บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

รู้จักเลือกส่วนผสมสำคัญ(Active Ingredients)ในเครื่องสำอางกันดีกว่า

เวลาที่เราดูละครโทรทัศน์ไม่ว่าจะช่องไหนก็ตาม หากเรามองหน้าตัวละครไม่ว่าจะเป็นพระเอก
นางเอก นักแสดงสมทบต่างๆ

หากไม่นับความสวย-หล่อ เราจะเห็นความเต่งตึงหรือริ้วรอย บนใบหน้านักแสดงเหล่านั้นเสมอ

ดาราระดับพระเอก นางเอกไม่เว้นแม้แต่นักแสดงสมทบ
ที่อายุเกิน 25 ปีขึ้น มักจะมีใต้ตาบวม ร่องแก้ม ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยย่นระหว่างคิ้วและ
หน้าผากแทบทุกคน

ทางลัดไปสู่ความงามที่เป็นอมตะคือ การเข้าคลีนิกผิวพรรณสม่ำเสมอ จะทำให้หน้าเรียบเนียนใส
ไร้ริ้วรอยรอยไปจนอายุ 50-65 ปี ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ขอแค่มีเงินเท่านั้นเอง

คนทั่วไปจำนวนมาก ไม่ได้มีงบประมาณเสริมความงามราคาแพงได้เรื่อยๆ อย่างทำเลเซอร์
ซึ่งมีผลทำให้ใบหน้าจะเรียบเนียนใสราว 4-6 เดือน หลังจากนั้นผิวจะดร็อปลงเรื่อยๆจนเป็นเหมือน
ก่อนทำเลเซอร์

วิธีที่ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนใส แม้ผลลัพธ์ไม่อาจเทียบเคียงเลเซอร์ แต่ไม่ต้องเทียวเข้าเทียวออก
คลีนิคผิวพรรณ โดยเราต้องรู้จักเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า

ก่อนที่จะเลือกใช้ครีมบำรุงผิวใดๆก็ตาม ควรรู้จักอ่านส่วนประกอบที่สำคัญเพื่อช่วยในการตัดสินใจ
เป็นอันดับแรก

กรดที่ใช้ในวงการเครื่องสำอางมักถูกมองว่าอันตราย อันที่จริงกรดส่วนใหญ่ เมื่อโดนผิวแล้วจะ
ให้ผลลัพธ์ที่นุ่มนวล เรียบเนียนเพราะผิวตามธรรมชาติมีความเป็นกรดอยู่แล้ว

กรดเหล่านี้มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น เพิ่มความผุดผ่อง เปล่งปลั่ง ผลัดเซลล์ผิว ช่วยปกป้องและ
ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

1.AHA(Alpha Hydroxy Acid) หรือเรารู้จักกันดีในชื่อ ‘’กรดผลไม้’’ช่วยกระตุ้นให้เซลล์เก่าหมองๆ
หลุดลอก ทำให้เผยผิวเซลล์ผิวใหม่ที่อ่อนเยาว์ ด้วยเหตุนี้ผิวจึงแลดูเปล่งปลั่งเพราะเม็ดสีจำนวนหนึ่ง
หลุดติดไปกับเซลล์ผิวเก่าด้วย

2.กรดไกลโคลิก(Glycolic)และกรดแลกติก(Lactic)จะซึมผ่านผิวหนังได้เร็วที่สุด เป็นกรดที่มี
ประสิทธิภาพมากที่สุดแต่สร้างความระคายเคืองได้ง่าย ไม่เหมาะกับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย

3.เบต้า ไฮดรอกซี แอซิด(Beta Hydroxy Acid)หรือ BHA เรียกอีกอย่างว่า กรดซาลิไซลิก
(Salicylic Acid)

กรด AHA ละลายในน้ำและทำปฏิกิริยากับผิวชั้นบนสุด ในขณะที่ BHA ละลายในน้ำมัน
นั่นหมายความว่าBHA จะลงลึกถึงต่อมไขมันเพื่อกำจัดคราบสกปรกและเซลล์ที่ตายแล้ว
รวมถึงฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุ
ของสิวอีกด้วย

ด้วยเหตุผลนี้ BHA จึงเหมาะกับคนที่ผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย

เคลนเซอร์ที่ผสม BHA หรือ กรดซาลิไซลิก เหมาะที่จะใช้ทุกวันโดยเฉพาะสูตรที่มีความเข้มข้น
2% หรือ มาสก์หน้าที่มีกรดซาลิไซลิก 2%สัปดาห์ละ 1 ครั้ง(หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์
รักษาสิวในวันนั้นเพราะอาจทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย)

แป้งจำได้ว่า ช่วงอายุ 30 ต้น เคยใช้เคลนเซอร์ที่มีส่วนผสมของ BHA ยี่ห้อ
Murad ซึ่งได้ผลดีมากเพราะไม่เห็นมีสิวขึ้นสักเม็ด พอจะใช้ขวดที่สองต่อ
กลับไปซื้ออีกที อ้าว!ยกเคาน์เตอร์กลับอเมริกาไปซะล่ะ

4.ไฮยาลูโรนิกแอซิด(Hyaluronic Acid)และกรดไขมัน(Fatty Acid)

ไฮยาลูโรนิกแอซิด(Hyaluronic Acid)มีความชุ่มชื้นเสมือนเป็นแม่เหล็กดูดน้ำ
ในเซลล์ช่วยหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ

ไฮยาลูโรนิกแอซิดนอกจากป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง แต่ยังทำให้ผิวเปล่งปลั่งขึ้นทันตาอีกด้วย

หากอยากมีผิวนุ่มนวลสุดๆ ลองใช้ไฮยาลูโรนิกแอซิด 1%และกรดไขมันควบคู่กัน

ส่วนผิวที่บอบบางแพ้ง่าย ควรเลือกใช้กรดไขมัน(Fatty Acid)เป็นส่วนผสมหลัก

กรดไขมัน(Fatty Acid)มีชื่อเรียกว่า ลิโนเลอิก(Linoleic),อัลฟา-ลิโนเลอิก(Alpha-Linoleic)
หรือแกมมา-ลิโนเลอิก(Gamma-Linoleic)มีคุณสมบัติเป็นเกราะกำบังของผิว คอยปกป้องผิว
จากการระคายเคือง ในขณะเดียวกันยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ เมื่อไหร่ที่ผิวแห้งเกินไป
เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวโดยธรรมชาติจะหยุดทำงาน ผิวจึงแลดูหมองคล้ำและ
ไม่เรียบเนียน

ครีมบำรุงที่ผสมกรดไขมัน(Fatty Acid)จะช่วยบรรเทาสารพัดเรื่องผิว ตั้งแต่ผิวอักเสบ
จากมลภาวะฝุ่นละออง สายลมแรง แสงแดดระอุ ไปจนถึงผิวอักเสบจากการใช้ผลิตภัณฑ์
ที่มีส่วนผสมของกรดต่างๆมากเกินไป

5.โคจิก แอซิด(Kojic Acid)และอะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid)
ขณะที่กรดต่างๆมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวกระจ่างสว่างใสด้วยการค่อยๆกำจัด
เซลล์ผิวหมองคล้ำออกไป

โคจิก แอซิดจะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการสร้างเมลานินในเซลล์ผิวชั้นที่ลึกลงไป
เม็ดสีจึงขึ้นมาสู่ผิวชั้นบนน้อยลง

อะเซเลอิก แอซิดจะทำหน้าที่ควบคุมการผลิตเม็ดสีมากกว่าเข้าไปขัดขวางเหมือนโคจิก แอซิด
 ดังนั้นคนผิวสีมักได้ประโยชน์นี้มากกว่าเพราะอะเซเลอิก แอซิด จะทำให้ผิวปกติที่อยู่ใกล้
บริเวณจุดด่างดำสว่างขึ้นโดยไม่เป็นอันตราย

ประโยชน์อีกอย่างของอะเซเลอิก แอซิดคือ คุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย
จึงช่วยบรรเทาการเกิดสิวโรซาเซีย(Rosacea)และผิวเปลี่ยนสีเนื่องจากการอักเสบรวมถึง
รอยดำและรอยแดงจากสิวได้ดีอีกด้วย

อะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid)มีจำหน่ายรูปแบบครีมในชื่อการค้าคือ Skinoren
ปริมาณ 30 กรัม ราคา ~410 บาท มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป

หมายเหตุ ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย อาจทำให้แสบระคายเคือง
เพราะอะเซเลอิก แอซิดมีฤทธิ์เป็นกรด

ถึงอย่างไรโคจิก แอซิด(Kojic Acid)และอะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid มีพลังไม่เท่ากับ
ไฮโดรควิโนน(Hydroquinone)ซึ่งจัดการกับเม็ดสีทุกประเภทตั้งแต่จุดด่างดำขึ้นบางบริเวณ
ไปจนถึงรอยกระหรือฝ้าที่เป็นปื้น(สั่งจ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น)

6.เรตินอยด์ แอซิด(Retinoid Acid)กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดเลือนริ้วรอย
และเร่งระดับการผลัดเซลล์ ไม่ให้เซลล์เก่าทับถมซึ่งเป็นต้นเหตุของผิวหมองคล้ำหรือ
รูขุมขนอุดตัน แต่ประโยชน์เหล่านี้อาจแลกมาด้วยผิวแห้ง ลอกเป็นขุย รอยแดง

เรตินอยด์ แอซิด(Retinoid Acid)มีจำหน่ายในรูปครีมตามแพทย์สั่ง

ส่วนเรตินอยด์ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าและมีขายทั่วไปอย่างเรตินอล(Retinol)
หรือเรตินัลดีไฮด์(Retinaldehyde)จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นกรดเรตินอยด์ในร่างกาย เช่น Retin-A

ไม่ว่าเราจะเลือกส่วนผสมแบบไหนก็ตาม อย่าลืม!ทาครีมกันแดดในทุกๆวัน
หากมีส่วนผสมซิงก์ออกไซด์(Zinc Oxide)ที่มีมิเนอรัล
ฟิลเตอร์เป็นส่วนผสม ซึ่งช่วยปกป้องผิวได้ดีอย่างกับกำแพงอิฐเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวจากรังสีของแสงทุกคลื่นความยาว แม้กระทั่งแสง
ที่ปล่อยจากจอคอมพิวเตอร์หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า
สามารถทำให้เกิดจุดด่างดำได้เช่นกัน

ในบรรดาส่วนผสมที่ทำให้ผิวหน้าใส เรียบเนียน เราต้องรู้จักส่วนผสมอันตรายต่อ
ผิวหน้าด้วย ยิ่งใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานนานผิวจะอ่อนแอและบางลง
มีผลให้เกิดสิวปะทุ ผดผื่น กระฝ้าตามมา

ปัจจุบันจะพบครีมหน้าขาวใสเด้งที่ขายตามอินเตอร์เน็ต เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วภายใน
3-7 วันอยู่มากมาย เวลาที่เราเห็นเพื่อนๆหรือคนอื่นใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
อย่าเพิ่งรีบร้อนใช้ตาม ฉุกคิดเสียก่อนว่า ขนาดครีมบำรุงผิวตามเคาน์เตอร์แบรนด์
ราคาแพง ใช้จนหมดไปหลายกระปุก ผิวหน้ายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

แต่ครีมบำรุงผิวที่ทำให้หน้าใสรวดเร็วไวขนาดนั้น ย่อมต้องมีส่วนผสมที่เป็นกรด
ซึ่งหากมีความเข้มข้นสูง จัดได้ว่ามีอันตรายต่อผิวพรรณอย่างมาก

ตามปกติกรดจะทำหน้าที่เพิ่มความผุดผ่อง เปล่งปลั่ง ผลัดเซลล์ผิว
ซึ่งคนที่มีผิวแห้งและผิวบอบบางแพ้ง่าย จะไม่สามารถใช้ได้ ยิ่งใช้ยิ่งหน้าบางและ
อ่อนแอจากคุณสมบัติของกรด ในประเทศไทยมักแอบใช้ส่วนผสมอันตรายดังนี้

1.ปรอท(Mercury)มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase)
มีผลทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานิน(Melanin) ลดลง ผิวจึงแลดูขาวใสขึ้น
และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิด staphylococcus จึงป้องกันสิว ไม่มีสิวมากวนใจ
ยิ่งใช้ครีมที่มีส่วนผสมของปรอท หน้าจะขาวใสไร้สิว แต่อย่าหยุดใช้เชียวนะคะ

ใบหน้าจะเกิดผื่นแดง หน้าหมองคล้ำ ผิวไวต่อแสงจนเกิดฝ้าถาวร

2.สเตียรอยด์(Steroid)ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะสารประกอบที่ใช้รักษาเฉพาะที่(ทาผิวหนัง)
เพื่อบรรเทาโรคผิวหนังชนิดต่างๆเช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบฯลฯ

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการใช้สเตียรอยด์เฉพาะที่(ทาผิวหนัง)คือ ผิวหนังฝ่อ
ช้ำง่าย หลอดเลือดขยาย(Telangiectasis)มีรอยแตกตามผิวหนัง


3.ไฮโดรควิโนน(Hydroquinone) พบครั้งแรกในปีค.ศ 1820
โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส PelletierและCaventou ผ่านกระบวนการกลั่นแห้งของกรดQuinic

ออกฤทธิ์การยับยั้งกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดสี(Melanocyte)
โดยไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส(Tyrosinase)ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดสี(Melanin)

เมื่อปริมาณเม็ดสีลดลง ผิวจึงขาวขึ้นได้
ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ไฮโดรควิโนนนิยมนำมาใช้เป็นยาทารักษาผิวที่เป็นฝ้า    
ปี 2006 องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา(FDA)ได้เพิกถอน
สารไฮโดรควิโนนเนื่องจากพบอุบัติการณ์เนื้องอกในหนูทดลอง
แต่ในยุโรปบางประเทศยกเลิกการใช้ไฮโดรควิโนนตั้งแต่ปีค.ศ 1976

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อ.ย)กำหนดให้มีส่วนผสม
สารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้า ปริมาณไม่เกิน2%แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น






ที่มา
women’s health,June 2013

สกินแคร์(skincare)ผลิตในฝรั่งเศสที่จัดว่าเด็ด ราคาไม่แพง


เนื่องจากแป้งมีผิวมัน มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย แต่เซลล์ผิวแข็งแรง

จึงสามารถทดลองทาครีมบำรุงนั่นโน่นนี่ได้ตลอด แต่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อครีมบำรุงแต่ละยี่ห้อ จะต้องอ่านส่วนผสมให้แน่ใจ

ก่อนเสมอ เพราะกลัวจะมีสารประกอบพวก mineral oil,petolatum,paraffin,paraffinum liqiudum,lanolin

ซึ่งสารกลุ่มนี้จะมีโมเลกุลค่อนข้างใหญ่ ที่สำคัญราคาถูกมาก จึงมักเป็นส่วนผสมหลักในครีมบำรุงผิว คนที่มีผิวมัน ผิวผสม
หรือผิวแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงมิฉะนั้นแค่ทาครีมไม่กี่คืน สิวผด สิวอุดตันจะผุดขึ้นเต็มใบหน้าเลยค่ะ

เมื่อต้นปี แป้งไปเที่ยวฝรั่งเศสตอนใต้ มีโอกาสแวะร้านขายเวชสำอางค์แบรนด์ฝรั่งเศส โอ้โห!ทำไมมีแต่สินค้าคุณภาพสูงแต่ราคาเอื้อมถึงเยอะแยะละลานตาไปหมด อาทิเช่น


1.ครีมกันแดด Capital Ideal Soleil SPF 50+ ยี่ห้อ Vichy
ปริมาณ 50 ml.สำหรับผิวธรรมดาถึงผิวแห้ง
ราคา 8 ยูโร(~300บาท)

ที่เมืองไทย มีจำหน่ายที่วัตสันราคา 1250 บาท ร้านขายยา 1050 บาท

มีคุณสมบัติโดดเด่น 3 ประการคือ

1 Hypoallergenic(มีโอกาสแพ้น้อย ไม่ใช่แปลว่าไม่ทำให้เกิดการแพ้ เพราะเครื่องสำอาง
ผลิตมาจากสารเคมี)
2. Sensitive skin(เหมาะกับผิวที่มีโอกาสระคายเคืองสูงหรือผิวแพ้ง่าย)
3.NO Paraben(ไม่มีสารกันเสียซึ่งอาจก่อให้เกิดผิวระคายเคือง)

แป้งลองซื้อมาใช้ดู พบว่าเนื้อครีมเบา เกลี่ยง่าย ซึมเร็ว ไม่ทิ้งคราบขาว กันแดดได้ดี
มีกลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ ที่สำคัญทาแล้วแลดูผิวหน้าผ่อง เปล่งปลั่งขึ้นเนื่องจากมีส่วนผสมซิลิโคน
(Dimethicone)
มาเป็นลำดับที่หก


2.เซรั่มกันแดด Photoderm MAX SPF 50+ยี่ห้อ Bioderma ปริมาณ 40 ml.เหมาะสำหรับผิวมัน
ราคา 8 ยูโร(~300บาท)

ที่เมืองไทย มีจำหน่ายที่ร้านอีฟแอนด์บอยและบิวเทรียม ราคา ~990 บาท

มีคุณสมบัติโดดเด่น 4 ประการคือ

1.Anti-shine texture(ไม่ทำให้เกิดความมันวาวบนผิว)
2. Sensitive skin(เหมาะกับผิวที่มีโอกาสระคายเคืองสูงหรือผิวแพ้ง่าย)
3.NO Paraben(ไม่มีสารกันเสียซึ่งอาจก่อให้เกิดผิวระคายเคือง)
4.Water resistant( ช่วยให้เครื่องสำอางติดทนได้ในระดับดี ผิวหายใจได้กว่าแบบ
Waterproof(กันน้ำ)

แต่ถ้าพบในครีมกันแดดจะหมายถึง คุณสมบัติการกันน้ำที่รักษาระดับความคงทนและปกป้อง
SPF ได้คงที่ยาวนาน40 นาที เมื่อทาแล้วควรทาซ้ำทุก 2 ชม.


แป้งลองใช้ดู พบว่า เนื้อเซรั่มกึ่งเหลวแต่ไม่เหลวเท่าครีมกันแดด Anessa ยี่ห้อ Shiseido
กันแดดได้ดี เกลี่ยง่าย ไม่หลงเหลือคราบ ซึมเร็วมาก
มีกลิ่นหอมจางๆโชยมาแตะจมูก ทั้งที่ข้างกล่องเขียนว่า Fragrance free



3.ครีมบำรุงผิว Liftactiv Collagen Specialist,Peptide anti-age+Vitamin C ยี่ห้อ Vichy 
ปริมาณ 50 ml.ราคา 30 ยูโร(~1060 บาท)

มีคุณสมบัติ Hypoallergenic เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ยกเว้นผิวมัน

เนื้อครีมเป็นบาล์ม เนียนนุ่ม พอซึมซาบลงผิวหน้า ผิวหน้าจะเนียน เปล่งปลั่งเหมือนสภาพผิวดี
มาแต่เกิดพอลงครีมบำรุงตัวต่อมา ผิวนุ่มนวลเทียบเคียง Perfectionist(CP+R)wrinkle 
lifting/firming serum, Estée Lauder แต่จ่ายน้อยกว่าเยอะมากๆ

เหตุผลที่ทาแล้วผิวหน้านุ่มเนียนเพราะมีส่วนผสมซิลิโคน(Dimethicone)มาเป็นลำดับที่สาม
เหมือน Estée Lauder

ซิลิโคน(silicone)ที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบในครีมบำรุงผิว(Skincare)และเครื่องสำอาง
(Cosmetics)ได้แก่ Dimethicone,Cyclomethicone,Cyclohexasiloxane
มีคุณสมบัติช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีความนุ่มเนียน เรียบลื่น เกลี่ยง่าย ช่วยอำพรางรูขุมขน
ทำให้รูขุมขนแลดูเล็กลงผิวจึงเรียบเนียนขึ้น

จัดเป็นส่วนผสมที่มีราคาถูกแต่มีผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
ไม่มีส่วนช่วยบำรุงผิวแต่อย่างใด



4.ครีมบำรุงผิวอเนกประสงค์ Baume hydratant Nutrition peaux tres seches 
ยี่ห้อ Le petit Marseillais
ปริมาณ 250 ml.ราคา 3.4 ยูโร(130 บาท)

ชิ้นนี้แป้งซื้อห้างสรรพสินค้าแกลลอรี่ ลาฟาแยสต์ หากซื้อในซุปเปอร์มาเก็ตคาร์ฟูยิ่งราคาถูก
แค่ 100 บาทเองค่ะ

มีส่วนผสมหลักเป็น Aqua และ paraffinum liqiudum มาเป็นลำดับที่สอง ตามด้วย glycerin

เนื้อครีมมีลักษณะเหนียวข้นแบบเดียวกับนีเวียกระปุกน้ำเงิน แต่ซึมซาบเร็วกว่า 
ไม่เหนียวเหนอะหนะเท่านีเวีย มีกลิ่นหอมอ่อนๆใช้แล้วฟิน แป้งใช้ทามือ ข้อศอก 
หัวเข่า นุ่มเชียว แต่ปกติเนื้อตัวแป้งนุ่มเนียน ไม่มีส่วนไหนด้านเลยค่ะ

5.Liftactive Hyalu mask ยี่ห้อ Vichy ปริมาณ 50 ml.
ราคา 30 ยูโร(~1060 บาท)

มีส่วนผสมสำคัญคือ 1%Hyaluronic acid จัดว่ามีความเข้มข้นค่อนข้างสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ

ที่มีส่วนผสมไฮยารูโลนิกในท้องตลาด

เป็นมาร์กเนื้อครีมบางเบา ตอนที่อยู่ยุโรปมีลักษณะเบานุ่ม

แต่พอมาวางบนโต๊ะเครื่องแป้งที่เมืองไทย เนื้อครีมกลายเป็นของเหลวแทบจะเป็นน้ำสีข่าวขุ่น
จากอากาศที่ร้อนระอุ นั่นเอง

หลังทาครีมเพียง 5 นาทีในตอนกลางคืน จะรู้สึกหน้าตึงๆขึ้น

ตื่นมาหน้านุ่มเด้งกว่าวันที่ไม่ได้ทา ผิวดีขึ้นทันตาเห็น ทาแป้งติดหน้าทั้งวัน

ถามว่าคุ้มมั๊ยกับปริมาณ 50 ml.ในราคาพันบาทเศษ

ตอบได้เลยว่าคุ้มมาก เพราะหากเราซื้อครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของกรดไขมัน(Fatty Acid)
ตามคลีนิกผิวพรรณในเมืองไทยแค่ 10 ml.ราคา 400บาท เชียวนะคะ

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม