บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

บีทรูทพืชใต้ผิวดินกับการลดสิวอักเสบ





บีทรูทเป็นพืชเมืองหนาว มีรากสะสมอาหารอยู่ใต้ดิน  ซึ่งประกอบไปด้วยไฟโตเคมีคอล (phytochemical) ให้สารอาหาร ทั้งวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น ไนเตรท(nitrates),บีเทน (betaines), แมกนีเซียม (magnesium) ธาตุเหล็ก (iron) และโฟเลท (folate) ซึ่งจะให้กรดโฟลิกจากธรรมชาติให้กับร่างกาย 


บีทรูท(Beetroot) ลักษณะเป็นทรงกลมป้อมๆ มีหลายสายพันธุ์

เส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 3-4 เซนติเมตร เนื้อภายในจะอวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง และสีเหลือง 


บีทรูทสายพันธุ์ที่ปลูกในต่างประเทศ จะมีขนาดเล็กเท่ามะเขือเทศสีดาที่ใช้ทำส้มตำจนถึงขนาดเท่ามะเขือเทศท้อ มีรสหวาน(แป้งเคยดื่มน้ำบีทรูทที่นำเข้าจากออสเตรเลีย รสหวานและมีกลิ่นดินบางๆ) แต่พันธุ์ที่ปลูกมากในไทย ขนาดจะใหญ่มากๆเท่าที่เคยเห็นคือ ลูกละกิโลกว่าและมีกลิ่นดินค่อนข้างแรง(ไม่ว่าจะล้างด้วยการแช่เกลือหรือเบกกิ้งโซดา กลิ่นดินก็ไม่จางหาย) 


หลักการเลือกบีทรูท ควรเลือกหัวที่มีขนาดเล็ก เพราะมีเนื้อละเอียดและให้รสหวานมากกว่าบีทรูทขนาดใหญ่ มีผิวตึงไม่เหี่ยว จับดูแล้วไม่นิ่ม หัวบีทที่ยังสดอยู่มักมีใบติดมาด้วย

 

ต้นกำเนิดของพืชชนิดนี้อยู่ทางยุโรปแถบเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อนำมาปลูกในประเทศไทยจึงนิยมนำมาปลูกทางภาคเหนือ


น้ำบีทรูท 100 มล. มีพลังงาน 29 แคลอรี่ ไม่มีไขมัน มีสารอาหารดังต่อไปนี้


 โปรตีน 0.42 กรัม 

 คาร์โบไฮเดรต 7.50 กรัม

 น้ำตาล 5.42 กรัม

 ไฟเบอร์ 0.40 กรัม


บีทรูทมีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น ได้แก่ 


โฟเลต มีความสำคัญต่อการทำงานของ DNA และเซลล์ต่างๆ

วิตามิน B-6 ช่วยเผาผลาญสารอาหารและการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง

แคลเซียม แร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและความแข็งแรงของกระดูก

ธาตุเหล็ก ช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆในร่างกาย


บีทรูทอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์เม็ดเลือดแดง  หากไม่มีธาตุเหล็ก เซลล์เม็ดเลือดแดงจะไม่สามารถขนส่งออกซิเจนไปทั่วร่างกายได้


ผู้ที่มีระดับธาตุเหล็กต่ำ บางครั้งอาจมีภาวะที่เรียกว่าโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก  การเพิ่มแหล่งธาตุเหล็กในอาหารสามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะนี้ได้


แมกนีเซียม แร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หัวใจ กล้ามเนื้อ และระบบประสาท

แมงกานีส มีส่วนช่วยในการควบคุมการเผาผลาญสารอาหารและระดับน้ำตาลในเลือด

ฟอสฟอรัส สารอาหารที่จำเป็นสำหรับฟัน กระดูก และการซ่อมแซมเซลล์

ทองแดง มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน กระดูก หลอดเลือด และส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

สังกะสี ช่วยสมานแผล ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน และกระตุ้นการเจริญเติบโต


มีประโยชน์อย่างไร


1.ลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ โดยสารประกอบไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) (ไนเตรทในบีทรูทจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไนตริกออกไซด์ในร่างกาย) มีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ง่าย


2.ลดไขมันในตับ บีทรูทจะช่วยส่งเสริมการทำงานของตับและลดความเสี่ยงต่อโรคตับ เนื่องจากมีสารบีทานินในปริมาณมาก (สีแดงของบีทรูทเป็นสารประกอบบีเทน (betaines) เช่น บีทานิน (betanin) สารนี้ไม่ถูกเมตาบอไลต์ในร่างกาย หากกินปริมาณมากอาจทำให้ปัสสาวะมีสีแดง หากพบในปัสสาวะ เรียกว่า beeturia ซึ่งมีลักษณะคล้ายมีเลือดออกในปัสสาวะ (hematuria)  แต่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) อาจช่วยป้องกันหรือลดการสะสมไขมันในตับ 


อีกทั้งยังมีรายงานผลการทดลองในสัตว์และการศึกษานำร่องที่ระบุผลว่า สารบีทานินมีผลต่อการลดไขมันในผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับ ชนิดที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากแอลกอฮอล์


3.ลดความดันโลหิต บีทรูทเป็นพืชที่อุดมไปด้วยสารไนเตรท(มีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต) เปลี่ยนเป็นไนตริกออกไซด์ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ขยายหลอดเลือด มีผลทำให้ความดันโลหิตลดลง 


จากการศึกษาพบว่า บีทรูทสามารถลดความดันโลหิตได้ถึง 4-10 mmHg ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ระดับไนเตรทในเลือดยังคงสูงขึ้นประมาณหกชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารที่มี

ไนเตรท ดังนั้นบีทรูทจึงมีผลเพียงชั่วคราวต่อความดันโลหิต และจำเป็นต้องบริโภคเป็นประจำเพื่อให้ความดันโลหิตลดลงในระยะยาว

4. อาจเพิ่มสมรรถภาพของนักกีฬา

รายงานจากบีบีซี อ้างผลการศึกษาทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอกซิเทอร์ (Exeter U, UK) พบว่า การดื่มน้ำบีทรูทสร้างเสริมพละกำลังและมีความทนทานขึ้นจนอาจออกกำลังได้นานขึ้นถึง 16%


การศึกษานี้มีจุดอ่อนที่ทำในกลุ่มตัวอย่างน้อยมาก คือจำนวน 8 คน อายุ 19-38 ราย ให้ดื่มน้ำบีทรูทวันละ 500 มล.(0.5 ลิตร)เป็นเวลา 6 วันติดต่อกัน ก่อนทดสอบด้วยการขี่จักรยานออกกำลังกาย หลังจากนั้นทดสอบซ้ำด้วยการให้ดื่มน้ำแบลคเคอเรนท์แทน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างทำเวลาได้เร็วขึ้นประมาณ 2%, ความดันเลือดลดลง, ออกกำลังได้นานขึ้นถึง 16% 


ไนเตรทดูเหมือนจะส่งผลต่อสมรรถภาพของร่างกาย โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพของไมโตคอนเดรีย ซึ่งมีหน้าที่ในการผลิตพลังงานในเซลล์ของมนุษย์


สิ่งสำคัญคือ ต้องสังเกตว่าระดับไนเตรทในเลือดจะสูงสุดภายใน 2-3 ชั่วโมง ดังนั้นเพื่อเพิ่มศักยภาพสูงสุด ควรบริโภคบีทรูท 2-3 ชั่วโมงก่อนฝึกซ้อมหรือแข่งขัน


5. อาจช่วยต่อสู้กับการอักเสบ

การอักเสบเรื้อรังเกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคตับ และมะเร็ง อย่างไรก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่พบในสัตว์ทดลอง(หนู)


การศึกษาหนึ่งในมนุษย์ที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม พบว่าแคปซูลเบตาเลน(Betalain)ที่ทำจากสารสกัดจากบีทรูทช่วยลดความเจ็บปวดและความไม่สบายในข้อเข่า(เบตาเลนเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมา

จากกรดอะมิโนไทโรซีน โดยจัดอยู่ในกลุ่มอินโดล ( Indole ) มีลักษณะเป็นสารสีแดง-เหลือง มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบได้)


แม้ว่าการศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า บีทรูทมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จำเป็นต้องมีการศึกษาในมนุษย์เพิ่มเติม เพื่อพิจารณาว่าบีทรูท

สามารถใช้เพื่อลดการอักเสบได้หรือไม่


6. อาจมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง

มะเร็งเป็นโรคร้ายแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้ โดยมีลักษณะเฉพาะของการเจริญเติบโตของเซลล์ที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติต้านการอักเสบของบีทรูทได้นำไปสู่ความสนใจในความสามารถในการป้องกันมะเร็ง

อย่างไรก็ตาม หลักฐานปัจจุบันค่อนข้างจำกัด


สารสกัดจากบีทรูทสามารถลดการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกในสัตว์ทดลอง(หนู)


การศึกษาหนึ่งในหลอดทดลอง โดยใช้เซลล์ของมนุษย์ พบว่าสารสกัดจากบีทรูทซึ่งมีสารเบตาเลนสูง ช่วยลดการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมากและเซลล์มะเร็งเต้านม


ผลข้างเคียง


1.แม้ว่าบีทรูทดีต่อสุขภาพและปลอดภัย แต่ในบางคนอาจมีอาการแพ้บีทรูทเช่นเดียวกับการแพ้ผักและผลไม้อื่นๆ


การแพ้บีทรูทมักเกิดจากการแพ้เกสรดอกไม้  อาการของการแพ้

บีทรูทอาจรวมถึงรอยแดง บวม หรือคันในปาก ลิ้น หรือลำคอ  ในคนส่วนใหญ่ อาการจะไม่รุนแรง แต่บางคนอาจมีปฏิกิริยารุนแรงซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะภูมิแพ้เฉียบพลัน


2.การกินบีทรูทที่มากเกินไปเรียกว่าบีทูเรีย(Beeturia)  เม็ดสีแดงเข้มในบีทรูทสามารถเปลี่ยนปัสสาวะเป็นสีแดงหรือสีชมพูได้ประมาณ 10 - 14 %ตามรายงานของ Medical News Today  โดยเปลี่ยนอุจจาระเป็นสีแดงดำเข้มใน 1-2 วันหลังรับประทาน


Beeturia เป็นลักษณะการเปลี่ยนสีของปัสสาวะหลังจากรับประทาน

บีทรูท  ปัสสาวะอาจมีตั้งแต่สีชมพูจนถึงสีแดงเข้ม ภาวะนี้อาจพบได้ทั่วไปในประชากรประมาณ 14% และมีความถี่เพิ่มขึ้นในผู้ที่มีภาวะขาดธาตุเหล็ก 


ส่วนใหญ่ beeturia เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งจะหายไปเองเมื่อลดการบริโภคน้ำบีทรูท


การดื่มน้ำบีทรูทเป็นประจำอาจส่งผลต่อสีของปัสสาวะและอุจจาระได้ เนื่องจากสีตามธรรมชาติในบีทรูท อาจสังเกตเห็นปัสสาวะสีชมพูหรือสีม่วง ซึ่งเรียกว่าบีทูเรีย(Beeturia) การเปลี่ยนแปลงของสีเหล่านี้เกิดขึ้นชั่วคราวและไม่มีอะไรน่าวิตกกังวล


3.อาจเพิ่มความเสี่ยงนิ่วในไต เนื่องจากบีทรูทมีกรดออกซาลิกสูง ในบางคนการรับประทานอาหารที่มีออกซาเลตสูงอาจทำให้เกิดนิ่วในไต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรับประทานในปริมาณมาก


บีทรูทมีออกซาเลตสูงและสามารถทำให้เกิดนิ่วในไตได้

โดยเพิ่มการขับออกซาเลตในปัสสาวะ ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาของนิ่วแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) ซึ่งบีทรูทเป็นหนึ่งในอาหารที่มีออกซาเลตสูง จะทำให้ร่างกายไม่ดูดซึมแคลเซียม เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดนิ่วในไต หากมีนิ่วในไต 

ไม่ควรรับประทานบีทรูทในทุกรูปแบบ


3.บีทรูทอาจทำให้เกิดภูมิแพ้ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาการแพ้แบบเฉียบพลันต่อสารก่อภูมิแพ้ที่ร่างกายมีความรู้สึกไวเกินไป


บางการศึกษาพบว่า เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเกิดลมพิษ (ผื่นแดงบนผิวหนังที่คันอย่างรุนแรง บางครั้งอาจนำไปสู่อาการบวมที่เป็นอันตราย)และโรคหอบหืดหลังจากกินบีทรูทที่ต้มแล้ว  นอกจากนี้ยังมีอาการลมพิษ จุกที่ลำคอและหลอดลมหดเกร็งอีกด้วย


4.บีทรูทมีไนเตรท จากการตีพิมพ์ของกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐอเมริกา(Department of Health and Human Services : HHS)การได้รับไนเตรทในปริมาณสูงอาจทำให้ปวดท้อง ไนเตรทที่มากเกินไปสามารถนำไปสู่เมทฮีโมโกลบิน (ระดับเมทฮีโมโกลบินในเลือดสูงขึ้น) ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ขาดพลังงาน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ผิวรอบดวงตา ตา ปาก ริมฝีปาก มือ และเท้าเป็นสีฟ้าเทา


5.น้ำผลไม้อาจทำให้เกิดปัญหาในกระเพาะอาหาร บีทรูทมีเส้นใยมาก หากรับประทานมากจะส่งผลทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด จุกเสียด รวมถึงการเป็นตะคริวที่ท้อง


มีการวิจัยที่จำกัดและไม่มีคำแนะนำอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ

ปริมาณน้ำบีทรูทที่ปลอดภัย  ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน

รับประทานบีทรูทในรูปแบบอาหารเสริม


6.ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ ไม่ควรดื่มน้ำบีทรูทเป็นประจำ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงให้ความดันโลหิตลดต่ำลง ไนเตรทในน้ำบีทรูทส่งผลต่อความดันโลหิต  ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำหรือกำลังใช้ยาลดความดันโลหิตอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะรับประทาน

บีทรูท


7.บีทรูทมีสาร FODMAPs ในรูปของน้ำตาลฟรุกแทน (Fructan) ที่ช่วยให้แบคทีเรียในลำไส้เจริญเติบโต ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการท้องเสียหรือความผิดปกติเกี่ยวกับลำไส้ในบางรายที่ร่างกายมีการตอบสนองไว เช่น ผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน


8.ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานบีทรูท เพราะมีไนเตรทที่มีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ เช่น เกิดอาการครรภ์เป็นพิษ และเกิดความเครียดระหว่างตั้งครรภ์ได้


เมื่อก่อนช่วงที่เป็นสิวอักเสบ 1-2 เม็ดที่เกิดจากประจำเดือน(ขณะนั้นยังมีผิวมัน)แป้งจะคั้นน้ำบีทรูท+ขมิ้นชัน(ใช้แบบผงป่น)+มะนาว อัตราส่วน 1 :1:1 คนให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด ทาครีมบำรุงผิวตามปกติ ใบหน้าจะเนียนนุ่ม ผิวหน้าเรียบ รูขุมขนกระชับอย่างเห็นได้ชัด ทาแป้งติดดีกว่าปกติ หน้าไม่มันเยิ้มระหว่างวันอีกด้วย

แต่ผลลัพธ์ที่ว่าจะอยู่เพียง 8-10 ชม.ถ้าไม่พอกหน้าซ้ำในวันต่อมา สภาพผิวจะเป็นเหมือนเดิมก่อนที่จะพอกหน้าด้วยบีทรูทค่ะ


ไม่พอแค่นี้ แป้งแบ่งน้ำบีทรูทปริมาณ 150 ml. จากการคั้นด้วยเครื่องแยกกาก รินใส่แก้วผสมกับนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม ค่อยๆจิบทีละนิดจนหมดแก้วหลังอาหารเช้า-เย็น ทำต่อเนื่อง 5-7 วัน สิวอักเสบยุบลงโดยไม่ทิ้งรอยดำ(บีทรูทเป็นพืชที่ดีต่อสุขภาพผิวเพราะช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง สามารถบรรเทาอาการของสิวอักเสบ)


หมายเหตุ ส่วนใหญ่ตามเว็ปไซต์ต่างๆมักจะแนะนำให้ดื่มน้ำบีทรูทตอนท้องว่างเพื่อประโยชน์สูงสุด แต่แป้งเคยเป็นกรดไหลย้อน(เป็นๆหายๆถ้าไม่กินอาหารเผ็ด ก็ไม่เป็น)

บีทรูทมีเส้นใยอาหารมาก จะส่งผลต่อระบบย่อยอาหารทำให้เกิดแก๊ส ปวดแสบท้อง ท้องอืดได้ ดังนั้นจึงดื่มน้ำบีทรูทหรือน้ำผลไม้หลังอาหารค่ะ


เกือบลืมเล่าว่าเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว สนุกกับการทำเบเกอรี่หลายอย่าง เช่น เค้กชิฟฟอน เค้กสปันจ์ ไวท์ชอคโกแลตชีสเค้ก ฯลฯ

ซึ่งชีสมีไขมันอิ่มตัวสูง แป้งกินไวท์ชอคโกแลตชีสเค้กเพียงชิ้นเดียวในตอนกลางวัน รุ่งขึ้นรู้สึกเจ็บหน่วงๆที่ใต้ริมฝีปาก คลำดูพบว่า นี่มันสิวหัวช้างนี่นา แป้งไม่เคยเป็นสิวหัวช้าง 10 กว่าปีแล้ว เมื่อก่อนนานๆปีจะเป็นบ้าง ทายาลดสิว 0.5%benzac ก็ไม่หาย ต้องเข้า

คลีนิกฉีดสเตียรอยด์สถานเดียว สิวจึงจะยุบ 


แต่ครั้งนี้ลองใช้วิธีดื่มน้ำบีทรูทครั้งละ 150 ml.ผสมนมเปรี้ยวหลังอาหารเช้า-เย็น+ทา benzac เช้า-เย็น วันต่อมาสิวหัวช้างยุบลงใต้ผิว แบบจับแล้วไม่เจ็บและหายไปภายใน 2 วันค่ะ


บางครั้งเบื่อผสมกับนมเปรี้ยว แป้งจะนำน้ำบีทรูทผสมกับ

น้ำแอปเปิ้ล น้ำสับปะรด รสชาติดีทีเดียว แถมช่วยให้ขับถ่ายคล่องขึ้นด้วย น้ำบีทรูทคั้นแยกกาก สามารถเก็บในตู้เย็นได้ 7-10 วัน(ที่จริงควรคั้นวันต่อวันเพื่อประโยชน์สูงสุด แต่เหนื่อยกับการล้างเครื่องแยกกากทุกวัน เลยคั้นทีเดียวทีละ 5 กก.ได้น้ำบีทรูท 2.3 ลิตร)


หมายเหตุ 

สูตรพอกหน้าด้วยบีทรูท+ขมิ้นชัน+มะนาว เหมาะกับผิวมัน ผิวผสม ไม่เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย 


หากมีผิวแห้ง แนะนำบีทรูท+ข้าวโอ๊ตบดละเอียด+น้ำผึ้งหรืออะโวคาโด












ที่มา 


7 Side Effects Of Drinking Beetroot Juice In Excess - Stylecrazehttps://www.stylecraze.com › articles › seri...


Beetroot juice: 6 health benefits, nutrition, and how to use ithttps://www.medicalnewstoday.com › artic...


Beet Juice: 11 Health Benefits From Blood Pressure to ...https://www.healthline.com › food-nutrition


บีทรูทกับประโยชน์ต่อสุขภาพ - พบแพทย์https://www.pobpad.com › บีทรูทกับประโยชน์ต่อสุ


บีทรูท กินอย่างไร ให้ได้ประโยชน์ และดีต่อสุขภาพที่สุด? | HD สุขภาพ ...https://hd.co.th › ... › การกินเพื่อสุขภาพ


บีตรูต - วิกิพีเดียhttps://th.wikipedia.org › wiki › บีตรูต


https://www.healthline.com/nutrition/benefits-of-beets


Beetroot / หัวบีทหรือหัวผักกาดแดง - Food Wiki | Food Network ...http://www.foodnetworksolution.com › word › beet


เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม