างคือ ช่วยล้างเส้นทางจมูก แต่เมื่อเป็นหวัด ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่ำ  การกินกล้วยอาจทำให้เกิดโรคจากแบคทีเรีย เช่น ไซนัสอักเสบ ปอดบวม และต่อมทอนซิลอักเสบ
นอกจากนี้ การกินกล้วยตอนกลางคืนอาจเป็นตัวสร้างปัญหาเมื่อเราเป็นหวัดหรือไออยู่แล้ว มันสามารถกระตุ้นการผลิตเสมหะมากขึ้นอาจนำไปสู่อาการไอและหายใจลำบากในเวลากลางคืน

ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงกล้วยในช่วงที่มีไข้หรือไอ กล้วยมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่อาจส่งผลเสียได้เมื่อมีไข้หรือไอ สารฮีสตามีนในกล้วยอาจทำให้ระคายเคืองลำคอและเกิดเสมหะมากขึ้น

กล้วยช่วยแก้หวัดหรือไม่
กล้วยอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามิน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ช่วยให้ร่างกายผลิตพลังงานและเพิ่มภูมิคุ้มกันเมื่อบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ อย่างไรก็ตาม หากเป็นหวัดแล้ว ฮีสตามีนในกล้วยอาจกระตุ้นการสร้างเสมหะและนำไปสู่อาการคล้ายหวัดมากขึ้น หากต้องการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากไข้หวัด ให้หลีกเลี่ยงกล้วยสักสองสามวันจนกว่าจะหายดี

เราสามารถกินกล้วยในเวลากลางคืนได้หรือไม่
การกินกล้วยทันทีก่อนนอนไม่ดีต่อสุขภาพ ในช่วงกลางคืนร่างกายของเราไม่ต้องการพลังงาน และการเผาผลาญสารอาหารก็ต่ำ ถ้าเรากินกล้วย มันจะผลิตพลังงานส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการ นอกจากนี้ การกินกล้วยตอนกลางคืนยังทำให้เกิดเสมหะมากขึ้น ทำให้ไอและไม่สบายมากขึ้นในตอนกลางคืน

กรณีที่เด็กเป็นหวัดและมีอาการไอ
ดร.เดบรี(Krishnakant Debri, Senior Physician, Mumbai )กล่าวว่า ในความเป็นจริง ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่า ควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว และอาหารที่อุดมด้วยแร่ธาตุ เช่น กล้วย นอกจากช่วยในการย่อยอาหาร แต่ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและช่วยในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

กล้วยไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยโพแทสเซียม แต่ยังมีน้ำปริมาณมากอีกด้วย เนื่องจากกล้วยมีอิเล็กโทรไลต์(Electrolyte)ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของอิเล็กโทรไลต์และของเหลวในร่างกาย
กล้วยจึงช่วยในการเติมแร่ธาตุที่สูญเสียไปในร่างกายและรับมือกับอาการไข้และความเย็น นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นอาหารให้พลังงานทันที เพราะกล้วยหอม 1 ลูก มีพลังงาน 105 แคลอรี่

ความเห็นของนักโภชนาการประสบการณ์ 12-14 ปีในอินเดีย

ไม่มีความสัมพันธ์กันในการกินกล้วย...เราขอเลี่ยงกล้วยเป็นส่วนใหญ่ในกรณีที่ลูกมีอาการไอมีเสมหะ..

ระหว่างที่ไอและเป็นหวัด ควรหลีกเลี่ยงกล้วย ไม่ใช่เพราะจะทำให้ร่างกายเย็นขึ้น แต่สาเหตุคือ ถ้าคนป่วยเป็นหวัดหรือโรคทางเดินหายใจอื่นๆ กล้วยอาจระคายเคืองเมื่อสัมผัสกับเสมหะ จึงควรหลีกเลี่ยงกล้วยในช่วงไอ

การกินกล้วยมีการเชื่อมโยงกันทำให้เกิดความหนาวเย็น ภูมิคุ้มกันค่อนข้างอ่อนแอ ส่งผลให้เป็นหวัดบ่อยมาก

เราจะเห็นว่า แพทย์และนักโภชนาการมีความเห็นขัดแย้งกัน
ดังนั้นครั้งต่อไป หากมีโอกาสกินกล้วยหอม ลองสังเกตดูเพราะประสบการณ์และความไวต่อสิ่งกระตุ้นของแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ

ในระหว่างที่มีอาการไอและเป็นหวัด ควรงดอาหารบางชนิดที่อาจทำให้อาการไอและหวัดแย่ลงได้
 • น้ำตาล : ไม่ว่าเราจะบริโภคน้ำตาลผ่านชา กาแฟ หรือช็อคโกแลต ขนมหวานและขนมอบ เนื่องจากน้ำตาลมีผลในการยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
 • แอลกอฮอล์ : แม้ว่าบางคนอาจดื่มจินและโทนิกเล็กน้อยในระหว่างที่มีอาการไอและเป็นหวัดเพื่อบรรเทาอาการ แต่การดื่มแอลกอฮอล์จะยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวในเลือดและเพิ่มการอักเสบของหลอดลมและปอด
 • เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน : ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกชนิด ทำหน้าที่เป็นยาขับปัสสาวะ เพิ่มการขับน้ำและเกลือออกจากร่างกาย
 • อาหารรสเผ็ด : การบริโภคอาหารรสเผ็ดซึ่งโดยทั่วไปแล้วสามารถบรรเทาอาการได้ชั่วคราว โดยการทำให้เสมหะบางลง แต่ในระยะยาว แคปไซซินในพริกจะเพิ่มการผลิตเสมหะซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวของร่างกายช้าลง
 • นม : การดื่มนมจะเพิ่มเสมหะและทำให้เมือกหนาขึ้น ดังนั้นการบริโภคนมจึงไม่เหมาะสมในช่วงที่มีอาการไอและเป็นหวัด




ที่มา :

Banana: Why you shouldn't avoid eating it this winter indianexpress . com › ... › Health

Does eating banana or citrus fruits aggravate cold in kids ...www . thehealthsite . com › parenting

18 Best Foods to Ease Your Cough and Cold - PharmEasy Blog pharmeasy . in › blog › 12-best-food...

Cold In Babies - I Have 16 Months Old Boy, He Caught Cold, www . practo . com › consult › cold-i...

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ระบบภูมิคุ้มกันมีความสำคัญและทำงานอย่างไร


สัปดาห์ที่แล้ว มีน้องผู้ชายกล้ามล่ำ  สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อายุราว 45 ปี มาปรึกษาแป้งว่า ฉีดวัคซีนโควิดไปแล้ว 3 เข็ม ควรฉีดกระตุ้นเข็มที่ 4 หรือไม่ ตัดสินใจไม่ถูก แป้งเลยหาข้อมูลเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันมาให้อ่านกัน ยาวหน่อยนะคะ

ระบบภูมิคุ้มกันเป็นระบบของร่างกายที่คอยมองหาเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามา จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงาน ระบบภูมิคุ้มกันมีคุณสมบัติพิเศษคือ เมื่อถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้น จะสามารถจับได้อย่างจำเพาะกับเชื้อโรคที่กระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มี 2 ประเภทคือ
1. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เรียกว่า
 Innate immunity คือ เป็นระบบภูมิคุ้มกันที่ติดตัวมาแต่กำเนิด จัดเป็นกลไกการป้องกันสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จำเพาะเจาะจง ได้แก่ พื้นผิวที่สัมผัสแอนติเจน(สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายแล้วกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี)โดยตรง คือ ผิวหนังและเยื่อบุต่าง ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะตัวในการป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอมซึ่งส่วนใหญ่คือเชื้อโรคให้ออกไปจากร่างกาย

ระบบนี้แยกออกเป็น 4 ส่วน ซึ่งทำงานไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ
ส่วนที่ 1 external barrier คือปราการด่านนอก

•ผิวหนัง เชื้อโรคไม่สามารถบุกรุกผิวหนังปกติที่ไม่มีบาดแผล ความเป็นกรดของไขมันที่ผลิตออกมาจากต่อมไขมันที่ผิวหนัง ได้แก่ lactic acid และ fatty acid ช่วยยับยั้งและทำลายเชื้อโรค หากผิวหนังชั้นนอกเปิดออก เช่น มีบาดแผล หรือไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บริเวณผิวหนัง จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีอาหารอันอุดมสมบูรณ์และสิ่งแวดล้อมพอเหมาะ เป็นเหตุให้เกิดการอักเสบเป็นหนอง หากเป็นแผลเล็ก ๆ ระบบภูมิคุ้มกันจะกำจัดเชื้อออกไป เพียงล้างแผลให้สะอาด รักษาแผลให้แห้ง จะหายเป็นปกติได้เอง

หากบาดแผลขนาดใหญ่และลึก แผลถูกความร้อนเป็นบริเวณกว้าง มักเกินกำลังที่ภูมิคุ้มกันจะจัดการไหว เชื้อโรคสามารถแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด (septicemia) เป็นสาเหตุให้ช็อกและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

•เยื่อบุหลอดลม มีเซลล์ที่มีขน (hairy cell) คอยพัดโบกเชื้อโรคให้ออกไปจากหลอดลม อีกทั้งมีเซลล์ผลิตเสมหะ (goblet cell) ที่เหนียวหนืด ไว้คอยดักจับเชื้อโรคคล้ายกาวจับแมลงวันเพื่อไม่ให้เข้าสู่เยื่อบุหลอดลม ผู้ที่สูบบุหรี่จัด เซลล์ขนเสียหน้าที่ไป มักป่วยด้วยโรคหลอดลมอักเสบบ่อย ๆ

•น้ำมูก น้ำลาย น้ำตา มีหน้าที่ชะล้างเชื้อโรคออกไปจากเยื่อบุ อีกทั้งในสารคัดหลั่งเหล่านี้ยังมีเอนไซม์ที่มีคุณสมบัติในการย่อยทำลายเชื้อโรคอย่างอ่อน ๆ อีกด้วย จะเห็นว่าเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา หรือเยื่อบุตาอักเสบ ต่อมน้ำตาจะหลั่งน้ำตาเป็นปริมาณมากออกมาขับไล่สิ่งแปลกปลอมออกไป หรือเมื่อสิ่งแปลกปลอม สารระคายเคืองเข้าจมูกหรือเป็นหวัด เยื่อบุจมูกจะหลั่งน้ำมูกออกมาก และจามบ่อย เพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมเช่นเดียวกัน

•การไอ ช่วยขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่เราสำลักเข้าไปในหลอดลมและปอด หากสิ่งแปลกปลอมทำให้เกิดการระคายเคืองมาก เราก็ยิ่งไอนาน ไอจนกว่าจะหลุดออกมา

ในผู้สูงอายุระบบต่าง ๆ ทำงานเฉื่อยลงรวมถึงการไอด้วย ผู้สูงอายุมักจะเป็นปอดอักเสบจากการสำลักได้บ่อย ในผู้ที่จมน้ำก็เช่นกัน หากว่ายน้ำธรรมดา สำลักน้ำเพียงเล็กน้อยมักไม่มีปัญหา สายเสียงและฝาปิดกล่องเสียงจะปิดทันที เพื่อป้องกันน้ำเข้าไปในหลอดลมเพิ่ม

แต่ในกรณีจมน้ำ ระบบนี้จะเสียไปเมื่อผู้จมน้ำนานจนหมดสติ น้ำจึงเข้าไปในปอดในปริมาณมาก หากเป็นน้ำครำที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคนานาชนิด ทั้งทรงกลม (cocci) ทรงแท่ง (basilli) เชื้อที่ต้องอาศัยออกซิเจน (aerobic bacteria) และไม่อาศัยออกซิเจน (anaerobic bacteria) เชื้อรา โปรโตซัว ซึ่งเกินขีดความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันจัดการไหว ต้องกระหน่ำยาต้านจุลชีพหลายขนานอีกแรง จึงปลอดภัยจากปอดอักเสบรุนแรงจากแบคทีเรียในขั้นต้น และไม่ติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดจนช็อก

•ความเป็นกรดของสารคัดหลั่งในช่องคลอด ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรค
•กรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหารที่ฆ่าเชื้อโรคแทบไม่เหลือ ยกเว้นเชื้อที่สามารถทนกรดเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น

ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ พันธุกรรม ฮอร์โมน และภาวะโภชนาการของแต่ละบุคคล

ส่วนที่ 2  Inflammation คือการกลไกการอักเสบ เป็นการป้องกันโดยปฏิกิริยาทางเคมีระดับเซลล์ เซลล์ชื่อ มาโครฟาจ(Macrophage) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีขนาดใหญ่ ที่สุด กำเนิดจากไขกระดูก เมื่อเติบโตเต็มที่แล้วจะเคลื่อนเข้าสู่กระแสเลือด ปล่อยสารเรียกเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นมารุมกินโต๊ะสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา ทำให้เกิดการอักเสบ ประมาณ 30-60 นาที หลังจากที่สิ่งแปลกปลอมเข้าไป มักจะพบว่ามีอาการปวด บวม แดง ร้อน ผลผลิตสำคัญของการอักเสบคือ อาการปวดและมีไข้ เพราะไข้หรืออุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นเครื่องมือฆ่าเชื้อโรคโดยตรง

ส่วนที่ 3  Cellular barrier หรือ natural killer Cell (NK Cell) คือเซลล์นักฆ่า เป็นเม็ดเลือดขาวขนาดเล็กที่ผลิตขึ้นมาจากต่อมน้ำเหลือง การเรียกว่าเม็ดเลือดขาวขนาดเล็กเพื่อให้แตกต่างจากเม็ดเลือดขาวที่ผลิตมาจากไขกระดูกซึ่งมีขนาดใหญ่ เซลล์นักฆ่าถูกสร้างมาให้มีหน้าที่ฆ่าได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง คือเห็นอะไรเป็นสิ่งแปลกปลอมให้เข้าไปฆ่าได้ทันที โดยไม่ต้องสอบสวนให้รู้จักว่าเป็นใครมาจากไหน เซลล์นักฆ่าเป็นกำลังสำคัญในการกำจัดเชื้อโรคทันทีที่เห็นและการกำจัดเซลล์มะเร็งที่ไม่มีวิธีอื่นมากำจัด สามารถทำงานได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยวัคซีนหรือการรู้จักเชื้อโรค

ส่วนที่ 4 Compliment system คือระบบช่วยฆ่า เป็นโปรตีนหลายสิบชนิดอยู่กระจายทั่วกระแสเลือดเหมือนตำรวจนอกเครื่องแบบกระจายตัวอยู่ทั่วไป เมื่อมีเหตุการณ์ เช่น มีการอักเสบเกิดขึ้น ระดับหัวหน้าที่ซุ่มเงียบอยู่จะลุกขึ้นมาปลุกลูกน้องให้ปลุกกันต่อ ๆไปเป็นทอด ๆ รวมตัวกันมารุมเคลือบเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่วนอื่น ๆ มาฆ่าสิ่งแปลกปลอมได้ง่ายขึ้น

2. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เรียกว่า Adaptive immunity คือระบบสร้างภูมิคุ้มกันแบบเจาะจงเชื้อ หน้าที่หลักคือ ทำความรู้จักกับเชื้อโรคที่บุกรุกเข้ามาก่อน แล้วนำหน้าตาของเชื้อโรคนั้นไปสร้างผู้ที่สามารถเจาะจงทำลายเชื้อโรคชนิดนั้นขึ้นมา

Adaptive immunity แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 : Cell mediated immune response (CMIR) มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันด้านเซลล์ คือ ผลิตเม็ดเลือดขาวไปฆ่า เมื่อตรวจสอบได้แน่ชัดว่าเชื้อโรคมีหน้าตาอย่างไร ต่อมน้ำเหลืองจะสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมาเพื่อไปฆ่าเชื้อโรคนั้น เรารู้จักกันดี 3 ชนิดคือ
    •    T helper หรือ CD4 มีหน้าที่ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน  เป็นเซลล์ลิมโฟไซต์(lymphocyte)เคลื่อนไปตามหลอดเลือด ทำหน้าที่ลาดตระเวน หากพบเชื้อโรคหรือเซลล์แปลกปลอมจะหลั่งสารไซโตไคน์( cytokines )เพื่อเรียกให้เม็ดเลือดขาวชนิดอื่นมาช่วย

 หากพบว่าเป็นเซลล์ปกติของร่างกาย จะหยุดกระบวนการทำลายเซลล์ แต่ถ้าพบว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมจริง จะมีการหลั่งสารดังกล่าวเพิ่ม และมีเซลล์อื่นๆ มายังบริเวณนี้เพื่อทำลายเชื้อโรคหรือเซลล์แปลกปลอม โดยปกติค่า CD4 ของผู้ที่ไม่ติดเชื้อ HIV จะมีสัดส่วนอยู่ระหว่าง 28-59 %
    •    T suppressor หรือ CD8 มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม เป็นเซลล์ที่ควบคุมการทำลาย หากพิสูจน์แล้วว่า เซลล์ที่แปลกปลอมเป็นเซลล์ปกติ หรือสิ่งแปลกปลอมหมดพิษแล้ว เซลล์จะสั่งยุติการทำลาย โดยปกติจะมีสัดส่วนอยู่ระหว่าง 13-32 % คิดเป็นสัดส่วน CD4 : CD8 ในคนปกติ ประมาณ 2 : 1
    •    Natural killer cell เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็ง และเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสเป็นหลัก
จะเห็นว่าเซลล์เหล่านี้ทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม เพื่อรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันไม่มากไปหรือน้อยไป จนเกิดความเสียหายตามมา

เรารู้จักเซลล์เหล่านี้เมื่อมีโรคเอดส์ระบาด เนื่องจากโรคเอดส์เกิดจากเชื้อ Human Immunodeficiency Virus (HIV) ไปทำลายเซลล์ CD4 ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันด้านเซลล์บกพร่องเป็นหลัก ร่างกายจึงติดเชื้อฉวยโอกาสง่าย

ส่วนที่ 2 :  Humoral immune response คือ การผลิตแอนตี้บอดี้ไปฆ่า หน่วยผลิตคือเม็ดเลือดขาวขนาดเล็กชื่อ B-cell เมื่อได้รับข้อมูล หน้าตาเชื้อโรคผู้บุกรุกแน่ชัดแล้ว B-cell จะสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า แอนตีบอดี( antibody ) แล้วปล่อยเข้ากระแสเลือดเพื่อให้ antibody ไปจับกับตัวเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคตายโดยตรงบ้าง หรือให้เซลล์จากส่วนอื่นมาเก็บกินบ้าง

คนที่ได้รับเชื้อโรค(ทั้งโดยธรรมชาติและโดยการฉีดวัคซีน)เข้าไปแล้ว จะเกิดภูมิต้านทานโรคหรือแอนติบอดีในระดับที่มากหรือน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน ซึ่งคนที่ร่างกายเกิดภูมิต้านทานน้อยจะไม่สามารถต้านทานหรือป้องกันโรคได้

โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน มีดังนี้
1. ภูมิแพ้ โรคหืด แพ้ละอองเกสร
2.โรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตนเอง เช่น SLE ,รูมาตอยด์หรือโรคข้ออักเสบเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อที่ข้อต่อต่าง ๆ
3.โรคเบาหวาน
4. โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
5. โรคเอดส์ (AIDS) เมื่อเชื้อเอชไอวี (HIV) เข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกัน จะสร้างสารออกมาต่อต้าน แต่เชื้อเอชไอวีมีความคงทนมาก ยากที่จะถูกทำลายและยังสามารถเจริญในร่างกายได้ดีและจะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันจนค่าCD4จะต่ำลง เรียกว่า ภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงทำให้ผู้ป่วยด้วยโรคเอดส์เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น วัณโรค และเสียชีวิตในที่สุด

วิธีดูแลระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
 
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีโอกาสอ่อนแอลงได้จากโรคภัยหรือการไม่ดูแลรักษาสุขภาพ ทำให้เจ็บป่วยบ่อยครั้งเนื่องจากร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะรับมือและจัดการกับเชื้อโรคได้

1.รับประทานอาหารที่เพิ่มความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ผลไม้ ผัก เมล็ดพืช พืชตระกูลถั่ว และไขมันชนิดดี อุดมไปด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยให้ได้เปรียบในการต่อต้านเชื้อโรคที่เป็นอันตราย สารต้านอนุมูลอิสระในอาหารเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบโดยการต่อสู้กับสารประกอบที่ไม่เสถียรที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบได้

หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เพราะการรับน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายปริมาณมาก สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและทำหน้าที่ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หากเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายในช่วงเวลานั้นอาจทำให้เจ็บป่วยได้

2.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับอย่างเต็มอิ่มช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเป็นปกติ เนื่องจากระหว่างนอนหลับ ร่างกายจะซ่อมแซมและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง หากมีปัญหาในการนอนหลับ ให้ลองจำกัดเวลาอยู่หน้าจอเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนเข้านอน เนื่องจากแสงสีฟ้า ที่ปล่อยออกมาจากโทรศัพท์ ทีวี และคอมพิวเตอร์อาจรบกวนจังหวะการนอนหรือวงจรการตื่นนอนตามธรรมชาติของร่างกาย

3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานเป็นปกติรวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงเป็นเวลานานสามารถกดภูมิคุ้มกัน แต่การออกกำลังกายระดับปานกลางสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้

การศึกษาระบุว่า แม้แต่การออกกำลังกายระดับปานกลาง เพียงครั้งเดียว สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของวัคซีนในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ การออกกำลังกายระดับปานกลางและสม่ำเสมออาจช่วยลดการอักเสบและช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกันสร้างใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

4.จัดการความเครียด การมีความเครียดอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง สามารถจัดการความเครียดได้หลายวิธี เช่น ออกไปเดินเล่น ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง นั่งสมาธิ ทำงานอดิเรก เล่นกีฬา ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ ฯลฯ

5. ทัศนคติที่ดี ความคิดเชิงบวกมีความสำคัญต่อสุขภาพ การวิจัยแสดงให้เห็นว่า ความคิดเชิงบวกช่วยลดความเครียดและการอักเสบ เพิ่มความยืดหยุ่นในการติดเชื้อ ในขณะที่อารมณ์เชิงลบสามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อโรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ได้

6. เลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร  สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา(NIH) ยืนยันว่าไม่มีหลักฐานสนับสนุนการใช้อาหารเสริมใด ๆ เพื่อป้องกันหรือรักษา COVID-19
อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาบางชิ้นระบุว่า อาหารเสริมต่อไปนี้อาจเสริมสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันโดยรวมของร่างกาย เช่น
    •    วิตามินซี จากการรีวิวกว่า 11,000 คน การรับประทานวิตามินซี 1,000–2,000 มก. ต่อวัน ช่วยลดระยะเวลาการเป็นหวัดได้ 8% ในผู้ใหญ่และ 14% ในเด็ก
    •    วิตามินดี การขาดวิตามินดีอาจเพิ่มโอกาสเจ็บป่วยได้ ดังนั้นการเสริมวิตามินดีอาจแก้ไขผลกระทบนี้ได้ อย่างไรก็ตาม การรับประทานวิตามินดี เมื่อเรามีระดับวิตามินดีที่เพียงพอแล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้ให้ประโยชน์อะไร
    •    สังกะสี มีการทบทวนในผู้ป่วยโรคไข้หวัด 575 คน การเสริมสังกะสีมากกว่า 75 มก. ต่อวัน ช่วยลดระยะเวลาการเป็นหวัดได้ 33%
    •    อิชินาเซีย จากการศึกษากว่า 700 คน พบว่าผู้ที่รับประทานอิชินาเซียจะหายจากโรคหวัดได้เร็วกว่าผู้ที่ได้รับยาหลอกหรือไม่ได้รักษาเพียงเล็กน้อย แต่ความแตกต่างนั้นไม่มีนัยสำคัญ

การรับประทานอาหารเสริมบางชนิดอาจช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หรือช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้เช่นกัน สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกันเนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น จากโรคประจำตัวหรืออายุที่มากขึ้น วัคซีนถือเป็นตัวเลือกที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ป้องกันอาการเจ็บป่วยของโรคติดเชื้อร้ายแรงบางชนิดได้ดีขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันถือเป็นปราการด่านสำคัญของร่างกาย  เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงจึงควรใส่ใจในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันให้มากขึ้น

แป้งฉีดวัคซีน AZ เข็มแรก เมื่อวันที่ 17 ธ.ค 64 คืนแรกนอนไม่หลับกลิ้งไปกลิ้งมาจนตีสามกว่าจะหลับ ระดับพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างเหลือเชื่อ จนต้องหยุดกินวิตามินทุกตัวที่เคยกินต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปี ทดลองออกกำลังกายตามคลิปเบเบ้ หลังตื่นนอน(นอนตี 5 ตื่น 11 โมง)ปรากฎว่า สามารถออกกำลังกายต่อเนื่องได้ 3 คลิป(คลิปละ 25 นาที)โดยที่ไม่มีความเหนื่อยล้า ตื่นขึ้นมาอีกวัน ไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อแต่อย่างใด แปลกใจนิดๆทั้งๆที่ไม่เคยออกกำลังกายหนักแบบนี้มาก่อนในชีวิตเพราะปกติก่อนจะออกกำลังกาย แป้งจะต้องกินวิตามินเพิ่มพลังงงาน+เวย์โปรตีนก่อนเสมอ ไม่งั้นไม่มีเรี่ยวแรงเลยค่ะ

ปัจจุบันแป้งเพิ่งกลับมากินวิตามินครบเซ็ตเมื่อกลางเดือนพ.ค 65 นี่เอง(ดีใจมาก) เริ่มนอนหลับได้ดี รู้สึกเหนื่อยเมื่อยเอวร้าวลงขาเวลายืนล้างจานนานๆ(ราว 1 ชม.)อนุมานได้ว่า ระดับวัคซีนลดลงจนหมดไปจากร่างกายแล้ว

ถามว่า จะฉีดเข็มต่อไปอีกหรือไม่ คำตอบคือ ไม่เอาแล้วค่ะ ขนาดวัคซีนเข็มเดียวยังพลังงานเยอะจนมีผลทำให้นอนไม่หลับ ฉีดอีกเข็ม ไม่อยากจะคิดเลย แสดงว่า การดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี ออกกำลังกายระดับปานกลางและเสริมวิตามินอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ร่างกายกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันได้ส่วนหนึ่ง วัคซีนเป็นส่วนเสริมที่ทรงพลังมากที่สุด(ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล)


ที่มา :
สรีรวิทยา-ระบบภูมิคุ้มกันโรค-Immunology.pdf nurse . pbru . ac . th › uploads › 2020/05 › สรี...

ระบบภูมิคุ้มกัน ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพที่ควรรู้ - Pobpad https://www.. pobpad . com › ระบบภูมิคุ้มกัน-ข้อเท็จ

ก่อนตัดสินว่าวัคซีนที่ได้รับนั้นดี หรือ ไม่ดี ch9airport . com › ... › อัปเดตวัคซีน COVID-19

ระบบภูมิคุ้มกัน - SciMath https://www.. scimath . org › article-biology › item

Strengthen Your Immune System With 4 Simple Strategies health . clevelandclinic . org › strengt...

ระบบภูมิคุ้มกัน - วิกิพีเดีย th . wikipedia . org › wiki › ระบบภูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายประกอบไปด้วยอะไรบ้าง และมีกลไกการ ...hellokhunmor . com › โรคติดเชื้อ › ระบบภูมิ...

9 ข้อเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันและวัคซีน ที่เราควรรู้และเข้าใจให้ถูกต้อง https://www.. dmh . go . th › news-dmh › view


วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Picosecond Laser กับผลลัพธ์อันน่าทึ่ง

มีน้องผู้หญิงอายุราว 35 ปี มีปัญหาหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน มีจุดด่างดำ มาปรึกษาแป้งว่า อยากทำเลเซอร์ แต่ตัดสินใจไม่ถูก ไม่รู้จะเลือกคลีนิกไหนหรือเลเซอร์ตัวไหนดีเยอะแยะไปหมด  น้องเคย

ทำเลเซอร์หลุมสิว finescan,e-matrix มาก่อน แต่หลุมสิวตื้นเพียง 20% แป้งเลยไปค้นข้อมูลเลเซอร์พิโคเซคเคิน(Picosecond laser)มาให้น้องอ่าน ครั้งต่อไปจะได้เลือกเป็นค่ะ


Picosecond Laser เป็นเทคโนโลยีใหม่ในการรักษาผู้ที่มีปัญหาผิวหน้า เช่น ฝ้า กระ หลุมสิว จุดด่างดำ ปัญหารูขุมขนกว้าง รวมถึงหลุมสิว โดยจะปล่อยพลังงานเลเซอร์ในเวลาที่สั้นกว่า Nanosecond (อีกชื่อหนึ่งคือ Q switched laser) มาก


เลเซอร์แบบเดิมจะมีการยิงพลังงานด้วยความเร็วในระดับ Nanosecond หรือ 1 ต่อ พันล้านวินาที โดยจะมีส่งพลังงานแสงลงไปยังเม็ดสีที่มีความผิดปกติ เมื่อเกิดความร้อนที่ชั้นใต้ผิวมากๆ ทำให้เสี่ยงที่จะเกิดผิวไหม้ แต่ Pico Laser ส่งพลังงานเลเซอร์ที่ความเร็วสูงสุดในระดับ Picosecond  หรือ 1 ต่อ ล้านล้านวินาที โดยเปลี่ยนจากพลังงานความร้อนที่ส่งมาเป็นแรงดัน จึงไม่ทำให้ผิวหน้าไหม้ เป็นการรักษาปัญหาผิวหน้าที่ได้ผลทันที ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น และด้วยความที่สามารถปล่อยพลังงานด้วยความเร็วสูง จึงมีผลให้ใช้เวลาในการรักษาที่น้อยลงกว่าเลเซอร์แบบเดิม


PicoLaser ที่ใช้รักษาหลุมสิว  จะเป็นหัวยิงแบบ LIOB   คือมีเลนส์แบบรวงผึ้งที่บีบแสงให้กลายเป็นจุดเล็กๆ จำนวนมาก ถ้าทดสอบยิงลงใส่น้ำ  จะเห็นเป็นฟองอากาศผุดๆ ขึ้นมา ยิงเพื่อให้เกิดไฟฟ้าสถิตย์ที่เป็นขั้วลบ พอลบเจอลบจึงผลักกันออกมาเป็นช่องว่างใต้หลุมสิว ร่างกายของเราจะมองช่องว่างนี้เป็นบาดแผลจึงเกิดการสมานแผลด้วยการสร้างคอลลาเจนเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ มีผลทำให้ผิวหนาขึ้นเพื่อมาเติมเต็มหลุมสิวให้ตื้นขึ้น โดยหลักการนี้มีชื่อว่า Laser Induced Optical Breakdown(LIOB) ได้ผลกับหลุมสิวตื้นๆ  ไม่ได้เหมาะกับหลุมแหลมลึก หลุมโค้งที่มีผังผืด ที่สำคัญคือ  ต้องทำหลายๆครั้ง  รายงานการทางการแพทย์ที่บอกว่าได้ผล คือทำหลายๆครั้ง  ส่วนใหญ่ 6เดือนขึ้นไปทั้งนั้น


ส่วน PicoLaser ที่เป็นหัวยิงธรรมดาจะไม่สามารถรักษาหลุมสิวได้  ใช้ในการรักษารอยดำหรือรอยสักเท่านั้น


หลักการรักษาเกี่ยวกับ PICOSECOND LASER

 1. Skin Revitalization : ลดริ้วรอย ผิวกระจ่างใส รูขุมขนกระชับขึ้น

 2. Removal of pigmented : รักษากระ จุดด่างดำจากวัย จุดด่างดำจากแสงแดด รักษาปานดำ ฝ้า รักษากระลึกและปานดำได้อย่างนุ่มนวลที่สุด แทบจะไม่มีสะเก็ด หลังทำไม่มีบาดแผล ผิวไม่ลอก หน้าไม่บาง

 3. Acne Scar : แผลเป็น หลุมสิว ทั้งหลุมสิวใหม่และเก่า รอยดำแดง หลังจากสิวหาย

 4. Tattoo Removal : ลบรอยสักทุกสี หรือรอยสักขาวดำ


ผู้ที่ไม่ควรทำ PICOSECOND LASER

 • ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

 • ผู้ที่มีประวัติโรคลมชัก (ลมบ้าหมู)

 • ผู้ที่มีปัญหาทางผิวหนัง

 • ผู้ที่มีปัญหาหลอดเลือด



เลเซอร์ต้องเป็นเครื่องที่มาจากอเมริกาเท่านั้น ถึงจะยิงได้พลังงานที่สูงจนถึงจุด End Point ที่สร้างลูกโป่งลูกใหญ่ได้


เครื่องอเมริกามี 4 ยี่ห้อ คือ Picosure,PicoWay, PicoGenesis(Enlighten), Pico Discovery

ส่วน Picoplus เป็นของเกาหลี 


ขึ้นอยู่กับลักษณะและความลึกของหลุมสิว ถ้าหลุมลึกๆก็อย่าทำเลย เครื่อง Pico ความยาวคลื่น 1064 nm ยิงได้ลึกสูงสุดแค่ 1.5 mm เท่านั้น หลุมลึกคือไม่สะเทือนผิว


Pico จะเหมาะกับหลุม Rolling Scar, Ice Pick Scar ที่คล้ายรูขุมขนเท่านั้น หลุมลึกๆ แนะนำไปรักษาวิธีอื่น


ความลึก อาจจะยิงได้ไม่ลึกมาก ลึกสุดที่ 1064 nm (PicoWay, PicoGenesis), 755 nm (PicoSure) 

เพราะฉะนั้นถ้าเป็นหลุมลึกๆ PicoSecond Laser อาจจะลึกไม่พอ แนะนำให้รักษาด้วย Fractional RF (E-Matrix, Fractora, Venus Viva, Infini) จะเหมาะสมกว่า


ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นฝ้าที่ยิงพิโคเลเซอร์แล้วฝ้าจะจางลง มีคนไข้ 15%ที่ยิงเลเซอร์ฝ้าแล้วฝ้าแย่ลงหรือเข้มขึ้น คนไข้อีก 30% ยิงแล้วไม่เห็นผลการรักษา


จุดเด่นของพิโคเลเซอร์ในการรักษาฝ้า คือ คงสภาพความจางของฝ้าได้นาน 6 เดือน ซึ่งนานกว่าเลเซอร์ทุกชนิด


ยารับประทาน Tranexamic acid ได้รับการยอมรับว่าได้ผลดีในการรักษาฝ้า


เราต้องทำ Picosecond Laser กี่ครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์

– ปัญหาฝ้าแดด ฝ้าฮอร์โมน ฝ้าผสม ต้องทำเลเซอร์ประมาณ 4-6 ครั้งขึ้นไป

– ปัญหากระแดดต้องทำเลเซอร์ประมาณ 1-3 ครั้ง(เมื่อเปรียบเทียบกับ Q-Switched Laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรุ่นเก่า อาจต้องทำถึง 5-6 ครั้ง)

– ปัญหากระลึกต้องทำเลเซอร์อย่างน้อยประมาณ 5-6 ครั้งขึ้นไป(เมื่อเปรียบเทียบกับ Q-Switched Laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรุ่นเก่า อาจต้องทำถึง 10-12 ครั้ง)

– ปัญหาจุดด่างดำ รอยสิว ต้องเลเซอร์ประมาณ 2-6 ครั้งขึ้นไป

– ปัญหาหลุมสิว รูขุมขนกว้าง รอยแผลเป็น รอยแตกลาย ต้องเลเซอร์ประมาณ 4-6 ครั้งขึ้นไป

– สำหรับการลบรอยสัก จะขึ้นอยู่กับความเข้มและคุณภาพของสีที่ใช้ในการสัก


หมายเหตุ เว้นระยะการรักษาในแต่ละครั้งโดยเฉลี่ยประมาณ 1 เดือน แต่ในส่วนของกระลึกและรอยสัก แนะนำให้ทำเลเซอร์ประมาณ 2 เดือนครั้ง


ตารางที่ 1 เปรียบเทียบประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของเลเซอร์และ RF ในการรักษาหลุมสิว


ใส่รูป


***ประสบการณ์ส่วนตัวและผลงานวิจัยของ ศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ

ตารางที่ 2 เปรียบเทียบประสิทธิภาพของเลเซอร์ Picosecond ในการรักษาปัญหาผิวต่างๆ


ใส่รูป


***ประสบการณ์ส่วนตัวของ ศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ ที่ใช้ 

Picosecond ตั้งแต่พ.ศ 2558


ใครที่มีปัญหาผิวต่างๆ เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอย หน้าขาวใส

คิดอยากจะทำพิโคเลเซอร์ แนะนำอ่านข้อมูลในตารางให้ละเอียดนะคะ


ราคาการทำ Picosecond laser มีทั้งถูกและแพง แตกต่างกันอย่างไร

 • ต้องเช็คก่อนว่า เป็นเครื่องเลเซอร์แท้ที่ได้รับรองจากอเมริกาหรือไม่ หากราคาถูกเกินไป เป็นไปได้ว่าเป็นเครื่องเลเซอร์ที่นำเข้าจากเกาหลีหรือจีน ซึ่งเป็นพลังงานระดับ Picosecond เช่นกันแต่อาจไม่เสถียรและไม่ได้รับรองมาตรฐานจากอเมริกา

 • เครื่องแท้เหมือนกัน แต่ทำไมราคาแตกต่างกัน อาจเป็นเรื่องของสถานที่และค่ามือหมอที่แตกต่างกัน สำหรับการทำเลเซอร์ในโรงพยาบาลเอกชนราคาจะสูงกว่าการทำเลเซอร์ในคลินิก เพราะโรงพยาบาลมีค่าบริการอื่นๆมากกว่า

 • การทำเลเซอร์ด้วยแพทย์ฉพาะทางโรคผิวหนัง จะมีค่ามือหรือค่า DF(ค่าธรรมเนียมแพทย์) สูงกว่าการทำเลเซอร์ด้วยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรม ทั้งนี้ขึ้นกับความสะดวกของคนไข้ ส่วนตัวคิดว่า เลเซอร์เป็นการตั้งค่าพลังงานที่เสถียรและต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งเพื่อให้รอยจางลงชัดเจน ควรเลือกทำกับแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง ซี่งจะเห็นผลชัดเจนกว่ามากๆเพราะเรียนเวชปฏิบัติ 6 ปี ต่อตจวิทยาอีก 4 ปี รวมเป็น 10 ปี ย่อมวิเคราะห์ปัญหาผิวคนไข้ได้แม่นยำและใช้พลังงานสูงตรงจุดโดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงกับผิวหน้า


แพทย์ที่ดูแลปัญหาด้านผิวหนัง แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ

1.แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า “แพทย์ผิวหนัง” หรือ Dermatologist 


ตจแพทย์จะต้องจบแพทยศาสตร์บัณฑิตก่อน โดยใช้เวลาเรียนปกติคือ 6 ปี หลังจากนั้นจึงเข้าเรียนเพื่อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง(ตจวิทยา) ในประเทศไทยมีหลักสูตรการอบรมแพทย์ประจำบ้าน สาขาตจวิทยาที่ต้องใช้เวลาเรียน 4 ปี ซึ่งในปัจจุบันมีสถาบันฝึกอบรมในระดับนี้ 7 แห่ง ได้แก่ 

 1. หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 2. หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 3. สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

 4. สาขาวิชาโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 5. สาขาวิชาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 6. ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

 7. แผนกผิวหนัง กองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า


ในแต่ละปีจะมีแพทย์ที่จบหลักสูตรการอบรมและสอบผ่านจนได้รับ “วุฒิบัตร” แสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาตจวิทยา จากแพทยสภา ประมาณ 20 คนเท่านั้น 


2.แพทย์ที่ทำงานด้านโรคผิวหนัง อาจเรียกว่า “แพทย์ดูแลโรคผิวหนังและผิวพรรณทั่วไป” ซึ่งไม่ใช่ Dermatologist เพราะไม่ได้ผ่านการอบรมตามหลักเกณฑ์มาตรฐานของสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยและแพทยสภา แต่สามารถเป็นสมาชิกสมทบของสมาศมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยได้ เพื่อพัฒนาตนเองให้มีความรู้ด้านโรคผิวหนังและผิวพรรณมากขึ้น


แพทย์ในกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละคน เพราะบางท่านอาจผ่านการอบรมด้านผิวหนังจากสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ แต่เป็นหลักสูตรที่สั้นและไม่ใช่หลักสูตรเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญ  ซึ่งมีหลักสูตรตั้งแต่ 4 เดือน, 10 เดือน, 1 ปี, และ 2 ปี


แพทย์บางท่านอาจไม่เคยผ่านการอบรมหลักสูตรใด ๆ ที่เกี่ยวกับด้านผิวหนังเลย เพียงแต่มีความสนใจทำงานด้านผิวหนัง หรือ เรียนรู้ขณะทำงานไปเรื่อย ๆ แพทย์เหล่านี้อาจนำวิธีการรักษาที่แปลกใหม่แต่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาใช้ ซึ่งอาจเกิดผลเสียต่อผู้ป่วยหรือผู้มารับบริการได้ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา 


มีหลายคนที่ทำเลเซอร์แล้ว ไม่เห็นผลหรือไม่พึงพอใจในผลลัพธ์ ครั้งต่อไปก่อนตัดสินใจจ่ายเงิน ควรเช็ครายชื่อแพทย์ที่ทำการรักษาว่า จบแพทย์ผิวหนังโดยตรงหรือจบแค่แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป(เรียน 6 ปี)ไม่ได้เรียนเพิ่มเติมด้านใดเป็นพิเศษ ที่เรียกว่า แพทย์เฉพาะทาง(ตจวิทยา) ความรู้และประสบการณ์ของแพทย์+เครื่องมือประสิทธิภาพสูง เป็นปัจจัยหลักที่ควรให้ความสำคัญลำดับต้นๆดีกว่าซื้อคอร์สเลเซอร์ราคาถูกๆแต่ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย 



สามารถเช็ครายชื่อแพทย์ได้ที่ แพทยสภา :: The Medical Council of Thailandhttps://tmc.or.th












ที่มา :


เพจ Prof Dr Worapong/ศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ


PicoSure Laser Treatments - Are You Aware of All the Benefits? vivecenter . com › picosure-laser-tre...


Pico Laser - ลบรอยสัก, รักษา ฝ้า กระ จุดดำจากวัย จุดดำจากแสงแดด รักษาปานดำ ฝ้าที่ดื้อต่อการรักษา


มารู้จักแพทย์ผิวหนังกัน medinfo . psu . ac . th › WebBoard › readboard


ดีจริงไหม? เครื่อง Picoway Laser เหมาะกับใคร? ใช้รักษาปัญหาใดบนผิวหนัง - รีวิวศัลยกรรม แนะนำศัลยแพทย์ เกาหลี


โต๊ะเครื่องแป้ง พันทิป


ตจวิทยา - วิกิพีเดีย

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2565

แคลเซียมจำเป็นแค่ไหนในแต่ละช่วงของชีวิต

พูดถึงแคลเซียม สิ่งสำคัญที่สุดคือ

ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการอาหารเสริมแคลเซียม แต่บางคนอาจได้รับประโยชน์จากการรับประทานแคลเซียม 


การเสริมแคลเซียมไม่ได้ชดเชยปัจจัยอื่นๆ ซึ่งส่งผลต่อกระดูกที่แข็งแรงและสุขภาพโดยรวม สิ่งสำคัญคือต้องรับประทานอาหารที่เพียงพอและมีคุณค่าทางโภชนาการ (การมีน้ำหนักน้อยเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพกระดูกที่ไม่ดี) ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้กระดูกอ่อนแอและเกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้เช่นกัน


แคลเซียมที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดจะมีหลายรูปแบบ ซึ่งให้ประโยชน์เหมือนกันแต่การดูดซึมแตกต่างกัน แบบที่เป็นเม็ดฟู่ ชนิดเม็ด และชนิดแคปซูล โดยอยู่ในรูปของเกลือของแคลเซียมชนิดต่างๆ เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต (calcium carbonate) แคลเซียมซิเทรต (calcium citrate) แคลเซียมกลูโคเนต (calcium gluconate) แคลเซียมแล็กเทต (calcium lactate) และ แคลเซียมแอลทรีโอเนต (calcium L-threonate) เป็นต้น


เกลือของแคลเซียมแต่ละชนิดจะให้ปริมาณแคลเซียมแตกต่างกัน ดังนี้

1.แคลเซียมคาร์บอเนต จะให้แคลเซียมร้อยละ 40

2.แคลเซียมซิเทรต จะให้แคลเซียมร้อยละ 21

3.แคลเซียมแล็กเทต จะให้แคลเซียมร้อยละ 13

4.แคลเซียมแอลทรีโอเนต จะให้แคลเซียมร้อยละ 13

5.แคลเซียมกลูโคเนต จะให้แคลเซียมร้อยละ 9


อาหารเสริมแคลเซียมสองรูปแบบหลักคือ คาร์บอเนตและซิเตรต แคลเซียมคาร์บอเนตมีราคาถูกที่สุดและมักเป็นตัวเลือกแรกที่ดีจากคุณสมบัติที่ให้แคลเซียมมากถึง 40%

แคลเซียมรูปแบบอื่นในอาหารเสริม ได้แก่ กลูโคเนต แลคเตทและแอลทรีโอเนต แคลเซียมอะมิโน แอซิต คีเลต


อาหารเสริมแคลเซียมคาร์บอเนตละลายได้ดีในสภาพที่เป็น

กรด ดังนั้นควรรับประทานพร้อมอาหาร ในเมืองไทยแคลเซียมที่สตรีมีครรภ์และผู้ป่วยบาดเจ็บจากกระดูกหักมักจะได้รับจากโรงพยาบาลรัฐในชื่อทางการค้า คือ CHALKCAP เช่น CHALKCAP-1000 มีแคลเซียมคาร์บอเนต 1,000 มิลลิกรัม (ให้แคลเซียมร้อยละ 40 เทียบเท่าแคลเซียม 400 มิลลิกรัม)


อาหารเสริมแคลเซียมซิเตรตสามารถรับประทานได้ตลอดเวลาเพราะไม่ต้องการกรดในกระเพาะอาหารละลาย ด้วยเหตุผลนี้ผู้ที่มีปัญหาในการดูดซึมยา อาจพิจารณาใช้แคลเซียมซิเตรตแทนแคลเซียมคาร์บอเนต รวมถึงผู้ที่รับประทานทานยาเพื่อลดกรดในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดบายพาสลำไส้ มีภาวะคอเลสเตอรอลสูงหรือผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป อาจได้รับประโยชน์จากแคลเซียมซิเตรตแทนแคลเซียมคาร์บอเนต


อย่าลืม!!สังเกตขนาดเสิร์ฟ (จำนวนเม็ด)ข้างฉลากกำหนดปริมาณแคลเซียมในหนึ่งมื้อ


แคลเซียมอะมิโน แอซิต คีเลต ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ 80-90%

ไม่ต้องอาศัยวิตามิน D เพื่อดูดซึม ไม่ตกค้างในร่างกายให้เกิดนิ่วในไต ส่วนที่เหลือเพียง 10-20% จะถูกขับออกทางเหงื่อและปัสสาวะ 


แคลเซียมแอล-ทรีโอเนต สกัดมาจากข้าวโพด สามารถดูดซึมได้ 90%

Calcium threonate เป็นเกลือแคลเซียมของกรด threnoic เป็นยาชนิดใหม่ที่พัฒนาขึ้นสำหรับการรักษาโรคกระดูกพรุนและเป็นอาหารเสริมแคลเซียม จึงทำให้การรับประทานแคลเซียมแอล-ทรีโอเนต 750 มิลลิกรัมก็เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายของคนสุขภาพปกติใน 1 วันคือดูดซึมได้ถึง 90 มก. เนื่องจากดูดซึมได้ดีจึงไม่ตกค้างให้เกิดนิ่วและไม่ทำให้ท้องผูก  อีกทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในกระดูกและกระดูกอ่อน


ในการศึกษาชั้นพรีคลินิก แคลเซียม L-theronate ยับยั้งการสลายของกระดูกของ osteoclasts ในหลอดทดลอง การศึกษานี้ได้รับการสนับสนุนโดย JuNeng Pharmaceutical Co (ปักกิ่ง ประเทศจีน) 


หลายคนอาจสงสัยว่า แคลเซียมแอลทีโอเนต 1000 มก.ต่อเม็ด หากต้องการแคลเซียมเสริม 1000 มก.ต่อวัน ต้องกินกี่เม็ด


แคลเซียมแอลทรีโอเนต (calcium L-threonate) ให้ธาตุแคลเซียม 13%  ดังนั้นแคลเซียมแอลทรีโอเนตขนาด 1,000 มิลลิกรัม จะให้แคลเซียม 130 มิลลิกรัมต่อเม็ด หากต้องการได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม ต้องรับประทานแคลเซียมแอลทรีโอเนตประมาณ 7-8 เม็ด /วัน 


แต่อย่างไรก็ตาม ตามปกติเราได้รับแคลเซียมจากอาหาร เช่น นม เนย เต้าหู้ บร็อคโคลี เมล็ดธัญพืช โยเกิร์ต คะน้า งา ผักกาดขาว ปลาซาร์ดีน ฯลฯ

ในกรณีได้รับแคลเซียมไม่เพียงพออาจรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมเพิ่ม มักได้รับในขนาด 500 มิลลิกรัม/วัน (เทียบเท่ากับแคลเซียมแอลทรีโอเนต 3 -4 เม็ดต่อวัน


จากการศึกษาในสัตว์ทดลองบางชิ้น พบว่าแคลเซียมแอสคอร์เบต ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีทั้งแคลเซียมและวิตามินซีอาจถูกดูดซึมได้ดีพอๆ กับแคลเซียมรูปแบบอื่นๆ ในร่างกาย( แคลเซียมเอสคอร์เบต(calcium ascorbate)เป็นส่วนประกอบของ Ester-c,Buffered-c อย่าง Ester-c 1000 mg จะมี calcium ascorbate 100 mg)


อาหารเสริมแคลเซียมแทบทุกชนิดจะถูกดูดซึมได้ดีเมื่อรับประทานในปริมาณน้อย (ครั้งละ 500 มิลลิกรัมหรือน้อยกว่า)ยกเว้นแคลเซียมแอลทรีโอเนต

แคลเซียมซิเตรตจะถูกดูดซึมได้ดีเท่าๆ กันเมื่อรับประทานโดยมีหรือไม่มีอาหาร เป็นรูปแบบที่แนะนำสำหรับผู้ที่มีกรดในกระเพาะน้อย(พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีหรือรับประทานยายับยั้งการหลั่งกรด) โรคลำไส้อักเสบหรือการดูดซึมผิดปกติ


แคลเซียมในอาหารธรรมชาติโดยทั่วไปนั้นปลอดภัย แต่ปริมาณแคลเซียมที่มากกว่านั้นไม่จำเป็นจะต้องดีกว่าเสมอไป แคลเซียมที่มากเกินไปไม่ได้ให้การปกป้องกระดูกเป็นพิเศษ


ผู้ใหญ่อายุ 19-50 ปี ไม่ควรได้รับแคลเซียมรวมเกิน 2,500 มิลลิกรัมต่อวัน (รวมอาหารจากธรรมชาติและอาหารเสริม) ผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน 


มียาใดบ้างที่ทำปฏิกิริยากับแคลเซียม

แคลเซียมสามารถลดการดูดซึมยาเหล่านี้ได้ หากรับประทานพร้อมกัน

Bisphosphonates (ยารักษาโรคกระดูกพรุน)

ยารักษาไทรอยด์

ยากันชักบางชนิด (phenytoin)

ยาปฏิชีวนะบางชนิด

อาหารเสริมธาตุเหล็ก


อาหารเสริมแคลเซียมทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อย เช่น เพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องผูก และท้องอืด โดยทั่วไปแคลเซียมคาร์บอเนตจะทำให้ท้องผูกมากที่สุด 

หากรับประทานแคลเซียมมากเกินไปจนเกิดการสะสม จะลดการดูดซึมธาตุเหล็กและสังกะสี เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต หินปูนในเต้านม มะเร็งเต้านม หินปูนในหลอดเลือด หลอดเลือดตีบตัน 


ผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น hypoparathyroidism ซึ่งเป็นภาวะที่มีการผลิตฮอร์โมนพาราไทรอยด์ต่ำ อาจต้องได้รับแคลเซียมในปริมาณที่สูงขึ้น


อาหารเสริมแคลเซียม ควรจะมีวิตามิน D3 วิตามิน K2 และแมกนีเซียมรวมอยู่ด้วย


วิตามินดี มีบทบาทในการช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม

วิตามินเคเป็นสารอาหารหลักที่ช่วยจับแคลเซียมและสร้างเซลล์กระดูกที่โตเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือด 

ในสตรีวัยหมดประจำเดือน มักมีระดับแมกนีเซียมต่ำมีความสัมพันธ์กับการสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็วและกระดูกที่อ่อนแอลง 


เมื่อใดที่ร่างกายหรือเซลล์ที่ต้องใช้แมกนีเซียมทำงาน แต่มีไม่เพียงพอ มันจะดึงแมกนีเซียมออกมาจากกระดูก เพื่อใช้กับงานจำเป็นเร่งด่วนไปก่อน ผลก็คือ เหลือแต่แคลเซียมกับฟอสเฟตจับตัวกันที่กระดูก ทำให้ไม่แข็งแกร่ง (แมกนีเซียมเป็นตัวเสริมความแข็งแกร่ง เช่น ล้อแมกซ์รถยนต์ ซึ่งเบาแต่แข็งมาก) กรณีที่กระดูกขาดแมกนีเซียม ผลตามมาคือ กระดูกพรุนหรือเปราะ ถูกกระทบนิดหน่อยจะหักได้ง่าย เรามักพบผู้สูงอายุกระดูกหักโดยเฉพาะที่คอและกระดูกต้นขา


ส่วนแคลเซียมทำหน้าที่ตรงกันข้าม คือทำหน้าที่ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ หากมีปริมาณแคลเซียมมากเกินไปในกล้ามเนื้อจะทำให้กล้ามเนื้อหดตัวแบบไม่ปกติ ส่งผลให้เกิดตะตริว นอกจากนี้ ธาตุทั้งสองยังช่วยในการเสริมสร้างกระดูก โดยแคลเซียมช่วยในเรื่องเสริมสร้างกระดูก ส่วนแมกนีเซียมช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง 

แมกนีเซียมกับแคลเซียม เหมือนเป็นสิ่งคู่กันที่ทำหน้าที่ต่างๆต่อระบบร่างกายของคนเรา โดยแมกนีเซียมมีหน้าที่ควบคุมระบบประสาท และส่งสัญญาณประสาทควบคุมการหดของกล้ามเนื้อเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว 


การเสริมแคลเซียมจึงต้องคำนึงถึงแมกนีเซียมในอัตราส่วน

แคลเซียม: แมกนีเซียม คือ  2 ต่อ 1 โดยปริมาณที่เหมาะสมต่อวันคือ แคลเซียม 600 มิลลิกรัมต่อ แมกนีเซียม 300 มิลลิกรัม


เด็กต้องการแคลเซียมเพื่อเสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรง ผู้ใหญ่ต้องการแคลเซียมเพื่อรักษากระดูกให้แข็งแรง เมื่อเวลาผ่านไป การได้รับแคลเซียมไม่เพียงพออาจทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกเปราะ กระดูกสันหลังร่นได้ 


ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนมีความเสี่ยงสูงที่จะกระดูกหักโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ข้อมือ สะโพก และกระดูกสันหลัง กระดูกหักเหล่านี้ทำให้เกิดความเจ็บปวดและความทุพพลภาพเรื้อรังยาวนาน คุณภาพชีวิตลดลง และความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงขึ้น


โรคกระดูกพรุนอาจทำให้กระดูกที่ประกอบขึ้นเป็นกระดูกสันหลัง  แตกหักได้ ทำให้กระดูกสันหลังยุบในบริเวณเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวด เคลื่อนไหวลำบาก และค่อย ๆ พิการ หากปัญหารุนแรงมากพอ


เราสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อย่างไร

เพื่อส่งเสริมกระดูกให้แข็งแรงตลอดชีวิตและลดการสูญเสียแคลเซียม

รับประทานอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดีตลอดชีวิต

ควรการออกกำลังกาย เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่รับน้ำหนัก เช่น การเดินหรือวิ่งจ็อกกิ้ง

อย่าสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

ไม่ควรดื่มคาเฟอีนมากเกินไป

บางทีเราอายุยังน้อย อาจมองข้ามแคลเซียมไป แต่แป้งเห็นผู้สูงอายุที่กระดูกพรุน กระดูกบาง กระดูกสันหลังร่นแล้ว อดคิดไม่ได้ว่า นอกจากเก็บออมเงินเพื่อใช้จ่ายในอนาคตแล้ว ควรสะสมแคลเซียมเผื่อวันที่ร่างกายเข้าสู่วัยชราด้วยเช่นกัน





ที่มา 


Osteoporosis: Prevention With Calcium Treatment - Cleveland ...https://my.clevelandclinic.org › articles


Choosing a calcium supplement - Harvard Healthhttps://www.health.harvard.edu › nutrition


Calcium and calcium supplements: Achieving the right balancehttps://www.mayoclinic.org › art-20047097


Which Calcium Supplement Is Best Absorbed in the Body?https://www.livestrong.com › article › 411...


The 5 Best Calcium Supplements, According to a Dietitianhttps://www.verywellhealth.com › best-cal...


The 13 Best Calcium Supplements - Healthlinehttps://www.healthline.com › nutrition › b...


แมกนีเซียม - หมอ มวลชนhttps://www.mmc.co.th › ...


แคลเซียม / แมกนีเซียม เพื่อนรักที่ขาดกันไม่ได้https://www.mfuhospitalbkk.com › แคลเซียม-แมกนีเซ...


Boron: Benefits, Side Effects, Dosage, and Interactionshttps://www.verywellhealth.com › the-ben...


Calcium L-Threonate | C8H14CaO10 - PubChemhttps://pubchem.ncbi.nlm.nih.gov › compound › Calcium...


Calcium threonate: Uses, Interactions, Mechanism of Actionhttps://go.drugbank.com › drugs


Pharmacokinetics and safety of calcium L-threonate in healthy ...https://www.ncbi.nlm.nih.gov › articles


วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565

เทโลเมียร์(Telomere)อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข

เทโลเมียร์ (Telomere) คือ ส่วนปลายของโครโมโซม เป็นส่วนลำดับเบสที่ไม่มีความหมายในการแปลรหัส มีหน้าที่ปกป้องโครโมโซมไม่ให้ถูกทำลายหรือร่นเข้าไป และจะสั้นลงเรื่อยๆ เมื่อมีการแบ่งเซลล์และตามเวลาที่ผ่านไป 


เมื่อเทโลเมียร์หดสั้นลง มีผลทำให้ความยาวของโครโมโซมลดลงตามไปด้วย โดยถือเป็นกระบวนการธรรมชาติที่เกิดขึ้นภายในร่างกายมนุษย์ทุกคน เพียงแต่กระบวนการหดสั้นลงของเทโลเมียร์อาจถูกกระตุ้นให้หดสั้นเร็วขึ้นด้วยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ


การศึกษาพบว่า หนูทดลองที่ไม่มีเอนไซม์เทโลเมอเรสแสดงสัญญาณของการแก่ก่อนวัย


เทโลเมอเรส คือ เอนไซม์ชนิดหนึ่งที่สามารถต่อเติมความยาวเทโลเมียร์และซ่อมเทโลเมียร์ที่สั้นโดยต่อความยาวเข้าไปใหม่ 

เทโลเมอเรสทำหน้าที่เติมลำดับเบสเฉพาะไปยังปลายโครโมโซมในภาวะปกติ โดยมีบทบาทหน้าที่ในช่วงแรกๆ ของการพัฒนาตัวอ่อนแรกเริ่มและในสเต็มเซลล์ของผู้ใหญ่ แต่ในเซลล์ปกติจะผลิต

เทโลมีเรสในปริมาณน้อยมากหรือไม่มีเลย ทำให้ทุกๆ ครั้งที่เซลล์แบ่งตัว ปลายเทโลเมียร์ของเซลล์จะสั้นลงเรื่อยๆ และทำให้เกิดการตายของเซลล์ (Apoptosis)


อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าเทโลเมียร์สั้นลงมีส่วนเกี่ยวข้องกับความชราในมนุษย์หรือไม่ หรือเป็นเพียงสัญญาณของความชรา เช่น ผมหงอก มีข้อบ่งชี้หลายประการว่า ความยาวเทโลเมียร์เป็นตัวทำนายอายุขัยที่ดี


ทารกแรกเกิดมักจะมีเทโลเมียร์ที่มีความยาวตั้งแต่ 8,000 -13,000 คู่เบส มีการตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนนี้มีแนวโน้มลดลงประมาณ 50-100 คู่เบสในแต่ละปี ดังนั้นเมื่อมีอายุ 40 ปี มนุษย์อาจจะสูญเสียไป 4,000 คู่เบสจากเทโลเมียร์เริ่มต้น


เมื่อมองในภาพรวม เทโลเมียร์ที่สั้นลงโดยรวมไม่มีนัยสำคัญ แม้แต่ในคนสูงอายุ


เซลล์ที่แบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เช่นเซลล์สืบพันธุ์และสเต็มเซลล์ เป็นหนึ่งในเซลล์ไม่กี่ชนิดในร่างกายของเราที่มีเทโลเมอเรสยังคงทำงานอยู่ หมายความว่าในเซลล์เหล่านี้ความยาวเทโลเมียร์จะคงอยู่หรือยาวขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป


อย่างไรก็ดี มีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความยาวของเทโลเมียร์ของมนุษย์ เช่น การสูบบุหรี่และโรคอ้วน ความเครียด การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ มลพิษทางอากาศ(PM 2.5 ฝุ่นควัน)และการไม่การออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้สามารถเร่งอัตราการลดความยาวเทโลเมียร์ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งและส่งผลต่อการมีอายุยืนยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ


วิธีการรักษาความยาวของเทโลเมียร์ 


1. ออกกำลังกายเป็นประจำ  คนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พบว่ามี telomere ที่ยาวกว่าคนอื่นที่ไม่ค่อยออกกำลังกายอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้แก่ช้าหรือชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรได้ถึง 9 ปี ควรออกกำลังกายหัวใจ (Cardio exercise) เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ การขยับตัวและการเดิน (Physical activity) ให้ได้วันละ 10,000 ก้าว


2. อาหารที่สมดุลเพื่อสุขภาพ

โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับความเครียดออกซิเดชันในระดับสูง 

ภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน(Oxidative stress)คือ ภาวะที่มีอนุมูลอิสระ(Free radical)ในร่างกายมากจนสารต้านอนุมูลอิสระมีปริมาณไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดการทำลายออกซิเดชัน(Oxidative damage)การที่อนุมูลอิสระเข้าไปทำลายระบบต่างๆ ภายในเซลล์ของสิ่งที่มีชีวิต เช่น รวมตัวกับสารพันธุกรรม(DNA)ทำให้โมเลกุลของ ดีเอ็นเอเปลี่ยนแปลงไป


ภาวะนี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อ DNA และเพิ่มอัตราการหดสั้นของเทโลเมียร์ เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายที่สูงสามารถกระตุ้น adipocytokines ที่สร้างความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันในเซลล์ทำลายเทโลเมียร์ของโครโมโซมที่อยู่ภายในนิวเคลียสของเซลล์ 


ดังนั้นการรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและการรับประทานอาหารที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมและรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง จะช่วยปกป้องความยาวของของเทโลเมียร์ อาหารที่มีประโยชน์จะอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีผลดีต่อความสมดุลของสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย อาหารที่ช่วยชะลอเทโลเมียร์หดสั้นลง เช่น อาหารที่มีวิตามินซี โพลีฟีนอล แอนโธไซยานินสูง พริกแดง คะน้า 

ดาร์กช็อกโกแลต และบลูเบอร์รี่ ฯลฯ


3.จัดการความเครียด

ความเครียดสะสมในจิตใจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความยาวของเทโลเมียร์ เมื่อการอักเสบเกิดขึ้นและกระบวนการซ่อมแซมไม่ได้ผลอาจทำให้เกิดโรคได้ การทดลองในสัตว์ พบว่า การมีความเครียดทำให้มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะลดความสามารถในการกำจัดสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง และสารที่ก่อให้เกิดขึ้นจะมีผลต่ออวัยวะต่างๆในร่างกาย เกิดการแบ่งตัวของเซลล์มากขึ้นทำให้เกิดโรคมะเร็งนั่นเอง

     

ในปัจจุบันเชื่อกันว่า ร่างกายคนเราตามปกติมีสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และร่างกายสามารถกำจัดสารพวกนี้ได้ทำให้ไม่เกิดมะเร็ง แต่เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น จะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถขจัดสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ แต่ในเวลาเดียวกันไม่ได้หมายความว่า ความเครียดจะทำให้เป็นมะเร็งได้เสมอไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความเครียดอีกด้วย 


คนที่มีความเครียดสะสม จู้จี้ขี้บ่น เจ้าระเบียบ โมโหฉุนเฉียวง่าย ไม่ออกกำลังกาย อดหลับอดนอน กินอาหารไขมันสูงและน้ำตาลสูง ส่วนใหญ่เทโลเมียร์จะสั้น


4. อาหารเสริม มีอาหารเสริมบางตัวที่ช่วยลดผลกระทบของความชรา เช่น  วิตามิน C & E อาจจำกัดความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชันต่อ DNA ของ Telomeric ซึ่งอาจทำให้ความยาวของ Telomere สั้นลงได้  


การขาดธาตุสังกะสีในอาหารสัมพันธ์กับความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชันเช่นกัน การเสริมสังกะสีช่วยลดอุบัติการณ์ของการติดเชื้อ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การเสื่อมสภาพของเทโลเมียร์โดยการกระตุ้นการหมุนเวียนของเซลล์ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การเลือกอาหารเสริมที่เหมาะสม ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ


5. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

 การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ มีส่วนทำให้เกิดความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชันและการอักเสบเพิ่มขึ้น 


การศึกษาพบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มีเทโลเมียร์ที่สั้นกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ นอกจากนี้ การศึกษาต่างๆ ได้เชื่อมโยงการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปกับความชราทางชีววิทยาที่เร็วขึ้นในระดับเซลล์ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากยังสัมพันธ์กับภาวะขาด

วิตามินบี 1 ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญในการดึงพลังงานจากอาหารโดยเปลี่ยนให้เป็นพลังงานสำหรับสมอง เส้นประสาท และหัวใจ การขาดวิตามินบี 1 ในระยะยาวนำไปสู่ระดับความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่สูงขึ้น


6.รักษาระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเพื่อหลีกเลี่ยงการเริ่มเป็นโรคเบาหวานหรือคอเลสเตอรอลสูง


7.พักผ่อนให้เพียงพอ


การนอน คือ การพักผ่อนที่ดีที่สุดและจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อนอนหลับอย่างเพียงพอจะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าในตอนเช้า ช่วยให้ใบหน้าแลดูสดใส ไม่หมองคล้ำ และช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ความจำ หรือระบบภูมิคุ้มกัน


การนอนหลับให้เพียงพอ อาจช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีงานวิจัยที่เปรียบเทียบความเสี่ยงในการติดเชื้อไข้หวัดของผู้ที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมง กับผู้ที่นอนหลับ 8 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งพบว่ากลุ่มที่นอนน้อยกว่าเสี่ยงเป็นหวัดสูงกว่ากลุ่มผู้ที่นอนมากกว่าถึง 3 เท่า


ตำแหน่งของใบหน้าที่แสดงถึงสัญญาณความชรา

1.ริ้วรอย เกิดจากการขยับของกล้ามเนื้อซ้ำๆ ผิวแห้งและบางลง

2.ถุงใต้ตา เกิดจากกล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนแอลง ไขมันรอบๆตาเคลื่อนตัวลงมา

3.หนังตาตก เกิดจากกล้ามเนื้อเปลือกตาอ่อนแอลง ผิวหนังหย่อนคล้อย

4.หน้าแบนหรือหน้าตอบ  เกิดจากไขมันหายไป ชั้นผิวและกล้ามเนื้อบางลง

5.ร่องแก้ม เกิดจากผิวและชั้นไขมันหย่อนคล้อยลง เส้นเอ็นที่เกาะยึดหย่อนตัว

6.ริมฝีปากบางและม้วนเข้าด้านใน เนื่องจากฟันและกนะดูกยุบตัวลง

7.กรอบหน้าไม่ชัด เกิดจากกล้ามเนื้อทำงานไม่สมดุล ผิวและชั้นผิวบนใบหน้าเสื่อมและหย่อนคล้อย


ในโรงพยาบาลชั้นนำ สามารถตรวจเทโลเมียร์ได้โดยการตรวจจากเม็ดเลือดขาว 


ปัจจัยทางพันธุกรรมมีสัดส่วนเพียง 30% ของความยาวเทโลเมียร์ของแต่ละบุคคล ที่เหลือเป็นปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเลือกรูปแบบการใช้ชีวิต(lifestyle)มีบทบาทมากขึ้นต่อสุขภาพเซลล์และกระบวนการชราภาพของมนุษย์












ที่มา :


www . yourgenome . org/facts/what-is-a-telomere


▷ Telomere length and aging: 5 ways to maintain healthy ...lifelength . com › Blog EN


Eight Tips to Help Maintain Telomere Length - Dr. Avi Ishaaya ...aviishaaya . com › blog › eight-tips-t...


ความเครียดอาจทำให้เกิดโรคมะเร็ง | มหาวิทยาลัยมหิดล


BDMS Wellness Clinic


นอน ดีต่อสุขภาพอย่างไร ? - พบแพทย์


เพจ Dr.Yui คุยทุกเรื่องผิว


วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ทำไมคนในครอบครัวบางคนถึงไม่ติดโควิด

สื่อต่างประเทศหลายสำนักพยายามไขข้อข้อสงสัยว่า ทำไมสมาชิกครอบครัวบางคนที่อยู่ชายคาเดียวกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 จึงไม่ได้รับเชื้อหรือไม่มีอาการป่วย ขณะที่ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการติดเชื้อโควิด ซึ่งแพร่ระบาดได้ง่ายนั้น ถ้าสมาชิกคนหนึ่งคนใดในบ้านติดโควิด สมาชิกคนอื่นๆ ก็จะได้รับเชื้อไปด้วย

ดร.ลูซี แมคไบรด์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อในวอชิงตัน ดีซี ของสหรัฐ อธิบายกับ Yahoo News ว่า การติดโควิดในครอบครัวนั้น ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ ปริมาณไวรัสที่แพร่ออกมาจากสมาชิกคนที่ติดเชื้อ สภาพของบ้านที่อยู่ร่วมกัน ระบบภูมิคุ้มกันของคนในครอบครัว สถานะการได้รับวัคซีนของคนที่ติดเชื้อและสมาชิกในบ้านแต่ละคน จะหายใจเอาละอองฝอยที่มีไวรัสเข้าสู่ร่างกายไม่เท่ากัน ร่างกายจะตอบสนองต่อไวรัสแตกต่างกัน

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานด้านสุขภาพและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดร.ลูซีกล่าวว่า คนที่ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม หากยังมีอายุไม่มาก และสุขภาพดี อาจจะไม่มีอาการป่วยใดๆเลย และบ้านมีพื้นที่กว้าง เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทตลอดเวลา โอกาสในการติดเชื้อก็จะน้อยลงกว่าบ้านที่มีพื้นที่เล็กและอับทึบ

รายงานล่าสุดจากศูนย์ควบคุมป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (CDC) ชี้ว่า โอกาสในการแพร่เชื้อโควิดของคนในครอบครัวอยู่ที่ประมาณ 53% ในบ้านที่ไม่แออัด

การศึกษาซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ JAMA Internal Medicine เมื่อปลายเดือน ม.ค.ระบุว่า คนที่ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมีความเสี่ยงติดเชื้อและป่วยจากโอมิครอนน้อยกว่า 66% เมื่อเทียบกับคนที่ได้รับวัคซีนเพียง 2 เข็ม

การศึกษาอื่นๆ ชี้ว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นสามารถลดโอกาสในการป่วยที่ต้องเข้าห้องฉุกเฉินและโอกาสในการเสียชีวิตได้ถึง 80%

ศ.โทนี คันนิงแฮม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อและนักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าวในทำนองเดียวกันว่า มีหลากหลายปัจจัยที่จะทำให้สมาชิกในบ้านไม่ติดเชื้อโควิดครบทุกคน มีทั้งเรื่องระดับภูมิคุ้มกันของแต่ละคนที่ทำให้เชื้อไวรัสในร่างกายลดลงปริมาณลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจมาจากการได้รับวัคซีน หรือเป็นไปได้ที่มีพันธุกรรมซึ่งสามารถต่อต้านเชื้อโควิดได้

ส่วนคนที่ได้รับวัคซีนโดยเฉพาะเข็มกระตุ้น หากได้รับเชื้อจะทำให้ไวรัสที่อยู่ในโพรงจมูกและระบบหายใจลดลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งไม่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้อีก

ทางด้าน ดร.โจเซฟ แมคการ์กริลล์ แพทย์ด้านโรคติดต่อจากศูนย์การแพทย์ MercyOne อธิบายว่า การที่บางคนในครอบครัวไม่ติดเชื้อ อาจเพราะเคยติดเชื้อโควิดมาแล้วก่อนหน้า ทำให้มีภูมิต้านทานและไม่ติดเชื้ออีกแม้จะอยู่ใกล้ชิดกับคนในบ้านที่ป่วยด้วยโควิด มีโอกาสที่บางคนในบ้านไม่แสดงอาการหรือไม่มีอาการป่วยเลย เป็นเพราะไม่ได้รับเชื้อในปริมาณที่มากพอ

ขณะที่บางคนมีพันธุกรรมที่ต้านทานต่อไวรัสได้ดี ทำให้มีอาการป่วยเพียงเล็กน้อย หรือไม่แสดงอาการเลยแม้ผลการตรวจจะออกมาเป็นบวก

ล่าสุด ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติกำลังค้นหายีน(Gene)ในคนที่สามารถต้านโควิดได้ โดยหวังว่า ยีน(Gene)ที่อาจเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จะนำมาซึ่งการพัฒนาเป็นยาป้องกันไวรัสเพื่อปกป้องผู้คนจากโควิดในอนาคต



ที่มา :

www . sanook . com /news/8520990/?utm_source=linetoday&utm_medium=organic&utm_campaign=linetoday-direct

สัญญาณเตือนจากร่างกายที่เราควรรับฟัง

มีใครเคยตรวจพบปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงจากสัญญาณเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย ปกติแล้วเรามักจะมองข้ามไปบ้างรึเปล่าค่ะ ร่างกายของเราเป็นระบบที่มีความซับซ้อนมาก ซึ่งทุกอย่างล้วนมีความเชื่อมโยงกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นเมื่อมีบางอย่างที่เริ่มผิดปกติ เราสามารถรับรู้ได้ถึงสัญญาณเหล่านี้ 

1.วิธีทดสอบว่าเส้นผมมีรูพรุนน้อยหรือมาก คือการแช่เส้นผมที่สระและเช็ดให้แห้งแล้วลงในแก้วน้ำ หากปอยผมจมลงสู่ก้นแก้ว แสดงว่ามีความพรุนสูงมาก หมายความว่าเส้นผมจะสามารถดูดซับทุกผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ได้อย่างรวดเร็วและแห้งได้ในเวลาไม่นาน แต่อย่างไรก็ตาม เส้นผมนั้นมักจะมีความแห้งกรอบและมีแนวโน้มที่จะชี้ฟู

ดังนั้นในการดูแลเส้นผมที่มีความพรุนมาก ควรมองหาผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมมีเนื้อสัมผัสที่มีน้ำหนัก เช่น น้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติอย่าง อาร์แกนออยล์ โจโจ้บาออยล์ อัลมอนด์ออยล์ ฯลฯ นอกจากนั้นสามารถเพิ่มการบำรุงอย่างล้ำลึก เช่น หมักผมหรือสปาผมได้ 

 

2. เส้นรอยพับตามแนวขวางที่คอ สตรีวัยหมดประจำเดือนจะผลิตเอสโตรเจนได้น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการเพื่อรักษาความแข็งแรงของกระดูก ริ้วรอยลึกที่คอเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า กระดูกเริ่มเปราะบางและมีความหนาแน่นน้อยลง

นั่นหมายความว่า อันตรายจากการแตกหักของกระดูกจะสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมและวิตามินดีจึงเป็นความคิดที่ดีในการหลีกเลี่ยงโรคกระดูกพรุน หากไม่ชอบรับประทานอาหารเสริม สามารถรับทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงและดูดซึมได้ดีจากธรรมชาติ เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส โยเกิร์ต 

ปลาที่กินพร้อมกระดูกได้ เช่น ปลาซาร์ดีน ผักใบเขียว เช่น คะน้าบล็อคโคลี่ ใบชะพลู ผักกระเฉด ถั่วขาว ข้าวโอ๊ต น้ำส้ม งาดำ กุ้งแห้งกะปิ 

ริ้วรอยเหล่านี้อาจบอกด้วยว่า ควรตรวจสอบการทำงานของต่อมไทรอยด์ หากมีอาการแย่ลงเรื่อย ๆ และไม่ได้รับการรักษา สัญญาณนี้อาจเริ่มปรากฏให้เห็นที่คอรวมถึงบริเวณอื่น ๆ นอกจากริ้วรอยแล้ว ควรสังเกตผิวที่ลอกเป็นขุยด้วย 

3. แผลร้อนในที่ปากและลิ้น สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเกิดอาการร้อนใน ได้แก่ การสูบบุหรี่ อาการแพ้ การกัดลิ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ(เวลาเคี้ยวอาหาร) และการอักเสบ 

 


หากแผลร้อนในไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้น อาจหมายถึงการขาดวิตามินบี12 ธาตุเหล็ก หรือโฟเลต ซึ่งความผิดปกตินี้ไม่ได้พัฒนาแค่ในชั่วข้ามคืน แต่จะค่อย ๆ ก่อตัวพัฒนาไปเรื่อยๆเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 

สัญญาณเตือนอื่น ๆ อาจมีอาการเหนื่อยล้า เวียนศีรษะ หัวใจเต้นผิดปกติ และกล้ามเนื้ออ่อนแรง หากเราประสบกับปัญหาเหล่านี้ จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารครั้งใหญ่และควรเริ่มรับประทานอาหารเสริมที่จำเป็น 

4.เล็บและผิวหนังกำพร้ารอบ ๆ แห้งลอก และการเกิดดอกสีขาวบนเล็บ 

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการลอกของเล็บและผิวหนังกำพร้ารอบ ๆ คือการขาดธาตุเหล็กและการขาดน้ำ หากไม่รักษาภาวะขาดธาตุเหล็กอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะโรคโลหิตจาง 


ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เล็บมีสุขภาพที่ไม่ดี อาจเกิดได้จากภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ โรคปอด หรือแม้แต่โรคไต 

วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาเล็บที่สามารถทำเองได้คือ การรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กและทาครีมบำรุงมือเพื่อทำให้เล็บมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ 

หากเริ่มสังเกตเห็นดอกสีขาวบนเล็บ อาจมีสาเหตุที่เป็นไปได้อยู่ 4 ประการ ได้แก่ อาการแพ้ การติดเชื้อรา อาการบาดเจ็บ หรือการขาดแร่ธาตุ ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับสาเหตุสุดท้าย แร่ธาตุที่ขาดที่พบบ่อยที่สุดคือ สังกะสีและแคลเซียม และการตรวจเลือดเป็นสิ่งแรกที่ควรต้องทำ 

เมื่อก่อนแป้งมีดอกเล็บขึ้นทีละ 1-2 นิ้ว พอสังเกตเห็นแบบนี้ จะรีบหาซื้ออาหารทะเลมากินอย่างไว(อาหารทะเลจะมีแร่ธาตุสังกะสีสูงมาก) ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ดอกเล็บหายไปเลย ปัจจุบันไม่มีแล้วเพราะกินอาหารทะเลบ่อยค่ะ 

5.ส้นเท้าแตก อาจเกิดได้จากผิวหนังที่แห้ง อากาศหนาว หรือการยืนนาน ๆ หลายชั่วโมงทุกวัน แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงปัญหาที่ร้ายแรงกว่านั้น เช่น โรคกลาก โรคไทรอยด์ทำงานผิดปกติ และโรคเบาหวาน 


เราสามารถดูแลรักษาส้นเท้าได้ ด้วยการแช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชู เป็นเวลา 20 นาทีแล้วขัดด้วยหินขัดเท้า(วิธีนี้นอกจากส้นเท้าจะนุ่มลงแล้วยังช่วยลดกลิ่นอับจากการสวมรองเท้าได้อีกด้วย) จากนั้นจึงทามอยส์เจอไรเซอร์แบบเข้มข้นที่มีส่วนผสมของกรดแลคติก โจโจ้บาออยล์ หรือเชียบัตเตอร์ 

หากดูแลรักษาด้วยตัวเองแล้วแต่ยังไม่ดีขึ้นเลย มีวิธีการรักษาหลายอย่างที่หมอผิวหนังสามารถสั่งจ่ายเวชภัณฑ์ เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความเข้มข้นสูง และสิ่งที่เราทำได้ในแต่ละวันคือ หมั่นตรวจดูส้นเท้า รักษาความสะอาด และสวมรองเท้าที่รองรับแรกกระแทก 

6.โรคโรซาเซียเป็นสาเหตุอันดับ 1 ของการเกิดรอยแดงในบริเวณเหล่านี้ ในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว มีคนที่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้ประมาณ 14 ล้านคน 


ผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีและคนผิวขาวมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคนี้มากกว่า เนื่องจากโรคโรซาเซียไม่ค่อยมีผลกระทบต่อเด็ก 

ส่วนอาการทั่วไปของโรคที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ อาการหน้าแดง การเกิดรอยแดงอย่างต่อเนื่อง ผื่นและสิว และหลอดเลือดที่มองเห็นได้ชัด สำหรับอาการอื่น ๆ ที่พบได้น้อย ได้แก่ การระคายเคืองตา ผิวหนังมีความหนาและบวมขึ้น 

โดยปกติแล้ววิธีรักษาโรซาเซียคือ การใช้ยาเฉพาะที่และการใช้ยารับประทานที่แพทย์สั่งจ่าย แพทย์อาจใช้การรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อกำจัดหลอดเลือดที่มองเห็นออก 

7.หากมีอาการตาบวมโดยไม่ได้มีการติดเชื้อและไม่ได้มีอาการแพ้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสดงว่าเกิดจากสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือ การบริโภคเกลือในปริมาณที่มากเกินไป จนทำให้มีของเหลวสะสมอยู่ในร่างกายและใบหน้า รวมถึงบริเวณใต้ตาด้วย 


ควรต้องลดปริมาณเกลือที่บริโภคและอาจเพิ่มปริมาณโพแทสเซียม ส่วนสาเหตุอื่น ๆ อาจเป็นไปได้คือโรคคอพอกตาโปน ท่อน้ำตาอุดตัน การสูบบุหรี่ และการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ เมื่อเราทราบถึงสาเหตุของปัญหาแล้ว สามารถแก้ไขได้โดยการประคบเย็น การใช้ถุงชา และการนวดหน้า หากอาการบวมดังกล่าวยังไม่ดีขึ้น ควรต้องไปพบแพทย์

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2565

การแพ้อาหารกับสารซัลไฟต์(Sulfites)

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา มีใครไม่เคยแพ้อาหารบ้างคะ คนที่ไม่แพ้อะไรเลยนับว่าเป็นคนที่โชคดีมากๆที่ไม่มีข้อจำกัดในการกิน อยากกินอะไรก็กิน ไม่ต้องคอยระแวดระวังอะไรทั้งสิ้น 

ประมาณ 0.05–2% ของประชากรทั่วโลกจะประสบกับภาวะภูมิแพ้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ในปี 2010 เป็นต้นมา อัตราส่วนดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น มักพบในเด็ก วัยทำงานและผู้หญิง

ในอดีตแป้งเคยเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เป็นหนักขนาดต้องกินยาแก้แพ้ มีแค่ชอบขยี้ตาบ่อยๆ จนพอโตขึ้นมีรอยคล้ำเล็กน้อยใต้ตาซ้ายและพออายุ 30 กว่า สังเกตว่าเริ่มมีรอยขีด(คนละอย่างกับริ้วรอย)ใต้ตาซ้าย  แต่ข้างขวาไม่มี ช่วงนั้นยังทำเลเซอร์อยู่ นึกสงสัย เลยถามหมอผิวหนัง คุณหมอถามว่า ‘’เป็นภูมิแพ้หรือเปล่า’’
อ๋อ!ขีดใต้ตาคือ รอยขยี้ตาจากภูมิแพ้ นั่นเอง

มีบางครั้งในชีวิตที่นอนดึกติดต่อกันหลายคืน ตื่นขึ้นมาส่องกระจก อ้าว!ทำไมขอบตาเราดำเหมือนหมีแพนด้าเนี่ย แต่พอผ่านไป 1 สัปดาห์ ขอบตาที่คล้ำก็หายไปเอง

แป้งเริ่มแพ้อาหารตอนอายุประมาณ 29 ปี ช่วงกลางคืนวันหนึ่งดื่มน้ำส้มกล่องยี่ห้อมาลีเพียง 350 ซีซี ผ่านไป 3 ชม.เริ่มมีอาการคันหัวตา  คันตามตัว มีผื่นแดงเป็นปื้นตามรอยที่เกา อีกสักพักตาบวมโปนเหมือนปลาทอง เลยไปโรงพยาบาล แพทย์ฉีดยา Dexamethazone+CPM ให้ แค่ครึ่งชม.อาการคันตามตัว ผื่นแดง+ตาบวมเริ่มยุบ ได้ยากลับบ้านเป็น
กลุ่มยาแก้แพ้แบบไม่ทำให้ง่วงและยาสเตียรอยด์ prednisolone 5 mg อย่างละซอง แต่ไม่กินสักเม็ดเพราะลำพังฤทธิ์ของยาฉีดเข้าเส้นเลือดก็ทำให้อาการแพ้ทั้งหลายสงบลง ถือว่าการรักษาได้สิ้นสุดลงแล้ว(อย่าเผลอกินอาหารที่กระตุ้นการแพ้อีกล่ะกัน) ไม่อยากกินยาเม็ดเพิ่มอีกเพราะผลข้างเคียงค่อนข้างเยอะค่ะ

อีกครั้งกินเต้าหู้ปลาก็มีอาการแบบเดิมเป๊ะ แต่มีท้องเสีย 10+ครั้งร่วมด้วย ลงเอยด้วยการฉีดยาสูตรเดิมตามเคย

2 ปีต่อมาไปเที่ยวยุโรป(ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี)ระหว่างนั่งรถโค้ชข้ามพรมแดนระหว่างฝรั่งเศสและสวิสเซอร์แลนด์ ทุก 3 ชม.คนขับรถจะแวะพักปั๊มเพื่อเติมน้ำมัน ลูกทัวร์จะได้พักด้วย ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ระหว่างนั้นแป้งกับสามีจะลงไปเข้าห้องน้ำ+เดินยืดเส้นยืดสาย ดูสินค้าที่ขายในมินิมาร์ทเพลินเชียว
ได้ลองซื้อนมกล่องสเตอริไลซ์ที่ผลิตในฝรั่งเศสมาชิม คือ อร่อยมากนมเข้มข้น นัวนมหอม ฟินสุดๆ รสชาติดีกว่านมไทยเยอะมากๆค่ะ

 สิ่งที่โชคไม่ดีคือ เหลือบไปเห็น Orange and Pink Grapefruit Juice ซึ่งเป็นน้ำผลไม้เกรปฟรุตสีชมพูอ่อนบรรจุในขวดเพ็ท น่าลิ้มลองมาก พอดื่มไปได้สักครึ่งชม.เอ๊ะ!ทำไมรู้สึกปวดมวนท้องผิดปกติ 
สักพักเริ่มคันตา คันตามตัว ตาทั้ง 2 ข้างบวม ท้องเสียต้องเข้าน้ำกระทันหัน ยา prednisolone 5 mg ที่เตรียมติดตัวไว้หลังจากแพ้อาหารครั้งแรก ดันเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งอยู่ใต้ท้องรถ พี่ๆบนรถบัสก็พากันไถ่ถามอาการและหยิบยื่นยาให้แป้งกินบรรเทาอาการไปก่อน แต่ไม่มียาเฉพาะที่จะหยุดยั้งการแพ้ที่เกิดขึ้นได้

โชคดีว่าคนขับรถโค้ชสามารถแวะจอดให้แป้งเข้าห้องน้ำได้ ตอนที่รีบลงจากรถ ยังมีแก่ใจหันไปมองคนในรถโค้ชอีก อ้าว!ทำไมทุกคนลงจากรถกันหมดเลย อ๋อ!พากันปวดปัสสาวะเหมือนกัน(ส่วนใหญ่อายุ~50-60 ปี)

พอเข้าห้องน้ำเสร็จอาการปวดท้องก็ดีขึ้น แต่ยังมีอาการคันตา คันตามตัวอยู่นิดนึง ถึงโรงแรมที่ตั้งอยู่เมืองเล็กๆทัศนียภาพสวยงาม(ขออภัยจำชื่อไม่ได้เพราะป่วย)ในสวิสเซอร์แลนด์ มีวิวทะเลสาบงดงามแต่ไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนโรแมนติกเลย
 ไกด์ทัวร์เอาอาหารเย็นมาเสิร์ฟให้ถึงห้องพักเพราะแป้งและสามีไม่สามารถลงไปกินอาหารพร้อมลูกทัวร์คนอื่นๆได้

แป้งฝืนกินอาหารได้หน่อยนึงแล้วกินยา prednisolone 5 mg จำนวน 2 เม็ดที่เตรียมมา จากนั้นหลับไปราว 2 ชม.กว่าตื่นมา 4 ทุ่มนิดๆ ด้วยความรู้สึกเบาตัวกว่าตอนกลางวันเยอะมากมาย ตาลดบวมลง ไม่คันตามตัว ดีใจที่อาการแพ้หายเร็วกว่าที่คิด ไม่งั้นทริปที่เหลืออีก 5 วัน 4 คืน ไม่สนุกแน่นอนค่ะ

ผ่านอีกปีไปเที่ยวฮ่องกง เห็นน้ำผลไม้สีชมพูอมม่วงในซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าโอเชี่ยน เทอมินอล(Ocean Terminal)มาดื่มในห้องพักโรงแรมมาร์โคโปโล เกตเวย์ ผ่านไป 2 ชม.เริ่มมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดมวนท้องตามด้วยท้องเสีย 15+ครั้ง แบบว่าชีวิตลำเค็ญ รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะเนื่องจากแร่ธาตุโซเดียมและโปแตสเซียมไหลออกจากร่างกายมากเกินไป ดวงขึ้นคร่อมคอห่านสุดๆ กินยา prednisolone 5 mg+ยาแก้แพ้ก็ไม่ดีขึ้น จนหยุดท้องเสียตอนตีหนึ่ง  สิ้นสุดกระบวนการแพ้อาหารเสียที 

ปีต่อมาไปกินสุกี้ MK.มื้อกลางวัน สั่งหลายอย่างรวมถึงลูกชิ้นปลาแซลมอนที่ทำจากปูอัด(ปูอัดทำเนื้อปลาซูริมิ เติมสีผสมอาหารสีส้ม) กินแค่ 5 ตัว กลับถึงบ้านก็ปวดมวนท้อง ท้องเสีย 10+ตามเคย

ปลายปีกลับสกลนครเพื่อไปเยี่ยมพ่อแม่ ช่วงเย็นเห็นหลานสาววัย 6 ขวบ เขวี้ยงขนมคาปูลิโกะที่เป็นกรวยสีชมพูทิ้ง
แป้งออกแนวเสียดาย หยิบที่เหลือมากินกลัวเสียของ พอเที่ยงคืนจังหวะนรกได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ปวดมวนท้อง ท้องเสีย 10+ครั้ง ไปรพ.ตอนตีหนึ่ง มีแต่พยาบาล เล่าอาการให้ฟังเพื่อขอฉีด dexamethazone แต่เนื่องจากยาชนิดนี้ต้องให้แพทย์สั่งเท่านั้น 
น้องพยาบาลจึงฉีดแค่ CPM เข้าเส้นเลือดพร้อมกับให้ยา CPM แบบเม็ดมาด้วย(แต่แป้งก็ไม่กินตามเคย) เพียงครึ่งชม.อาการปวดมวนท้องก็ดีขึ้นจนเป็นปกติ

แป้งจะมีอาการแพ้อาหารเช่นนี้ทุกปี บางปี 1-2 ครั้ง ล่าสุดประมาณเดือนมี.ค 64 ซื้อโยเกิร์ตยี่ห้อดัชชี่ รส strawberry มากิน 2 ถ้วย 
ถ้วยแรกมีสตอร์เบอรี่เป็นลูกปนในโยเกิร์ต ผ่านไปด้วยดี
วันต่อมา มีสตอร์เบอรี่บดละเอียดในโยเกิร์ต โอ๊ะ!รสชาติแปลกๆไม่อร่อยเหมือนถ้วยที่มีสตอเบอรี่เป็นลูกเลย ผ่านไปไม่ถึงชม.เหมือนหนังที่วนกลับมาฉายอีกรอบ อีหรอบเดิมคือ คันตา คันตามตัว มีผื่นแดง รอบนี้ไม่ปวดมวนท้อง อีกสักพักตาบวมโปนเหมือนปลาทอง เลยไปรพ.แพทย์ฉีดยา Dexamethazone+CPM ให้ แค่ครึ่งชม.อาการคันตามตัว ผื่นแดง+ตาบวมเริ่มยุบ กลับบ้านพักผ่อน

เมื่อกลางปี 64 ไปพักโรงแรมห้าดาว(ใช้สิทธิ์เที่ยวด้วยกัน)แห่งหนึ่งในกทม.ดื่มน้ำฝรั่งไป 2 แก้วตอนมื้อเช้า แค่ครึ่งชม.เริ่มปวดท้อง ท้องบวมแปลกๆ ตามมาด้วยอาการคันตา คันตามตัว มีผื่นแดง อีกสักพักตาบวมโปนเหมือนปลาทองอีกครั้ง 

เพิ่มเติมที่น่ากลัวคือ ช่วงที่ไปโรงพยาบาลมีอาการหายใจติดขัดเหมือนหลอดลมตีบ( อาการแพ้ของระบบทางเดินหายใจได้แก่หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีดหรือหายใจไม่ออก เสียงหายใจดังเสียงฮืด ๆ มักเกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม)

พอไปถึงรพ.แพทย์เวรที่ประจำห้องฉุกเฉินได้ซักถามอาการ แล้วกล่าวประโยคหนึ่งว่า’’คุณแพ้เยอะขนาดนี้น่าจะเลิกดื่มน้ำผลไม้ได้แล้วนะครับ’’ แป้งก็คิดในใจว่า อายุปูนนี้แล้ว ใครจะไปรู้ว่าจะแพ้น้ำฝรั่ง ในเมื่อพักโรงแรมห้าดาวทุกที่ จะเลือกดื่มแต่น้ำฝรั่ง ไม่กล้าดื่มน้ำส้ม(กลัวแพ้เหมือนในอดีต)แต่รอบนี้ทำไมถึงได้แพ้น้ำฝรั่งได้

นึกเหตุผลอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบ(จนได้คำตอบวันนี้ที่เขียนบล็อก) โทรถามพนักงานโรงแรมว่า ใช้น้ำฝรั่งยี่ห้ออะไร ได้รับคำตอบว่า เป็นน้ำผลไม้แกลลอน ไม่มียี่ห้อ 

ผ่านมาจนเริ่มต้นปีใหม่ 2565 แล้ว เวลาพักโรงแรมที่ไหน จะเลือกดื่มแต่น้ำเปล่า ไม่อยากเจอหนังชีวิตอีกแล้ว เป็นเศร้าค่ะ

คิดไปคิดมา อาการแพ้อาหารที่เกิดกับแป้ง นับว่ายังน้อยกว่าคนอื่นมากๆ เพราะแป้งไม่เคยต้องแอดมิทที่โรงพยาบาลสักครั้งเดียว มีบางคนแพ้กุ้ง(แค่น้ำผัดผักที่มีกุ้ง กินแล้วผื่นขึ้น หายใจไม่ออก ต้องแอดมิท) ถั่ว นม ชีส เนย น้ำตาล แป้งสาลี ไข่ วุ้นเส้น เส้นหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว แอพริคอตแห้ง ลูกเกด กุ้งแช่แข็ง เนื้อกุ้งดิบและอื่นๆอีกมากมาย

 เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา แป้งคลิกหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆ สายตาพลันสะดุดกับข้อมูลอะไรบางอย่าง ซึ่งก็คือ sulfite(ซัลไฟต์)

สารก่อภูมิแพ้อีกกลุ่มหนึ่งคือ สารกลุ่มซัลไฟต์ (sulfites) ท่ีผู้บริโภคมองไม่เห็นและอาจไม่รู้จัก แต่เป็นอันตรายต่อผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ 

สารกลุ่มซัลไฟต์ (sulfites) ได้แก่ โซเดียมซัลไฟต์ โพแทสเซียมซัลไฟต์ โซเดียมไบซัลไฟต์ โพแทสเซียมไบซัลไฟต์ โซเดียมเมตาไบซัลไฟต์ โพแทสเซียมเมตาไบซัลไฟต์  สารกลุ่มนี้เมื่อถูกความร้อนจะสลายให้ก๊าซซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ (Sulfur dioxide: SO2) เป็นก๊าซที่มีสภาวะเป็นกรด ไม่ติดไฟ มีกลิ่นฉุนรุนแรง

ซัลไฟต์ถูกเติมเข้าไปในอาหารด้วยเหตุผลหลายประการคือ
1.ลดการเน่าเสียของแบคทีเรีย
2.ชะลอการเกิดสีน้ำตาลของผักผลไม้และอาหารทะเล
3.ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในระหว่างการหมักไวน์
4.การให้ความร้อนของแป้งในพายแช่แข็งและเปลือกพิซซ่า
5. เป็นสารกันเสีย (preservative) ที่มีประสิทธิภาพสูง ราคาถูก ง่ายต่อการใช้งาน ช่วยยับยั้งการเจริญของ ยีสต์ (yeast) รา (mold) และแบคทีเรีย (bacteria)

เมื่อก่อนซัลไฟต์ถูกเติมเข้าไปในอาหารสดในร้านอาหารและร้านขายของชำเพื่อป้องกันการเกิดสีน้ำตาล ซึ่งมีผลทำให้สีของอาหารไม่น่ากิน การเพิ่มขึ้นของปฏิกิริยานี้  ทำให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) สั่งห้ามใช้ซัลไฟต์ในอาหารสดในปีพ. ศ. 2529 โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักกาดหอมสดในสลัดบาร์

FDA กำหนดให้อาหารที่มีความเข้มข้นของ sulfites มากกว่า 10 ส่วนต่อล้าน (ppm) ต้องระบุไว้บนฉลาก
เนื่องจากอาหารที่มีปริมาณ sulfite น้อยกว่า 10ppm ไม่ได้แสดงให้เห็นว่า เป็นสาเหตุของอาการแม้ในคนที่แพ้ sulfites

อาหารที่ประกอบด้วยซัลไฟต์
อาหารที่สลายลงไปในระดับของซัลไฟต์มากกว่า 100ppm ของ sulfites (ถือว่าระดับสูงมาก แนะนำในคนที่มีอาการแพ้ sulfite หลีกเลี่ยง)
    •    ผลไม้อบแห้ง (ไม่รวมลูกเกดและลูกพรุน)
    •    น้ำมะนาวบรรจุขวด (ไม่แช่แข็ง)
    •    ไวน์
    •    กากน้ำตาล
    •    กะหล่ำปลีดอง (และน้ำผลไม้)
    •    น้ำองุ่น (ขาว, ประกายขาว ประกายสีชมพู ประกายแดง)
    •    หัวหอมดอง

สำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทผลไม้อบแห้งที่สามารถบริโภคได้เลย เช่น พุทราจีนแห้ง ผลแอปริคอตแห้ง สังเกตได้จากภายนอก โดยไม่ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสีจัดจ้าน เนื่องจากในกระบวนการผลิตผลไม้อบแห้งต้องผ่านความร้อนสูง มีผลทำให้สีสันและเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์เสียไปด้วย หากพบผลิตภัณฑ์มีสีสันสวยงามมากผิดปกติ  ให้สันนิษฐานว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีการใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์(เป็นสารกลุ่มเดียวกับซัลไฟต์)จำนวนมาก

น้ำตาลปี๊บ,น้ำตาลปึก เมื่อเก็บไว้ข้างนอกตู้เย็นจะมีสีน้ำตาลเข้มขึ้นเรื่อยๆ ถ้ายังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนสีเมื่อเก็บไว้นานๆ ที่อุณหภูมิห้อง แสดงว่ามีการใช้สารฟอกขาวในการผลิต ถึงว่าแป้งซื้อน้ำตาลปี๊บมาจากตลาดสด วางไว้ในครัวนานครึ่งปี น้ำตาลยังคงสีเดิมไม่เข้มขึ้นเลย แบบนี้นี่เอง ดีนะที่แป้งไม่แพ้

ซัลเฟอร์ไดออกไซด์มีประโยชน์สำหรับผู้ผลิตอาหารในการช่วยยืดอายุการเก็บอาหาร และช่วยไม่ให้อาหารเปลี่ยนสีเมื่อผ่านความร้อน แต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค หากผู้ผลิตใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์มากเกินไป 

พิษของสารซัลไฟต์
พิษของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ปริมาณ 8 ส่วนในล้านส่วน จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองของระบบหายใจ

ปริมาณ 20 ส่วนในล้านส่วน จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา จัดเป็นสารก่อภูมิแพ้ (food allergen) ถ้ารับประทานเข้าไปไม่มาก 
ร่างกายขับออกทางปัสสาวะได้ 
แต่ถ้ามากเกินไปจะมีผลไปลดประสิทธิภาพการใช้โปรตีนและไขมันในร่างกายของมนุษย์ มีฤทธิ์ทำลายวิตามิน B1 ด้วย หากซัลเฟอร์ไดออกไซด์สะสมในร่างกายมากๆ อาจทำให้หายใจ ติดขัด ปวดท้อง ท้องร่วง เวียนศีรษะ อาเจียน หมดสติ และอาจตายได้ในผู้ที่แพ้มากหรือเป็นหอบหืด

อาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้แบบฉับพลัน โดยมากมักเกิดภายใน 5-30 นาทีหลังจากได้รับสารก่อภูมิแพ้ หรือไม่เกิน 2 ชั่วโมงหลังได้รับสารก่อภูมิแพ้ชนิดรับประทาน อาจมีความรุนแรงถึงชีวิต บริเวณที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ผิวหนัง (80–90%) ระบบทางเดินหายใจ (70%) ระบบทางเดินอาหาร (30–45%) ระบบหัวใจและหลอดเลือด ( 10–45 %) และระบบประสาทส่วนกลาง (10–15) %) 

อาการแพ้รุนแรงมักมีอาการทั่วร่างกายหรือมีอาการแสดงหลายระบบ ได้แก่      
1. ระบบผิวหนังและเยื่อบุ เช่น อาการคัน ตัวแดง ผื่นลมพิษ ปากบวม หน้าบวม  
2. ระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการหอบเหนื่อย หายใจมีเสียงวี้ด หลอดลมตีบ คัดจมูก      
3. ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น อาการเวียนศีรษะ วูบ หมดสติ ความดันต่ำ      
4. ระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลว

สารซัลไฟต์เป็นสารเคมีที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารหลายประเภท โดยใช้เป็นสารกันเสียเพื่อป้องกันและยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ ใช้เป็นสารกันหืนเพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันในอาหารที่จะทำให้เกิดการเหม็นหืนในผลิตภัณฑ์นั้น และที่สำคัญยังสามารถใช้เป็นสารฟอกขาวอีกด้วย  เนื่องจากมีคุณสมบัติยับยั้งปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงเป็นสีน้ำตาลซึ่งเกิดขึ้นในอาหารหลายประเภท  เช่น  ผัก ผลไม้  น้ำผลไม้ น้ำหวานจากพืช และอาหารทะเล พวกกุ้ง ปู ปลา ปลาหนึก เป็นต้น 
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เองทำให้มีการนำสารนี้มาใช้อย่างกว้างขวางในผลิตอาหารต่างๆเช่น 

1.การผลิตอาหารทะเลแช่แข็ง(หืม!ถึงว่าแป้งแพ้ปูอัด)
2.การผลิตน้ำตาล ทั้งน้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บและน้ำตาลปึก
3.การฟอกสีผลิตภัณฑ์จากแป้ง เช่น แป้งสาลี วุ้นเส้น เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เป็นต้น
4.พืชผักผลไม้ที่ปอกเปลือกและต้องการเก็บไว้นานๆโดยไม่เกิดสีน้ำตาลเข้มขึ้น  เช่น การผลิตมันฝรั่งอบแห้ง กล้วยอบแห้ง บางครั้งมีการนำไปแช่ถั่วงอก หน่อไม้ หรือใส่ในการผลิตผลไม้แห้ง ผลไม้ดองและแช่อิ่ม

 5.การผลิตน้ำผลไม้ อ้าว!เจอคำตอบที่หามาแสนนานว่า ทำไมแป้งถึงได้แพ้น้ำผลไม้ยี่ห้อมาลี แต่ยี่ห้อทิปโก้ไม่เคยแพ้เลยเพราะตอนไปพักที่โรงแรมดุสิตธานี พัทยา ช่วงที่กินอาหารเช้าสายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นพนักงานกำลังง่วนเทน้ำผลไม้กล่องแบบสเตริไลต์ยี่ห้อ ทิปโก้ ใส่โถจ่ายน้ำผลไม้ มิน่าล่ะ! แป้งถึงได้ดื่มน้ำฝรั่งของที่นี่โดยไม่เคยแพ้สักที

6.ใช้เป็นสารฆ่าเชื้อในการผลิตไวน์

โดยปกติถ้าได้รับในปริมาณไม่มากร่างกายคนจะมีเอนไซม์ที่สามารถเปลี่ยนสารซัลไฟต์เป็นสารซัลเฟตซึ่งไม่มีพิษต่อร่างกายและถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ  
อย่างไรก็ตามการได้รับสารกลุ่มนี้ในปริมาณมากก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ อาการความเป็นพิษที่เกิดขึ้นจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

เราอาจเคยได้ยินคำว่า ‘’สารฟอกขาว’’ซึ่งนิยมใช้ในอาหารบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของสารประกอบซัลไฟต์ ซึ่งเป็นชื่อรวมของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และเกลืออนินทรีย์ของกรดซัลฟูรัส ซึ่งแตกตัวให้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ 

สารฟอกขาวบางตัวไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอาหาร เนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างมากต่อสุขภาพ ได้แก่ สารไฮโดรซัลไฟต์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ยาซักมุ้ง” ซึ่งเป็นสารที่นิยมใช้ในการฟอกย้อมผ้า แต่พบว่าผู้ผลิตหลายรายนำมาใช้ในการผลิตอาหารเพื่อฟอกสีอาหารให้ดูน่ากิน

ในทางการแพทย์ ภูมิแพ้เป็นโรคเรื้อรัง แต่ถ้าหากรู้สาเหตุของการแพ้อย่างชัดเจนและพยายามหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่แพ้อาหาร ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจมีสารก่อภูมิแพ้ การเลือกซื้ออาหารต้องอ่านข้อมูลในฉลากอาหาร ว่ามีส่วนประกอบของสารก่อภูมิแพ้หรือไม่ รวมถึงการดูแลร่างกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ย่อมช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นได้(แต่พอแพ้อาหารขึ้นมา สารก่อภูมิแพ้เริ่มโจมตีเซลล์ในร่างกาย ยาเท่านั้นที่จะช่วยหยุดภาวะนี้ได้)

อืม! แสดงว่าคนที่เป็นภูมิแพ้ มีสิทธิ์แพ้อาหารได้ทุกเวลา แต่สังเกตว่า หากแป้งกินอาหารสดใหม่จากธรรมชาติ เช่น ผักและไม้ที่ไม่แปรรูป ไม่เห็นจะแพ้อะไรเลย คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษสินะคะ








ที่มา : 

Sulfites / ซัลไฟต์ - Food Wikihttps://www.foodnetworksolution.com › wiki › word › s...

ซัลไฟต์กับภูมิแพ้https://www.doa.go.th › psco › uploads › 2020/06

ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิแพ้ของซัลไฟต์และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง - adhttps://th.approby.com › ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิแพ้

Allergy - Wikipediahttps://en.wikipedia.org › wiki › Allergy

อาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) SIRIRAJ ONLINE - si.mahidol.ac.thhttps://www.si.mahidol.ac.th › Health_detail

NEWS - ผลไม้แห้งกับโซเดียมซัลไฟด์

สารฟอกขาวหรือสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (Sodium hydrosulfite)

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม