บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ไขความลับเลเซอร์ เรื่องจริงที่คุณควรรู้ (ตอนที่1)


                   ต่อจากความเดิมตอนที่แล้ว ขณะนั้นอายุได้ 32ปีพอดิบพอดี แป้งคิดเองว่า เลเซอร์ทำให้ต่อมไขมันทำงานน้อยลง หน้าเราจะไม่มัน สิวจะไม่เกิด คิดได้ดังนั้น ไม่รอช้า มาถึงการเลือกคลีนิคที่จะทำ หันซ้ายหันขวา เอาคลีนิคที่ดูดีมีสกุลรุนชาติ มีโปรไฟล์แพทย์ติดหน้าร้าน ที่สำคัญ คนไม่เยอะ แป้งลงคอร์สเลเซอร์ครั้งแรกชื่อ aramis หรือ cool touch laser (เติมเต็มหลุมสิว ลดริ้วรอย) ทำให้ค้นพบว่า การทำเลเซอร์ให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีเลิศนั้น มีปัจจัยดังต่อไปนี้

                   1.ฝีมือแพทย์ เรียกได้ว่า เป็นปัจจัยหลักที่จะเนรมิตใบหน้าใหม่ให้กับเราเลยทีเดียว ตอนแรกแป้งก็คิดเหมือนคนทั่วไปว่า หากกำหนดค่าความยาวคลื่นแสงให้เหมาะสม กำหนดระดับความลึกของตำแหน่งเป้าหมายด้วยขนาดลำแสงและความยาวคลื่นแสง รวมทั้งขอบเขตการทำลายเนื้อเยื่อจากระยะการยิงเลเซอร์และความถี่ของการยิง (frequency) หมอคนไหนก็ทำได้ ผิดถนัดค่ะ

                   แป้งทำเลเซอร์แต่ละครั้งเจอหมอไม่ซ้ำกันซักคน ลืมบอกไปค่ะ ทำที่doctor younger สาขารามคำแหง ใกล้บ้าน คอร์สนึงมี5ครั้ง ทำห่างกันเดือนละครั้ง พอครั้งที่4 นับได้ว่าโชคดีที่สุด เพราะได้เจอกับ นพ.รัสส์ภูมิ สุเมธิวิทย์ คุณหมอคนเก่งและมากด้วยประสบการณ์ ด้วยความแตกต่างทำให้รู้แจ้งเห็นจริงคราวนี้ คุณหมอยิงละเอียดที่สุด ย้ำในจุดที่เรามีปัญหา ใจดีและใจเย็นที่สุด (คุณหมอมีคนไข้รอเยอะมาก) หลังแปะยาชา45นาที คุณหมอทำ subcission (ใช้เข็มสะกิดผังผืด) ให้ด้วย จากนั้นจึงยิงเลเซอร์นานกว่าหมอคนอื่น

                   เลเซอร์ตัวนี้ไม่เจ็บเท่าไหร่ เว้นบางตำแหน่งที่แปะชาไม่ทั่วถึง (คิดเอาเอง) มีสะดุ้งเล็กน้อย ครั้งสุดท้ายก็ไปตรงวันที่คุณหมอออกตรวจ สารภาพว่าเนื่องจากไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ทำงาน จึงไม่ได้เสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณหมอ

                  จนกระทั่งวันหนึ่ง(6เดือนผ่านไป) อ่านประวัติคุณหมอในหนังสือเล่มนึง ปรากฎว่า คุณหมอจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ด้วยเกียรตินิยมแล้วได้ fellow (วุฒิบัตร) ที่อเมริกา ว๊าว! แป้งเจอหมอผิวหนังที่เก่งและมากด้วยประสบการณ์แล้วจ้า
                   ผลลัพธ์ออกมา เวลาเจอเพื่อนที่เรียนพยาบาลรุ่นดียวกัน ทุกคนจะพูดแบบเดียวกันว่า แป้งไปทำอะไรมา ทำไมสวยขึ้น (ปกติหน้ามันและเป็นสิว) ช่วงที่ทำเลเซอร์ นอกจากหน้าจะไม่มีสิวมากวนใจแล้ว ผิวยังเรียบเนียน นุ่มละเอียด รูขุมขนกระชับขึ้น (ก็จริงเพราะเลเซอร์กระตุ้นให้คอลลาเจนหดตัว เกิดการสร้างคอลลาเจนชั่วคราว ผิวจึงกระชับ ตึงขึ้น แถมต่อมไขมันยังทำงานน้อยลงแบบไม่ต้องกินไดแอน) เหมาะสำหรับคนเป็นสิว ผิวมัน จริงๆนะเนี่ย ชอบมากมาย ถึงจะรู้ว่า ไม่นานผิวจะกลับเป็นเหมือนเดิม แต่หลุมสิว ตื้นแล้วตื้นเลย หน้าเรียบกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ แค่นี้ก็พอใจล่ะ จึงตั้งใจว่า จะทำเลเซอร์2ปีครั้ง ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ มันเจ็บอยู่นะคะ ตอนทำทุกครั้ง ยังคิดในใจว่า"อยากสวยต้องอดทน เกิดมาผิวไม่ดีนี่นา"

                   อยากบอกว่า เวลาคิดจะทำเลเซอร์ เราต้องเลือกหมอด้วยค่ะ ใบหน้าเรามีค่านะคะ ที่สำคัญไม่ได้ทำฟรี เสียเงินเป็นจำนวนมาก เราจะต้องเลือกทำกับหมอฝีมือดีๆมีประสบการณ์ ถ้าไม่เก่ง แป้งไม่กล้าทำหรอกค่ะ กลัวหน้าพัง หน้าดำยิ่งกว่าเดิม ยิ่งถ้าให้พยาบาลหรือผู้ช่วยทำ นี่บอกศาลากันเลยดีกว่า ไม่เอาด้วยหรอก หมอเค้าเรียนมาตั้งเท่าไหร่

                   2.เครื่องมือ หากผลิตในอเมริกาหรือยุโรป จะมีเทคโนโยีและประสิทธิภาพมากกว่าที่ผลิตในจีนหลายเท่าตัว

                    มีหลายคนที่เสียเงินเป็นจำนวนมากในการทำเลเซอร์แล้วไม่ได้มีผลลัพธ์ที่แตกต่างเกิดขึ้นกับใบหน้า ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กินวิตามินอย่างไรให้บังเกิดผลอย่างน่าอัศจรรย์

 
 เมื่อก่อนคนเราต้องอาศัยปัจจัยสี่ ในการดำรงชีวิต ประกอบด้วยอาหาร เครื่องนุ่งหุ่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค แต่ตอนนี้แป้งไม่เห็นด้วยแล้วล่ะ เพราะหากเราดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง กล่าวคือ รักษาสุขภาพ ไม่นอนดึก(คนที่นอนดึก อวัยวะภายในจะไม่ได้พักโดยเฉพาะตับ ต้องทำงานหนักตลอดเวลา ส่งผลให้ภูมิต้านทานต่ำ ร่างกายเสื่อมโทรม เกิดภูมิแพ้ได้ง่าย) เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เครียด ปล่อยวางกับชีวิตบ้าง ก็ไม่จำเป็นต้องมียารักษาโรคเลยค่ะ แป้งเป็นพยาบาลจัดแจกยาให้พนักงานที่เจ็บป่วยมา10ปี แต่แทบไม่เคยกินยาที่ตัวเองจ่ายให้กับพนักงานเลยนะคะ 

คร้ังหนึ่งเคยมีน้องในแผนกอื่นมาเบิกยา หน้าตาบอกบุญไม่รับ บอกว่า ปวดศีรษะข้างเดียว ปวดรอบๆกระบอกตา มึนไปหมด บลาๆๆ แป้งลงความเห็นว่า "เป็นไมเกรน"จึงจัดยา Avamigran ให้ เผอิญยาอยู่ในฟอยด์ เค้าถามว่า "พี่แป้งค่ะ ยาเม็ดสีอะไร"แป้งตอบไปว่า" ไม่รู้จ้าคุณน้องเพราะพี่จัดยาอย่างเดียวแต่ไม่เคยกินยาที่ตัวเองแจกสักที"

แป้งเลยมาคิดว่า เรานี่ก็แข็งแรงเหมือนกันนะเนี่ย คนป่วยมายืนไอ จาม หายใจรดแป้งทุกวันทำการ แป้งยังไม่เจ็บไม่ป่วย สถิติการจ่ายยา ไทลินอลและยาฆ่าเชื้อ เป็น must have ที่ทุกคนต้องกิน ยังกะขนมเลย คงเป็นเพราะกินข้าวกล้อง ปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอก ดื่มน้ำเปล่าวันละ1500-2000ml. ไม่นอนดึก มองโลกในแง่ดีและปัจจัยที่ห้าคือการกินวิตามินเสริม นั่นเอง

เหตุผลหลักของการให้ความสำคัญกับการกินวิตามินของแป้งเพราะคิดว่า เราได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและรับสารพิษจากต้นทางของห่วงโซ่อาหารคือ การใช้สารเคมีจำพวกยาฆ่าแมลง ในการเพาะปลูก ไม่ว่าจะเป็น ข้าว พืชผัก ผลไม้ แม่แป้งเคยเห็นบ้านตรงข้ามเค้าฉีดพ่นยาฆ่าแมลงใส่ถั่วฝักยาว พอวันรุ่งขึ้นแกเอาไปขายที่ตลาดสดหน้าตาเฉย น่ากลัวที่สุด! 

ต้ังแต่นั้นมาไม่เคยเห็นถั่วฝักยาวอยู่ในมื้ออาหารไหนเลย รวมถึงเนื้อสัตว์ที่ฉีดฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ทราบหรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆ แต่ใช้สารเคมีจำพวกยาฆ่าแมลงมากที่สุดในโลกเป็น อันดับที่สี่ พระเจ้า! เราควรจะดีใจหรือเสียใจ กันแน่นะเนี่ย มิน่า!คนถึงเจ็บป่วยเป็นมะเร็งกันเยอะ มีสารพิษตกค้างในร่างกายเรามากเหลือเกิน เพราะฉะนั้น วิตามินคือทางเลือกใหม่ของคนที่ใส่ใจสุขภาพและอยากชะลอความชรา แป้งอายุ38ปีและไม่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จึงเลือกเส้นทางนี้และเพิ่งเริ่มกินต่อเนื่องได้10เดือนแล้ว อาจมีลืมบ้าง อะไรบ้าง
                 


วิตามินที่กลืนลงปากแต่ละเม็ดจะเลือกที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพราะไม่อยากเพิ่มภาระให้กระเพาะอาหาร ต้องทำงานหนักไปมากกว่านี้ เราเปลี่ยนเส้นทางห่วงโซ่อาหารไม่ได้(ต้องปลูกข้าว ปลููกผักผลไม้กินเองเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารปลอดสารพิษ)แต่เลือกวิตามินได้ วิตามินจากอเมริกาจึงเป็นคำตอบสุดท้าย

                  

มีหลักปฎิบัติดังต่อไปนี้
1.นอนหลับสนิทในเวลากลางคืนอย่างน้อย6-8ชั่วโมง หากนอนไม่หลับจะต้องกินเมลาโทนินก่อนนอนเพื่อให้ร่างกายได้พัก เซลล์ต่างๆจะได้รับการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเท่ากับว่าชะลอวัยนั่นเอง

2.ดื่มน้ำเปล่าวันละ 1500-2000ซีซี

3.งดดื่มของมึนเมาทุกชนิด(แอลกอฮอล์จะทำให้การดูดซึมวิตามินที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กลดลง)

4.งดขนมหวานทุกชนิด(หากในร่างกายมีน้ำตาลมากจะทำให้การเกาะยึดของคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ส่งผลให้โมเลกุลน้ำตาลแทรกเข้าไปจับตัวกับคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวขาดความกระชับ ยืดหยุ่น เหี่ยวย่นตามมา ลองสังเกตนะคะว่าคนที่ชอบกินหวาน หน้าจะเหี่ยวล้ำหน้าคนวัยเดียวกัน)

5.งดดื่มน้ำอัดลม เพราะอุดมไปด้วย คาเฟอีนต้นเหตุทำให้นอนไม่หลับ ตาดำเป็นหมีแพนด้าและมีกรดฟอสฟอริกที่ดึงแคลเซียมออกจากกระดูก แถมด้วยกรดคาร์บอนิกทำให้น้ำอัดลมฟองฟู่ น่ากินที่สุดแต่ทำลายenamel (เคลือบฟัน) ทำให้ฟันผุกร่อนและเพิ่มกรดในกระเพาะอาหารโดยไม่จำเป็น บางคนจึงมีอาการปวดท้องหลังดื่มน้ำอัดลม

6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ข้อนี้ถ้าใครทำได้เป็นประจำ แทบไม่ต้องกินวิตามินเลยเพราะเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงอวัยวะทุกส่วน ส่งผลให้ระดับออกซิเจนเพิ่มปริมาณขึ้น ร่างกายแข็งแรง หน้าตาผ่องใส ว๊าว!!

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เคล็ดลับการหุงข้าวกล้องให้นุ่มถึงขีดสุดแถมเก็บไว้ได้นาน ไม่บูดง่ายอีกด้วย

ตามปกติข้าวกล้องทั่วไป จะค่อนข้างแข็งเนื่องจากเมล็ดข้าวไม่โดนขัดสีเปลือกออกไปเยอะ จึงต้องแช่น้ำทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง จึงค่อยหุง แต่การที่แช่ข้าวกล้องทิ้งไว้ วิตามินต่างๆจะสูญสลายได้ง่าย
 

 แป้งทำกับข้าวกินเองประจำ จึงต้องหุงข้าวเอง เคยคิดว่า ถ้าเราเอาน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำที่จะหุงข้าวเหมือนการหุงข้าวญี่ปุ่นที่เค้าทำซูชิได้เปล่านะ เลยลองทำดูค่ะ

 
เมื่อก่อนที่จะหุงข้าวกล้องให้นุ่มน่ารับประทาน เวลาเคี้ยวไม่บาดเหงือก ต้องแช่น้ำไว้อย่างน้อย 2-3 ชม. โน่นแน่ะ คิดเองว่า ถ้าแช่ข้าวสารไว้ในน้ำนานๆ ข้าวที่หุงสุกจะมีความนุ่มขึ้น แต่ตอนนี้ไม่ต้องเสียเวลาแช่น้ำทิ้งไว้แล้วนะคะ 

 
เคล็ดลับการหุงข้าวกล้องชนิดต่างๆรวมถึงข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ 

1.ล้างข้าวสารด้วยน้ำเปล่าอย่างน้อย 2-3 ครั้งเพื่อขจัดฝุ่นผงอะอองต่างๆที่ติดมาระหว่างสีข้าวให้สะอาด

 2.เทน้ำให้ท่วมข้าวสาร แล้วใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปบนข้าวเพื่อวัดระดับน้ำ ให้อยู่ประมาณหนึ่งข้อนิ้วครึ่ง  

3.จากนั้นเทน้ำส้มสายชูกลั่น 5% ลงไป 2 ช้อนโต๊ะ คนให้ทั่ว ( แป้งใส่น้ำหมักจากแอปเปิ้ล ซึ่งหมักเก็บไว้ใช้เองค่ะ ) ไม่ต้องกังวลว่า ข้าวจะมีรสเปรี้ยวเหมือนเราปรุงก๋วยเตี๋ยวอะไรเทือกนั้นนะคะ เพราะน้ำส้มสายชูปริมาณน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับข้าวสารที่หุงในหม้อค่ะ 

4.เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว รอข้าวสุก ประมาณครึ่งชั่วโมง หลังข้าวสุกแล้ว ทิ้งให้ระอุ 15 นาที เราจะได้รับประทานข้าวกล้องที่เหนียวนุ่มมากๆจากความเป็นกรดของน้ำส้มสายชู

 5.สามารถยืดอายุข้าวที่หุงสุก โดยไม่นำเข้าตู้เย็นได้นาน 2-3 วันแล้วแต่สภาพอากาศว่าจะร้อนนรกขนาดไหน  

6.แป้งเคยเก็บข้าวที่หุงสุกในตู้เย็นนานถึง 2-3 สัปดาห์ โดยที่ข้าวไม่บูด ไม่ขึ้นรา เป็นเพราะในข้าวมีน้ำตาลบวกกับความเป็นกรดของน้ำส้มสายชู ถือเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง ป้องกันไม่ให้ข้าวบูดเสียง่ายค่ะ


 หมายเหตุ :  
1.โดยปกติ ข้าวกล้องหอมมะลิหรือข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ เวลาหุงโดยที่ไม่ผสมน้ำส้มสายชู เวลาใกล้สุกจะมีกลิ่นหอมข้าวมากๆ แต่หากใส่น้ำส้มสายชูลงไป กลิ่นที่เคยหอมข้าว จะกลายเป็นกลิ่นน้ำส้มสายชูนิดๆแทน แต่บางคนอาจจะไม่ได้กลิ่น เพราะมันเจือจางมาก 

 2.ข้าวกล้องหรือข้าวทุกชนิด หากเปิดถุงแล้ว ให้มัดปากถุงให้สนิท เก็บไว้ในตู้เย็นได้นานแรมปี โดยไม่มีมอดมารังควานเลยค่ะ

 3.ด้านในหม้อหุงข้าวทุกยี่ห้อ จะมีขีดระดับปริมาตรของข้าวและจำนวนถ้วยตวง ( แถมมากับหม้อหุงข้าว ) หม้อหุงข้าวของแป้งจะมีขนาด 1.1 ลิตร ใส่ข้าวสารได้เต็มพิกัด 6 ถ้วยตวง แต่เราไม่ควรตวงข้าวทั้งหมด 6 ถ้วยตวงในการหุงต่อครั้งเพราะข้าวที่ร้อนระอุนั้น มีแรงดันพลังไอน้ำ มันจะพุ่งออกมาตามรูบริเวณฝาปิดหม้อหุงข้าว ยิ่งหุงข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ ไอน้ำจะเป็นสีม่วงดำ งานเราก็จะงอก ต้องมาเช็ดทำความสะอาดหม้อหุงข้าวอีกค่ะ 

แป้งจะหุงแค่ข้าวครั้งละ 5 ถ้วยตวงเท่านั้น พอสุกได้ที่ เปิดฝาดู ข้าวจะพองเต็มหม้อพอดีค่ะ

วิตามินบี12 ( methylcobalamin ) มีความสำคัญอย่างไรกับระบบประสาทและสมอง


มนุษย์เราเมื่อถึงวัยหนุ่มสาว ร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพอะไรมากมายนัก ในความเป็นจริง ร่างกายมนุษย์แต่ละคน มีพันเอนไซม์ช่วยขับสามล้านปฏิกิริยาทางเคมีทุกวินาที ระบบย่อยอาหารเหล่านี้เสมือนฟันเฟืองเล็กๆในร่างกาย ที่ช่วยให้คนมีสุขภาพดี มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคและการอักเสบหลากหลาย

 แต่เมื่ออายุมากขึ้น ประกอบกับความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ รวมถึงระบบย่อยอาหารทำงานลดลง วิตามินตามธรรมชาติที่เคยมี กลับไม่มีการสร้างขึ้นตามปกติ จึงเป็นที่มาของการขาดวิตามินบี12 ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทและสมองอย่างมาก นั่นเอง

ปัจจุบันเรามักได้ยินคำว่า วิตามินบี12 ในเครื่องดื่มเพิ่มพลังงาน ( energy drink ) หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งผสมลงในอัตราส่วนน้อยนิดนั้น เมื่อเครื่องดื่มเคลื่อนตัวลงสู่ระบบทางเดินอาหารแล้ว จะดูดซึมได้ดีหรือไม่ ลองมาหาคำตอบใน blog นี้กันนะคะ


วิตามินบี12 ( Cyanocobalamin ) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ ในเชิงพาณิชย์ผลิตได้จากการหมักเชื้อแบคทีเรียโดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม แตกตัวได้ไม่ดีนักในกระเพาะอาหาร ต้องรวมตัวกับแคลเซียมเพื่อให้ดูดซึมได้ดีที่ลำไส้เล็กส่วนปลายที่เรียกว่า ileum  

วิตามินบี12 ถูกใช้ในทุกขั้นตอนของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมองในเด็กทารกเพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยสร้าง DNA & เซลล์เม็ดเลือดแดงในช่วงปีแรกของชีวิต 

 การขาดวิตามินบี12 พบมากในผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น ผู้สูงอายุที่ระบบย่อยอาหารทำงานน้อยลง ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบและผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ

 มีประโยชน์อย่างไร 
1.ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและป้องกันโรคโลหิตจางชนิด pernicious anemia ( โรคเรื้อรังที่เกิดจากการขาดวิตามินบี12 เนื่องจากขาดสาร intrinsic factor ( IF ) ซึ่งช่วยการดูดซึมวิตามินที่กระเพาะอาหาร )

2.ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร 

3.ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี 

4.ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำและความคิดเฉียบคม
 
5.บรรเทาความเครียด วิตกกังวล หงุดหงิด

6.ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่

7.ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ 

8.วิตามินบี 12 ปริมาณ 80 mcg.ต่อวัน จะเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยทองได้ 

9.ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น 

10.ลดภาวะซึมเศร้า 

11.ลดภาวะปลายประสาทอักเสบ ( peripheral neuropathy ) คือ อาการรู้สึกเจ็บแปล๊บๆเหมือนเข็มทิ่ม แสบร้อนบริเวณปลายเท้าจากโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนานเกิน 5 ปี )  

12.หากรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับวิตามินบี12 จะเป็นวิตามินที่เพิ่มพละกำลังได้อย่างดีเยี่ยม  

พบในเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะตับ ปลา ไข่ผลิตภัณฑ์จากนมและอาหารหมักดอง เช่น กะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยว ปลาร้า

อาหารที่มาจากพืชผักทั้งหมด ไม่มีวิตามิน บี12 ยกเว้นอาหารหมักดอง จึงเป็นที่มาของการขาดวิตามินบี12 ในผู้ที่รับประทานมังสวิรัตน์ นั่นเอง 

ถึงแม้จะเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำแต่มีความพิเศษคือ ร่างกายสามารถเก็บสะสมวิตามินบี12 ที่ตับได้นานถึง 3 ปี กว่าวิตามินจะถูกขับออกจากร่างกาย 

การขาดวิตามินบี12 มักปรากฎให้เห็นหลังจาก 5 ปีขึ้นไป

มักพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ที่ระบบย่อยอาหารทำงานน้อยลง แพทย์มักจ่ายวิตามินบี12 ( cyanocobalamin ) มาให้ผู้ป่วยร่วมด้วยเสมอ แต่ไม่ค่อยได้ผลดีนัก เนื่องจากวิตามินบี 12 ในรูปแบบนี้ ดูดซึมได้ไม่ดีในระบบทางเดินอาหาร 

วิตามินบี 12 ที่วางจำหน่ายทั่วไป ในรูปแบบไซยาโนโคบาลามิน ( cyanocobalamin ) แตกตัวและดูดซึมได้ไม่ดีในระบบทางเดินอาหาร 

แต่วิตามินบี 12 ที่มีกรรมวิธีผลิตโดยเทคโนโลยีชั้นสูง เรียกว่า เมธิลโคบาลามิน ( methylcobalamin ) จะดูดซึมได้ดีมากในระบบทางเดินอาหาร  
หากใครกินมังสวิรัตน์อยู่เป็นประจำ แนะนำให้มองหาวิตามินบี12 ชนิดเม็ดอมหรือเคี้ยว ในรูปแบบ methylcobalamin วันละ 1000-5000 mcg เท่านั้น  

ส่วนรูปแบบการฉีดวิตามินบี12 เป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะในอเมริกา แม้กระทั่งผู้ที่เป็นโรคอ้วนมีความจำเป็นต้องผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร ต้องได้รับการฉีดวิตามินบี12 ด้วยเช่นกัน อืม!! เพิ่งจะรู้นะเนี่ย 

สัญญานที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดวิตามินบี12 

1.ไม่มีเรี่ยวแรง เหนื่อยเรื้อรัง 

2.สูญเสียความจำ 

3.ซึมเศร้าโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อย

4.มึนงง 

5.เสียวซ่านบริเวณมือหรือเท้า 

6.เวียนศีรษะ 

7.ปวดหัว 

8.ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ  

ยังไม่พบรายงานว่า วิตามินบี12 ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แม้แต่การรับประทานในขนาดที่สูงมาก 

วิตามินบี12 สามารถเชื่อมโยงกับการนอนหลับ ภาวะซึมเศร้าเป็นอาการทางจิตจากการขาดวิตามินบี12 ภาวะซึมเศร้าเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้นอนไม่หลับและมีผลต่อการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน หากร่างกายมีวิตามินบี12 ในระดับสูง จะสามารถเพิ่มการผลิตเมลาโทนิน ส่งผลให้นอนหลับได้อย่างรวดเร็ว



หาซื้อได้ที่ www.vitaminvillage.weloveshopping.com

tel.061-742-9944
id line : 061-742-9944











ที่มา ;
www.livestrong.com > food and drink
www.holistic online.com/.../sleep/sleep/_ons_nutrition.htm
นิตยสารชีวจิต
Vitamin bible

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

มหากาพย์การรักษาสิว(ตอนจบ)


              
  ขออนุญาตวกกลับสู่อดีตชาติ ช่วงที่เรียนจบพยาบาลและเริ่มทำงานในโรงพยาบาล(อายุ21ปี)ต้องขึ้นเวรเช้า-บ่าย-ดึก เป็นเวลา4ปี หน้าจะเป็นสิวเฉพาะช่วงที่หยุดกินยาไดแอน รอยหลุมสิวที่เคยมีมาแต่ก่อนเก่าก็เพิ่มมากขึ้น ส่วนใหญ่เกิดตรงแก้มทั้งสองข้าง(กลัวน้อยหน้ากันมั๊ง) จนกระทั่งอายุ26ปี ได้ปลดแอกการขึ้นเวรโดยได้ปฏิบัติงานที่แผนกผู้ป่วยนอก(OPD) ทำให้เริ่มมีเวลาตัวเองมากขึ้น จึงคิดรักษาหลุมสิวโดยการใช้กรดTCA.แต้มที่หลุมสิวเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ เมื่อก่อนต้องทำในคลีนิคผิวหนังเท่านั้น                                                          
จำได้ว่านั่งรอหมอ1ชั่วโมง(คนไข้เยอะมาก) พอถึงคิวแป้ง พอหย่อนก้นเข้าไปนั่งประจำที่ปุ๊บ จะมีกระดาษใบเล็กๆขนาดเท่ากับกระดาษซับมันวางตรงหน้า เราก็หยิบมาอ่านอย่างรวดเร็ว 

มีข้อปฏิบัติ5ข้อ จำได้ว่า ทำตามไม่ได้ซักข้อ คือ ห้ามทาแป้ง ห้ามแต่งหน้า ห้ามทาครีมบำรุง ฯลฯ แล้วคุณหมอสั่งยาให้แล้วเชิญออกไป เดินออกมาด้วยความงงงวย ฮ่วย!รอเป็นชั่วโมง คุยไม่ถึง3นาที ต่อด้วยการได้ทำทรีตเมนท์แต้มTCA.กับน้องพยาบาล ระหว่างทำรู้สึกเจ็บๆแสบๆจี๊ดมากแต่ก็ต้องอดทน เสร็จแล้วจึงบอกน้องเค้าว่า "พี่ไม่ขอรับยานะเพราะมีอยู่แล้ว" แป้งเป็นโรคจิตไม่ชอบใช้ยาตลับของคลีนิคเพราะไม่ได้มีingredients(ส่วนประกอบ)ระบุว่ามีอะไรบ้าง                                                                    
                         
อีกอย่างครีมพวกนี้พอเปิดแล้วเจออากาศจะแข็งตัวเร็วมาก เพราะไม่ได้มาจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน กวนกันเองหลังร้าน ซื้อตามร้านขายยาดีกว่า เนื่องจากการรักษาสิวไม่ได้มีอะไรซับซ้อน มียาแค่ไม่กี่ตัว บางทีไม่มีความจำเป็นต้องกินยาฆ่าเชื้อเลย สิ้นเปลืองกระเพาะอาหารในการย่อยยาอีกต่างหาก                                                   
                          
นับเป็นครั้งสุดท้ายที่ไปพบหมอเพื่อรักษาสิวและหลุมสิวแบบคนทั่วไป แป้งเริ่มต้นรักษาสิวด้วยตนเอง เมื่อทรามวัยอายุได้28ปี มีทั้งกินยา roaccutane 20 mg.วันละเม็ด เป็นเวลา 10 เดือน(คำนวณจากน้ำหนักตัว)ช่วงที่กินยาเข้าเดือนที่ 5 ผิวเนียนละเอียด แต่งหน้าง่ายมากแต่หน้าแห้งมากมาย แป้งเลยคิดว่า ในเมื่อเราหน้าแห้งก็ต้องเติมความชุ่มชื้นคืนสู่ผิว จึงไปซื้อครีมนวดหน้ายี่ห้อ shiseido white lucent มานวดหน้าทุกคืน พอประทังความเหี่ยวแห้งได้มากพอดู(อาศัยว่าเป็นคนกินน้ำเยอะวันละ2000ซีซี )พอครบ10เดือน จึงหยุดกินยา

อีก2เดือนต่อมา หน้ามันแผล็บเช่นเดิม สิวเริ่มมาประปราย เลยคิดได้ว่า เออ!นะ อนิจจัง สังขารไม่เที่ยงจริงๆ เรากินอะไรลงไปก็ได้อย่างน้ัน พอหยุดกินทุกสิ่งในร่างกายกลับเป็นเหมือนตอนก่อนกิน หรือชีวิตนี้จะหลีกไม่พ้นคำว่า"สิว"กันแน่นะ

คิดแล้วท้อใจ จะทำอย่างไรดีถึงจะหายเป็นสิวเสียที ตอนนั้นจึงเริ่มกินไดแอนใหม่อีกครั้ง ต้องใช้เวลา4-6เดือน ต่อมไขมันจึงจะทำงานน้อยลง หน้ากลับมาสวยอีกครั้ง แต่พอไปหาหมอผิวหนังเพื่อฉีดสิวอักเสบ(เป็นยาสเตียรอยด์ช่ื่อkenacort)ออกฤทธิ์ทำให้สิวยุบบวมภายใน24ชั่วโมง คุณหมอทักว่า เริ่มมีฝ้าจางๆล่ะ กรี๊ด!สิวหาย ฝ้าตามมา(จึงตั้งปณิธาณว่าชาตินี้จะไม่กินไดแอนอีกต่อไป)ได้ยามาทาฝ้า อีก2อาทิตย์ ไปตรวจอีกครั้ง ปรากฎว่า ฝ้าหายไปล่ะ                                                                                       
ธรรมชาติของคนผิวมันพร้อมที่อุดตันและเป็นสิวง่ายได้มากกว่าผิวทั่วไปอยู่แล้ว เมื่อไม่มีไดแอนมาปรับสมดุลฮอร์โมน สิวก็เกิดตามแก้มอีกครั้ง ขณะนั้นอายุได้30ปีพอดิบพอดี จึงฉุกคิดได้ว่า ถ้าหน้าเราแห้ง ต่อมไขมันจะทำงานน้อยลง สิวจะไม่ขึ้นเลยนะ แล้วเลเซอร์คือพลังงานความร้อนที่ลงลึกถึงชั้นdermis(หนังแท้)เราก็จะไม่เป็นสิว แถมหน้าจะเรียบเนียนสวยอีกต่างหาก

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม