บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ลูกเดือย อาหารบำบัดจากธรรมชาติกับผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง

ลูกเดือย(Job's Tears)มีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย ปัจจุบันขยายไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น จีน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ พม่า และไทย

ลูกเดือยมีฤทธิ์เย็น ในประเทศจีนใช้ลูกเดือยเป็นยาแผนโบราณและอาหารเสริมทางการแพทย์ มีสรรพคุณช่วยลดการสะสมของไขมันในตับ ลดการสร้างสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดเนื้องอก ป้องกันการติดเชื้อไวรัส ลดอาการแพ้ ลดการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง และภาวะกระดูกพรุน

ลูกเดือยถูกนำมาใช้เป็นยาพื้นบ้านเป็นเวลาหลายร้อยปี ใช้รักษาตั้งแต่โรคข้ออักเสบไปจนถึงไข้ทรพิษ งานวิจัยเกี่ยวกับลูกเดือยยังคงเป็นเพียงการศึกษาระดับเซลล์ในห้องปฏิบัติการของประเทศจีนและเกาหลี

มีประโยชน์อย่างไร

1. บรรเทาโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ผิวหนังหรือเรียกว่า โรคผิวหนังอักเสบ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยภายในร่างกาย มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน “Journal of Agricultural and Food Chemistry” ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546 พบว่า สารสกัดจากลูกเดือยช่วยยับยั้งอาการแพ้ในหนูทดลองและสามารถเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันได้

2. ลดคอเลสเตอรอล
หนูที่เป็นเบาหวานได้รับอาหารอย่างลูกเดือยและอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงเป็นเวลา 4 สัปดาห์ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์“International Journal for Vitamin and Nutrition Research” ในเดือนกันยายน 2549 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม หนูที่กินลูกเดือยมีปริมาณคอเลสเตอรอลรวมและไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำหรือ LDL ที่เป็นอันตรายลดลงอย่างมาก

3. ป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง
ทีมวิจัยจำนวนหนึ่งในจีนได้วิเคราะห์ผลกระทบของลูกเดือยต่อมะเร็งลำไส้ ตับอ่อน ปอด ตับ เต้านม และมะเร็งเม็ดเลือดขาว พร้อมกับผลลัพธ์ดังนี้

งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ใน “Journal of Ethnopharmacology” ในเดือนกันยายน 2551 พบว่า สารสกัดจากลูกเดือยอุดมไปด้วยสารคอกซีโนไลด์ (Coxenolide) ที่ช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอก และสามารถยับยั้งกิจกรรมการสังเคราะห์กรดไขมันในตับได้อย่างมาก เนื่องจากเซลล์มะเร็งของมนุษย์ประกอบด้วยการสังเคราะห์กรดไขมันในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งจัดเป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกที่มีความรุนแรง

4. บรรเทาความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ
สารสกัดจากลูกเดือยถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เนื่องจากความสามารถในการลดระดับฮอร์โมนเพศ เช่น โปรเจสเตอโรนและเทสโทสเตอโรน ใน “Journal of Traditional Chinese Medicine” ฉบับเดือนธันวาคม 2543 พบว่า สตรีมีอาการเจ็บปวดขณะมีประจำเดือนลดลง 90% ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่
มากกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่รักษาด้วยยาตามใบสั่งแพทย์

5. มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร
ลูกเดือยอาจมีประโยชน์ในการป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร
มีการศึกษาในเดือนมิถุนายน 2554 ใน "Journal of Agricultural and Food Chemistry" พบว่า ลูกเดือยสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งกระเพาะอาหารในหลอดทดลอง และลดแผลในกระเพาะอาหารของหนูทดลองได้อีกด้วย

6. ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
การสำรวจที่ตีพิมพ์ในปี 2551 ใน “Asia Pacific Journal of Clinical Nutrition” พบว่า ลูกเดือยช่วยเพิ่มระดับตัวบ่งชี้ทางชีวภาพของโรคกระดูกพรุนจำนวนมากในเลือดของหนูทดลอง
เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม

นักวิทยาศาสตร์คิดว่า สารสกัดจากลูกเดือยอาจช่วยรักษาโรคกระดูกพรุนในหนูทดลองได้ และยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในการป้องกันโรคกระดูกพรุนอีกด้วย

ในการแพทย์แผนจีน(TCM)ลูกเดือยเป็นธัญพืชที่ช่วยระบายความชื้น ถือเป็นยาขับปัสสาวะเนื่องจากสามารถกระตุ้นการขับปัสสาวะเพื่อขจัดความชื้นสะสมในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการบวมน้ำ ปัสสาวะลำบาก  การย่อยอาหารไม่ดี แน่นท้อง ท้องเสีย  ท้องอืด และระบบทางเดินหายใจทำงานบกพร่อง

7.ช่วยบรรเทาโรคปวดข้อ ด้วยการขจัดความชื้น ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลูกเดือยอาจช่วยบรรเทาโรคข้อต่างๆที่มีความเจ็บปวดและการหดเกร็งของเส้นเอ็น เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์

8.ลูกเดือยใช้สำหรับการลดน้ำหนัก โดยการกำจัดการกักเก็บน้ำซึ่งเป็นสาเหตุของการบวมน้ำ

ลูกเดือยดิบ 100 กรัม ให้พลังงาน 380 แคลอรี่ แต่ลูกเดือยต้มสุก 100 กรัม ให้พลังงาน 123 แคลอรี่ เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งใช้เวลาในการย่อยนาน จึงไม่รู้สึกหิว ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนข้าวขาว ขนมปัง

ลูกเดือยไม่มีกลูเต็น มีแคลอรี่ต่ำในขณะที่มีเส้นใยอาหารสูง ซึ่งดีต่อการควบคุมน้ำหนักและการลดความอ้วน โดยเส้นใยอาหารจะช่วยทำให้อยู่ท้อง อิ่มนานขึ้น และอาจช่วยลดลดน้ำหนักได้ จากการศึกษาในหนูทดลอง พบว่า สารสกัดจากลูกเดือยส่งผลให้น้ำหนักตัว มวลเนื้อเยื่อไขมัน และไขมันในเลือดลดต่ำลง

ข้อควรระวังและผลข้างเคียงของลูกเดือย

1.ไม่ควรบริโภคลูกเดือยหากตั้งครรภ์ การวิจัยในสัตว์ทดลองแสดงให้เห็นว่า สามารถเป็นพิษต่อตัวอ่อนที่กำลังพัฒนาได้ นอกจากนี้ยังอาจทำให้มดลูกหดตัวและอาจเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ รวมถึงยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยหากรับประทานลูกเดือยในช่วงที่ให้นมบุตร

2.ผู้ที่มีภาวะขาดน้ำ อาการขาดน้ำ ได้แก่ คอแห้ง ท้องผูก เหงื่อออกมาก ไม่ควรบริโภคลูกเดือย
3.ลูกเดือยช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงควรงดรับประทานลูกเดือย หากรับประทานยารักษาโรคเบาหวาน

3.ลูกเดือยอาจรบกวนการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างและหลังการผ่าตัด ควรหยุดบริโภคลูกเดือยอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด

ลูกเดือยเป็นธัญพืชที่สุกยาก จึงควรนำไปแช่ทิ้งไว้ข้ามคืนหรือกรณีเร่งรีบ สามารถน้ำอุ่นไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ลูกเดือยจะได้พองตัวและสุกง่ายขึ้น

ปกติแป้งจะกินวิตามินซี(Ester-c) 1000 mg ครั้งละ 1  เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น พอทดลองกินลูกเดือยต้มสุก เลยงด Ester-c เป็นเวลา 2 เดือน โดยใส่ลูกเดือยต้ม~200 กรัมในนมอัลมอนด์ปั่น+งาดำ+แมงลัก(เมื่อก่อนจะดื่มนมถั่วเหลือง+งาดำ+แมงลัก แต่หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตพบว่า กระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน จึงเลิกกินนมถั่วเหลืองทันที)

สังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายดังนี้

1.ช่วงอายุ 47 ปี(ปัจจุบัน 49 ปี)เวลาอาบน้ำโดยใช้ฟองน้ำขัดถูตามร่างกาย บริเวณร่องอกจะมีรอยแดงเกิดขึ้นหลังอาบน้ำทุกคืน คาดว่าในอดีตแป้งชอบฉีดพรมน้ำหอมหลังใบหู ไล่มาช่วงหน้าอก ถึงแม้จะใช้น้ำหอมเคาน์เตอร์แบรนด์ แต่น้ำหอมมีส่วนผสมสำคัญคือ แอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลทำให้ผิวบริเวณที่โดนแอลกอฮอล์แห้ง พออายุมากขึ้น แค่โดนฟองน้ำถูนิดเดียว รอยแดงจะเห็นชัดขึ้นทันที พยายามทามอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวแห้งหลายยี่ห้อ ก็ไม่เห็นผล
จนมากินลูกเดือยแค่ 2 เดือน อ้าว!รอยแดงหายไปเลยคะ

2.วันหยุดสุดสัปดาห์ แป้งมักอบขนมเค้ก คุ้กกี้ ทาร์ตสับปะรด
ฝากน้องๆลองชิมบ่อยครั้งเพราะสนใจคุณภาพของเนยนำเข้าจากหลากหลายประเทศว่า รสชาติ ความอร่อยและเทกเจอร์(Texture)ของขนมแตกต่างจากเนยไทยมากน้อยแค่ไหน

เวลากลางวันอากาศร้อนจัด ไม่เหมาะที่จะทำขนมเบเกอรี่เพราะเนยจะละลายเหลวง่าย จึงต้องเริ่มอบขนมตอนกลางคืน การล้าง
อุปกรณ์เบเกอรี่ซึ่งมีจำนวนมาก  จะทำให้นอนดึกราวตี 1-2 ประจำ พอร่างกายพักผ่อนน้อย ภูมิแพ้กำเริบบ่อยครั้ง  พอกินลูกเดือย อุ๊ย!! ภูมิแพ้ไม่กำเริบอีกเลยทั้งๆที่ไม่ได้กินวิตามินซีสักเม็ดเลยคะ

3.แป้งเริ่มกินลูกเดือยวันที่ 3 มี.ค 66 ปลายเดือนจะมีประจำเดือน
สังเกตว่า ก่อนหน้าที่จะมีประจำเดือน 7 วัน ตัวจะบวม อิ่มน้ำ หน้าบาน น้ำหนักขึ้น ~2 โล ถ่ายรูปทีไรมีแก้มเหมือนคนอ้วนจ้ำม่ำทุกที เป็นแบบนี้มา 7-8 ปีแล้ว

ล่าสุดคือ ช่วงวันที่ 25 พ.ค 66 ขณะที่กำลังเขียนบทความอยู่นี้ แป้งกำลังมีประจำเดือน ปรากฎว่า หน้าไม่บวม น้ำหนักไม่ขึ้นเหมือนเมื่อก่อน ใส่กางเกงยีนส์สลิมฟิตสบายๆ ไม่แน่นอึดอัด โห!ลูกเดือยนี่ดีจริงๆเลยคะ

4.สามีแป้งอายุ 55 ปี จะไม่สามารถถอดเสื้อตากพัดลมได้เพราะแค่ไม่กี่นาที จะจามเป็น 10+รอบ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ตอนแรกแป้งคิดว่า เพราะใบพัดมีฝุ่นจับ เวลาหมุน ฝุ่นจะปลิวล่องลอยมาพร้อมกับความเย็นจากพัดลม พยายามถอดล้างใบพัดบ่อยครั้ง
 สามีก็ยังจามอยู่ดี

ช่วงนี้อากาศร้อนมากๆ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แป้งสังเกตเห็นว่า สามีถอดเสื้อนั่งตากพัดลมหน้าตาเฉย ไม่มีอาการไอจามอะไรทั้งสิ้น
แป้ง : ทำไมพี่ไม่เห็นจามฮัดชิ้วเลยล่ะ
สามี : น่าจะเป็นเพราะกินวิตามินที่แป้งจัดให้มั๊ง(สามีกิน Ester-c 1000 mg หลังอาหารเช้า-เย็นตามปกติ ไม่ได้งดเหมือนแป้งคะ)
แป้ง : ไม่น่าจะใช่นะคะ พี่กินวิตามินมา 10+ ปี เห็นถอดเสื้อตากพัดลมทีไร จามทุกที น่าจะเป็นเพราะกินลูกเดือยนี่แหละที่ช่วยลดอาการภูมิแพ้ พี่เลยไม่จาม

แค่ประโยชน์เพียง 3-4 อย่างที่เกิดขึ้นกับแป้ง ทำให้มุมมองสุขภาพอีกด้านเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เคยมีคำกล่าวไว้ว่า “You are what you eat” กินอย่างไร ได้อย่างนั้น อาหารบำบัดสุขภาพจึงเปรียบได้กับยาอายุวัฒนะ อยู่ที่ว่าเราเลือกกินอะไร

โรคต่างๆที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์ ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการกินทั้งสิ้น  โดยเฉพาะอาหารที่มีความเป็นกรดสูง พบว่า อาจจะเป็นต้นเหตุของการเกิดโรค เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคมะเร็ง เนื่องจากต้องอาศัยการเผาผลาญสารอาหารให้เป็นพลังงานในร่างกายและมีผลให้สมดุลกรด-ด่างเปลี่ยนแปลงไป จนทำให้เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมาก นานวันเข้าจะก่อให้เกิดการอักเสบ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส แบคทีเรียและจุลินทรีย์ทั้งหลายจะตามมา อย่าลืม!! COVID-19 เป็นอีกโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสนะคะ

แค่เริ่มกินลูกเดือยไม่นานยังเห็นผลชัดเจนขนาดนี้ หากกินต่อเนื่อง การมีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้ห่างโรงพยาบาล(รัฐ+ประกันสังคม)ไม่ต้องตื่นตี 5 เพื่อรอรับบัตรคิวและกลับบ้านตอนบ่ายสามโมง เรื่องแบบนี้ที่คนสูงอายุเจอ คนอายุน้อยอาจมองภาพไม่ออก แต่เมื่อไหร่ที่โรคภัยคุกคาม ลองมองหาอาหารบำบัดจากธรรมชาติอย่างลูกเดือย ที่ไม่ต้องลงทุนสูงดูนะคะ  อาจจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนแบบแป้งและสามีก็ได้คะ

หมายเหตุ
อาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด ได้แก่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ แป้ง น้ำตาล นม เนย กาแฟ อาหารแปรรูป น้ำอัดลม อาหารฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ

ส่วนอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ได้แก่ ผักและผลไม้ ธัญพืชต่างๆ







ที่มา

Job's tears Facts and Health Benefitshealthbenefitstimes.comhttps://www.healthbenefitstimes.com › jo...


The Health Benefits of Job's Tears - Livestrong.comlivestrong.comhttps://www.livestrong.com › article › 51...

Job's Tears (Yi Yi Ren) - All Things Healthallthingshealth.comhttps://www.allthingshealth.com › glossary

Job's Tears: Health Benefits, Side Effects, Uses, Dose ... - RxListrxlist.comhttps://www.rxlist.com › supplements

วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

Milk thistle สมุนไพรล้างพิษในตับกับผลข้างเคียงที่เราควรตระหนัก

 Milk thistle สมุนไพรล้างพิษในตับกับผลข้างเคียงที่เราควรตระหนัก

มิลค์ทิสเซิล(Milk thistle)เป็นสมุนไพรยอดนิยมที่ใช้กันมานานกว่า 2,000 ปี

Dioscorides (ไดออสโคไรด์)เป็นแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวกรีกที่เกิดในเอเชียไมเนอร์ตะวันออกเฉียงใต้ในอาณาจักรโรมัน เป็นคนแรกที่อธิบายคุณสมบัติการรักษาของต้นมิลค์ทิสเทิลในปี ค.ศ. 40

พืชชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนและเป็นไม้ดอกที่มาจากตระกูลเดียวกับเดซี่ เป็นสมาชิกของตระกูลพืช Asteraceae ซึ่งรวมถึงพืชอื่นๆ เช่น ดอกทานตะวันและดอกเดซี่

Milk thistle(มิลค์ทิสเซิล)ชื่อนี้มีที่มาจากของเหลวสีขาวขุ่นที่ไหลออกจากใบของพืชเมื่อถูกบดขยี้ ใบจริงของต้นไม้ยังมีลายจุดสีขาวซึ่งทำให้ดูราวกับว่า พวกมันถูกจุ่มลงในนม เรียกอีกอย่างว่า St. Mary's thistle, Holy thistle และ silybum

เมล็ดมิลค์ทิสเซิลเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอยด์ที่เรียกว่า silymarin ซึ่งประกอบด้วยสารออกฤทธิ์อื่นๆ อีกหลายชนิด เรียกว่า ฟลาโวนอยด์

Silymarin(ไซลิมาริน) อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง รวมถึงมะเร็งเต้านม โดยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันความเสียหายของ DNA และยับยั้งการเจริญเติบโตเนื้องอกมะเร็ง นอกจากการยับยั้งมะเร็งเต้านมแล้ว การศึกษาในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลองยังแสดงให้เห็นว่า ไซลิมารินอาจป้องกันมะเร็งอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น มะเร็งปอดและมะเร็งต่อมลูกหมาก

ในอดีต Milk thistle ถูกนำมาใช้บรรเทาอาการต่างๆรวมถึง
 • โรคตับจากแอลกอฮอล์
 • ไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง
 • โรคตับที่เกิดจากสารพิษ

ดอกแดนดิไลออน ( Taraxacum officinale ) คล้ายกับดอก
มิลค์ทิสเซิลซึ่งออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีงานศึกษาวิจัยว่า
มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการซึ่งอาจรวมถึง
 • ปกป้องตับ ระบบภูมิคุ้มกัน และไต
 • ออกฤทธิ์ต้านไวรัสเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรีย
 • ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ข้ออักเสบ
เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่คล้ายคลึงกัน ผู้ผลิตบางบริษัทจึงได้ศึกษาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร milk thistle และ dandelion โดยวางจำหน่ายร่วมกันในเม็ดเดียว

มีประโยชน์อย่างไร
1. โรคหอบหืดเป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยามากเกินไปต่อสิ่งกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม จนเกิดภาวะอักเสบในทางเดินหายใจ สารออกฤทธิ์ในมิลค์ทิสเซิลอาจช่วยลดการอักเสบได้

การศึกษาหนึ่งในปี 2012 พบว่า silymarin ช่วยป้องกันการอักเสบในทางเดินหายใจของหนูทดลองที่เป็นโรคหอบหืดจากภูมิแพ้

การศึกษาอีกชิ้น ในปี 2020 สรุปว่า silymarin สามารถช่วยลดอาการหอบหืดโดยควบคุมการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน(วงการแพทย์ต้องการการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อดูว่า silymarin มีประโยชน์ต่ออาการของโรคหอบหืดในมนุษย์หรือไม่)

2.Milk thistle อาจช่วยหยุดการแพร่กระจายมะเร็งหลายชนิด

จากการศึกษาขนาดเล็กที่ดำเนินการกับเซลล์ในห้องทดลองเป็นหลักพบว่า มิลค์ทิสเซิลสามารถชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งและเนื้องอก อีกทั้งอาจเพิ่มประสิทธิภาพของเคมีบำบัดตามข้อมูลของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ(NIH)นักวิจัยพบว่ามีประโยชน์ต่อมะเร็งหลายชนิด ได้แก่
 • มะเร็งต่อมลูกหมาก
 • โรคมะเร็งเต้านม
 • มะเร็งปากมดลูก
 • มะเร็งเม็ดเลือดขาว
 • มะเร็งผิวหนัง
 • มะเร็งลำไส้ใหญ่
การศึกษาขนาดเล็กหลายชิ้น ยังพบว่า มิลค์ทิสเซิลอาจลดผลข้างเคียงของการรักษาโรคมะเร็ง ทั้งการฉายแสง การผ่าตัด และเคมีบำบัด

3. การวิจัยในห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่า
สารประกอบ Silibinin ใน milk thistle อาจช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้

การศึกษาขนาดเล็กในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 101 ราย นักวิจัยคิดว่า อาจชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยแนะนำว่า การใช้ milk thistle ทาบนผิวหนัง อาจป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการรักษาด้วยรังสี

อย่างไรก็ตาม สารสกัดในมิลค์ทิสเซิลอาจออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน อาจไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมที่ไวต่อฮอร์โมน ซึ่งจะเลียนแบบผลกระทบของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย หากคุณมีภาวะที่ไวต่อฮอร์โมน เช่น เนื้องอกในมดลูก โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือมะเร็งรังไข่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทาน

โปรดทราบว่า สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในมิลค์ทิสเซิลอาจรบกวนประสิทธิภาพของยาเคมีบำบัดมะเร็งบางชนิด โดยการปกป้องเซลล์มะเร็งจากการตายของเซลล์

4. อาจช่วยป้องกันโรคนิ่ว
ตับเป็นอวัยวะย่อยอาหารที่สำคัญ ซึ่งช่วยแปรรูปสารอาหารและสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางอาหาร น้ำ และอากาศ
เนื่องจากตับและอวัยวะย่อยอาหารอื่นๆ เช่น ถุงน้ำดี ตับอ่อน ลำไส้ และไต ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบในทางเดินอาหาร
มิลค์ทิสเซิลจึงสามารถช่วยป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและนิ่วในไต

แม้ว่าการวิจัยในหัวข้อนี้จะจำกัด เนื่องจากความสามารถ
ของมิลค์ทิสเซิลในการเพิ่มการไหลเวียนของน้ำดี ป้องกันสภาวะของตับ เช่น โรคไขมันพอกตับที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และส่งเสริมการล้างพิษในตับ อาจมีประโยชน์ในการป้องกันนิ่ว

นิ่วเกิดขึ้นเมื่อคอเลสเตอรอลและสารอื่นๆ ในน้ำดีจับตัวกัน ปัญหาเกิดขึ้นเพราะไขมันคอเลสเตอรอลสามารถแข็งตัวมากขึ้นและติดอยู่ในเยื่อบุด้านในของถุงน้ำดีจนกลายเป็นนิ่วในถุงน้ำดี

5. มักใช้เป็นการรักษาเสริม โดยผู้ที่มีภาวะเสี่ยงจากความเสียหายของตับเนื่องจากสภาวะต่างๆ เช่น โรคตับจากแอลกอฮอล์ โรคไขมันพอกตับที่ไม่มีแอลกอฮอล์ โรคตับอักเสบ และมะเร็งตับ

การศึกษาพบว่า การทำงานของตับดีขึ้นในผู้ที่เป็นโรคตับที่รับประทานมิลค์ทิสเซิลเสริม โดยสามารถช่วยลดการอักเสบของตับและความเสียหายของตับ

ในต่างประเทศจัดเป็นอาหารเสริม ส่วนในเมืองไทยขึ้นทะเบียนเป็นยารักษาโรค ชื่อ Legalon เป็นยาใช้สำหรับป้องกันและรักษาตับในผู้ป่วยโรคตับ เช่น ตับแข็ง, ตับอักเสบ

6.Milk thistle มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ หมายความว่าอาจช่วยป้องกันระบบประสาทและอาจช่วยป้องกันการทำงานของสมองอันเฉื่อยชาที่มักพบในผู้สูงอายุ

 Milk thistle ถูกใช้เป็นวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมสำหรับอาการทางระบบประสาท เช่น โรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสัน มานานกว่าสองพันปี

ในหลอดทดลองและการศึกษาในสัตว์ พบว่า silymarin ช่วยป้องกันความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชันต่อเซลล์สมอง ซึ่งอาจช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้

การศึกษาเหล่านี้ยังพบว่า มิลค์ทิสเซิลลอาจสามารถลดจำนวนของแผ่นอะไมลอยด์ในสมองของสัตว์ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้(แผ่นอะไมลอยด์เป็นกลุ่มเหนียวของโปรตีนอะไมลอยด์ที่สามารถสร้างขึ้นระหว่างเซลล์ประสาทเมื่อมนุษย์มีอายุมากขึ้น)พบได้ในสมองของผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์เป็นจำนวนมาก ซึ่งหมายความว่า อาจใช้มิลค์ทิสเซิลเพื่อช่วยรักษาภาวะที่ยากลำบากนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาในมนุษย์เกี่ยวกับผลกระทบของมิลค์ทิสเซิลในผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์หรือสภาวะทางระบบประสาทอื่นๆ เช่น ภาวะสมองเสื่อมและโรคพาร์กินสัน

ผลข้างเคียง
1.ท้องอืด มีแก๊ส ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ เบื่ออาหาร
2.Milk thistle อาจทำให้เกิดอาการแพ้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่แพ้ ragweed, marigolds, daisies และ chrysanthemums

รายงานบางฉบับระบุว่า มิลค์ทิสเซิลสามารถทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนังและลมพิษ

3. แม้ว่าในอดีต Milk thistle จะถูกนำมาใช้เพื่อปรับปรุงการไหลเวียนของน้ำนมแม่ แต่ยังไม่ได้รับการศึกษาถึงประโยชน์ในระหว่างการให้นมบุตรและการตั้งครรภ์ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้

4.Milk thistle อาจมีปฏิกิริยากับยากลุ่ม Statin(สแตติน)ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (ลดไขมัน)อาจรวมถึง Mevacor, Lescol, Zocor, Pravachol และ Baycol Milk thistle ทำปฏิกิริยากับยาเหล่านี้ เนื่องจากทั้งสองอย่างถูกทำลายโดยเอนไซม์ตับตัวเดียวกัน

6.ความรู้สึกเสียวซ่าในกล้ามเนื้อและกล้ามเนื้อเป็นตะคริว
มีการศึกษาในกรณีหนึ่ง Milk thistle ทำให้เหงื่อออกมากเกินไป

มีรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งอายุน่าจะ 50+ปี มาปรึกษาแป้งว่า กิน Milk thistle วันละ 300 mg มา 4-5 ปีต่อเนื่อง พอเข้าปีที่ 6 รู้สึกมีเหงื่อออกที่รักแร้เหนียวมากกว่าปกติ(เป็นคนที่ไม่ค่อยมีเหงื่อ)บางครั้งก็เป็นตะคริวที่ขา ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เวลาทำกิจกรรมบางอย่างเช่น ยกไดร์เป่าผมจะรู้สึกชาแปล๊บๆที่กลางหลัง(ไม่มีความเจ็บปวด) นั่งขับรถระยะทางไกลก็มีอาการชาหลัง ทำ MRI ไม่พบความผิดปกติใดๆ

แป้งเลยถามกลับว่า กิน Milk thistle เพื่อวัตถุประสงค์อะไร
พี่เค้าตอบว่า อยากล้างพิษในตับเพราะกินอาหารเสริมเยอะ(วันละ 10 เม็ด) อืม!ถ้ากินยารักษาโรคเยอะก็ว่าไปอย่างหรือหากมีค่าเอนไซม์ตับสูงเกินเกณฑ์หรือมีภาวะไขมันพอกตับ ควรรับประทานอย่างยิ่งเลยคะ

พอค้นคว้าเรื่องผลข้างเคียงของมิลล์ทิสเธิล มีข้อควรระวังคือ อาการชากับเหงื่อออกมากเกินไป เลยแนะนำว่า ลองหยุดกิน Mlik thistle ผ่านไป 5 วัน เหงื่อออกลดลง 60% อาการชาดีขึ้น 70%
ครบ 10 วัน เหงื่อออกลดลง 80% อาการชาดีขึ้น 90%

อาการชาแบบไหนที่ควรมาพบแพทย์
 • ชาปลายเท้าและปลายมือเข้าหาลำตัว เกิดจากการขาดสารอาหารที่สำคัญบางชนิด ได้แก่ วิตามิน B1, วิตามิน B6 และ วิตามิน B12
 • รู้สึกชาตั้งแต่แขนไปจนถึงนิ้วมือ อาจเกิดจากกระดูกต้นคอเสื่อม และมีผลต่อการกดทับเส้นประสาท
 • รู้สึกชาเลยข้อมือขึ้นมาจนถึงข้อศอก อาจเป็นสัญญาณเตือนของเส้นประสาทถูกกดทับบริเวณกระดูกไหปลาร้า
 • ชาตั้งแต่สะโพกลงไปจนถึงเท้า อาจเกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
 • ชาที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วโป้ง อาจเป็นอาการเกี่ยวกับกระดูกคอทับเส้นประสาท
 • ชาบริเวณปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า อาจมาจากภาวะน้ำตาลสูง ส่งผลให้เส้นประสาทส่วนปลายที่ควบคุมการทำงานของมือ และเท้าเสียหาย
 • ชาตามมือและนิ้วมือ มักมีอาการร่วมกับปวดแสบปวดร้อนบริเวณกระดูกและข้อ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของโรคเกาต์






ที่มา

7 Science-Based Benefits of Milk Thistle - Healthlinehealthline.comhttps://www.healthline.com › nutrition

Milk Thistle Benefits for the Liver, Gut & More - Dr. Axedraxe.comhttps://draxe.com › nutrition › milk-thistl...

Milk thistle benefits: Liver, skin, cholesterol, weight loss, and ...medicalnewstoday.comhttps://www.medicalnewstoday.com › art...

8 Side Effects of Milk Thistle You Should Be Aware Ofstylecraze.comhttps://www.stylecraze.com › articles › se...

ชาปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า สัญญาณเตือนความผิดปกติของระบบประสาท - โรงพยาบาลศิครินทร์

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม