บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

 รู้หรือไม่ว่า อาหารเสริมบางอย่างอาจทำให้ใจสั่นได้

บางครั้งเรารับประทานวิตามินเพื่อหวังผลในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บหรือชะลอวัย
การได้รับวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอจะช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้ดีที่สุด  แต่ภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นหากได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนส่งผลให้ใจสั่น (Palpitation) คือ อาการที่คนไข้รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว เต้นแรง เต้นไม่สม่ำเสมอหรือเต้นๆหยุดๆ

1.โฟเลต(Folate)
โฟเลต(Folate)เรียกอีกอย่างว่า กรดโฟลิกหรือวิตามิน B9 อาจส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ ตามรายงานของสำนักงานอาหารเสริมแห่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (ODS)  ในทางกลับกันโรคโลหิตจางอาจทำให้หัวใจวายได้

 การขาดโฟเลตจะมีอาการดังนี้ คือ
 ความเหนื่อยล้า
 หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็ว
 ไม่มีเรี่ยวแรง
 ปวดศีรษะ
 หงุดหงิด
 
ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดยืนยันว่าขาดโฟเลต  แพทย์สามารถแนะนำอาหารเสริมที่เหมาะสมหรืออาจแนะนำให้เพิ่มแหล่ง
กรดโฟลิกตามธรรมชาติในอาหาร

อาหารที่อุดมด้วยโฟเลต ได้แก่ ตับวัว ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำดาว พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่ว ถั่วลันเตา และถั่วเลนทิล

2. วิตามินบี 12
การขาดวิตามินที่อาจทำให้ใจสั่นคือ วิตามินบี 12  เช่นเดียวกับการขาดโฟเลต การขาดวิตามิน B12 สามารถนำไปสู่ภาวะโลหิตจางและด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้หัวใจวายได้

การขาดวิตามินบี 12 มักจะเกิดขึ้นได้ช้าและมักสับสนกับเงื่อนไขอื่น ๆ ดังนั้นควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสอบว่าขาดสารอาหารนี้หรือไม่  หากมีวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอ แพทย์อาจสั่งวิตามินสำหรับอาการใจสั่นและอาการอื่นๆ ในรูปแบบการฉีดหรือรับประทานอาหารเสริม

สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าได้รับสารอาหารเพียงพอ หากรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นประจำเนื่องจากผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์เป็นแหล่งวิตามินหลักของ B12

แหล่งวิตามิน B12 ที่ดี ได้แก่ อาหารทะเล เช่น หอยและปู เนื้อวัวและตับเนื้อ ยีสต์ ซีเรียล(ผู้ผลิตมักเติมB12เข้าไป)  ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง และเทมเป้ ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีสโยเกิร์ต และนม
 
วิตามินบี 12 มากเกินไปอาจทำให้หัวใจวายได้หรือไม่
ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าการรับประทานวิตามินในปริมาณมากอาจทำให้หัวใจวายได้  อย่างไรก็ตาม อาจนำไปสู่อาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลียหรืออ่อนแรง ชาที่มือและเท้า

3. วิตามินดี
วิตามินดีเป็นอาหารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่อาจทำให้ใจสั่นเมื่อรับประทานในปริมาณมาก

การทบทวนในเดือนมีนาคม 2018 ใน ​Circulation​ พบว่า การมีวิตามินดีส่วนเกินในร่างกายเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับการเต้นของหัวใจห้องบน ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

จากข้อมูลของ Mayo Clinic การรับประทานยา 60,000 หน่วยสากล(IU)ทุกวันในช่วงหลายเดือนสามารถนำไปสู่ความเป็นพิษได้

เพื่อป้องกันปัญหานี้ ผู้ใหญ่ควรปฏิบัติตามแนวทางการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันที่แนะนำให้รับประทานวิตามินดี 600 หน่วยสากล(IU)ต่อวันเท่านั้น ยกเว้นจะได้รับการตรวจเลือดเพื่อเช็คระดับวิตามินเสียก่อน

วิตามินดีที่พบในอาหาร จะมีอยู่ 2 ชนิด นั่นคือ
1.วิตามินดี 2 (Vitamin D2) หรือ เออโกแคลซิเฟอรอล (Ergocalciferol) ซึ่งจะมาจากอาหารที่เป็นพืช เช่น เห็ด นมและซีเรียลที่เติมวิตามินดี
2.วิตามินดี 3 (Vitamin D3) หรือ โคเลแคลซิเฟอรอล (Cholecalciferol) พบในเนื้อสัตว์ เช่น ปลาทะเล ไข่แดง นมที่เติมวิตามินดี

ตับจะเปลี่ยนวิตามินดี 2 ให้กลายเป็น 25-Hydroxyvitamin D2 และวิตามินดี 3 เป็น 25-Hydroxyvitamin D3 ซึ่งเป็นรูปแบบวิตามินดีที่ร่างกายนำไปใช้ได้ จะเรียกสาร 2 ตัวนี้ว่า Calcifediol

วิตามินดี 3 จะเพิ่มระดับ Calcifediol ในเลือดได้มากกว่า วิตามินดี 2 เป็นสองเท่า ดังนั้นหากซื้ออาหารเสริมวิตามินดี ควรเลือกซื้อเป็น วิตามินดี 3 จะดีกว่าคะ

ควรพบแพทย์หากมีสัญญาณของการได้รับวิตามินดีเกินขนาด เช่น
ไม่มีเรี่ยวแรง คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะบ่อย

เมื่อไม่นานมานี้ มีพี่ผู้หญิงอายุน่าจะ 50 ปีกว่า มีประวัติ Hyperthyroidism ปัจจุบันแพทย์สั่งหยุดยากินแล้ว
มาปรึกษาแป้งว่า กิน D3 5000iu +เมลาโทนิน 3 mg อย่างละ 1 เม็ดต่อวัน มาเป็นเวลา 2 เดือนกว่า ไม่พบปัญหาอะไร
 2 วันที่ผ่านมา มีอาการใจสั่น ลองหยุดกินวิตามินทั้ง 2 ตัว ปรากฎว่า ไม่มีอาการใจสั่นเกิดขึ้น

แป้งลองไปค้นข้อมูลว่า วิตามินมีผลทำให้เกิดอาการใจสั่นได้หรือไม่
ผลปรากฏว่าว่า วิตามินดีที่ overdose(เกินขนาด)จะทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นนะคะ

สังกะสี(Zinc)หรือวิตามินซีทำให้หัวใจวายได้หรือไม่

ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการขาดสังกะสี(Zinc)หรือวิตามินซีหรือการใช้ยาเกินขนาดอาจทำให้หัวใจวายได้

อย่างไรก็ตาม การขาดแร่ธาตุสังกะสีอาจทำให้เกิดอาการอื่นๆ เช่น
เด็กจะเจริญเติบโตช้า เบื่ออาหาร การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้การขาดวิตามินซีจะทำให้เกิดอาการเลือดออกตามไรฟัน ความเหนื่อยล้า เหงือกอักเสบ ปวดข้อ แผลหายช้า

แต่สังกะสีหรือวิตามินซีมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องร่วง

4.แคลเซียม

การมีแคลเซียมไหลเวียนในเลือดมากเกินไป เป็นภาวะที่เรียกว่าภาวะแคลเซียมในเลือดสูง บางครั้งอาจทำให้หัวใจวายได้
อย่างไรก็ตาม อาการใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดปกตินั้นพบได้น้อยมาก และเป็นผลมาจากภาวะแคลเซียมในเลือดสูงอย่างรุนแรง

ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงสามารถเกิดขึ้นได้ หากรับประทานวิตามินดีในปริมาณสูงหรืออาหารเสริมแคลเซียมในปริมาณมาก ภาวะนี้มักเกิดจากภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป หรืออาจเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินดี วิตามินเอ หรือแคลเซียมเสริมมากเกินไป รวมทั้งอาจพบได้ในผู้ที่เป็นโรคไต วัณโรค

ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่มีสาเหตุจากโรคมะเร็ง เป็นภาวะคุกคามชีวิตที่พบได้บ่อย ประมาณร้อยละ10-30
มะเร็งท่ีพบบ่อยได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้และมะเร็งที่แพร่กระจายไปกระดูก รวมถึงผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายได้น้อย มีการกดทับที่กระดูกเป็นระยะเวลานาน ทำให้กระดูกปลดปล่อยแคลเซียมเข้าสู่เลือด
โดยผู้ที่มีแคลเซียมในเลือดสูงไม่มากนัก มักจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในรายที่แคลเซียมในเลือดสูงรุนแรง อาจแสดงอาการแตกต่างกันไป เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลีย สับสน หัวใจเต้นผิดจังหวะ ใจสั่น รวมไปถึงกระดูกบางและแตกหักได้ง่าย

เมื่อสงสัยว่ามีภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ให้พบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา  และหากมีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อความสามารถของร่างกายในการประมวลผลแคลเซียม เช่น โรคไต ให้ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
 
หากม่มีข้อกังวลด้านสุขภาพใดๆ ก็ตาม ให้ยึดตามแนวทางการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันที่แนะนำให้บริโภค 1,000 มก. ต่อวัน หรือ 1,200 มก. ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 51 ปี

5. แอล-ไลซีน
L-lysine เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและผลิตคอลลาเจน แต่การได้รับแอล-ไลซีนไม่เพียงพออาจทำให้หัวใจวายทางอ้อม การขาดสารอาหารนี้อาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น หัวใจเต้นผิดปกติ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการต่างๆเช่น  ความเหนื่อยล้า คลื่นไส้ เวียนหัว เบื่ออาหาร ดวงตาแดงก่ำ เด็กเจริญเติบโตช้า

ควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนซึ่งมีไลซีนให้มากๆ อาหารเหล่านี้ได้แก่  เนื้อสัตว์ ปลา ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้และเทมเป้ ถั่วและเนยถั่ว พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่ว ถั่วลันเตา และถั่วเลนทิล

 6.โพแทสเซียม
โพแทสเซียมเป็นอาหารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่อาจทำให้หัวใจวายได้  เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นและอิเล็กโทรไลต์ที่ช่วยให้จังหวะการเต้นของหัวใจทำงานได้ตามปกติ แต่การได้รับสารอาหารไม่เพียงพออาจส่งผลให้เกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวกับหัวใจ เช่น อาการใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ
 
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำที่ควรระวัง ได้แก่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง อัมพาต รู้สึกแสบร้อนหรือเหน็บที่แขนและขา
ในทางกลับกัน การมีโพแทสเซียมมากเกินไปในระบบซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า ภาวะโพแทสเซียมสูง อาจนำไปสู่ปัญหาที่คล้ายคลึงกันได้ ในกรณีที่รุนแรง อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้

โพแทสเซียมมีอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในผลไม้และผักทุกชนิด แต่พบมากในกล้วย กีวี ลูกพรุน อะโวคาโด แคนตาลูป มันฝรั่ง มันเทศ ถั่วต่างๆ ไข่ โยเกิร์ต หรือในอาหารเสริมบางประเภท แต่พบได้น้อยในเนยแข็ง

โพแทสเซียมในเลือดสูงมีได้หลากหลายอาการที่พบได้บ่อย เช่น เหนื่อย คลื่นไส้ เคลื่อนไหวได้ช้าลง หัวใจและชีพจรเต้นผิดจังหวะและเต้นช้า เป็นลมหมดสติ

ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำอย่างรุนแรงและภาวะโพแทสเซียมสูงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการ

7. แมกนีเซียม
การขาดแมกนีเซียมอย่างรุนแรงอาจส่งผลให้เกิดปัญหาหัวใจ เช่นจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติและอาการกระตุกของหลอดเลือด
แมกนีเซียมยังมีบทบาทในการใช้วิตามินดี แคลเซียม และโพแทสเซียมในร่างกาย ทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่อาการใจสั่นได้เช่นเดียวกัน

อาการของการขาดแมกนีเซียม เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ไม่มีเรี่ยวแรง ปวดหัว อาการชาหรือรู้สึกเสียวซ่า กล้ามเนื้อหดตัวหรือเป็นตะคริว

อาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ผักใบเขียว ผักโขม
ผักที่มีแป้ง เช่น มันฝรั่ง อะโวคาโด ถั่ว แซลมอน

สำหรับผู้ใหญ่ ปริมาณแมกนีเซียม 310-420 มิลลิกรัมต่อวัน ถือว่าปลอดภัย

ผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะระบบทางเดินอาหารและเบาหวานชนิดที่ 2
 มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดแมกนีเซียมอย่างรุนแรง หากอยู่ในข้อใดข้อหนึ่งเหล่านี้และมีอาการ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม

แม้ว่าวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดอาจทำให้หัวใจวายได้ นอกเหนือจากอาหารเสริม โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือสารกระตุ้นอื่นๆและนิโคตินในผลิตภัณฑ์ยาสูบสามารถนำไปสู่การเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอหรือเต้นเร็วได้

ยาบางชนิดอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วได้ เช่น ยาสูดพ่นหอบหืด
ยาแก้คัดจมูก ยาที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ยาไทรอยด์
ยาแก้ไอและยาแก้หวัด






ที่มา

www . livestrong . com/article/285943-vitamins-that-cause-heart-palpitations/

แคลเซียมในเลือดผิดปกติ อันตรายกว่าที่คิด | โรงพยาบาลเปาโล - Paolo Hospital

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

14 สัญญาณเตือนว่าอาจมีปัญหาสมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหาร

• มีอาการระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หรือลำไส้แปรปรวน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและท้องผูก • มีปัญหาไมเกรนหรือนอนไม่หลับ ...

บทความยอดนิยม