บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในการประคับประคองสุขภาพเป็นเวลาร่วม 10 ปี แต่เริ่มกินวิตามินเมื่อ 25 ปีที่แล้วนะคะ

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

เป็นทราบกันมานานแล้วว่า ยาแก้ปวด ทำกระเพาะอาหารพัง ไตวาย และรับรู้กันมากขึ้นตั้งแต่ปี 2004 จวบจนปัจจุบัน พบว่า มีผลต่อเส้นเลือดหัวใจ เส้นเลือดสมอง ทำให้เกิดการอุดตัน เกิดหัวใจวายเป็นอัมพฤกษ์ได้

ในปีนั้นเองเป็นที่ฮือฮากันทั่วโลก เมื่อยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID : NonSteroidal Anti-Inflammatory Drug) และออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงโดยยับยั้ง CycloOxygenase-2 (COX-2 Inhibitor) ที่ชื่อว่า Vioxx (Rofecoxib) ถูกพบว่าทำให้เกิดปัญหา มีคนตายจากภาวะหัวใจวายมากมาย จนทำให้บริษัทต้องถอนยาตัวนี้ออกจากท้องตลาด

ยากลุ่มนี้ที่ยังมีใช้อยู่ และที่เป็นพี่น้องกับ Vioxx แม้ว่าจะแพงขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดจากอันตรายต่อไต กระเพาะอาหาร รวมทั้งเส้นเลือด ตัวอย่างคือ Celecoxib (เช่น Celebrex) Etoricoxib (เช่น Arcoxia)

สำหรับกลุ่มยาถูกลงมาอีกหน่อย ที่เรียกว่า NSAID แบบมีฤทธิ์ไม่เจาะจง ซึ่งเป็นยาแก้ปวดอักเสบที่ใช้กันทั่วในเมืองไทย ตั้งแต่ Diclofenac (เช่น Voltaren) Ibuprofen (เช่น Brufen) Naproxen (เช่น Naprosyn) Meloxicam (เช่น Mobic) Piroxicam (เช่น Feldene) Indomethacin (เช่น Indocid) Sulindac (เช่น Clinoril) Phenylbutazone Mefenamic acid (เช่น ponstan) ซึ่งยาเหล่านี้แต่ละตัวมีหลายสิบยี่ห้อหรือหลายชื่อ แล้วแต่ว่าผลิตจากบริษัทใด

อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่มีการเตือนและการให้ความรู้เหล่านี้มาตลอด ดูท่าจะไม่มีใครสะดุ้งสะเทือน ทั้งผู้ใช้และผู้จ่ายยา เพราะพบว่าปริมาณการจำหน่ายยิ่งดุเดือดมหาศาล รวมทั้งที่เอามารวมเป็นยาชุดแก้ปวด แก้เมื่อย แก้ไมเกรน ชุดละ 3-5 เม็ด และหาซื้อได้ทั่วไป

 มีรายงานเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2017  ในวารสารหัวใจของยุโรป ตอกย้ำอันตรายของยาเหล่านี้ โดยพบว่ายาในกลุ่ม NSAID ที่ไม่มีฤทธิ์เจาะจง ทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วย จนถึงกับหยุดไปเฉยๆ โดยทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ร้อยละ 31 จากยา Ibuprofen และความเสี่ยงสูงขึ้นไปถึงร้อยละ 50 สำหรับยา Diclofenac

ก่อนหน้านี้ไม่นานในเดือนกันยายน 2016 มีรายงานลักษณะเดียวกัน ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษว่า ยาแก้ปวดมีผลเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายจากเส้นเลือดหัวใจอุดตัน และหัวใจเต้นผิดปกติเช่นกัน

Etoricoxib (อีโตริคอกซิบ)ชื่อทางการค้าคือ Acorxia เป็นยารักษาอาการปวดและอักเสบจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) ข้ออักเสบจากโรคเก๊าท์ (Gouty Arthritis) ไปจนถึงปวดประจำเดือน (Dysmenorrhoea) และอาจช่วยลดอาการปวดจากโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด (Ankylosing Spondylitis) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)

โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไซโคลออกซีจีเนส (Cyclooxygenase: COX) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งก่อให้เกิดอาการปวดและอักเสบ ส่งผลให้อาการปวดและอักเสบที่เกิดขึ้นบรรเทาลงได้

กลางปีที่แล้ว แป้งออกกำลังกายในฟิตเนสโดยเล่นเครื่อง Lat pull down แต่ห้าวเป้งใช้น้ำหนัก 30 ปอนด์(หากเล่นประจำจะไม่เกิดการบาดเจ็บที่ไหล่และหลัง แต่แป้งหยุดเล่นไปเป็น 3 อาทิตย์)วันถัดมาเจ็บไหล่ซ้ายเป็นๆหายๆ  พออายุมากขึ้น เผลอพลั้งพลาดทำอะไรนิดๆหน่อยๆ จะเจ็บกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นยาวนานเชียวคะ

ตัดสินใจกินยาคลายกล้ามเนื้อ Norgesic หลังอาหารเช้า-เย็น 2 วัน อาการไม่ทุเลา ปรึกษาเภสัชกรเลยขยับมาเป็นยา NSAID ชื่อ Acorxia มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและลดอาการปวด โดส 90 mg วันละ 1 ครั้ง(1 แผงมี 5 เม็ด)แค่วันที่ 2 อาการปวดทุเลาลง 50% ครบ 5 วัน หายปวดไหล่เป็นปลิดทิ้ง
อีก 5 วันต่อมา เผลอหิ้วของหนักน่าจะ 6-7 โล  คุณพระ!! ปวดไหล่ด้านเดิมอีกล่ะ

แป้งเริ่มกินยา acorxia ใหม่ พอวันที่ 3 ไม่ปวดไหล่ซ้ายล่ะ แต่เวลากัดขนมปังปิ้ง(อบขนมปังกินเอง)รู้สึกเจ็บเพดานปาก ยิ่งตอนที่แผ่นขนมปังที่กรอบชนด้านในขอบปาก จะเจ็บเหมือนคนเป็นร้อนใน(ชั่วชีวิตแป้งไม่เคยเป็นร้อนใน ส่วนสามีเป็นประจำ(เครียด)แต่ปัจจุบัน ไม่เป็นมาหลายปีตั้งแต่กินวิตามิน) เคี้ยวข้าวก็เจ็บไปหมด เอะใจ!!เลยไปหาข้อมูลข้างเคียงของยาตัวนี้   หนึ่งในผลข้างเคียงคือ แผลในปาก นั่นเอง

หมายเหตุ
Arcoxia ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกา

เดือนเมษายน 2007 บริษัทผู้ผลิตยา Arcoxia ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA เหตุผลที่ไม่ได้รับการอนุมัติ มีสาเหตุมาจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองและคำถามเกี่ยวกับอัตราส่วนความเสี่ยงต่อประโยชน์ที่ได้รับในผู้ป่วยที่รับประทานยา Arcoxia

แต่ทว่าบริษัท Merck(เมอร์ค)ซึ่งเป็นผู้ผลิตยายังคงทำการตลาด Arcoxia นอกสหรัฐอเมริกาต่อไป รวม 60 กว่าประเทศทั่วโลก
 และผ่านอ.ย.ในไทยเรียบร้อย

ปัจจุบันไม่ว่าจะปวดกล้ามเนื้อจากออกกำลังกายหรือยกของหนัก
แป้งจะนวดคลายกล้ามเนื้อด้วยยาทาเคาน์เตอร์เพนหรือ Ammeltz yoko yoko แค่นั้น ไม่กล้ากินยา กลัวผลข้างเคียงชะมัดยาดคะ

อีกเรื่องคือ ผลข้างเคียงจากยาลดไขมันกลุ่มสแตติน เช่น Simvastatin เพื่อนผู้หญิงแป้ง 2 คน มีค่าไขมันคอเลสเตอรอล 220-250mg/dl LDL 160 mg/dl

หมอจ่ายยา simvastatin 10 mg มาให้วันละ 1 เม็ด กินยาไปเพียง 2 สัปดาห์ เริ่มมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีตะคริวที่ท้อง ปวดน่องทั้งๆที่ไม่ได้เดินเหินมาก ปวดร้าวแขน แป้งถามกลับไปว่า ‘’กินยาลดไขมันใช่มั๊ย กรุณากลับไปพบแพทย์ แจ้งผลข้างเคียงของยา
และขอเปลี่ยนยาตัวใหม่เด้อ ‘’พอเจอหน้ากันอีกที เพื่อนบอกว่า ‘’หมอเปลี่ยนยาให้ล่ะ ไม่ปวดกล้ามเนื้อแขนและน่อง ตะคริวที่ท้องก็หายไป ‘‘

เล่าให้ฟังอีกเรื่องคือ มีรุ่นน้องอายุน่าจะ 35 ปี ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน ก่อนหน้านี้แข็งแรงดี ปีนี้น้ำหนักขึ้น 7-8 กก.ทำงานบ้านทุกอย่าง ไม่ออกกำลังกาย ชอบกินของมันของทอด อาหารรสเผ็ดจัด ไปพบแพทย์ที่คลีนิคแถวบ้าน ได้ยาลดการหลั่งกรดมาตัวหนึ่ง(ไม่ทราบชื่อยาเพราะคลีนิคมักไม่เขียนชื่อยาให้คนไข้ เกรงว่าผู้ป่วยจะไปซื้อยากินเอง หมอเป็นห่วง) อาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าพอเข้าวันที่ 3 กลับคลื่นไส้ อาเจียน กินอะไรไม่ได้เลย นอกจากข้าวต้ม นอนซมทั้งวันเพราะอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียนจนไม่มีเรี่ยวแรงลุกเดิน

ญาติหอบหิ้วพาไปหาหมอที่คลีนิคเดิม แจ้งว่า แพ้ยาตัวนี้
ซึ่งหมอจ่ายยามาแค่ตัวเดียวที่เหลือเป็น motilium ซึ่งเป็นยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยเคยกิน motilium ไม่มีผลข้างเคียงอะไร
หมอกล่าวว่า’’ไม่น่าใช่ เป็นไปไม่ได้หรอก’’ ว่าแล้วก็จ่ายยาลึกลับตัวนั้นเยอะกว่าเดิมอีกจาก 1 สัปดาห์กลายเป็น 1 เดือน อ่านถึงบรรทัดนี้ คิดว่า เราควรฝืนใจกินยาที่มีผลข้างเคียง(คลื่นไส้ อาเจียนจนไม่มีแรง)ตามแพทย์สั่ง หรือ ควรจะไปหาหมอใหม่ดีคะ

ปล.คุณหมอเจ้าของคลีนิค รับรักษาโรคทั่วไป ไม่ได้จบแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร









ที่มา :

F.D.A. Rejects Merck's New Pain MedicationThe New York Timeshttps://www.nytimes.com › 2007/04/13

เพจเฟซบุ๊ค นพ. ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา

FDA Advisory Committee Rejects Merck's ArcoxiaFDAnewshttps://www.fdanews.com › articles › 91...

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

หัวข้อ โปรไบโอติกส์(Probiotics)มีดีต่อลำไส้อย่างไร

หัวข้อ โปรไบโอติกส์(Probiotics)มีดีต่อลำไส้อย่างไร

อาหารหมักดองมีจุลินทรีย์ชนิดดีที่เรียกว่า โปรไบโอติกส์ (probiotics) ที่พบได้บ่อยคือ แบคทีเรียกรดแลกติก (lactic acid bacteria) หรือ แลกโตบาซิลลัส (lactobacillus) ความแข็งแกร่งของแบคทีเรียชนิดนี้ คือจะกินน้ำตาลเป็นอาหาร แล้วเปลี่ยนน้ำตาลในสภาวะไร้อากาศหรือออกซิเจนต่ำให้กลายเป็นกรดแลกติก เมื่อค่าพีเอชในอาหารลดลง ทำให้จุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ เติบโตต่อไปไม่ได้ นอกจากแลกโตบาซิลลัสแต่เพียงผู้เดียว

การหมักดองจึงเป็นหนึ่งในวิธีการถนอมอาหารที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยแต่ละชนชาติต่างก็มีอาหารหมักดองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีเมนูเด่นจากทั่วโลกที่อยากชวนไปทำความรู้จักด้วยกันดังนี้

1.เริ่มจากเพื่อนบ้านในทวีปเอเชียอย่างเกาหลีใต้ที่เผยแพร่ความอร่อยของผักดองเกาหลีอย่าง กิมจิ (Kimchi) จนได้รับความนิยมมากมายจากนักชิมทั่วโลก เครื่องเคียงรสเผ็ด เปรี้ยว เค็ม ที่ขาดไม่ได้ในทุกมื้ออาหารของชาวเกาหลี ทำจากพืชตระกูลผักกาดหมักกับพริก เกลือ น้ำตาล ขิง นอกจากนี้ยังได้รับยกย่องว่าเป็น 1 ใน 5 อาหารที่ดีต่อสุขภาพของโลก และมีสรรพคุณช่วยชะลอความชราอีกด้วย 

กิมจิเป็นเครื่องเคียงของอาหารเกาหลีที่ทำจากผักหมัก ซึ่งหลักๆ แล้วจะใช้ผักกาดขาวและหัวไชเท้า ปรุงรสด้วยเครื่องเทศต่างๆ ในระหว่างการหมัก แบคทีเรียกรดแลคติก รวมทั้งแลคโตบาซิลลัส จะสลายน้ำตาลในผัก ส่งผลให้อาหารมีรสเปรี้ยวและอุดมด้วยโปรไบโอติกส์

2.สำหรับแดนปลาดิบคงต้องยกให้ มิโซะ (Miso) เต้าเจี้ยวญี่ปุ่นรสชาติเค็มที่หมักจากถั่วเหลือง นิยมนำมาทำซุป และ นัตโตะ (Natto) ถั่วหมักญี่ปุ่น ทำจากถั่วเหลืองหมักเชื้อแบคทีเรีย มีกลิ่นค่อนข้างเฉพาะตัว

3.ส่วนแดนมังกรก็ไม่น้อยหน้า คอมบุชะหรือคอมบุฉะ (Kombucha) ชาหมักที่มีอยู่คู่ประเทศจีนมายาวนานกว่า 2,000 ปี ซึ่งเกิดจากการนำชาเขียวหรือชาดำไปหมักกับน้ำตาล หัวเชื้อแบคทีเรียและยีสต์กลับมาได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการกำจัดจุลินทรีย์และเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 

4.ขยับไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เทมเป้ (Tempeh) คือถั่วเหลืองหมักเมนูโปรดของชาวอินโดนีเซียและมาเลเซีย นิยมกินแทนเนื้อสัตว์ ช่วยลดไขมันและลดอาการท้องอืด

5.ข้ามมาที่แถบยุโรปกันบ้าง ซาวร์เคราต์ (Sauerkraut) หรือกะหล่ำปลีดองรสเปรี้ยว เป็นเครื่องเคียงที่ขาดไม่ได้เมื่อกินอาหารจานเนื้อและไส้กรอกของชาวเยอรมัน ไม่เพียงช่วยแก้เลี่ยน แต่ยังอุดมไปด้วยกากใยอาหารและช่วยปรับสมดุลให้ระบบย่อยอาหารอีกด้วย 

6.ส่วนชาวยุโรปตะวันออกนั้นโปรดปรานคีเฟอร์ (Kefir) นมหมักรสชาติคล้ายโยเกิร์ตแต่มีความเข้มข้นมากกว่าและมีสารอาหารสูงมากจนกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์อาหารสุขภาพของยุคนี้ 

7.ส่วนยุโรปฝั่งตะวันตกก็ไม่ยอมแพ้ ซาวร์โด (Sourdough)คือขนมปังเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ขนมปังที่มีประวัติความเป็นมาหลายพันปีใช้วิธีหมักกับยีสต์ธรรมชาติที่เรียกว่า ซาวร์โดสตาร์เตอร์ (Sourdough Starter) ซึ่งเป็นแป้งหมักที่มียีสต์และแบคทีเรียธรรมชาติ รสชาติขนมปังจะออกเปรี้ยวนิดๆ เนื้อนุ่มเหนียว เปลือกขนมปังแข็ง 

อาหารหมักดองที่ผลิตโดยอุตสาหกรรมซึ่งเน้นผลิตปริมาณมาก มีความเสี่ยงต่อการใส่สารเร่งหมัก สารปรุงรส สารกันบูด สีผสมอาหาร สารเพิ่มความเป็นกรด เช่น กรดซิตริก กรดแอซีติก และมักเป็นการหมักดองด้วยจุลินทรีย์ที่ตายแล้วเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ 

นอกจากการสร้างสมดุลระหว่างแบคทีเรียที่ดีและไม่ดีแล้ว โปรไบโอติกส์ยังให้ประโยชน์หลายประการแก่ผู้สูงอายุ ช่วยลดความถี่และระยะเวลาของอาการท้องร่วง บางสายพันธุ์สามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจได้(ทดลองในสัตว์) อีกทั้งสามารถช่วยบรรเทาอาการแพ้แลคโตส (การไม่สามารถย่อยน้ําตาลในผลิตภัณฑ์นม มีผลทำให้ท้องอืด)

นักวิจัยเน้นว่า มีผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกส์ที่ดีและไม่ได้ผลในท้องตลาด ประชาชนควรเลือกอาหารเสริมอย่างระมัดระวัง ครึ่งหนึ่งของแบรนด์ทั้งหมดที่มีในสหราชอาณาจักรไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่กล่าวอ้าง ซึ่งผลิตภัณฑ์จําเป็นต้องมีแบคทีเรียที่มีชีวิตสายพันธุ์ที่ถูกต้อง เช่น bifidobacteria หรือ lactobacilli บริษัทผู้ผลิตต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่า แต่ละผลิตภัณฑ์มีแบคทีเรีย 10 ล้านตัวขึ้นไป 
กฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปกําลังบังคับให้ผู้ผลิตเปิดเผยข้อมูลนี้

หัวหน้านักวิจัย Glenn Gibson มหาวิทยาลัย Reading สหราชอาณาจักร กล่าวว่า โปรไบโอติกส์ช่วยปกป้องผู้สูงอายุจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากแบคทีเรียที่ทําให้เกิดอาหารเป็นพิษ เช่น E.coli โดยมีผลในเชิงบวกต่อสภาพลําไส้ เช่น อาการท้องร่วง IBS และอาการท้องร่วงที่เกี่ยวข้องกับยาปฏิชีวนะ

ยาปฏิชีวนะจะมีผลทำให้ระดับของแบคทีเรียทุกสายพันธุ์ในลําไส้ลดลง ไม่ว่าใครก็ตามที่รับประทานยาปฏิชีวนะ จะได้รับประโยชน์จากการรับประทานอาหารเสริมโปรไบโอติกส์

ประโยชน์ของโพรไบโอติกส์
1.ปรับสมดุลแบคทีเรียและต่อสู้กับแบคทีเรียตัวร้ายที่รุกรานเข้ามาในลำไส้
2.ป้องกันอาการท้องเสียที่เกิดจากผลข้างเคียงของการรับประทานยาปฎิชีวนะ
3.ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
4. โปรไบโอติกส์สามารถช่วยลดความผิดปกติของระบบย่อยอาหารบางอย่างได้ เช่น โรคลําไส้อักเสบ รวมถึงอาการลําไส้ใหญ่บวมเป็นแผล
5. โปรไบโอติกส์อาจช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน

งานวิจัยที่เก่ากว่าชี้ให้เห็นว่า การรับประทานโปรไบโอติกส์ช่วยลดโอกาสและระยะเวลาของการติดเชื้อทางเดินหายใจ อย่างไรก็ตาม คุณภาพของหลักฐานอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ํา

โปรไบโอติกส์ Lactobacillus crispatus แสดงให้เห็นว่า
ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้หญิงได้ 50% 

จําเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อค้นหาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างโปรไบโอติกส์และระบบภูมิคุ้มกัน

6.เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์บุผนังที่ช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียที่ไม่ดีเข้าสู่กระแสเลือด

แป้งเคยกินอาหารเสริมโปรไบโอติกส์ที่ผลิตในอเมริกา 5 พันล้านตัวต่อแคปซูล วันรุ่งขึ้นคือ ท้องอืดบวมเชียวคะ ลองฝืนกินต่ออีก 4-5 วัน โอ๊ย!! ไม่ไหว อะไรจะอืดขนาดนั้น เลยต้องยกให้สามีกินแทน มีผลทำให้ท้องอืดเหมือนกัน เลยส่งต่อให้หลานสาว ซึ่งน้องกินได้ ไม่มีผลข้างเคียงอะไรคะ

เอาจริงๆจากที่แป้งและสามีลองกินกิมจิ(ทำเอง)ติดต่อกันเกือบทุกวันเป็นเวลา 3 เดือนต่อปี(พอกินบ่อยๆก็เบื่อหน่าย พาลไม่อยากกินเลยกลายเป็นว่า ทำกิมจิปีละครั้งก็เกินพอ)พบว่า ช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อเปรียบได้กับระบบย่อยอาหารดีขึ้น 

สังเกตจากเวลาที่สามีกินขนมปัง(ทำเอง)+หมูหยอง พออิ่มเอมเท่านั้นแหละ ท้องอืด(สาเหตุคือ ขนมปังมีกลูเต็น เมื่อรับประทานกลูเตนแล้ว ร่างกายจะเกิดการตอบสนองที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณเยื้อบุลำไส้เล็กทำให้ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่ แต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกันไป เช่น มีลมในท้องเยอะ ผายลม คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง)
ต้องเรียกหายา Motilium เพื่อช่วยลดอาการท้องอืดทุกครั้ง แต่พอกินกิมจิถ้วยเล็กๆตามเข้าไป ปรากฏว่า ท้องไม่อืด ไม่ต้องกินยา Motilium อีกต่อไปคะ

ความเห็นส่วนตัว 
การกินกิมจิไม่ช่วยเรื่องท้องผูกได้ดีเทียบเท่ากินผักสดหรือผลไม้ที่มีกากใยสูงเพราะผักสดมีกากใยเยอะแถมชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำที่แทรกอยู่ในใบผัก หากพูดถึงระบบขับถ่าย ผักสดชนะเลิศคะ












ที่มา 

ทำความรู้จักอาหารหมักดองGourmet & Cuisinehttps://www.gourmetandcuisine.com › stories › detail

8 Health Benefits of ProbioticsHealthlinehttps://www.healthline.com › nutrition

Lactic acid bacteria / แบคทีเรียผลิตกรดแล็กทิก - Food WikiFood Network Solutionhttps://www.foodnetworksolution.com › wiki › word › la...

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567

เรื่องราวของผู้ชายล้วนๆ

 
ผู้ชายทุกคนมีนาฬิกาชีวภาพสำหรับความเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันเดือนปี เข็มนาทีที่เคลื่อนไปอย่างช้าๆในแต่ละชั่วโมง จะมีการเปลี่ยนไปของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย คนที่ดูแลสุขภาพตัวเองดีอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างช้าๆและค่อยเป็นค่อยไป

ความเสื่อมแห่งวัยจะเริ่มต้นเมื่ออายุ 25-30 ปีขึ้นไป
อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดโดยเฉลี่ยของมนุษย์จะลดลงประมาณหนึ่งจังหวะต่อนาทีต่อปี และความสามารถของหัวใจในการสูบฉีดเลือดสูงสุดจะลดลง 5-10 เปอร์เซ็นต์ต่อ10 ปี นั่นเป็นสาเหตุที่หัวใจทำงานได้ดีในวัย 25 ปี โดยมีอัตราสูบฉีดเลือดได้~2.4 ลิตรต่อนาที แต่หัวใจผู้ที่อายุ 65 ปีไม่สามารถสูบฉีดเกิน 1.25 ลิตรต่อนาที และหัวใจผู้ที่อายุ 80 ปี มีอัตราการสูบฉีดเลือดเพียงประมาณ 1 ลิตรเท่านั้น

ด้วยเหตุผลนี้ ในชีวิตประจำวันของผู้ชายที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว จะมีความสามารถในการออกกำลังกายแบบแอโรบิกลดลง  บางครั้งการทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน อาจเกิดความเหนื่อยล้าและหายใจไม่ทัน แล้วคนที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ฯลฯ จะมีสภาพเป็นเช่นไร ไม่อยากจะคิดเลยนะคะ

พอเข้าสู่วัยกลางคน หลอดเลือดของผู้ชายจะเริ่มแข็งตัวและความดันโลหิตจะเริ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันการไหลเวียนเลือดจะเปลี่ยนไป โดยมีความหนืดมากขึ้นและสูบฉีดทั่วร่างกายได้ยากขึ้น แถมจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีออกซิเจนจะลดลงไปด้วย

ส่วนใหญ่เริ่มน้ำหนักเพิ่มขึ้นในช่วงวัยกลางคน โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1.4-1.8 โลต่อปี ผู้ชายจะเริ่มสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเมื่ออายุ 40 ปี ดังนั้นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจึงกลายเป็นไขมันทั้งหมด ไขมันส่วนเกินนี้ส่งผลให้คอเลสเตอรอลชนิด LDL (ไม่ดี) เพิ่มขึ้น และคอเลสเตอรอล HDL (ดี) ลดลง

เมื่ออัตราการเผาผลาญลดลง ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6 จุดต่อ 10 ปี ทำให้โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดขึ้นอย่างน่าวิตกในผู้สูงอายุ การสูญเสียกล้ามเนื้อยังคงดำเนินต่อไป ในที่สุดกล้ามเนื้อของมนุษย์จะลดลงถึง 50% ซึ่งก่อให้เกิดความอ่อนแอและความพิการในที่สุด

โรคเบาหวานมีอยู่ 4 ชนิด ประมาณ 95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus) ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะดื้อฮอร์โมนอินซูลินร่วมกับการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนลดลง ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน

ในขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจะเริ่มแข็งและตึง แม้ว่าผู้ชายจะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกบางน้อยกว่าผู้หญิง แต่จะสูญเสียแคลเซียมในกระดูกเมื่ออายุมากขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อกระดูกหัก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มวลกล้ามเนื้อและความหนาแน่นของกระดูกลดลงคือ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน(testosterone )ในเพศชายลดลง ซึ่งลดลงประมาณ 1% ต่อปี

หลังจากอายุ 40 ปี ผู้ชายส่วนใหญ่ยังคงมีระดับฮอร์โมน
เทสโทสเตอโรนตามปกติและมีความสามารถในการสืบพันธุ์ตลอดชีวิต แต่สมรรถภาพทางเพศเริ่มลดลงแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงระบบประสาทจะเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เช่น ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง การประสานงานแย่ลง ความจำเสื่อมมักจะเกิดขึ้นและนอนหลับได้น้อยกว่าวัยหนุ่ม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นกับผู้ชายที่มีสุขภาพดี แต่ในผู้ชายที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว จะเริ่มแก่ชราอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัดเจน

มีงานวิจัยศึกษาปีพ.ศ. 2509 ในโรงเรียนแพทย์ตะวันตกเฉียงใต้ของมหาวิทยาลัยเท็กซัส ผู้ชายอายุ 20 ปี มีสุขภาพดีจำนวน 5 คน ใช้เวลา 3 สัปดาห์ในวันหยุดฤดูร้อนนอนอยู่บนเตียง แต่เมื่อหนุ่มๆเหล่านั้นลุกจากเตียงหลังสิ้นสุดการทดลอง นักวิจัยพบการเปลี่ยนแปลงร้ายแรงซึ่งรวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักเร็วขึ้น ความดันโลหิตซิสโตลิกที่สูงขึ้น อัตราการสูบฉีดเลือดสูงสุดของหัวใจลดลง ไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง

ในเวลาเพียงสามสัปดาห์ เด็กอายุ 20 ปีเหล่านี้ได้พัฒนาลักษณะทางสรีรวิทยาหลายอย่างเทียบเท่าผู้ชายที่อายุประมาณ 40 ปี
โชคดีที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น แต่ให้ผู้ชายกลุ่มเดิมเข้าร่วมโปรแกรมการออกกำลังกาย 8 สัปดาห์ พบว่าการออกกำลังกายช่วยฟื้นฟูความเสื่อมที่เกิดจากการนอนบนเตียงนานๆได้

ผู้ชายอายุน้อยๆสุขภาพปกติยังมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากขนาดนี้ แล้วผู้ป่วยติดเตียงจะเป็นเช่นไร มิน่าล่ะ!!
เวลาแป้งไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่ผ่าตัดอายุ 80 กว่าปีที่รพ.เอกชนทีไร จะเห็นเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์มาสอนการกายภาพบำบัดคนไข้อยู่เสมอ

ไม่มีใครสามารถหยุดนาฬิกาชีวภาพได้ แต่มนุษย์ทุกคนสามารถเดินให้ช้าลงได้ การออกกำลังกายไม่ใช่วิถีของความเยาว์วัย แต่เป็นขุมพลังแห่งความมีชีวิตชีวา

การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถป้องกันปัญหาร้ายแรงได้ อย่าฝืนออกกำลังกายหากนอนดึกพักผ่อนน้อย มีไข้หรือเจ็บป่วย ค่อยๆ ดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยยืดอายุขัย และลดอัตราการเกิดโรคและความทุพพลภาพในวัยชรา

อย่าละเลยการฟังเสียงของร่างกาย ไม่มีใครดูแลเราได้ดีเท่าตัวเอง
อย่าคาดหวังฝากชีวิตไว้กับโรงพยาบาล(ข้อมูลจำนวนแพทย์ล่าสุด ณ เม.ย.66 รวม 68,725 คน อยู่ในกทม. 3.2 หมื่นคน ตจว.3.4 หมื่นคนต่อประชากร 66 กว่าล้านคน)ควรเรียนรู้สัญญาณเตือนของโรคหัวใจรวมถึงอาการเจ็บหน้าอกหรือความดันโลหิตสูง อาการหายใจไม่สะดวก  เหนื่อยล้าหรือเหงื่อออก ชีพจรเต้นผิดปกติ อาการวิงเวียนศีรษะ หรือแม้แต่อาหารไม่ย่อย กรดไหลย้อนที่อาการคล้ายคลึงกับโรคหัวใจ รวมถึงความเจ็บปวดที่บ่งบอกถึงการอักเสบเรื้อรังซึ่งอนุมูลอิสระเป็นตัวกระตุ้นลำดับต้นๆ




ที่มา

Exercise and aging: Can you walk away from Father TimeHarvard Universityhttps://www.health.harvard.edu › exercis...

อาการเตือน โรคเบาหวานชนิดที่ 2โรงพยาบาลศิครินทร์https://www.sikarin.com › health › อาการเตือน-โรคเบาห...

วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2567

รีวิวสุขภาพย้อนหลังในปี 2566 ที่ผ่านมา

 รีวิวสุขภาพย้อนหลังในปี 2566 ที่ผ่านมา

เดือน ก.พ 66 แป้งกลับบ้านต่างจังหวัด มีเวลาว่างจึงไปนวดแผนไทยสังกัดโรงพยาบาลสกลนคร ซึ่งปกติไม่เคยนวดแบบนี้ ผลคือ เจ็บไหล่ซ้ายเรื้อรังนาน 2 เดือน กินยาคลายกล้ามเนื้อ norgesic ก็รู้สึกดีขึ้นช่วงที่กินยา พอหยุดกินก็เจ็บไหล่เหมือนเดิม กินยาอยู่ 2 วันเลยเลิกกินดีกว่าเพราะรู้สึกว่า มีผลข้างเคียงจากยาคือ ง่วงนอน ปากแห้งและตาแห้ง

ยิ่งทวีความเจ็บปวดมากขึ้นเวลาที่ออกแรงขัดหม้อ+กะทะสแตนเลส ใช้วิธีนวดยาเคาน์เตอร์เพน+ทายาแอมเม็ลทซ์ โยโกะ โยโกะเป็รระยะๆ(ยาตัวนี้ผลิตในญี่ปุ่น ดีนะคะ ไม่ต้องนวด แค่กลิ้งให้น้ำยาไหลออกมาบริเวณที่รู้สึกปวด หากอาการปวดไม่มาก วันรุ่งขึ้นหายคะ)

เดือนพ.ค 66 ดูเหมือนว่า อาการปวดไหล่ซ้ายเรื้อรังจะดีขึ้น จนเกือบหายสนิท แต่เวลาที่นั่งพิงหัวเตียงราว 1 ชม.ก่อนนอนเพื่อท่องโลกอินเตอร์เน็ต จะรู้สึกตึงๆที่ไหล่ซ้ายนิดๆ ก็ทายาวนไป ตื่นเช้ามาอาการตึงหายไป สาบานว่า จะไม่เฉียดนวดแผนไทยอีกแล้ว
เคยเล่าให้เพื่อนสนิทที่ชื่นชอบออกกำลังกายเป็นทุนเดิม จนมีกล้ามแขนนิดๆเพื่อนบอกว่า เค้านวดแผนไทยเป็นประจำ รู้สึกดีเบาสบาย คลายเมื่อยล้า แต่แป้งผู้ซึ่งแทบไม่ออกกำลังกายตั้งแต่ช่วงโควิด พอมาเจอการกดกล้ามเนื้อแรงๆ เลยเกิดการบาดเจ็บเรื้อรัง

เดือนมิ.ย 66 เริ่มรู้สึกว่า เวลายืนทำกับข้าว+ล้างจาน+ล้าง
อุปกรณ์เบเกอรี่ร่วมชั่วโมง จะปวดร้าวเอวและปวดหลังมากขึ้น
ซึ่งอาการแบบนี้เป็นมาตลอด 3 ปีกว่าๆ แก้ไขโดยใส่รองเท้ากีฬาเพื่อซัพพอร์ตเท้า ซึ่งจะช่วยได้เยอะกว่าใส่รองเท้าสลิปเปอร์คะ

เดือนก.ค 66 แป้งเริ่มคิดว่า การยืนนานๆทำให้ปวดเมื่อยหลัง นี่คืออาการปกติของผู้หญิงวัย 50 ปีมั๊ยนะ ความจริงร่างกายแป้งมีพลังงานเยอะมาก สามารถทำงานบ้านติดต่อกันโดยไม่ต้องนั่งพักราว 15 นาทีทุกชั่วโมงเหมือนในอดีต แต่ทำไมยังรู้สึกปวดเมื่อยบั้นเอวอยู่

อืม!! กล้ามเนื้อเราคงไม่แข็งแรงเพราะขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ระบบการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกายจัดว่าดีเยี่ยม(ไม่เหนื่อยง่าย ซึ่งคนละเรื่องกับการปวดหลังเวลายืนท่าเดิมนานๆ)ซึ่งเป็นผลจากการกินวิตามินต่อเนื่องมาตลอด 10 ปี

เดือนส.ค 66 เริ่มเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายจริงจังเพราะอยากมีกล้ามเนื้อสะโพกและต้นขาที่แข็งแรง โดยการถีบจักรยานตามด้วยเล่นเครื่อง leg press+ Lat pull down  เล่นอยู่ 4 เดือน เปลี่ยนไปเดินลู่วิ่ง+เล่น stepper machine ได้ 3 สัปดาห์ ซึ่งเครื่องเล่นอันสุดท้ายร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจน กล่าวคือ ยืนเตรียมทำกับข้าว ทำงานครัวร่วมชม.โดยไม่ต้องใส่รองเท้ากีฬาเพื่อซัพพอร์ตเท้า ใส่แค่รองเท้าสลิปเปอร์ก็ไม่รู้สึกปวดหลังเหมือนที่ผ่านๆมา อ๊ะ!!กล้ามเนื้อขาแข็งแรงเป็นแบบนี้นี่เอง

ตอนที่เล่นฟิตเนส แป้งจะเจอน้องผู้ชายมีกล้ามนิดๆ เล่นน้ำหนักที เป็น 100 กิโล แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่า น้องมาเล่นคือ เสียงหายใจครืดคราด จุดนี้ไม่แน่ใจว่า เป็นภูมิแพ้ กรดไหลย้อนหรือเป็นผลข้างเคียงจากการดื่มเวย์

มีน้องผู้หญิงร่างบาง อายุน่าจะ 40 นิดๆ แป้งเจอทีไร จะได้ยินเสียงหายใจเหนื่อยหอบนำมาก่อน(น้องเข้าห้องฟิตเนสก่อนแป้งราว 1 ชม.) ช่วงที่เล่นเครื่อง Lat pull down เสร็จ(น้ำหนัก 20 กิโล) เสียงหอบชัดเจน ซึ่งต่างจากแป้งที่เป็นโรคโลหิตจาง+พาหะธาลัสซีเมียโดยกำเนิด เล่นเครื่องเดียวกัน น้ำหนัก 30 กิโล ไม่มีอาการเหนื่อยหอบสักนิด เรียกได้ว่าความเหนื่อยอยู่หนใด สิ่งนี้เป็นผลจากการกินวิตามินเพิ่มพลังงานก่อนออกกำลังกาย

เมื่อก่อนเวลาที่เรานั่งพับเพียบเพื่อทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น นั่งปอกเปลือกผักคะน้านั่นนี่ราวครึ่งชม.พอลุกขึ้นต้องร้องโอ๊ย!ด้วยความเจ็บปวดเพราะเหน็บชากินตลอด ยังเคยคิดว่า เราเริ่มแก่ชราแล้วจริงๆ แต่พอเล่นเครื่อง Stepper Machine level 1 เป็นเวลา 50  นาทีต่อวัน นั่งบนพื้นนานนับชั่วโมง พอลุกขึ้นยืน กลับไม่รู้สึกโอดโอยหรือเป็นเหน็บชาเลยคะ
 
การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน
นี่ดีชะมัด เพิ่งเล่นเครื่องเล่น Stepper Machine ได้เพียง 3 สัปดาห์ แต่เล่นเครื่อง Leg Press Machine น้ำหนัก 30 กิโล ครั้งละ 15 นาทีx2 นาน 4 เดือน ยังไม่ค่อยเห็นความแตกต่างอะไรเลยคะ

ปกติวันเสาร์-อาทิตย์ แป้งจะต้องนอนกลางวันมาตั้งแต่สมัยสาวๆ ไม่เคยมีสัปดาห์ไหนที่จะไม่นอนกลางวัน ตั้งแต่กินวิตามิน +ออกกำลังกาย กลายเป็นไม่ง่วงหงาวหาวนอนอีกต่อไป เปลี่ยนเวลานอนกลางวันมาออกกำลังกายแทน ถือว่าใช้เวลาคุ้มค่าเลยทีเดียว

มัดรวมสุขภาพของแป้ง แข็งแรงขึ้นกว่าเดิมสวนทางกับอายุที่เพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้

1.ประจำเดือนยังมาเยอะในวันที่ 2 และหมดไปภายใน 7 วัน รอบประจำเดือนอยู่ที่ 21 วันคงเดิม(วงจรประจำเดือนของผู้หญิงประมาณ 21-28 วัน)
2.สายตาปกติ อ่านหนังสือ+ดูโซเซียลเน็ตเวิร์กไม่ต้องใส่แว่น
3.มีพลังงานเยอะ ไม่เหนื่อยง่าย
แป้งเคยทดลองไม่กินวิตามินสักเม็ดใน 1 วัน ผลปรากฏว่า หลังมื้ออาหารเช้า ซึ่งกินลูกเดือยต้ม 200 กรัม+น้ำนมอัลมอนด์+งาดำ(ทำเอง)ใส่อัลมอนด์สไลด์ เมื่อเวลา 30 นาทีผ่านไป แป้งรู้สึกง่วงมากๆ อยากจะล้มตัวลงนอน แต่ทำไม่ได้เพราะเพิ่งกินอิ่มใหม่ๆ พอครบ 1 ชม.นอนดีกว่า

พอกินมื้อเที่ยง เวลาผ่านไป 1 ชม.เริ่มง่วง แป้งก็นอนกลางวันอีก 1 ชม.สบายใจ คนที่ไร้พลังงานจะไม่กระฉับกระเฉง มีอาการง่วงเหงาหาวนอนแทบตลอดเวลาเป็นแบบนี้เอง

4.ผมหงอกคงเดิม ~100 เส้น  ไม่ย้อมผมแต่ใช้วิธีย้อมเฮนน่าแทน
5.กรดไหลย้อนดีขึ้นจากการออกกำลังกาย

6.ผิวกายยังคงมีความนุ่มเนียน ไม่มีจุดกระขาวบริเวณแขนขาและไม่แห้งกร้านไปตามวัยที่ล่วงเลย สิ่งนี้เป็นผลจากการกินวิตามินสม่ำเสมอ ถ้าไม่ได้กินวิตามินผิวบอกเลยว่า ผิวหน้าและผิวกายจะแห้งหยาบกร้าน(หากเราไม่ได้มีปัญหาผิวชัดเจน การกินวิตามินจะไม่เห็นความแตกต่างเท่าไหร่นัก แต่พอเกิดปัญหาเกี่ยวกับสภาพผิว การกินวิตามินคุณภาพสูง จะเห็นผลชัดเจนจนสังเกตได้)

7.ผิวหน้าจากผิวมันในอดีตกลายเป็นผิวผสม เวลาลงรองพื้นตามด้วยแป้งฝุ่น หน้าจะเนียนกริบแลดูผุดผ่อง ยกเว้นคืนไหนนอนดึกตี2-3 หน้าจะไม่เด้ง แววตาอิดโรยไม่สดใส

8.อาการภูมิแพ้ลดลงจนแทบไม่มีเลย ถึงแม้จะนอนดึกก็ตาม อันนี้เป็นผลจากการออกกำลังกาย

9.เวลาเกิดบาดแผล เช่น มีดทำครัวบาดมือไม่ลึกมาก แต่มีเลือดซึม แผลจะเริ่มสมานและหายภายใน 2-3 วัน อย่างโดนมีดบาดที่นิ้วมือตอนเย็น รุ่งเช้าแผลเริ่มปิด เวลาโดนน้ำจะไม่แสบมือ ไม่มีร่องรอยแผลเป็นหลังเกิดบาดแผลตั้งแต่เริ่มกินวิตามินเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ซึ่งก่อนหน้านั้นช่วงอายุ 20 กว่าปี หกล้มที จะมีรอยแผลเป็นเห็นชัดเจนบริเวณหัวเข่า สิ่งนี้เกิดจากการกินวิตามิน

10.ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สังเกตว่าเส้นผมที่ร่วงลงพื้น(เวลาสระผม จะมีผมร่วงราว 20 เส้น) มีขนาดเส้นเล็กและบางลง เมื่อก่อนจะปนเส้นหนาอย่างเยอะ คาดว่า เกิดจากการออกกำลังกายค่อนข้างหนักสำหรับคนที่มีภาวะโลหิตจางและพาหะธาลัสซีเมียแล้วกินโปรตีนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เส้นผมมีขนาดเล็กลง อาจจะต้องพิจารณาดื่มเวย์เพิ่มเพราะไม่สามารถกินเนื้อสัตว์วันละ 50-100 กรัมเพียงพอ

11.นอนหลับสนิทในทุกคืนที่กินอิ่มและไม่ตื่นกลางดึก แม้จะลุกมาเข้าห้องน้ำ พอหัวถึงหมอนก็หลับต่อได้สบาย แถมหลับสนิทไม่ฝันอะไรทั้งสิ้น นานๆครั้งถึงจะฝัน แต่จะจดจำความฝันไม่ได้ จำได้แค่เลือนลาง ไม่ปะติดปะต่อ ซึ่งแม่แป้งอายุ 72 ปีก็เป็นแบบนี้ แกเลยบ่นประจำว่า ไม่เคยฝันถึงเลขที่จะออกในแต่ละงวด สิ่งนี้เป็นผลจากการกินวิตามินก่อนนอน

แป้งเคยลองงดวิตามินก่อนนอน ปรากฏว่า ตื่นกลางดึกแล้วนอนต่อไม่ได้เลย ตาหลับแต่ใจไม่หลับ คุณพระ!!

12.ไม่มีโรคที่ต้องรักษาด้วยการกินยาแผนปัจจุบันแม้เพียงโรคเดียว เคยมีน้องผู้หญิงอีกคนที่เจอในฟิตเนส อายุน่าจะ 45 กว่าปี ถามแป้งว่า พี่เป็นความดันโลหิตสูงหรือเปล่า น้องบอกว่า กลุ่มแม่ๆผู้ปกครองที่อายุ 50 ปี เป็นความดันโลหิตสูงทุกคน(โรคไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูงมักมาพร้อมกับวัยหมดประจำเดือน)

ส่วนเพื่อนรุ่นเดียวกันกับแป้ง พากันเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ต้องรักษาด้วยการกินยาต่อเนื่องเรียบร้อย แต่เพื่อนหลายคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอก็ไม่เป็นโรคเหล่านี้เช่นกัน

ช่วงนี้แป้งมักได้ยินข่าวคนรู้จักเป็นมะเร็งกันเยอะขึ้น ล่าสุดน้องที่ทำงานเก่าอายุ 50 ปี เป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 1 แผนการรักษาคือ ตัดเต้านม ฉีดยามุ่งเป้าเดือนละ 1 เข็ม จำนวน 18 เข็ม ราคาเข็มละ 15,000 บาทและเคมีบำบัด 5 คอร์ส ส่วนน้องอีกคนอายุ 43 ปีเพิ่งเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม หลังพบกับความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานผ่านการรักษาโรคเป็นระยะเวลา 3 ปี

คนที่มีภูมิต้านทานสูง  จะไม่เจ็บป่วยหรือติดเชื้อง่าย  สิ่งที่เพิ่มภูมิคุ้มกันมีหลายอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดฮวบคือความเครียด สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องมีวินัยในการดูแลตัวเองนะคะ

 


เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม