เวลาที่เราดูละครโทรทัศน์ไม่ว่าจะช่องไหนก็ตาม หากเรามองหน้าตัวละครไม่ว่าจะเป็นพระเอก
นางเอก นักแสดงสมทบต่างๆ
หากไม่นับความสวย-หล่อ เราจะเห็นความเต่งตึงหรือริ้วรอย บนใบหน้านักแสดงเหล่านั้นเสมอ
ดาราระดับพระเอก นางเอกไม่เว้นแม้แต่นักแสดงสมทบ
ที่อายุเกิน 25 ปีขึ้น มักจะมีใต้ตาบวม ร่องแก้ม ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยย่นระหว่างคิ้วและ
หน้าผากแทบทุกคน
ทางลัดไปสู่ความงามที่เป็นอมตะคือ การเข้าคลีนิกผิวพรรณสม่ำเสมอ จะทำให้หน้าเรียบเนียนใส
ไร้ริ้วรอยรอยไปจนอายุ 50-65 ปี ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ขอแค่มีเงินเท่านั้นเอง
คนทั่วไปจำนวนมาก ไม่ได้มีงบประมาณเสริมความงามราคาแพงได้เรื่อยๆ อย่างทำเลเซอร์
ซึ่งมีผลทำให้ใบหน้าจะเรียบเนียนใสราว 4-6 เดือน หลังจากนั้นผิวจะดร็อปลงเรื่อยๆจนเป็นเหมือน
ก่อนทำเลเซอร์
วิธีที่ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนใส แม้ผลลัพธ์ไม่อาจเทียบเคียงเลเซอร์ แต่ไม่ต้องเทียวเข้าเทียวออก
คลีนิคผิวพรรณ โดยเราต้องรู้จักเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า
ก่อนที่จะเลือกใช้ครีมบำรุงผิวใดๆก็ตาม ควรรู้จักอ่านส่วนประกอบที่สำคัญเพื่อช่วยในการตัดสินใจ
เป็นอันดับแรก
กรดที่ใช้ในวงการเครื่องสำอางมักถูกมองว่าอันตราย อันที่จริงกรดส่วนใหญ่ เมื่อโดนผิวแล้วจะ
ให้ผลลัพธ์ที่นุ่มนวล เรียบเนียนเพราะผิวตามธรรมชาติมีความเป็นกรดอยู่แล้ว
กรดเหล่านี้มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น เพิ่มความผุดผ่อง เปล่งปลั่ง ผลัดเซลล์ผิว ช่วยปกป้องและ
ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
1.AHA(Alpha Hydroxy Acid) หรือเรารู้จักกันดีในชื่อ ‘’กรดผลไม้’’ช่วยกระตุ้นให้เซลล์เก่าหมองๆ
หลุดลอก ทำให้เผยผิวเซลล์ผิวใหม่ที่อ่อนเยาว์ ด้วยเหตุนี้ผิวจึงแลดูเปล่งปลั่งเพราะเม็ดสีจำนวนหนึ่ง
หลุดติดไปกับเซลล์ผิวเก่าด้วย
2.กรดไกลโคลิก(Glycolic)และกรดแลกติก(Lactic)จะซึมผ่านผิวหนังได้เร็วที่สุด เป็นกรดที่มี
ประสิทธิภาพมากที่สุดแต่สร้างความระคายเคืองได้ง่าย ไม่เหมาะกับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย
3.เบต้า ไฮดรอกซี แอซิด(Beta Hydroxy Acid)หรือ BHA เรียกอีกอย่างว่า กรดซาลิไซลิก
(Salicylic Acid)
กรด AHA ละลายในน้ำและทำปฏิกิริยากับผิวชั้นบนสุด ในขณะที่ BHA ละลายในน้ำมัน
นั่นหมายความว่าBHA จะลงลึกถึงต่อมไขมันเพื่อกำจัดคราบสกปรกและเซลล์ที่ตายแล้ว
รวมถึงฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุ
ของสิวอีกด้วย
ด้วยเหตุผลนี้ BHA จึงเหมาะกับคนที่ผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย
เคลนเซอร์ที่ผสม BHA หรือ กรดซาลิไซลิก เหมาะที่จะใช้ทุกวันโดยเฉพาะสูตรที่มีความเข้มข้น
2% หรือ มาสก์หน้าที่มีกรดซาลิไซลิก 2%สัปดาห์ละ 1 ครั้ง(หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์
รักษาสิวในวันนั้นเพราะอาจทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย)
แป้งจำได้ว่า ช่วงอายุ 30 ต้น เคยใช้เคลนเซอร์ที่มีส่วนผสมของ BHA ยี่ห้อ
Murad ซึ่งได้ผลดีมากเพราะไม่เห็นมีสิวขึ้นสักเม็ด พอจะใช้ขวดที่สองต่อ
กลับไปซื้ออีกที อ้าว!ยกเคาน์เตอร์กลับอเมริกาไปซะล่ะ
4.ไฮยาลูโรนิกแอซิด(Hyaluronic Acid)และกรดไขมัน(Fatty Acid)
ไฮยาลูโรนิกแอซิด(Hyaluronic Acid)มีความชุ่มชื้นเสมือนเป็นแม่เหล็กดูดน้ำ
ในเซลล์ช่วยหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
ไฮยาลูโรนิกแอซิดนอกจากป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง แต่ยังทำให้ผิวเปล่งปลั่งขึ้นทันตาอีกด้วย
หากอยากมีผิวนุ่มนวลสุดๆ ลองใช้ไฮยาลูโรนิกแอซิด 1%และกรดไขมันควบคู่กัน
ส่วนผิวที่บอบบางแพ้ง่าย ควรเลือกใช้กรดไขมัน(Fatty Acid)เป็นส่วนผสมหลัก
กรดไขมัน(Fatty Acid)มีชื่อเรียกว่า ลิโนเลอิก(Linoleic),อัลฟา-ลิโนเลอิก(Alpha-Linoleic)
หรือแกมมา-ลิโนเลอิก(Gamma-Linoleic)มีคุณสมบัติเป็นเกราะกำบังของผิว คอยปกป้องผิว
จากการระคายเคือง ในขณะเดียวกันยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ เมื่อไหร่ที่ผิวแห้งเกินไป
เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวโดยธรรมชาติจะหยุดทำงาน ผิวจึงแลดูหมองคล้ำและ
ไม่เรียบเนียน
ครีมบำรุงที่ผสมกรดไขมัน(Fatty Acid)จะช่วยบรรเทาสารพัดเรื่องผิว ตั้งแต่ผิวอักเสบ
จากมลภาวะฝุ่นละออง สายลมแรง แสงแดดระอุ ไปจนถึงผิวอักเสบจากการใช้ผลิตภัณฑ์
ที่มีส่วนผสมของกรดต่างๆมากเกินไป
5.โคจิก แอซิด(Kojic Acid)และอะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid)
ขณะที่กรดต่างๆมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวกระจ่างสว่างใสด้วยการค่อยๆกำจัด
เซลล์ผิวหมองคล้ำออกไป
โคจิก แอซิดจะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการสร้างเมลานินในเซลล์ผิวชั้นที่ลึกลงไป
เม็ดสีจึงขึ้นมาสู่ผิวชั้นบนน้อยลง
อะเซเลอิก แอซิดจะทำหน้าที่ควบคุมการผลิตเม็ดสีมากกว่าเข้าไปขัดขวางเหมือนโคจิก แอซิด
ดังนั้นคนผิวสีมักได้ประโยชน์นี้มากกว่าเพราะอะเซเลอิก แอซิด จะทำให้ผิวปกติที่อยู่ใกล้
บริเวณจุดด่างดำสว่างขึ้นโดยไม่เป็นอันตราย
ประโยชน์อีกอย่างของอะเซเลอิก แอซิดคือ คุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย
จึงช่วยบรรเทาการเกิดสิวโรซาเซีย(Rosacea)และผิวเปลี่ยนสีเนื่องจากการอักเสบรวมถึง
รอยดำและรอยแดงจากสิวได้ดีอีกด้วย
อะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid)มีจำหน่ายรูปแบบครีมในชื่อการค้าคือ Skinoren
ปริมาณ 30 กรัม ราคา ~410 บาท มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป
หมายเหตุ ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย อาจทำให้แสบระคายเคือง
เพราะอะเซเลอิก แอซิดมีฤทธิ์เป็นกรด
ถึงอย่างไรโคจิก แอซิด(Kojic Acid)และอะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid มีพลังไม่เท่ากับ
ไฮโดรควิโนน(Hydroquinone)ซึ่งจัดการกับเม็ดสีทุกประเภทตั้งแต่จุดด่างดำขึ้นบางบริเวณ
ไปจนถึงรอยกระหรือฝ้าที่เป็นปื้น(สั่งจ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น)
6.เรตินอยด์ แอซิด(Retinoid Acid)กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดเลือนริ้วรอย
และเร่งระดับการผลัดเซลล์ ไม่ให้เซลล์เก่าทับถมซึ่งเป็นต้นเหตุของผิวหมองคล้ำหรือ
รูขุมขนอุดตัน แต่ประโยชน์เหล่านี้อาจแลกมาด้วยผิวแห้ง ลอกเป็นขุย รอยแดง
เรตินอยด์ แอซิด(Retinoid Acid)มีจำหน่ายในรูปครีมตามแพทย์สั่ง
ส่วนเรตินอยด์ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าและมีขายทั่วไปอย่างเรตินอล(Retinol)
หรือเรตินัลดีไฮด์(Retinaldehyde)จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นกรดเรตินอยด์ในร่างกาย เช่น Retin-A
ไม่ว่าเราจะเลือกส่วนผสมแบบไหนก็ตาม อย่าลืม!ทาครีมกันแดดในทุกๆวัน
หากมีส่วนผสมซิงก์ออกไซด์(Zinc Oxide)ที่มีมิเนอรัล
ฟิลเตอร์เป็นส่วนผสม ซึ่งช่วยปกป้องผิวได้ดีอย่างกับกำแพงอิฐเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวจากรังสีของแสงทุกคลื่นความยาว แม้กระทั่งแสง
ที่ปล่อยจากจอคอมพิวเตอร์หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า
สามารถทำให้เกิดจุดด่างดำได้เช่นกัน
ในบรรดาส่วนผสมที่ทำให้ผิวหน้าใส เรียบเนียน เราต้องรู้จักส่วนผสมอันตรายต่อ
ผิวหน้าด้วย ยิ่งใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานนานผิวจะอ่อนแอและบางลง
มีผลให้เกิดสิวปะทุ ผดผื่น กระฝ้าตามมา
ปัจจุบันจะพบครีมหน้าขาวใสเด้งที่ขายตามอินเตอร์เน็ต เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วภายใน
3-7 วันอยู่มากมาย เวลาที่เราเห็นเพื่อนๆหรือคนอื่นใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
อย่าเพิ่งรีบร้อนใช้ตาม ฉุกคิดเสียก่อนว่า ขนาดครีมบำรุงผิวตามเคาน์เตอร์แบรนด์
ราคาแพง ใช้จนหมดไปหลายกระปุก ผิวหน้ายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
แต่ครีมบำรุงผิวที่ทำให้หน้าใสรวดเร็วไวขนาดนั้น ย่อมต้องมีส่วนผสมที่เป็นกรด
ซึ่งหากมีความเข้มข้นสูง จัดได้ว่ามีอันตรายต่อผิวพรรณอย่างมาก
ตามปกติกรดจะทำหน้าที่เพิ่มความผุดผ่อง เปล่งปลั่ง ผลัดเซลล์ผิว
ซึ่งคนที่มีผิวแห้งและผิวบอบบางแพ้ง่าย จะไม่สามารถใช้ได้ ยิ่งใช้ยิ่งหน้าบางและ
อ่อนแอจากคุณสมบัติของกรด ในประเทศไทยมักแอบใช้ส่วนผสมอันตรายดังนี้
1.ปรอท(Mercury)มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase)
มีผลทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานิน(Melanin) ลดลง ผิวจึงแลดูขาวใสขึ้น
และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิด staphylococcus จึงป้องกันสิว ไม่มีสิวมากวนใจ
ยิ่งใช้ครีมที่มีส่วนผสมของปรอท หน้าจะขาวใสไร้สิว แต่อย่าหยุดใช้เชียวนะคะ
ใบหน้าจะเกิดผื่นแดง หน้าหมองคล้ำ ผิวไวต่อแสงจนเกิดฝ้าถาวร
2.สเตียรอยด์(Steroid)ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะสารประกอบที่ใช้รักษาเฉพาะที่(ทาผิวหนัง)
เพื่อบรรเทาโรคผิวหนังชนิดต่างๆเช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบฯลฯ
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการใช้สเตียรอยด์เฉพาะที่(ทาผิวหนัง)คือ ผิวหนังฝ่อ
ช้ำง่าย หลอดเลือดขยาย(Telangiectasis)มีรอยแตกตามผิวหนัง
3.ไฮโดรควิโนน(Hydroquinone) พบครั้งแรกในปีค.ศ 1820
โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส PelletierและCaventou ผ่านกระบวนการกลั่นแห้งของกรดQuinic
ออกฤทธิ์การยับยั้งกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดสี(Melanocyte)
โดยไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส(Tyrosinase)ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดสี(Melanin)
เมื่อปริมาณเม็ดสีลดลง ผิวจึงขาวขึ้นได้
ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ไฮโดรควิโนนนิยมนำมาใช้เป็นยาทารักษาผิวที่เป็นฝ้า
ปี 2006 องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา(FDA)ได้เพิกถอน
สารไฮโดรควิโนนเนื่องจากพบอุบัติการณ์เนื้องอกในหนูทดลอง
แต่ในยุโรปบางประเทศยกเลิกการใช้ไฮโดรควิโนนตั้งแต่ปีค.ศ 1976
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อ.ย)กำหนดให้มีส่วนผสม
สารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้า ปริมาณไม่เกิน2%แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ที่มา
women’s health,June 2013
นางเอก นักแสดงสมทบต่างๆ
หากไม่นับความสวย-หล่อ เราจะเห็นความเต่งตึงหรือริ้วรอย บนใบหน้านักแสดงเหล่านั้นเสมอ
ดาราระดับพระเอก นางเอกไม่เว้นแม้แต่นักแสดงสมทบ
ที่อายุเกิน 25 ปีขึ้น มักจะมีใต้ตาบวม ร่องแก้ม ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยย่นระหว่างคิ้วและ
หน้าผากแทบทุกคน
ทางลัดไปสู่ความงามที่เป็นอมตะคือ การเข้าคลีนิกผิวพรรณสม่ำเสมอ จะทำให้หน้าเรียบเนียนใส
ไร้ริ้วรอยรอยไปจนอายุ 50-65 ปี ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ขอแค่มีเงินเท่านั้นเอง
คนทั่วไปจำนวนมาก ไม่ได้มีงบประมาณเสริมความงามราคาแพงได้เรื่อยๆ อย่างทำเลเซอร์
ซึ่งมีผลทำให้ใบหน้าจะเรียบเนียนใสราว 4-6 เดือน หลังจากนั้นผิวจะดร็อปลงเรื่อยๆจนเป็นเหมือน
ก่อนทำเลเซอร์
วิธีที่ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนใส แม้ผลลัพธ์ไม่อาจเทียบเคียงเลเซอร์ แต่ไม่ต้องเทียวเข้าเทียวออก
คลีนิคผิวพรรณ โดยเราต้องรู้จักเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า
ก่อนที่จะเลือกใช้ครีมบำรุงผิวใดๆก็ตาม ควรรู้จักอ่านส่วนประกอบที่สำคัญเพื่อช่วยในการตัดสินใจ
เป็นอันดับแรก
กรดที่ใช้ในวงการเครื่องสำอางมักถูกมองว่าอันตราย อันที่จริงกรดส่วนใหญ่ เมื่อโดนผิวแล้วจะ
ให้ผลลัพธ์ที่นุ่มนวล เรียบเนียนเพราะผิวตามธรรมชาติมีความเป็นกรดอยู่แล้ว
กรดเหล่านี้มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น เพิ่มความผุดผ่อง เปล่งปลั่ง ผลัดเซลล์ผิว ช่วยปกป้องและ
ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
1.AHA(Alpha Hydroxy Acid) หรือเรารู้จักกันดีในชื่อ ‘’กรดผลไม้’’ช่วยกระตุ้นให้เซลล์เก่าหมองๆ
หลุดลอก ทำให้เผยผิวเซลล์ผิวใหม่ที่อ่อนเยาว์ ด้วยเหตุนี้ผิวจึงแลดูเปล่งปลั่งเพราะเม็ดสีจำนวนหนึ่ง
หลุดติดไปกับเซลล์ผิวเก่าด้วย
2.กรดไกลโคลิก(Glycolic)และกรดแลกติก(Lactic)จะซึมผ่านผิวหนังได้เร็วที่สุด เป็นกรดที่มี
ประสิทธิภาพมากที่สุดแต่สร้างความระคายเคืองได้ง่าย ไม่เหมาะกับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย
3.เบต้า ไฮดรอกซี แอซิด(Beta Hydroxy Acid)หรือ BHA เรียกอีกอย่างว่า กรดซาลิไซลิก
(Salicylic Acid)
กรด AHA ละลายในน้ำและทำปฏิกิริยากับผิวชั้นบนสุด ในขณะที่ BHA ละลายในน้ำมัน
นั่นหมายความว่าBHA จะลงลึกถึงต่อมไขมันเพื่อกำจัดคราบสกปรกและเซลล์ที่ตายแล้ว
รวมถึงฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุ
ของสิวอีกด้วย
ด้วยเหตุผลนี้ BHA จึงเหมาะกับคนที่ผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย
เคลนเซอร์ที่ผสม BHA หรือ กรดซาลิไซลิก เหมาะที่จะใช้ทุกวันโดยเฉพาะสูตรที่มีความเข้มข้น
2% หรือ มาสก์หน้าที่มีกรดซาลิไซลิก 2%สัปดาห์ละ 1 ครั้ง(หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์
รักษาสิวในวันนั้นเพราะอาจทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย)
แป้งจำได้ว่า ช่วงอายุ 30 ต้น เคยใช้เคลนเซอร์ที่มีส่วนผสมของ BHA ยี่ห้อ
Murad ซึ่งได้ผลดีมากเพราะไม่เห็นมีสิวขึ้นสักเม็ด พอจะใช้ขวดที่สองต่อ
กลับไปซื้ออีกที อ้าว!ยกเคาน์เตอร์กลับอเมริกาไปซะล่ะ
4.ไฮยาลูโรนิกแอซิด(Hyaluronic Acid)และกรดไขมัน(Fatty Acid)
ไฮยาลูโรนิกแอซิด(Hyaluronic Acid)มีความชุ่มชื้นเสมือนเป็นแม่เหล็กดูดน้ำ
ในเซลล์ช่วยหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
ไฮยาลูโรนิกแอซิดนอกจากป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง แต่ยังทำให้ผิวเปล่งปลั่งขึ้นทันตาอีกด้วย
หากอยากมีผิวนุ่มนวลสุดๆ ลองใช้ไฮยาลูโรนิกแอซิด 1%และกรดไขมันควบคู่กัน
ส่วนผิวที่บอบบางแพ้ง่าย ควรเลือกใช้กรดไขมัน(Fatty Acid)เป็นส่วนผสมหลัก
กรดไขมัน(Fatty Acid)มีชื่อเรียกว่า ลิโนเลอิก(Linoleic),อัลฟา-ลิโนเลอิก(Alpha-Linoleic)
หรือแกมมา-ลิโนเลอิก(Gamma-Linoleic)มีคุณสมบัติเป็นเกราะกำบังของผิว คอยปกป้องผิว
จากการระคายเคือง ในขณะเดียวกันยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ เมื่อไหร่ที่ผิวแห้งเกินไป
เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวโดยธรรมชาติจะหยุดทำงาน ผิวจึงแลดูหมองคล้ำและ
ไม่เรียบเนียน
ครีมบำรุงที่ผสมกรดไขมัน(Fatty Acid)จะช่วยบรรเทาสารพัดเรื่องผิว ตั้งแต่ผิวอักเสบ
จากมลภาวะฝุ่นละออง สายลมแรง แสงแดดระอุ ไปจนถึงผิวอักเสบจากการใช้ผลิตภัณฑ์
ที่มีส่วนผสมของกรดต่างๆมากเกินไป
5.โคจิก แอซิด(Kojic Acid)และอะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid)
ขณะที่กรดต่างๆมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวกระจ่างสว่างใสด้วยการค่อยๆกำจัด
เซลล์ผิวหมองคล้ำออกไป
โคจิก แอซิดจะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการสร้างเมลานินในเซลล์ผิวชั้นที่ลึกลงไป
เม็ดสีจึงขึ้นมาสู่ผิวชั้นบนน้อยลง
อะเซเลอิก แอซิดจะทำหน้าที่ควบคุมการผลิตเม็ดสีมากกว่าเข้าไปขัดขวางเหมือนโคจิก แอซิด
ดังนั้นคนผิวสีมักได้ประโยชน์นี้มากกว่าเพราะอะเซเลอิก แอซิด จะทำให้ผิวปกติที่อยู่ใกล้
บริเวณจุดด่างดำสว่างขึ้นโดยไม่เป็นอันตราย
ประโยชน์อีกอย่างของอะเซเลอิก แอซิดคือ คุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย
จึงช่วยบรรเทาการเกิดสิวโรซาเซีย(Rosacea)และผิวเปลี่ยนสีเนื่องจากการอักเสบรวมถึง
รอยดำและรอยแดงจากสิวได้ดีอีกด้วย
อะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid)มีจำหน่ายรูปแบบครีมในชื่อการค้าคือ Skinoren
ปริมาณ 30 กรัม ราคา ~410 บาท มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป
หมายเหตุ ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย อาจทำให้แสบระคายเคือง
เพราะอะเซเลอิก แอซิดมีฤทธิ์เป็นกรด
ถึงอย่างไรโคจิก แอซิด(Kojic Acid)และอะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid มีพลังไม่เท่ากับ
ไฮโดรควิโนน(Hydroquinone)ซึ่งจัดการกับเม็ดสีทุกประเภทตั้งแต่จุดด่างดำขึ้นบางบริเวณ
ไปจนถึงรอยกระหรือฝ้าที่เป็นปื้น(สั่งจ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น)
6.เรตินอยด์ แอซิด(Retinoid Acid)กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดเลือนริ้วรอย
และเร่งระดับการผลัดเซลล์ ไม่ให้เซลล์เก่าทับถมซึ่งเป็นต้นเหตุของผิวหมองคล้ำหรือ
รูขุมขนอุดตัน แต่ประโยชน์เหล่านี้อาจแลกมาด้วยผิวแห้ง ลอกเป็นขุย รอยแดง
เรตินอยด์ แอซิด(Retinoid Acid)มีจำหน่ายในรูปครีมตามแพทย์สั่ง
ส่วนเรตินอยด์ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าและมีขายทั่วไปอย่างเรตินอล(Retinol)
หรือเรตินัลดีไฮด์(Retinaldehyde)จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นกรดเรตินอยด์ในร่างกาย เช่น Retin-A
ไม่ว่าเราจะเลือกส่วนผสมแบบไหนก็ตาม อย่าลืม!ทาครีมกันแดดในทุกๆวัน
หากมีส่วนผสมซิงก์ออกไซด์(Zinc Oxide)ที่มีมิเนอรัล
ฟิลเตอร์เป็นส่วนผสม ซึ่งช่วยปกป้องผิวได้ดีอย่างกับกำแพงอิฐเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวจากรังสีของแสงทุกคลื่นความยาว แม้กระทั่งแสง
ที่ปล่อยจากจอคอมพิวเตอร์หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า
สามารถทำให้เกิดจุดด่างดำได้เช่นกัน
ในบรรดาส่วนผสมที่ทำให้ผิวหน้าใส เรียบเนียน เราต้องรู้จักส่วนผสมอันตรายต่อ
ผิวหน้าด้วย ยิ่งใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานนานผิวจะอ่อนแอและบางลง
มีผลให้เกิดสิวปะทุ ผดผื่น กระฝ้าตามมา
ปัจจุบันจะพบครีมหน้าขาวใสเด้งที่ขายตามอินเตอร์เน็ต เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วภายใน
3-7 วันอยู่มากมาย เวลาที่เราเห็นเพื่อนๆหรือคนอื่นใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
อย่าเพิ่งรีบร้อนใช้ตาม ฉุกคิดเสียก่อนว่า ขนาดครีมบำรุงผิวตามเคาน์เตอร์แบรนด์
ราคาแพง ใช้จนหมดไปหลายกระปุก ผิวหน้ายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
แต่ครีมบำรุงผิวที่ทำให้หน้าใสรวดเร็วไวขนาดนั้น ย่อมต้องมีส่วนผสมที่เป็นกรด
ซึ่งหากมีความเข้มข้นสูง จัดได้ว่ามีอันตรายต่อผิวพรรณอย่างมาก
ตามปกติกรดจะทำหน้าที่เพิ่มความผุดผ่อง เปล่งปลั่ง ผลัดเซลล์ผิว
ซึ่งคนที่มีผิวแห้งและผิวบอบบางแพ้ง่าย จะไม่สามารถใช้ได้ ยิ่งใช้ยิ่งหน้าบางและ
อ่อนแอจากคุณสมบัติของกรด ในประเทศไทยมักแอบใช้ส่วนผสมอันตรายดังนี้
1.ปรอท(Mercury)มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase)
มีผลทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานิน(Melanin) ลดลง ผิวจึงแลดูขาวใสขึ้น
และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิด staphylococcus จึงป้องกันสิว ไม่มีสิวมากวนใจ
ยิ่งใช้ครีมที่มีส่วนผสมของปรอท หน้าจะขาวใสไร้สิว แต่อย่าหยุดใช้เชียวนะคะ
ใบหน้าจะเกิดผื่นแดง หน้าหมองคล้ำ ผิวไวต่อแสงจนเกิดฝ้าถาวร
2.สเตียรอยด์(Steroid)ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะสารประกอบที่ใช้รักษาเฉพาะที่(ทาผิวหนัง)
เพื่อบรรเทาโรคผิวหนังชนิดต่างๆเช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบฯลฯ
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการใช้สเตียรอยด์เฉพาะที่(ทาผิวหนัง)คือ ผิวหนังฝ่อ
ช้ำง่าย หลอดเลือดขยาย(Telangiectasis)มีรอยแตกตามผิวหนัง
3.ไฮโดรควิโนน(Hydroquinone) พบครั้งแรกในปีค.ศ 1820
โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส PelletierและCaventou ผ่านกระบวนการกลั่นแห้งของกรดQuinic
ออกฤทธิ์การยับยั้งกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดสี(Melanocyte)
โดยไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส(Tyrosinase)ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดสี(Melanin)
เมื่อปริมาณเม็ดสีลดลง ผิวจึงขาวขึ้นได้
ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ไฮโดรควิโนนนิยมนำมาใช้เป็นยาทารักษาผิวที่เป็นฝ้า
ปี 2006 องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา(FDA)ได้เพิกถอน
สารไฮโดรควิโนนเนื่องจากพบอุบัติการณ์เนื้องอกในหนูทดลอง
แต่ในยุโรปบางประเทศยกเลิกการใช้ไฮโดรควิโนนตั้งแต่ปีค.ศ 1976
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อ.ย)กำหนดให้มีส่วนผสม
สารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้า ปริมาณไม่เกิน2%แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ที่มา
women’s health,June 2013