บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560

เหตุผลที่คนเราต้องกินวิตามินทุกวัน



แป้งขออนุญาตนำบทความที่แป้งเป็นคนค้นคว้าและเขียนขึ้นมาคนแรกในเมืองไทย ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 หลังจากนั้นมีหลายเพจเฟซบุ๊กขายวิตามินต่างๆ และอีกหลายเว็ปไซต์ขายวิตามินมา copy ข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมด โดยให้เครดิตบ้าง ไม่ให้เครดิตบ้าง 

ส่วนใหญ่จะไม่ให้เครดิต แถมหลายคนก็ copy จากบล็อกแป้ง ไปเขียนเป็นบล็อกตัวเองอีกต่างหาก แม่เจ้า!!

แต่ก็ช่างเถอะค่ะ หากจะมีคนอีกหลายคนผ่านมาอ่าน แล้วได้ประโยชน์ มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องค่าครึ่งชีวิต(half-life)ของวิตามินมากขึ้น 

หากเราต้องกินอาหารทุกวัน วิตามินก็จำเป็นต้องกินต่อเนื่องไปตลอดชีวิตเช่นกัน เหตุเพราะ วิตามินมีค่าครึ่งชีวิต ( half life) คือ เวลาที่ใช้สำหรับโมเลกุลที่จะได้รับการแบ่งย่อยและขับออกจากร่างกาย 

หมายความว่า ช่วงเวลาที่ระดับวิตามินลดลงเหลือครึ่งหนึ่งของระดับวิตามินเริ่มต้น และระดับวิตามินมีค่าเป็นศูนย์เมื่อใช้เวลาเท่ากับ 5 เท่า ซึ่งถือได้ว่า สั้นมากๆ ยกตัวอย่างเช่น

1.grape seed มี half life 7 ชั่วโมง 

แป้งกิน grape seed 300mg เมื่อเวลาผ่านไป 7 ชม. grape seed จะลดระดับเหลือ 150mg และหมดไปจากร่างกายโดยสมบูรณ์ คือ 7x5(เท่า) = 35 
หรือ เท่ากับ 1 วัน 11ชม.

2.วิตามิน N-Acetyl L-cysteine(NAC)มีค่าครึ่งชีวิต 6 ชั่วโมง 

แป้งกิน NAC 600 mg เมื่อเวลาผ่านไป 6 ชม. NAC จะลดระดับเหลือ 300 mg และหมดไปจากร่างกายโดยสมบูรณ์ คือ 6x5=30 ชม. เท่ากับ 1 วัน 6 ชม.

3.Alpha lipoic acid(ALA)มี half life 3 ชั่วโมง 

แป้งกิน ALA 600 mg เมื่อเวลาผ่านไป 3ชม. ALA จะลดระดับเหลือ 300 mg และหมดไปจากร่างกายโดยสมบูรณ์ คือ
3x5=15 ชม.เท่ากับ ครึ่งวันกว่าๆ

อธิบายได้ง่ายๆว่า ระดับวิตามินในกระแสเลือดจะลดลงจนมีค่าเท่ากับศูนย์ เมื่อเวลาผ่านไป 1วันกว่าๆ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระบบเมตาโบลิซึม (กระบวนการสังเคราะห์พลังงานจากอาหารและกระบวนการสลายโมเลกุล เพื่อให้ลำไส้เล็กดูดซึมได้ทันที) ของแต่ละคนไม่เท่ากันด้วยค่ะ

 จึงเป็นเหตุผลให้เราจำเป็นต้องกินวิตามินเติมเข้าไปทุกวัน  เพราะถ้าเราไม่กินวิตามินอย่างต่อเนื่อง กินๆหยุดๆ เท่ากับ ต้องเริ่มต้นใหม่ ในการสะสมระดับวิตามินในกระแสเลือด นั่นเอง










ที่มา

วันอังคารที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2560

6 วิตามินที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย

มีใครเคยคิดสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ทำไมคนบางคนถึงได้เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่แทบตลอดเวลา เข้าโรงพยาบาลทุก 2 เดือน หรือป่วยกระเสาะกระแสะ เป็นไข้ เจ็บคอ อยู่บ่อยๆ มีหนึ่งเหตุผลคือ อาหารและการใช้ชีวิตประจำวัน นั่นเอง

คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น พืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช พืชสมุนไพร อาหารปรุงสดใหม่ ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปทั้งหลาย เช่น อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋องฯลฯ มักจะได้รับคุณค่าเต็มเปี่ยมจากสารอาหาร โดยกระบวนการย่อยอาหารซึ่งเป็นกระบวนการทางเคมีชีวภาพเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปสาร รวมถึงแยกย่อยโดยการทำงานของเอนไซม์ ให้มีขนาดเล็กลงและมีโครงสร้างทางเคมีที่ง่ายขึ้น เช่น อาหารประเภทโปรตีนจะถูกย่อยให้เป็นกรดอะมิโน อาหารประเภทไขมันจะถูกย่อยกลายเป็นกรดไขมัน เพื่อให้ง่ายต่อการดูดซึมที่ลำไส้เล็กต่อไป  ส่งเสริมให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายสูงขึ้น จึงห่างไกลจากความเจ็บป่วยและการอักเสบทั้งหลายทั้งปวง

การอักเสบ (Inflammation) เป็นการตอบสนองทางชีวภาพที่ซับซ้อนของเนื้อเยื่อหลอดเลือดต่อสิ่งกระตุ้นที่เป็นอันตราย เช่น เชื้อโรค เซลล์ที่เสื่อมสภาพ หรือการระคายเคือง ซึ่งเป็นความพยายามของร่างกายที่จะนำสิ่งกระตุ้นดังกล่าวออกไปและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย

 การอักเสบไม่ใช่อาการของการติดเชื้อ แม้ว่าการอักเสบหลายๆ ครั้ง มักเกิดขึ้นจากการติดเชื้อ เพราะการติดเชื้อเกิดจากเชื้อโรคภายนอกร่างกาย แต่การอักเสบคือการตอบสนองของร่างกาย เพื่อต่อต้านเชื้อโรคหรือต่อปัจจัยอื่นๆ เช่น การบาดเจ็บ สารเคมี สิ่งแปลกปลอม หรือภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเอง

การอักเสบเป็นรากของโรคเรื้อรังหลายชนิด ไม่เพียงแต่ข้ออักเสบหรือโรคหอบหืดเท่านั้น การอักเสบในระดับต่ำๆแต่เรื้อรัง อาจเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ อัลไซเมอร์ มะเร็งบางชนิด แม้กระทั่งโรคอ้วนหรือโรคเบาหวาน 

งานวิจัยศึกษาโดยนายแพทย์พอล ริดเคอร์ จากวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ใช้การตรวจเลือดแบบแม่นยำเป็นพิเศษ เพื่อตรวจวัดระดับของซีอาร์พี(CRP: C-reactive protein )
ซึ่งเป็นโปรตีนในเลือดที่ก่อให้เกิดและบ่งบอกถึงระดับการอักเสบในร่างกาย พบว่า ระดับการอักเสบในร่างกายที่เพิ่มขึ้น มีทำให้ความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายเฉียบพลันเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า

 ระดับของซีอาร์พี(CRP)ที่สูงในเลือด พบในโรคเรื้อรังหลายชนิดรวมเรียกว่า กลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ

แจ๊ค ชาลเล็ม ผู้ประพันธ์หนังสือ The Inflammation Syndrome กล่าวว่า การอักเสบที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย ในคนอ้วนและผู้ที่เป็นเบาหวานนั้น ก่อให้เกิดการอักเสบของผนังเส้นเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ 

การอักเสบอาจเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายเกิดการบาดเจ็บ มีภาวะเจ็บป่วยและความเครียดสูง อย่างไรก็ตามอาจเกิดจากการรับประทานอาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิต

การออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมถึงการพักผ่อนนอนหลับสนิทตลอดคืนและการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง

การอักเสบเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ระบบที่ส่งเสริมและต่อต้านการอักเสบของร่างกายเสียสมดุล แต่ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยต้านการอักเสบ ซึ่งจะช่วยคืนความสมดุลให้เกิดขึ้นกับร่างกายได้

6 วิตามินที่ช่วยลดการอักเสบ 

1. กรดอัลฟ่าไลโปอิก (Alpha lipoic acid)เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสร้างได้เองตามธรรมชาติ แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีภาวะอ่อนแอ เจ็บป่วยเรื้อรัง จะสร้างน้อยลง 

มีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญและการผลิตพลังงาน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระปกป้องเซลล์จากความเสียหายและช่วยฟื้นฟูระดับสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ เช่นวิตามิน C และ E 

มีงานวิจัยศึกษาแสดงให้เห็นว่า กรดอัลฟาไลโปอิค ช่วยลดการอักเสบที่เชื่อมโยงกับความต้านทานต่อโรคมะเร็ง โรคตับ โรคหัวใจและความผิดปกติอื่นๆ

นอกจากนี้กรดอัลฟาไลโปอิค อาจช่วยลดระดับการอักเสบหลายแห่งทั่วร่างกาย

ปริมาณที่แนะนำ: 300-600 มก. ต่อวัน ไม่มีรายงานใด ๆ เกี่ยวกับผู้ที่รับประทานกรดอัลฟ่าไลโปอิค 600 มก. นานถึง 7 เดือน

2. Curcumin(ขมิ้นชัน)
พืชสมุนไพรที่มีมากว่า 4000 ปี ใช้ล้างพิษและบำรุงตับในอินเดีย ประเทศอินโดนีเซีย ถือได้ว่า เป็นราชินีแห่งสมุนไพรทั้งปวง ส่วนเมืองไทยเรียกว่า ขมิ้นชัน 

ในขมิ้นชันมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับมาช้านานอีกตัวหนึ่ง คือ curcuminoid ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย ปกป้องเนื้อเยื่อและซ่อมแซม ส่วนของเซลล์ที่ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระได้อย่างดีเยี่ยม

Curcumin เป็นส่วนประกอบของเครื่องเทศขมิ้น มีหลากหลายประโยชน์ต่อสุขภาพ สามารถลดการอักเสบในโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคลำไส้อักเสบและโรคมะเร็ง

ขมิ้นชัน ยังดูเหมือนจะเป็นประโยชน์มากสำหรับการลดการอักเสบและบรรเทาอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 

จากการศึกษาแบบ randomized controlled trial พบว่าคนที่เป็นโรค metabolic syndrome(คือกลุ่มความผิดปกติที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งพบร่วมกันได้บ่อย ความผิดปกติดังกล่าวได้แก่ความผิดปกติของไขมันในเลือด ความดันโลหิต ระดับน้ำตาล)ที่ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร curcumin มีระดับCRPและMDAลดลง อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก 

ปริมาณที่แนะนำ: 100-500 มก.ต่อวัน

3. น้ำมันปลา(fish oil)เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพที่ดี ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น ประกอบด้วย

3.1 eicosapentaenoic (EPA) ช่วยลดการอักเสบและความเสื่อมของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ไขข้ออักเสบ 

3.2 docosahexaenoic (DHA) มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง ระบบประสาท เพิ่มหน่วยความจำ และพัฒนาการเรียนรู้ รวมถึง retina ที่ช่วยในการมองเห็น ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ DHA จึงถูกผสมในนมผงเลี้ยงเด็กหลากหลายยี่ห้อในเมืองไทย

4. ขิง(ginger)เป็นพืชสมุนไพรที่มีมายาวนานในประเทศจีนและเอเชีย นิยมใช้เป็นประจำในการรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อและคลื่นไส้ รวมทั้งอาการแพ้ท้องในหญิงตั้งครรภ์

ส่วนประกอบที่สำคัญของขิงคือ gingerolและzingerone อาจลดการอักเสบที่เชื่อมโยงกับอาการลำไส้ใหญ่บวม ความเสียหายต่อไต โรคเบาหวานและมะเร็งเต้านม 

การศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม ได้รับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารขิงมีระดับ CRP และ IL-6(interleukin-6 เป็นสารโปรตีนขนาดเล็ก โดยเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายสร้างขึ้น)ลดลง โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับการออกกำลังกาย

ปริมาณที่แนะนำ: 1 กรัมต่อวัน แต่ไม่เกิน 2 กรัม ถือว่าปลอดภัย 

5.Wobenzym คือสูตรเอนไซม์เฉพาะของระบบย่อยอาหารมานานหลายทศวรรษ โดดเด่นที่สุดในด้านกระดูกและการอักเสบ (การอักเสบเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ระบบภูมิคุ้มกันและต่อต้านการอักเสบในร่างกายเสียสมดุล)

เอนไซม์มีความจำเป็นต่อการย่อยอาหาร นำพาวิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโนเข้าสู่ร่างกาย เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาต่างๆที่เกิดขึ้นในร่างกาย ถูกทำลายได้ด้วยความร้อน

เอนไซม์แต่ละชนิดทำงานกับอาหารแต่ละประเภท แยกเป็นอิสระ ในภาวะที่ร่างกายขาดเอนไซม์ตัวใดตัวหนึ่งจะส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วยตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงรุนแรง

โดดเด่นมากที่สุดในด้านสุขภาพของกระดูก เอ็น กล้ามเนื้อ เป็นที่รู้จักในเยอรมนีมากกว่า 40 ปี ประกอบด้วย พลังเอนไซม์จากพืช เอนไซม์ตับอ่อนและสารต้านอนุมูลอิสระ ถือได้ว่าเป็นเอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในระบบย่อยอาหารแบบองค์รวม ส่งเสริมและเกี่ยวข้องเกือบทุกกระบวนการภายในร่างกาย ตั้งแต่การหายใจ ระบบไหลเวียนเลือด การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ จนถึงส่งเสริมภูมิคุ้มกัน

ในความเป็นจริง ร่างกายมนุษย์แต่ละคนมีพันเอนไซม์ช่วยขับสามล้านปฏิกิริยาทางเคมีทุกวินาที 

มีฤทธิ์ป้องกันการอักเสบและความเสียหายระดับเซลล์ รวมถึงช่วยลดอาการปวดบวมช้ำหลังการผ่าตัด

Joseph Brasco M.D. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินอาหารในอลาบามา สหรัฐอเมริกา ได้แนะนำให้ผู้ที่เข้าแข่งขันไตรกีฬารวมถึงคนไข้ กินเอนไซม์ wobenzym เป็นเวลานานกว่าทศวรรษ

ปริมาณที่แนะนำ : 3-6 เม็ดต่อวัน สูงสุด 12 เม็ดต่อวัน

6.เห็ดหางไก่งวง(turkey tail)อุดมไปด้วยสารประกอบโพลีแซคคาไรด์ ( polysaccharide ) เช่น เบต้ากลูแคน ( beta glucans ) arabinoxylanes, glucose , xylose, mannose

เห็ดหางไก่งวง มีสารประกอบที่เรียกว่า PSK ( Polysaccharide Krestin ) เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ( แป้งและน้ำตาล ) ละลายน้ำได้ มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการต้านมะเร็ง ป้องกันการลุกลามของมะเร็งและฟื้นตัวจากมะเร็งได้อย่างรวดเร็ว ช่วยบรรเทาผลข้างเคียงจากการใช้เคมีบำบัดหรือรังสีรักษา  

มีประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านมและมะเร็งปอด ( พบในหลอดทดลอง )  มีการศึกษาในนำร่องมนุษย์พบว่า อาจลดการเกิดซ้ำของโรคมะเร็ง

เห็ดหางไก่งวงใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆหลายร้อยปีในเอเชีย ยุโรปและชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือ โดยถูกต้มเป็นชาสมุนไพรจีน มีชื่อเรียกว่า Yun zhi ต้นศตวรรษที่15 ในช่วงราชวงศ์หมิงประเทศจีน 

นักวิจัยมหาวิทยาลัย Bastyr มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ ผู้นำด้านนวัตกรรมส่งเสริมสุขภาพอันดับหนึ่งในอเมริกา อยู่ใกล้กับการค้นพบว่า เห็ดหางไก่งวง ( Tremates versicolor ) สามารถช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันในระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด จากการได้รับทุนส่งเสริมจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกา ( NIH ) เทียบเท่ากระทรวงสาธารณสุขของไทย

ในประเทศญี่ปุ่น เห็ดหางไก่งวงมีชื่อเรียกว่า Karawatake รักษาโรคมะเร็งอย่างแพร่หลายมานานกว่า 30 ปี อนุพันธ์เห็ดหางไก่งวงในประเทศญี่ปุ่น ผลิตโดยการสกัดน้ำร้อน

ในผู้ป่วยที่ได้รับ PSK ( polysaccharide Krestin ) อย่างต่อเนื่อง มีงานวิจัยแสดงให้เห็นถึงอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง 5 ปีหรือมากกว่านั้น โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร/ลำไส้ใหญ่/หลอดอาหาร/เต้านม และมะเร็งปอด ในการทดลองทางคลีนิกของประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ปีค.ศ 1970 เป็นต้นมา

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารมะเร็ง peer-review ISRN  ของมหาวิทยาลัย Bastyr และมหาวิทยาลัยมินนิโซต้า สหรัฐอเมริกาพบว่า อาหารเสริมเห็ดหางไก่งวง อาจสนับสนุนการรักษาโรคมะเร็งเต้านม โดยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย กล่าวคือ สามารถเพิ่ม NK ( natural killer cell  เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็ง และเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสเป็นหลัก )
และ CD8+T (T suppressor หรือ CD8 มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม รวมถึงยับยั้งการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันเมื่อหมดความจำเป็นแล้ว ไม่เช่นนั้น จะเกิดความเสียหายต่อร่างกายจากการทำงานที่เกินเลยของระบบภูมิคุ้มกัน )  อย่างมีนัยสำคัญ

ก่อนหน้านี้ นักวิจัยได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งอเมริกา ใช้เห็ดหางไก่งวง ทดลองทางคลีนิกโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในช่วงต้นปี 2013 โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ พัฒนาการรักษาโรคมะเร็งโดยไม่มีผลข้างเคียงที่ทำให้สุขภาพทรุดโทรม จากยาเคมีบำบัด

ช่วยลดการอักเสบของเซลล์ เพิ่มระดับภูมิคุ้มกัน 300%โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งมากถึงร้อยละ 97 และส่งเสริมการทำงานของไต จึงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ โดยสามารถลดค่าไตที่สูงลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยไม่ต้องฟอกไต

ปริมาณที่แนะนำ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด สูงสุดวันละ 2 เม็ด 












ที่มา :
www.doctor.or.th>metabolic syndrome

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม