บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

 รู้หรือไม่ว่า อาหารเสริมบางอย่างอาจทำให้ใจสั่นได้

บางครั้งเรารับประทานวิตามินเพื่อหวังผลในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บหรือชะลอวัย
การได้รับวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอจะช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้ดีที่สุด  แต่ภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นหากได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนส่งผลให้ใจสั่น (Palpitation) คือ อาการที่คนไข้รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว เต้นแรง เต้นไม่สม่ำเสมอหรือเต้นๆหยุดๆ

1.โฟเลต(Folate)
โฟเลต(Folate)เรียกอีกอย่างว่า กรดโฟลิกหรือวิตามิน B9 อาจส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ ตามรายงานของสำนักงานอาหารเสริมแห่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (ODS)  ในทางกลับกันโรคโลหิตจางอาจทำให้หัวใจวายได้

 การขาดโฟเลตจะมีอาการดังนี้ คือ
 ความเหนื่อยล้า
 หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็ว
 ไม่มีเรี่ยวแรง
 ปวดศีรษะ
 หงุดหงิด
 
ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดยืนยันว่าขาดโฟเลต  แพทย์สามารถแนะนำอาหารเสริมที่เหมาะสมหรืออาจแนะนำให้เพิ่มแหล่ง
กรดโฟลิกตามธรรมชาติในอาหาร

อาหารที่อุดมด้วยโฟเลต ได้แก่ ตับวัว ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำดาว พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่ว ถั่วลันเตา และถั่วเลนทิล

2. วิตามินบี 12
การขาดวิตามินที่อาจทำให้ใจสั่นคือ วิตามินบี 12  เช่นเดียวกับการขาดโฟเลต การขาดวิตามิน B12 สามารถนำไปสู่ภาวะโลหิตจางและด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้หัวใจวายได้

การขาดวิตามินบี 12 มักจะเกิดขึ้นได้ช้าและมักสับสนกับเงื่อนไขอื่น ๆ ดังนั้นควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสอบว่าขาดสารอาหารนี้หรือไม่  หากมีวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอ แพทย์อาจสั่งวิตามินสำหรับอาการใจสั่นและอาการอื่นๆ ในรูปแบบการฉีดหรือรับประทานอาหารเสริม

สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าได้รับสารอาหารเพียงพอ หากรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นประจำเนื่องจากผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์เป็นแหล่งวิตามินหลักของ B12

แหล่งวิตามิน B12 ที่ดี ได้แก่ อาหารทะเล เช่น หอยและปู เนื้อวัวและตับเนื้อ ยีสต์ ซีเรียล(ผู้ผลิตมักเติมB12เข้าไป)  ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง และเทมเป้ ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีสโยเกิร์ต และนม
 
วิตามินบี 12 มากเกินไปอาจทำให้หัวใจวายได้หรือไม่
ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าการรับประทานวิตามินในปริมาณมากอาจทำให้หัวใจวายได้  อย่างไรก็ตาม อาจนำไปสู่อาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลียหรืออ่อนแรง ชาที่มือและเท้า

3. วิตามินดี
วิตามินดีเป็นอาหารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่อาจทำให้ใจสั่นเมื่อรับประทานในปริมาณมาก

การทบทวนในเดือนมีนาคม 2018 ใน ​Circulation​ พบว่า การมีวิตามินดีส่วนเกินในร่างกายเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับการเต้นของหัวใจห้องบน ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

จากข้อมูลของ Mayo Clinic การรับประทานยา 60,000 หน่วยสากล(IU)ทุกวันในช่วงหลายเดือนสามารถนำไปสู่ความเป็นพิษได้

เพื่อป้องกันปัญหานี้ ผู้ใหญ่ควรปฏิบัติตามแนวทางการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันที่แนะนำให้รับประทานวิตามินดี 600 หน่วยสากล(IU)ต่อวันเท่านั้น ยกเว้นจะได้รับการตรวจเลือดเพื่อเช็คระดับวิตามินเสียก่อน

วิตามินดีที่พบในอาหาร จะมีอยู่ 2 ชนิด นั่นคือ
1.วิตามินดี 2 (Vitamin D2) หรือ เออโกแคลซิเฟอรอล (Ergocalciferol) ซึ่งจะมาจากอาหารที่เป็นพืช เช่น เห็ด นมและซีเรียลที่เติมวิตามินดี
2.วิตามินดี 3 (Vitamin D3) หรือ โคเลแคลซิเฟอรอล (Cholecalciferol) พบในเนื้อสัตว์ เช่น ปลาทะเล ไข่แดง นมที่เติมวิตามินดี

ตับจะเปลี่ยนวิตามินดี 2 ให้กลายเป็น 25-Hydroxyvitamin D2 และวิตามินดี 3 เป็น 25-Hydroxyvitamin D3 ซึ่งเป็นรูปแบบวิตามินดีที่ร่างกายนำไปใช้ได้ จะเรียกสาร 2 ตัวนี้ว่า Calcifediol

วิตามินดี 3 จะเพิ่มระดับ Calcifediol ในเลือดได้มากกว่า วิตามินดี 2 เป็นสองเท่า ดังนั้นหากซื้ออาหารเสริมวิตามินดี ควรเลือกซื้อเป็น วิตามินดี 3 จะดีกว่าคะ

ควรพบแพทย์หากมีสัญญาณของการได้รับวิตามินดีเกินขนาด เช่น
ไม่มีเรี่ยวแรง คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะบ่อย

เมื่อไม่นานมานี้ มีพี่ผู้หญิงอายุน่าจะ 50 ปีกว่า มีประวัติ Hyperthyroidism ปัจจุบันแพทย์สั่งหยุดยากินแล้ว
มาปรึกษาแป้งว่า กิน D3 5000iu +เมลาโทนิน 3 mg อย่างละ 1 เม็ดต่อวัน มาเป็นเวลา 2 เดือนกว่า ไม่พบปัญหาอะไร
 2 วันที่ผ่านมา มีอาการใจสั่น ลองหยุดกินวิตามินทั้ง 2 ตัว ปรากฎว่า ไม่มีอาการใจสั่นเกิดขึ้น

แป้งลองไปค้นข้อมูลว่า วิตามินมีผลทำให้เกิดอาการใจสั่นได้หรือไม่
ผลปรากฏว่าว่า วิตามินดีที่ overdose(เกินขนาด)จะทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นนะคะ

สังกะสี(Zinc)หรือวิตามินซีทำให้หัวใจวายได้หรือไม่

ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการขาดสังกะสี(Zinc)หรือวิตามินซีหรือการใช้ยาเกินขนาดอาจทำให้หัวใจวายได้

อย่างไรก็ตาม การขาดแร่ธาตุสังกะสีอาจทำให้เกิดอาการอื่นๆ เช่น
เด็กจะเจริญเติบโตช้า เบื่ออาหาร การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้การขาดวิตามินซีจะทำให้เกิดอาการเลือดออกตามไรฟัน ความเหนื่อยล้า เหงือกอักเสบ ปวดข้อ แผลหายช้า

แต่สังกะสีหรือวิตามินซีมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องร่วง

4.แคลเซียม

การมีแคลเซียมไหลเวียนในเลือดมากเกินไป เป็นภาวะที่เรียกว่าภาวะแคลเซียมในเลือดสูง บางครั้งอาจทำให้หัวใจวายได้
อย่างไรก็ตาม อาการใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดปกตินั้นพบได้น้อยมาก และเป็นผลมาจากภาวะแคลเซียมในเลือดสูงอย่างรุนแรง

ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงสามารถเกิดขึ้นได้ หากรับประทานวิตามินดีในปริมาณสูงหรืออาหารเสริมแคลเซียมในปริมาณมาก ภาวะนี้มักเกิดจากภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป หรืออาจเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินดี วิตามินเอ หรือแคลเซียมเสริมมากเกินไป รวมทั้งอาจพบได้ในผู้ที่เป็นโรคไต วัณโรค

ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่มีสาเหตุจากโรคมะเร็ง เป็นภาวะคุกคามชีวิตที่พบได้บ่อย ประมาณร้อยละ10-30
มะเร็งท่ีพบบ่อยได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้และมะเร็งที่แพร่กระจายไปกระดูก รวมถึงผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายได้น้อย มีการกดทับที่กระดูกเป็นระยะเวลานาน ทำให้กระดูกปลดปล่อยแคลเซียมเข้าสู่เลือด
โดยผู้ที่มีแคลเซียมในเลือดสูงไม่มากนัก มักจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในรายที่แคลเซียมในเลือดสูงรุนแรง อาจแสดงอาการแตกต่างกันไป เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลีย สับสน หัวใจเต้นผิดจังหวะ ใจสั่น รวมไปถึงกระดูกบางและแตกหักได้ง่าย

เมื่อสงสัยว่ามีภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ให้พบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา  และหากมีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อความสามารถของร่างกายในการประมวลผลแคลเซียม เช่น โรคไต ให้ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
 
หากม่มีข้อกังวลด้านสุขภาพใดๆ ก็ตาม ให้ยึดตามแนวทางการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันที่แนะนำให้บริโภค 1,000 มก. ต่อวัน หรือ 1,200 มก. ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 51 ปี

5. แอล-ไลซีน
L-lysine เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและผลิตคอลลาเจน แต่การได้รับแอล-ไลซีนไม่เพียงพออาจทำให้หัวใจวายทางอ้อม การขาดสารอาหารนี้อาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น หัวใจเต้นผิดปกติ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการต่างๆเช่น  ความเหนื่อยล้า คลื่นไส้ เวียนหัว เบื่ออาหาร ดวงตาแดงก่ำ เด็กเจริญเติบโตช้า

ควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนซึ่งมีไลซีนให้มากๆ อาหารเหล่านี้ได้แก่  เนื้อสัตว์ ปลา ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้และเทมเป้ ถั่วและเนยถั่ว พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่ว ถั่วลันเตา และถั่วเลนทิล

 6.โพแทสเซียม
โพแทสเซียมเป็นอาหารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่อาจทำให้หัวใจวายได้  เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นและอิเล็กโทรไลต์ที่ช่วยให้จังหวะการเต้นของหัวใจทำงานได้ตามปกติ แต่การได้รับสารอาหารไม่เพียงพออาจส่งผลให้เกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวกับหัวใจ เช่น อาการใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ
 
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำที่ควรระวัง ได้แก่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง อัมพาต รู้สึกแสบร้อนหรือเหน็บที่แขนและขา
ในทางกลับกัน การมีโพแทสเซียมมากเกินไปในระบบซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า ภาวะโพแทสเซียมสูง อาจนำไปสู่ปัญหาที่คล้ายคลึงกันได้ ในกรณีที่รุนแรง อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้

โพแทสเซียมมีอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในผลไม้และผักทุกชนิด แต่พบมากในกล้วย กีวี ลูกพรุน อะโวคาโด แคนตาลูป มันฝรั่ง มันเทศ ถั่วต่างๆ ไข่ โยเกิร์ต หรือในอาหารเสริมบางประเภท แต่พบได้น้อยในเนยแข็ง

โพแทสเซียมในเลือดสูงมีได้หลากหลายอาการที่พบได้บ่อย เช่น เหนื่อย คลื่นไส้ เคลื่อนไหวได้ช้าลง หัวใจและชีพจรเต้นผิดจังหวะและเต้นช้า เป็นลมหมดสติ

ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำอย่างรุนแรงและภาวะโพแทสเซียมสูงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการ

7. แมกนีเซียม
การขาดแมกนีเซียมอย่างรุนแรงอาจส่งผลให้เกิดปัญหาหัวใจ เช่นจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติและอาการกระตุกของหลอดเลือด
แมกนีเซียมยังมีบทบาทในการใช้วิตามินดี แคลเซียม และโพแทสเซียมในร่างกาย ทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่อาการใจสั่นได้เช่นเดียวกัน

อาการของการขาดแมกนีเซียม เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ไม่มีเรี่ยวแรง ปวดหัว อาการชาหรือรู้สึกเสียวซ่า กล้ามเนื้อหดตัวหรือเป็นตะคริว

อาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ผักใบเขียว ผักโขม
ผักที่มีแป้ง เช่น มันฝรั่ง อะโวคาโด ถั่ว แซลมอน

สำหรับผู้ใหญ่ ปริมาณแมกนีเซียม 310-420 มิลลิกรัมต่อวัน ถือว่าปลอดภัย

ผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะระบบทางเดินอาหารและเบาหวานชนิดที่ 2
 มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดแมกนีเซียมอย่างรุนแรง หากอยู่ในข้อใดข้อหนึ่งเหล่านี้และมีอาการ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม

แม้ว่าวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดอาจทำให้หัวใจวายได้ นอกเหนือจากอาหารเสริม โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือสารกระตุ้นอื่นๆและนิโคตินในผลิตภัณฑ์ยาสูบสามารถนำไปสู่การเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอหรือเต้นเร็วได้

ยาบางชนิดอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วได้ เช่น ยาสูดพ่นหอบหืด
ยาแก้คัดจมูก ยาที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ยาไทรอยด์
ยาแก้ไอและยาแก้หวัด






ที่มา

www . livestrong . com/article/285943-vitamins-that-cause-heart-palpitations/

แคลเซียมในเลือดผิดปกติ อันตรายกว่าที่คิด | โรงพยาบาลเปาโล - Paolo Hospital

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Dark chocolate มีประโยชน์อย่างไร

 ดาร์กช็อกโกแลต (Dark Chocolate)

ดาร์กช็อกโกแลตผลิตมาจากเมล็ดโกโก้ เป็นประเภทของช็อกโกแลตที่มีสัดส่วนของโกโก้อยู่เยอะที่สุด
ดาร์กช็อกโกแลตที่วางขายในท้องตลาด จะมีปริมาณโกโก้ดังนี้
1.ดาร์กช็อกโกแลต 50% ขึ้นไป : มีรสชาติหวาน ออกขมนิดๆ เป็นดาร์กช็อกโกแลตที่กินง่ายที่สุด
2.ดาร์กช็อกโกแลต 70% ขึ้นไป : รสชาติเข้มข้น ออกหวานนิดๆ และมีรสขมอมเปรี้ยวแบบเฝื่อนๆ แต่ยังคงกินง่าย
3.ดาร์กช็อกโกแลต 80%-99% : รสชาติขม เข้มข้น มีรสเปรี้ยวติดลิ้น นิยมนำไปทำขนมเบเกอรี่

ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดโกโก้
 • เนื้อโกโก้ (cocoa liquor หรือ cocoa mass)
 • โกโก้ผง (cocoa powder)
 • เนยโกโก้ (cocoa butter)
 • ช๊อกโกแลต (chocolate)

ดาร์กช็อกโกแลตนอกจากจะมีน้ำตาลน้อยกว่าช็อกโกแลตประเภทอื่นแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุต่าง ๆ อีกด้วย เช่น ฟลาโวนอยด์ ธาตุเหล็ก ทองแดง สังกะสี แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้นสารอาหารในดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลตที่มีผงโกโก้ 70-85 % ปริมาณ 30 กรัม จะมีสารอาหารโดยประมาณ ดังนี้
 •   พลังงาน 180 แคลอรี่
 •   ไขมัน 12.78 กรัม
 •   โปรตีน 2.34 กรัม
 •   คาร์โบไฮเดรต 13.8 กรัม
 •   เส้นใยอาหาร 3.3 กรัม
 •   น้ำตาล 7.2 กรัม
 •   คาเฟอีน 0.02 มิลลิกรัม
 •   น้ำ 0.42 กรัม
 •   แร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ
ประโยชน์ของดาร์กช็อกโกแลต
1.มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งหลายการศึกษาพบว่า สารโพลีฟีนอลจะช่วยส่งเสริมให้หลอดเลือดแข็งแรง มีส่วนช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี HDL ซึ่งช่วยลดการอักเสบและการก่อตัวของลิ่มเลือดได้

2.ลดระดับความดันโลหิต การรับประทานดาร์กช็อกโกแลตสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ช่วยลดความดันโลหิต ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว

3.ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจาก
ดาร์กช็อกโกแลตอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายมากมาย จึงช่วยบำรุงหลอดเลือดทำให้เกิดการไหลเวียนโลหิตได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง

4.ช่วยเพิ่มระดับไขมันดี HDL และลดไขมันไม่ดี LDL ในร่างกาย ใน American Journal of Clinical Nutrition ระบุไว้ว่า ในโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตจะมีสารฟลาโวนอยด์ และโพลีฟีนอลในดาร์กช็อกโกแลต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี LDL และเพิ่มคอเลสเตอรอลดีอย่าง HDL ในเลือดได้

5.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง สารฟลาโวนอยด์
ในดาร์กช็อกโกแลต มีฤทธิ์ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ออกซิเจนและเลือดลำเลียงไปสู่สมองได้ดี ส่งผลให้เราจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

6.ช่วยลดความเครียด มีการศึกษาพบว่า คนที่รับประทาน
ดาร์กช็อกโกแลตปริมาณ 40 กรัมทุกวัน นาน 2 สัปดาห์ ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนแห่งความเครียดลดลง เมื่อเทียบกับวันแรกที่เริ่มรับประทาน

แม้ดาร์กช็อกโกแลตจะมีประโยชน์กับร่างกาย แต่หากรับประทานมากเกินไป จะได้รับน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย จึงควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม คือ 20 – 30 กรัม หรือ 1 ชิ้นเล็กต่อวัน และควรเลือกช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของโกโก้อย่างน้อย 70 % ขึ้นไป เนื่องจากจะมีส่วนประกอบของน้ำตาลน้อย และมีสารฟลาโวนอยด์สูง

ส่วนประกอบของโกโก้
สารสำคัญคือ alkaloid ได้แก่ ทีโอโบรมีน (theobromine) จากโกโก้มีโครงสร้างคล้าย caffeine (คาเฟอีน)มาก แต่จะมีฤทธิ์อ่อนกว่า  ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและหัวใจ ขับปัสสาวะ ขยายเส้นเลือด คลายกล้ามเนื้อเรียบ บรรเทาอาการหอบหืดคล้ายกับฤทธิ์ของทีโอฟิลลีน (theophylline)

Theophylline (ทีโอฟิลลีน) เป็นยาในกลุ่มยารักษาโรคหอบหืด (Antiasthmatic) และโรคปอด มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อบริเวณรอบ ๆ ทางเดินหายใจภายในปอด ทำให้ทางเดินหายใจภายในปอดกว้างขึ้น และหายใจได้สะดวกขึ้น รวมถึงช่วยในเรื่องการหดตัวของกระบังลม ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการหายใจ และลดการตอบสนองของทางเดินหายใจจากสารระคายเคืองที่มากระตุ้น ยานี้ใช้เพื่อป้องกันหรือรักษาอาการต่าง ๆ เช่น แน่นหน้าอก หายใจถี่จากโรคหืด โรคหลอดลมอักเสบ และโรคปอดอื่น ๆ

หมายเหตุ ห้ามใช้ยานี้หากกำลังบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเมทิลแซนทีน( Metyl-Xanthine) ในปริมาณมาก เช่น ช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีคาเฟอีน

เมทิลแซนทีน เป็นกลุ่มของแอลคาลอยด์ รวมทั้งกาเฟอีน ทีโอโบรมีน และทีโอฟิลลีน (theophilline) ซึ่งพบมากอยู่ในชา กาแฟ โกโก้ และช็อกโกแลต

โดยทั่วไปแล้วผงโกโก้ธรรมชาติจะมีรสชาติเปรี้ยวอ่อน ๆ คล้ายผลไม้ และมีสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มแล้วแต่ลักษณะของสายพันธ์ที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ปลูก

ในการผลิตผงโกโก้นั้นมีขบวนการผลิตที่นิยมหลักๆ อยู่ 2 แบบคือ
1. Natural Cocoa Powder นิยมผลิตในแถบอเมริกา เช่น Hershey's, Ghirardelli, และ Scharffen Berger
2. Dutch-Process Cocoa Powder หรือ Alkalized Cocoa Powder นิยมผลิตในแถบยุโรป เช่น Cocoa Dutch, Valrhona, Cacao Barry และ Van Houten

ผงโกโก้ธรรมชาติที่เกิดจาการทำ Natural Process (Natural Cacao Powder) และ ผงโกโก้ที่ผ่านกระบวนการดัตช์ (Dutch-Processed Cocoa Powder) ต่างกันอย่างไร

ผงโกโก้แบบธรรมชาติ (Natural Cocoa Powder) จะมีสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีของดิน และมีความเป็นกรดอยู่ ในการทำเบเกอรี่จึงควรจะใช้คู่กับ Baking Soda เพื่อให้ลดความเป็นกรดลง โกโก้แบบธรรมชาตินั้นจะมีสีอ่อนกว่าแต่มีรสขมเข้มกว่าแบบ Dutch Process

ส่วนการผลิต Dutch-Process Cocoa Powder ซึ่งกระบวนการนี้ถูกคิดค้นโดยนักเคมีที่มีชื่อว่า Mr. Coenraad J. Van Houten หรือที่รู้จักกันดีในนามของ Van Houten Chocolate ที่โด่งดังไปทั่วโลก สาเหตุที่เรียกว่า Dutch-Process นั้นเป็นเพราะว่า Mr. Van Houten เป็นชาวดัตช์ หรืออีกชื่อที่เราคุ้นเคยนั้นคือ ชาวเนเธอร์แลนด์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบนั่นเอง

โดยขั้นตอนเริ่มต้นเหมือนกับผงโกโก้แบบธรรมชาติ แต่จะเพิ่มขั้นตอนการลดความเป็นกรดโดยการใช้โปรแตสเซียมคาร์บอเนต ในขั้นตอนการผลิตก่อนจะนำมาบีบอัดแยกไขมันและทำเป็นผงโกโก้ ผลที่ได้จะทำให้ผงโกโก้มีสีที่เข้มขึ้น แต่ความขมจะลดลง และมีรสนุ่มนวลมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากความเข้าใจทั่วไปว่า สีเข้มน่าจะขมมากกว่า ในการทำเบเกอรี่ควรใช้คู่กับผงฟู (Baking Powder)

ผงโกโก้ส่วนมากที่วางจำหน่ายในประเทศไทยจะเป็นแบบ Dutch process เช่น Cacao Barry, Cocoa Dutch, Van Houten, และ Tulip ซึ่งสีเข้มก็จะผ่านขบวนการลดความเป็นกรด (Alkalisation) มากกว่าสีอ่อน

ส่วน Black Cocoa Powder คือผงโกโก้แบบ Dutch-Process ที่ผ่านขบวนการลดความเป็นกรดที่มากขึ้น ใช้เวลานานขึ้น จนได้ผงโกโก้ที่มีสีดำสนิท โดยทั่วไปจะขมน้อยกว่าแบบสีเข้มและสีอ่อน
เรารู้จักกันดีคือ ขนมคุ้กกี้โอรีโอ้ ซึ่งถ้าใช้ผงโกโก้ทั่วไป ยากที่จะทำออกมาให้สีดำสนิท


ที่มา :

ประโยชน์ของดาร์กช็อกโกแลต - MedPark Hospital www . medparkhospital . com › content › health-be...

7 ประโยชน์ดีๆ ที่คุณจะได้รับ เมื่อกิน 'ดาร์กช็อกโกแลต' www . ofm . co . th › blog › dark-chocolate-benefits

Cocoa / โกโก้ - Food Wiki www . foodnetworksolution . com › wiki › word

ความแตกต่างระหว่างผงโกโก้ธรรมชาติกับผงโกโก้แบบดัตช์ www . chocolasia . com › 2019/06/22 › โกโก้-dutc...

ผงโก้โก้สีดำ (ฺBlack Cocoa Powder),วิธีการทำโกโก้,Natural homemademarket . co . th › blog › blog1

Theophylline (ทีโอฟิลลีน) - รายละเอียดของยา - พบแพทย์ - Pobpadh www . pobpad . com › theophylline

Revitalizing immune force วิตามินเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันทุกช่วงของชีวิต

 ทุกวันนี้โลกของเราเต็มไปด้วยอนุมูลอิสระมากมาย  โดยเฉพาะช่วง 3 ปีที่ผ่านมา(2019-2021) ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เชื้อไวรัสได้พัฒนาตัวเองขั้นสุดโจมตีมวลมนุษย์ชาติแทบทุกภูมิภาค ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ไม่น่าจะมีใครลืมโรค CIVID-19 ซึ่งติดต่อกันง่ายมาก

ไวรัสตัวนี้มักจะเริ่มต้นจู่โจมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยการเพิ่มจํานวนของไวรัสเกิดข้ึนในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและในปอด มีงานวิจัยในช่วงแรกระบุว่า
มีการเพิ่มจํานวนของไวรัสได้ในระบบทางเดินอาหาร แต่การติดต่อผ่านระบบทางเดินอาหารยังไม่เป็นที่ยืนยัน

ตามปกติภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งสร้างได้จากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ รับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่สะสมความเครียด ฯลฯ คงจะดีไม่น้อยหากเราเลือกรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระที่รวมวิตามินหลายชนิดไว้ในเม็ดเดียว

วิตามิน Revitalizing immune force ยี่ห้อ Holistic Nutrition ผลิตในอเมริกา มีส่วนประกอบดังนี้
1. Modified Rice Bran คือสารสกัดจากรำข้าวดัดแปลง
อะราบิน็อกซีแลน(arabinoxylan) เป็นเส้นใยอาหารชนิดที่ละลายได้ในน้ำ จัดเป็นประเภทเฮมิเซลลูโลสที่อยู่ในกลุ่มพอลิแซ็กคาไรด์(polysaccharides)

สารประกอบอะราบิน็อกซีแลนเป็นสารสกัดจากรำข้าว  
ที่ทำปฏิกิริยากับเอนไซม์จากเห็ดหอมชิตาเกะ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพ รำข้าวที่ดัดแปลงด้วยเอนไซม์จะช่วยให้การทำงานของเซลล์นักฆ่า(Natural Killer cell) มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

สารประกอบอะราบิน็อกซีแลนจากรำข้าวมักใช้เพื่อส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน  นอกจากนี้ยังใช้สำหรับโรคมะเร็ง ลดผลข้างเคียงของการรักษามะเร็ง อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (CFS) โรคตับอักเสบซีและอาจเพิ่มความต้านทานต่อการติดเชื้อไวรัสและมะเร็งในผู้สูงอายุ

ความเชื่อมโยงระหว่างความแข็งแกร่งของภูมิคุ้มกันที่ลดลงกับการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นและโรคมะเร็ง ได้รับการพิสูจน์ในการศึกษาจำนวนมากซึ่งแสดงให้เห็นว่า การลดลงของการทำงานเชิงคุณภาพของเม็ดเลือดขาวในช่วงอายุมากขึ้น จึงไม่แปลกที่ผู้สูงอายุมักจะติดเชื้อในกระแสเลือดบ่อยครั้ง

นักวิจัยเชื่อว่าเส้นใยนี้ ช่วยให้ร่างกายผลิตเซลล์นักฆ่าที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นและกระตุ้นเซลล์เหล่านั้น

ในการศึกษาหนึ่ง สารสกัดรำข้าวดัดแปลงแสดงให้เห็นว่า สามารถเพิ่มเซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติได้ 84% งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า สารสกัดรำข้าวดัดแปลงทำงานได้ดีในเวลาเพียงสองวัน สามารถใช้ได้ในช่วงฤดูไข้หวัดใหญ่เมื่อผู้ป่วยมีความอ่อนไหวต่อเชื้อโรคมากขึ้น

2.Himematsutake (Agaricus Blazei) เรียกอีกอย่างว่า เห็ดกระดุมบราซิล

เห็ดกระดุมบราซิล(Agaricus Blazei) ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางทั่วโลกว่าเป็นของขวัญจากธรรมชาติที่นำมาซึ่งสุขภาพที่ดีและอายุยืน
 
ในบรรดาเห็ดที่มีศักยภาพมากที่สุดนั้น เห็ดกระดุมบราซิลมี polysaccharides มากถึง 27 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลที่ประกอบขึ้นเป็นระดับโมเลกุลของโครงสร้างคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
โพลีแซคคาไรด์บางชนิดมีหน้าที่เก็บพลังงาน ในขณะที่มนุษย์ได้รับพลังงานจากการรับประทานอาหาร แต่โพลีแซคคาไรด์บางชนิดมีหน้าที่ในการรักษาโครงสร้างของเซลล์
 
นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่บริโภคเห็ดกระดุมบราซิลเป็นประจำนั้น
มีแนวโน้มที่จะไม่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังที่รุนแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบต้ากลูแคน(โพลีแซคคาไรด์)ในเห็ด ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีศักยภาพที่ไม่เหมือนใคร

3.Bacillus subtilis (1.5 Billion CFU) บาซิลลัส ซับทิลิสเป็นที่รู้จักว่าสามารถทนต่อความร้อน น้ำดี และกรดในกระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้ประโยชน์ เช่น เพิ่มระดับภูมิต้านทาน ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง ปรับระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น ฯลฯ

แบคทีเรียนี้ชนิดใช้กันอย่างแพร่หลายในระดับอุตสาหกรรมโดยบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการผลิตเอนไซม์ ส่วนประกอบทางเภสัชกรรม และ GMOs  

บาซิลลัส ซับทิลิสเป็นที่นิยมทั่วโลกก่อนเริ่มมีการใช้ยาปฏิชีวนะ เมื่อใช้ บาซิลลัส ซับทิลิสเป็นสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อช่วยรักษาโรคทางระบบเดินอาหารและระบบทางเดินปัสสาวะ หลังจากทศวรรษ 1950 ยาปฏิชีวนะถูกใช้อย่างแพร่หลาย โปรไบโอติกตัวนี้ได้รับความนิยมลดลง แต่ในทางกลับกัน  บาซิลลัส ซับทิลิสถูกใช้อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมปศุสัตว์และสัตว์ปีกเพื่อทดแทนยาปฏิชีวนะ

4.Selenium (as L-selenomethionine) เป็นโคเอนไซม์ของสารต้านอนุมูลอิสระ ร่างกายได้รับจากอาหารประเภทผัก เน้ือสัตว์และ อาหารทะเล เชื่อว่าสามารถป้องกันโรคมะเร็งและลดโอกาสการเกิดโรคเรื้อรังได้

Selenium ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปีค.ศ 1817 โดยนักเคมีชาวสวีเดน John Jacob Berzelius และ J.G Gahn จัดเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญพบปริมาณน้อยในร่างกาย ทำงานเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร่วมกับวิตามินอีในการป้องกันเซลล์ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ( ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความชราและการเกิดโรคร้ายต่างๆ ) เป็นส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระเอนไซม์ peroxidase glutathione และ reductase thioredoxin
ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุและเป็นสารต้านการอักเสบในการรักษาข้ออักเสบ

รูปแบบที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ L-selenomethionine ดูดซึมได้ง่ายและเก็บไว้ในร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นรูปแบบที่ถูกนำมาใช้ทดลองทางคลีนิกมากที่สุด

มีประโยชน์อย่างไร

1.เพิ่มจำนวนเซลล์นักฆ่า(Natural Killer cell)
เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ซึ่งเซลล์ชนิดนี้เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวส่วนน้อยของเม็ดเลือดขาวทั้งหมดโดยจะมีอยู่ประมาณ 5-10% ของเม็ดเลือดขาวที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย

โดยทั่วไปเซลล์นักฆ่าจะมีหน้าที่หลักคือ การลาดตระเวนและตรวจตราหาเซลล์แปลกปลอม เซลล์ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือ เซลล์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจนอาจก่อให้เกิดอันตรายภายในร่างกาย เมื่อเซลล์นักฆ่าตรวจสอบพบเซลล์ที่มีความเปลี่ยนแปลงหรือกลายพันธุ์ไปซึ่งมักเกิดจากจากการติดเชื้อหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นเซลล์มะเร็งนั้น เซลล์นักฆ่าจะทำลายเซลล์ผิดปกติดังกล่าวก่อนที่เซลล์เหล่านั้นจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือพัฒนาไปสู่การเป็นโรคมะเร็ง

2.จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยเพิ่มระดับภูมิต้านทาน เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่งทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย
3.เพิ่มระดับพลังงานทำให้ไม่เหนื่อยง่าย

4.ลดอาการไอจาม น้ำมูกไหลจากภาวะภูมิแพ้

5.เพิ่มประสิทธิภาพของปอดให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

6.ช่วยฟื้นฟูร่างกายและลดการอักเสบในระดับเซลล์
ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิต้านทานผิดปกติ(Autoimmune disease)เช่น ไทรอยด์ SLE ข้ออักเสบรูมาตอยด์

พัฒนาการของบีเซลล์ (B cell) และทีเซลล์ (T cell) ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกายมนุษย์ เป็นกระบวนการอันซับซ้อนซึ่งทำให้เกิดกลุ่มของเซลล์ที่มีความหลากหลาย  แยกไม่ออกว่า เซลล์ใดคือเชื้อโรค เซลล์ใดเป็นเซลล์ปกติของตัวเอง ซึ่งอาจทำให้มีเซลล์บางเซลล์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น การเกิดภูมิต้านเนื้อเยื่อตนเอง(Autoimmune disease)

7.ป้องกันการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด ทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบ ฯลฯ

8.ช่วยลดความอ่อนเพลียจากการฉายรังสีหรือเคมีบำบัด

9.อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมของร่างกาย ป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปกติไม่ให้เป็นเซลล์มะเร็งได้

10.อาจช่วยป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็งแทบทุกชนิด  ชะลออัตราการขยายตัวของเซลล์และเพิ่มความแตกต่างของเซลล์

เซลล์มะเร็งเป็นการทำให้เกิดการแบ่งตัว เพิ่มจำนวนเซลล์อย่างรวดเร็วของเซลล์ที่เป็นอมตะ (ไม่มีการตายของเซลล์) เกิดจากไมโตคอนเดรียที่เสียหาย ในคนที่มะเร็งระยะสุดท้าย เซลล์มะเร็งมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วจนเซลล์ไม่แตกต่างกันมากพอที่จะระบุได้ว่าเป็นเซลล์ชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น เซลล์เต้านมหรือเซลล์ตับ เซลล์มะเร็งที่ไม่แตกต่างกัน เรียกว่าเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง สามารถกระจายในกระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย โดยที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่รับรู้ว่าเป็นเซลล์แปลกปลอม สามารถแบ่งตัวและแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียงผ่านทางระบบเลือดหรือระบบทางเดินน้ำเหลืองได้อย่างรวดเร็ว

ภูมิคุ้มกันสำคัญกับชีวิตผู้คนทุกช่วงทุกวัย หากมีระบบภูมิต้านทานที่แข็งแกร่งซึ่งมักจะมาพร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ว่าเราจะมีอายุมากเพียงไร ร่างกายจะกระฉับกระเฉง คล่องแคล่วว่องไว
ไม่เจ็บป่วยออดๆแอดๆ สามวันดีสี่วันไข้ ในอดีตแป้งเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เด็ก คันหูคันตาและเหนื่อยง่าย(โลหิตจาง+พาหะธาลัสซีเมีย)ถือเป็นเรื่องปกติ จวบจนสิบกว่าปีที่ผ่านมา
อาการภูมิแพ้ได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนเหมือนคนปกติ จะกำเริบแค่ช่วงที่นอนดึกและเครียดเท่านั้น(ในหนึ่งปีมี 1-2 ครั้ง)ตลอดเวลาหลายปีแป้งมีภูมิต้านทานที่สูงขึ้น ร่างกายแข็งแรง พลังงานเยอะ ไม่เหนื่อยล้าง่าย มองเห็นตัวหนังสือชัด ไม่ต้องใส่แว่น ตื่นนอนตอนเช้าสดชื่นแม้จะนอนดึกแค่ไหน ซึ่งเป็นผลจากการกินวิตามินคุณภาพสูงต่อเนื่อง ไม่เคยหยุดพัก คนที่กินวิตามินแบบแป้ง จะรู้สึกได้เช่นเดียวกันว่า ความเจ็บป่วยกับอ่อนเพลียอยู่ห่างไกลเหลือเกิน

ในความหมายของคำว่า ‘’ชะลอวัย’’คือ ป้องกันและฟื้นฟูความเสื่อมของสุขภาพ ปรับสมดุลต่างๆให้กับร่างกาย ปีนี้ที่อายุ 48 แป้งถือว่า สอบผ่านนะคะ




สอบถามสินค้าและสั่งซื้อได้ที่
hamercandysiam.lnwshop.com
Revitalizing immune force - Hamer candy : Inspired by LnwShop.com

Tel.061-7429944
Line id : 0617429944



ที่มา :

https://www.reliasmedia.com/articles/124587-rice-bran-arabinoxylan-for-regulation-of-the-immune-system

7 Science-Based Health Benefits of Selenium - Healthlinehttps://www.healthline.com › ... › Nutrition

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3168293/

แถลงข่าว “ก้าวแรกสู่ความสำเร็จ การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วยเซลล์ ...https://www.chula.ac.th › news

อะพอพโทซิส - วิกิพีเดียhttps://th.wikipedia.org › wiki › อะพอพโทซิส

What is NK Cell Therapy? How you can improve your Natural ...https://www.bioxcellerator.com › blog › w...

12 Proven & Potential Benefits of the Probiotic B. subtilishttp://anabio.com.vn › ... › Science News




หมายเหตุ
1.รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น กรณีบำรุงสุขภาพทั่วไปหรือต้องการเพิ่มระดับภูมิต้านทาน
2. รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น
กรณีเป็นโรคระบบภูมิต้านทานผิดปกติ(Autoimmune disease)ที่อาการแสดงไม่มาก
3.รับประทานครั้งละ 2 เม็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น กรณีโรคมะเร็ง

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม