บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564

กรดทรานเอกซามิก (tranexamic acid) กับการรักษาฝ้า

ข้อมูลวิชาการเรื่อง “การใช้กรดทรานเอกซามิก (tranexamic acid) ในการรักษาฝ้า”


กรดทรานเอกซามิก มีฤทธิ์ในการห้ามเลือด

ในประเทศไทยขึ้นทะเบียนเป็นยารักษาผู้ป่วยโรคเลือดไหลหยุดยากหรือเลือดออกมากผิดปกติ 


ต่อมาแพทย์ชาวญี่ปุ่นเป็นผู้ค้นพบว่า การรับประทานยากรดทรานเอกซามิกในขนาดยาที่ต่ำ (500-1,000 มิลลิกรัม/วัน) สามารถทำให้ฝ้าจางหายได้ชั่วคราว


ในปัจจุบันมีการใช้กรดทรานเอกซามิกแบบนอกข้อบ่งใช้ (off-label) ในการรักษาฝ้าอย่างแพร่หลาย จากการสืบค้นข้อมูลทางการแพทย์พบว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 มีงานวิจัยทางการแพทย์ไม่ต่ำกว่า 20 งานวิจัยที่รายงานถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้กรดทรานเอกซามิกชนิดรับประทานในการรักษาฝ้า 


ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 วารสารของสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตีพิมพ์งานวิจัย 4 เรื่องเกี่ยวกับการใช้กรดทรานเอกซามิกในการรักษาฝ้า และ 1 ใน 4 งานวิจัยดังกล่าวทางบรรณาธิการของวารสารในหัวเรื่องว่า “การใช้กรดทรานเอกซามิกชนิดรับประทานเพื่อใช้ในการรักษาฝ้า: จุดเปลี่ยนของแนวทางการรักษาฝ้า (JAAD Game Changers: Oral tranexamic acid (TA) in the treatment of melasma: A retrospective analysis)”


ในปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกที่แน่ชัดของกรดทรานเอกซามิกในการรักษาฝ้า


แต่ข้อมูลจากงานวิจัยหลายฉบับสันนิษฐานว่ากรดทรานเอกซามิก

ออกฤทธิ์ในการรักษาฝ้า โดยการยับยั้งขนวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน


รายงานทางการแพทย์โดยการศึกษาแบบ Meta-analysis (การวิเคราะห์อภิมาน) และการศึกษาแบบงานปริทัศน์แบบทั้งระบบ (Systematic review) จำนวน 2 ฉบับซึ่งตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2560 และ 2561


สรุปผลว่า สำหรับในผู้ป่วยซึ่งไม่มีข้อห้ามใช้กรดทรานเอกซามิก การใช้กรดทรานเอกซามิกชนิดรับประทานในขนาดยาต่ำ (500-1,000 มิลลิกรัม/วัน) เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันประมาณ 3 เดือน สามารถทำให้ฝ้าจางลงได้และมีความปลอดภัยสูง 


ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น การมีประจำเดือนน้อยลง

การปวดมวนท้องหรือการเกิดผื่นแพ้ การรับประทานกรดทรานเอกซามิกในขนาดยาดังกล่าว ไม่มีการรายงานว่ามีผู้ป่วยที่เกิดลิ่มเลือดไปอุดตันในสมอง ปอด หัวใจ หรืออวัยวะอื่นๆ


ผู้ป่วยที่ไม่ควรรับประทานกรดทรานเอกซามิกได้แก่

- ผู้ป่วยที่ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดการอุดตันของหลอดเลือด เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดขอดหรือมีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (Deep vein thrombosis)

- สตรีมีครรภ์

- สตรีให้นมบุตร

- ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้กรดทรานเอกซามิก


ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาฝ้าให้หายขาดได้ 

การรับประทานกรดทรานเอกซามิกสามารถทำให้ฝ้าจางลงชั่วคราวเท่านั้น 


ผู้ป่วยยังต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้การเกิดฝ้า เช่น แสงแดด และการใช้ยาบางชนิดที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า เช่น ยาคุมกำเนิด


เพื่อความปลอดภัย ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยซื้อกรดทรานเอกซามิก

มารับประทานเอง การรักษาควรอยู่ในการควบคุมและดุลยพินิจของแพทย์เป็นสำคัญ





ที่มา

เพจ Prof Dr Worapong

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2564

โพรไบโอติก(probiotic)กับผลข้างเคียงที่ควรรู้

การค้นพบโพรไบโอติกเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อ Elie Metchnikoff หรือที่รู้จักกันในนาม "บิดาแห่งโพรไบโอติก" ได้สังเกตว่า ชาวชนบทในประเทศบัลแกเรียมีสุขภาพแข็งแรงแม้อยู่ในวัยชรามาก ท่ามกลางความยากจนและสภาพอากาศอันเลวร้าย เขาตั้งทฤษฎีว่าสุขภาพจะดีขึ้นและมีความชราช้าลง โดยการจัดการจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วยแบคทีเรียที่เป็นมิตรกับโฮสต์ที่พบในนมเปรี้ยว ตั้งแต่นั้นมาการวิจัยยังคงสนับสนุนการค้นพบของเขาพร้อมกับประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น


โพรไบโอติกมักถูกเรียกว่า "แบคทีเรียดี" เพราะช่วยให้ลำไส้แข็งแรง หากพูดถึงเรื่องแบคทีเรีย หลายๆคนอาจจะคิดถึงเชื้อโรคร้ายที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ แต่จริงๆ แล้วแบคทีเรียนั้นมีหลายประเภททั้งแบคทีเรียที่ก่อโรค และแบคทีเรียดีที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเรียกว่า Probiotic


Probiotic คือกลุ่มแบคทีเรียหรือยีสต์ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร และระบบอื่นๆ ของร่างกาย เมื่อมีอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบทางเดินอาหารและระบบอื่นๆ ของร่างกาย เนื่องจากจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรเหล่านี้มีส่วนช่วยในการดูดซึมสารอาหาร การป้องกันโรค และรักษาภาวะที่ผิดปกติของร่างกาย


โพรไบโอติกเป็นแบคทีเรียและยีสต์ที่มีชีวิตซึ่งให้ประโยชน์ต่อสุขภาพเมื่อบริโภคในปริมาณมาก


โปรไบโอติกที่พบบ่อยที่สุดสองชนิดในท้องตลาด ได้แก่ แบคทีเรียชนิดดีที่เรียกว่า แลคโตบาซิลลัสและบิฟิโดแบคทีเรียม 


เราสามารถรับประทานโพรไบโอติกเป็นอาหารเสริมหรือบริโภคตามธรรมชาติผ่านอาหารหมัก เช่น โยเกิร์ต คีเฟอร์(Kefir) กะหล่ำปลีดอง กิมจิ 

คอมบูชะ มิโซะ เต้าเจี้ยว ฯลฯ


มีประโยชน์ดังนี้

1.โพรไบโอติกอาจช่วยบรรเทาปัญหาการย่อยอาหารต่างๆรวมถึงอาการท้องร่วง ตะคริวและปวดท้องซึ่งเป็นอาการของโรคลำไส้แปรปรวน ( IBS )


 การศึกษาที่ตีพิมพ์ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ในเภสัชวิทยาทางเดินอาหารและการบำบัดพบว่า โพรไบโอติกสามารถช่วยบรรเทาอาการIBSเหล่านี้ได้


2.โพรไบโอติกอาจช่วยสุขภาพช่องปาก การวิเคราะห์ที่ตีพิมพ์ในปี 2559 ในวารสาร Journal of Indian Society of Periodontologyพบหลักฐานเพิ่มขึ้นว่า การใช้โพรไบโอติกสามารถลดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือกได้


3.โพรไบโอติกอาจบรรเทาอาการแพ้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในเดือนมิถุนายน 2018 ในClinical and Molecular Allergyพบว่า โพรไบโอติกมีแนวโน้มในการรักษาอาการแพ้ไรฝุ่น เนื่องจากมีหลักฐานว่าช่วยเสริมสร้างการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกาย


4.โพรไบโอติกอาจช่วยป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน การศึกษาที่ตีพิมพ์ในเดือนมิถุนายน 2018 ในเทคโนโลยีชีวภาพสังเคราะห์และระบบพบว่าในผู้ใหญ่ที่เป็นหวัด การใช้โพรไบโอติกช่วยลดอุบัติการณ์ของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน นักวิจัยระบุว่าโพรไบโอติกช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน


5.โพรไบโอติกอาจช่วยให้สิวหายได้ การทบทวนที่ตีพิมพ์ในเดือนเมษายน 2020 ในDermatologic Therapyพบว่า สิวเกี่ยวข้องกับแบคทีเรียบริเวณผิวหนังที่เรียกว่าPropionibacterium acnesและโพรไบโอติกอาจยับยั้งแบคทีเรียนี้ได้ นักวิจัยแนะนำให้ใช้โพรไบโอติกนอกเหนือจากการรักษามาตรฐานสำหรับสิวผดเล็กน้อยถึงปานกลาง


แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายที่เชื่อมโยงกับการรับประทานโพรไบโอติก แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงได้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเล็กน้อยและมีผลกระทบต่อคนจำนวนน้อยเท่านั้น


อย่างไรก็ตามในคนที่เป็นโรคร้ายแรงหรือระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกรุกรานอาจพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น


ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของโพรไบโอติก


1.อาจทำให้เกิดอาการทางเดินอาหารที่ไม่พึงประสงค์คือ การเพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องอืดและท้องเฟ้อ 


ผู้ที่รับประทานโพรไบโอติกที่ใช้ยีสต์ อาจมีอาการท้องผูกและกระหายน้ำมากขึ้น


ไม่ทราบแน่ชัดว่าเหตุใดบางคนจึงได้รับผลข้างเคียงเหล่านี้แต่โดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้จะลดลงหลังจากใช้งานต่อเนื่องสองถึงสามสัปดาห์


เพื่อลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงให้เริ่มรับประทานโพรไบโอติกในปริมาณที่น้อยและค่อยๆเพิ่มขึ้นในสองสามสัปดาห์

หากยังมีอาการท้องอืดหรือผลข้างเคียงอื่นๆเกิดขึ้นให้หยุดรับประทานโพรไบโอติก


2.โพรไบโอติกอาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว

โพรไบโอติกบางชนิด เช่น โยเกิร์ต กะหล่ำปลีดอง กิมจิ มีสารประกอบเอมีน(ไบโอเจนิกเอมีนเป็นสารที่เกิดขึ้นเมื่ออาหารที่มีโปรตีนมีอายุมากขึ้นหรือหมักด้วยแบคทีเรีย)


เอมีนที่พบบ่อยที่สุดในอาหารที่อุดมด้วยโพรไบโอติกได้แก่ ฮิสตามีน ไทรามีน ทริปตามีน และฟีนิลไทลามีน


เอมีนจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง สามารถเพิ่มหรือลดการไหลเวียนของเลือดและอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวสำหรับผู้ที่ไวต่อสารนี้


3.บางสายพันธุ์สามารถเพิ่มระดับฮีสตามีน แบคทีเรียบางสายพันธุ์ที่ใช้ในอาหารเสริมโพรไบโอติกสามารถผลิตฮีสตามีนในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ 


ฮีสตามีน(Histamine)เป็นโมเลกุลที่ปกติสร้างขึ้นโดยระบบภูมิคุ้มกันเมื่อตรวจพบภัยคุกคาม หากระดับฮีสตามีนสูงขึ้น หลอดเลือดจะขยายตัวเพื่อนำเลือดไปยังบริเวณที่ได้รับผลกระทบมากขึ้นหลอดเลือดยังสามารถซึมผ่านได้มากขึ้นเพื่อให้เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถเข้าไปในเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค


กระบวนการนี้ทำให้เกิดรอยแดงและบวมในบริเวณที่ได้รับผลกระทบและสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้ เช่น คัน น้ำตาไหล น้ำมูกไหลหรือหายใจลำบาก(คนที่เป็นภูมิแพ้จะมองเห็นภาพชัดเจนกว่าใครเพราะเป็นอยู่ประจำ)


โดยปกติฮีสตามีนที่ผลิตในระบบทางเดินอาหารจะถูกย่อยสลายตามธรรมชาติโดยเอนไซม์ที่เรียกว่า diamine oxidase(DAO) เอนไซม์นี้ยับยั้งระดับฮีสตามีนไม่ให้เพิ่มขึ้นมากพอที่จะทำให้เกิดอาการ  อย่างไรก็ตามบางคนที่แพ้ฮีสตามีนจะมีปัญหาในการทำลายฮีสตามีนในร่างกายอย่างเหมาะสม เนื่องจากผลิต DAO ไม่เพียงพอ


โพรไบโอติกสายพันธุ์ที่สร้างฮิสตามีน ได้แก่ Lactobacillus buchneri, Lactobacillus helveticus, Lactobacillus hilgardii and Streptococcus thermophilus


4.ส่วนผสมบางอย่างอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ ผู้ที่มีอาการแพ้หรือแพ้ง่ายควรอ่านฉลากของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโพรไบโอติกอย่างละเอียด เนื่องจากอาจมีส่วนผสมที่สามารถตอบสนองได้

อาหารเสริมบางชนิดมีสารก่อภูมิแพ้ เช่น นม ไข่ ถั่วเหลือง


ทุกคนที่แพ้ควรหลีกเลี่ยงส่วนผสมเหล่านี้เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ หากจำเป็นที่จะต้องใช้ควรอ่านฉลากอย่างละเอียดเพื่อหลีกเลี่ยง  ในทำนองเดียวกันโพรไบโอติกที่ใช้ยีสต์ไม่ควรนำมาใช้กับผู้ที่แพ้ยีสต์ ควรเลือกโพรไบโอติกที่ใช้แบคทีเรียแทน


น้ำตาลในนมหรือแล็กโตส(lactose)ยังใช้เป็นอาหารอาหารเสริมโพรไบโอติกหลายชนิด ในขณะที่การศึกษาชี้ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่แพ้แลคโตสสามารถทนต่อแลคโตสได้ถึง 400 มิลลิกรัมในยาหรืออาหารเสริม


คนที่แพ้แลคโตส อาจพบแก๊สที่ไม่พึงประสงค์ ไม่สบายท้องและท้องอืดเมื่อบริโภคโพรไบโอติกที่มีแล็กโตส 


นอกเหนือจากการมีโพรไบโอติกที่มีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบางอย่างยังมีพรีไบโอติก(prebiotic)ซึ่งเป็นเส้นใยพืชที่ระบบทางเดินอาหารมนุษย์ไม่สามารถย่อยได้แต่แบคทีเรียสามารถใช้เป็นอาหารได้ ชนิดที่พบบ่อยได้แก่ แลคตูโลส(lactulose)อินนูลิน(inulin)และโอลิโกแซ็กคาไรด์(oligosaccharide)


อาหารเสริมที่มีทั้งจุลินทรีย์โพรไบโอติกและเส้นใย prebiotic เรียกว่า synbiotic


5.สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อสำหรับบางคน โพรไบโอติกปลอดภัยสำหรับประชากรส่วนใหญ่ แต่อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน บางกรณีแบคทีเรียหรือยีสต์ที่พบในโพรไบโอติกสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและทำให้เกิดการติดเชื้อในผู้ที่อ่อนแอ


ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงสุดในการติดเชื้อจากโพรไบโอติกได้แก่ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกกดจากการรับประทานยาสเตียรอยด์ การเข้ารับ การรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน การสวนหลอดเลือดดำหรือผู้ที่เพิ่งได้รับการผ่าตัด(ร่างกายผู้ป่วยเกิดความอ่อนแอ จึงเป็นโอกาสที่ทำให้เกิดติดเชื้อแบคทีเรียโปรไบโอติกได้)


อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงมักเกิดขึ้นในผู้ที่อายุน้อยหรือผู้สูงอายุและผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่แข็งแรงหรือระบบภูมิคุ้มกันที่เสียหาย เช่น ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีหรือป่วยระยะสุดท้าย โพรไบโอติกอาจไม่ดีสำหรับผู้ที่ป่วยหนักอยู่แล้ว


อย่างไรก็ตามความเสี่ยงในการติดเชื้อนั้นต่ำมากและไม่มีรายงานการติดเชื้อร้ายแรงในการศึกษาทางคลินิกของประชากรทั่วไป


การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เป็นโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันอย่างรุนแรงไม่ควรรับประทานโพรไบโอติก เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต


ทุกคนที่เลือกทานอาหารเสริมเหล่านี้ต้องใช้ความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุและผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกรุกราน สำหรับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันถูกรุกรานเนื่องจากโรคหรือการรักษาโรค เช่นเคมีบำบัดมะเร็ง  ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีหรือป่วยระยะสุดท้าย การใช้โพรไบโอติกอาจเพิ่มโอกาสในการป่วยได้ 


การใช้โพรไบโอติกต่างๆสำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือผู้ป่วยที่มีลำไส้รั่ว ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อและภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารเสริมภายใต้สถานการณ์เหล่านี้


หากกำลังรับเคมีบำบัด ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะหรือเพิ่งผ่าตัดควรรอจนกว่าจะหายเป็นปกติก่อนที่จะเริ่มรับประทานโพรไบโอติก









ที่มา 

When Probiotics Are Bad For You - Heart to Heart Medical ...hearttoheartmedicalcenter.com › Blog

5 Possible Side Effects of Probiotics - Healthlinewww.healthline.com › nutrition › probioti...


Probiotics, Prebiotics & Synbiotics: Benefits, Definition, Side ...www.medicinenet.com › probiotics › article


Could You Benefit From a Probiotic Supplement? | Everyday ...www.everydayhealth.com › digestive-health


โพรไบโอติกส์ - โรงพยาบาลนนทเวชwww.nonthavej.co.th › Probiotics

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2564

เลือกไม่ถูกเลย คาเฟอีนให้ประโยชน์หรือโทษ


คนทั่วไปไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกินวันละ 400 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับการดื่มกาแฟประมาณ 4 แก้ว เครื่องดื่มชูกำลัง 2 ขวด หรือโคล่าประมาณ 10 กระป๋อง แต่ต้องระวังปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไปด้วย เพราะในโคล่า 10 กระป๋องอาจมีน้ำตาลมากถึง 350 กรัม รวมถึงกาแฟชงสำเร็จรูปมักมีน้ำตาลผสมอยู่ในปริมาณมากเช่นกัน


หากบริโภคเป็นประจำอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคอ้วนหรือโรคเบาหวานได้ ดังนั้นนอกจากปริมาณคาเฟอีนที่ต้องควบคุมแล้ว ยังต้องระวังเรื่องการบริโภคน้ำตาลส่วนเกินที่อยู่ในอาหารแต่ละประเภทด้วย


อาหารและเครื่องดื่มแต่ละชนิดจะมีปริมาณคาเฟอีนไม่เท่ากัน ซึ่งอาหารที่มีคาเฟอีนมากที่สุด คือ กาแฟ โดยกาแฟประมาณ 240 มิลลิลิตร จะมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 95-200 มิลลิกรัม


คาเฟอีนเป็นยากระตุ้นระบบประสาท ทำให้รู้สึกตื่นเต้น บางคนดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ เช่น ชาหรือกาแฟอาจจะทำให้นอนไม่หลับ แต่บางคนหลับได้สบาย


การที่เราไม่รู้สึกง่วงนอนนั้น ไม่ใช่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเสมอไป เพราะถ้าเราอ่อนเพลีย ร่างกายต้องการพักผ่อน แต่เราต้องการกระตุ้นให้ตื่น การทำงานจะไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วค่อยมาทำต่อ 


การที่ร่างกายไม่ยอมพักผ่อนนั้นจะทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมเร็วกว่าปกติ การรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมานั้นก็ไม่ใช่ฤทธิ์ของคาเฟอีนโดยตรง แต่เป็นการเอาพลังงานสำรองมาใช้ ซึ่งเมื่อถึงคราวที่เราต้องอาศัยพลังงานสำรองจริงๆ แล้วจะไม่มีเหลือ ทำให้ภูมิต้านทานต่ำ ป่วยง่ายและหายยาก หรืออาจจะไม่หายเลยก็ได้


คาเฟอีนนับเป็นสิ่งเสพติด เพราะถ้าเราดื่มทุกวันแล้วงด จะมีอาการถอนยาหรืออาการขาดยา คือ ปวดหัว หงุดหงิด กระสับกระส่าย ซึมเศร้า น้ำมูกไหล คลื่นไส้ ง่วงซึม และไม่อยากทำงาน แต่ถ้าได้รับประทานยา หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปอาการเหล่านี้ก็จะหายไป


ในปี ค.ศ.1980 สำนักงานอาหารและยา (F.D.A.) ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศเตือนสตรีที่มีครรภ์ให้งดและลดกาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อทารกทำให้คลอดออกมาไม่สมประกอบได้


มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของสหรัฐพบว่า 

การดื่มกาแฟวันละ 1-2 ถ้วย จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อนได้มากถึง 2 เท่า 

การดื่มกาแฟร้อนวันละ 3 ถ้วยหรือมากกว่านี้จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อนถึง 3 เท่า


ส่วนชามีสารชนิดหนึ่งชื่อเเทนนิน (Tannin) ซึ่งเป็นตัวทำลาย

วิตามินบีหนึ่งในอาหาร จึงไม่ควรดื่มน้ำชาร่วมกับอาหาร ถ้าใครอดไม่ได้ ควรดื่มชาหลังอาหารแล้วประมาณ1 ชั่วโมง เพื่อรอให้

วิตามินบีหนึ่งได้ดูดซึมไปก่อน 


คนที่ขาดวิตามินบี 1 จะทำให้เป็นโรคเหน็บชา มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ปวดแสบ เสียวในขาและขาไม่มีแรง อารมณ์เสียและหงุดหงิดง่าย


การดื่มชามากๆ จะทำให้ท้องผูก แพทย์จึงมักแนะนำให้ดื่มน้ำชาในคนไข้มีอาการท้องร่วงหรือท้องเดิน แต่ไม่ใช่ดื่มเป็นเครื่องดื่มประจำวัน


การดื่มชาขณะรับประทานอาหาร จะทำให้การดูดซึมของธาตุเหล็กลดลงถึงร้อยละ 87  ส่วนดื่มกาแฟพร้อมอาหารจะลดลงร้อยละ 39 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เป็นโรคโลหิตจาง ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาและกาแฟ (ข้อมูลจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยแพทย์แคนซัสสหรัฐอเมริกา)


โทษของคาเฟอีน

1. หัวใจสั่น (หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติหรือผิดปกติ)

2.ทำให้ความดันโลหิตสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

3.ไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ในทางอ้อมจะทำให้เป็นโรคหัวใจวายง่ายขึ้น


4. กระเพาะอาหารผลิตกรดไฮโดรคลอริกออกมามากกว่าปกติ ซึ่งทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและโรคกรดไหลย้อน 

อีกทั้งคาเฟอีนสามารถกระตุ้นการขับถ่ายได้ด้วยการเพิ่มการหดตัวของกล้ามเนื้อของทางเดินอาหาร (Peristalsis) จึงอาจทำให้บางคนขับถ่ายดีขึ้น หรือมีอาการท้องเสีย 


นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่า การบริโภคคาเฟอีน อาจทำให้อาการของโรคกรดไหลย้อนแย่ลง เนื่องจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสามารถทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารตอนล่างคลายตัว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของอาการกรดไหลย้อน 


5. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจทำให้มีก้อนซีสต์ที่เป็นเนื้องอกในเต้านมสตรี

6. ทำลายโครโมโซมในหนูทดลองและลูกหนูที่คลอดออกมาอาการไม่สมประกอบ


7. กระตุ้นระบบประสาท ทำให้นอนไม่หลับ มือสั่น ตึงเครียด อารมณ์เสียง่าย ปวดศีรษะ ประสิทธิภาพการทำงานต่ำลง


8.กล้ามเนื้อและกระดูกเสียหาย หากบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมน้อยลงจนเกิดภาวะกระดูกพรุน หรืออาจทำให้อัตราเมตาบอลิซึมสูงเกินไป จนเกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง 


ประโยชน์ของคาเฟอีน

1. แพทย์อาจจะใช้กับเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนดและหยุดหายใจแล้วกว่า 20 วินาที เพื่อช่วยกระตุ้นให้ฟื้น ซึ่งได้ผลไม่แน่นอน

2. ใช้ในห้องทดลองเกี่ยวกับการกระตุ้นระบบประสาท

3. ผสมกับยาเออร์กอท (Ergot) ในการรักษาไมเกรน

4. ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น คาเฟอีนจะไปปิดกั้นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้ปริมาณของสารสื่อประสาทชนิดอื่นอย่าง

โดปามีนและนอร์อิพิเนฟรินเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้มีการส่งข้อมูลของเซลล์ประสาทภายในสมองเพิ่มมากขึ้น 


จากการศึกษาพบว่า คาเฟอีนอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองดีขึ้นในหลาย ๆ ด้าน เช่น อารมณ์ ความจำ การตอบสนอง ความระมัดระวัง ระดับพลังงาน และกระบวนการคิดทั่วไป 


5.ช่วยเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย โดยคาเฟอีนอาจเพิ่มระดับ

อะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ช่วยเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกายอย่างหนัก และคาเฟอีนยังช่วยสลายไขมันให้เป็นพลังงานอีกด้วย นอกจากนี้คาเฟอีนยังอาจช่วยเพิ่มความทนทานและอาจช่วยให้เหนื่อยช้าลง แต่คาเฟอีนอาจไม่เพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายในกรณีที่ต้องใช้แรงมากในระยะเวลาสั้น ๆ อย่างการยกของหรือการวิ่งเร็ว


6.ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น โดยมีการศึกษาพบว่า คาเฟอีนจะเพิ่มอัตราการเผาผลาญในร่างกายให้มากขึ้น และมีงานค้นคว้าอื่น ๆ ที่ระบุว่า คาเฟอีนสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญของคนอ้วน 10 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มอัตราการเผาผลาญของคนผอม 29 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ว่าประสิทธิภาพนี้จะลดลงในผู้ที่บริโภคคาเฟอีนในระยะยาว


7.ลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้า คาเฟอีนอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้าและลดความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้ โดยมีงานวิจัยพบว่า การบริโภคคาเฟอีนอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้าในผู้ใหญ่ได้


 อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยบางส่วนที่เผยว่า การบริโภคคาเฟอีนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าในเด็กได้เช่นกัน


8.ลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี การบริโภคคาเฟอีนวันละประมาณ 400 มิลลิกรัม อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ 


มีการศึกษาพบว่า คาเฟอีนอาจมีส่วนช่วยกระตุ้นการหดตัวของถุงน้ำดีและการไหลเวียนของน้ำดี ซึ่งอาจช่วยลดการเกิดนิ่วได้อีกด้วย


9.ป้องกันโรคเบาหวาน มีการวิจัยที่พบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 1 แก้ว อาจเสี่ยงเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ลดลง 7 เปอร์เซ็นต์ หากดื่มกาแฟมากขึ้นอาจทำให้ความเสี่ยงลดลงไปอีก


อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนควรเป็นแบบไม่เติมน้ำตาล และไม่บริโภคคาเฟอีนมากเกินปริมาณสูงสุดที่กำหนดต่อวัน และจากการค้นคว้าแม้พบว่าคาเฟอีนอาจช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ แต่สารชนิดนี้อาจไม่สามารถรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 อยู่แล้วได้


10.ลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสัน ไม่เพียงแต่คาเฟอีนจะช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสันได้อีกด้วย 


โดยโรคทั้ง 2 ชนิดนี้มีสาเหตุมาจากความผิดปกติในการทำงานของสมอง จากการศึกษาไม่พบว่าการบริโภคคาเฟอีนจะทำให้ความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสันลดลงได้ในผู้ที่สูบบุหรี่


11.ลดความเสี่ยงโรคตับ มีงานวิจัยที่พบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วขึ้นไป อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็งลดลงมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และบางงานวิจัยยังบอกด้วยว่าสารคาเฟอีนอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับได้ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์










ที่มา

คาเฟอีน ให้ประโยชน์ หรือโทษ - บทความสุขภาพ โดยมูลนิธิหมอชาวบ้าน

ww w. doctor.or. th › article › detail

คาเฟอีน มีประโยชน์หรือให้โทษต่อร่างกาย - พบแพทย์

ความชราที่มาไม่ถึง Ep.1


ร่างกายมนุษย์แต่ละคนเกิดมามีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน นิสัยใจคอแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ อวัยวะทุกส่วนมีความทนทานอย่างจำกัด ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ตับ ไต ปอด กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ สายตา ฯลฯ เราต้องใช้อย่างทะนุถนอม ไม่ใช้ตะบี้ตะบันใช้อย่างไม่ระมัดระวัง เช่น ใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์ทั้งวันหรือโทรศัพท์มือถือทั้งคืนแถมปิดไฟมืดอีกต่างหาก ส่งผลให้เกิดภาวะวุ้นในตาเสื่อมไปจนถึงจอประสาทตาเสื่อมได้ หรือรับประทานอาหารเกินความต้องการจนเกิดโรคอ้วน ส่งผลให้ข้อเข่าต้องแบกรับน้ำหนักตลอดเวลาจนเกิดข้อเข่าเสื่อมตามมาในที่สุด


อาหารสุขภาพคือ อาหารที่กินได้ทั้งคนป่วยและคนปกติ คนที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง มักจะได้รับคำแนะนำว่า ห้ามกินอะไร แต่ไม่เคย

ได้รับคำแนะนำว่าควรกินอะไร 


1. กินน้อยแก่ช้า กินมากแก่เร็ว ควรกินอาหารเพียงวันละสองมื้อบ้าง แม้จะทำไม่ได้ทุกวันก็ยังดี

2. แป้งที่ดีคือแป้งที่มีกากใย เช่น มันเทศ ฟักทอง แครอท และธัญพืช

3. น้ำตาลคือยาพิษ ควรลดปริมาณของหวานลง นมวัวรสจืดก็

มีน้ำตาลรสจืด ที่มีชื่อว่า แลคโตส

4. ผลไม้มีวิตามิน แต่ก็มีน้ำตาลสูง ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรปั่นน้ำผลไม้ดื่มเป็นประจำเพราะจะทำให้ได้น้ำตาลมากเกินไป


5. ควรกินผักหลากสีเพื่อให้ได้วิตามินหลากหลาย ควรล้างผักด้วย น้ำส้มสายชูหรือเบคกิ้งโซดา(Baking Soda) หากเป็นไปได้ เลือกผักปลูกดินด้วยวิธีการเกษตรอินทรีย์ ที่เรียกว่า ผักออร์แกนิค

6. กินไข่ได้ทั้งฟอง ทั้งไข่ขาวและไข่แดง ไข่แดงมีวิตามินเกือบครบถ้วน และไม่ได้ทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูง

7. ใช้น้ำมันมะกอกและน้ำมันรำข้าวในการประกอบอาหาร เพราะมีกรดไขมันโอเมก้า 9 สูง ช่วยลดการอักเสบ เลี่ยงไขมันจากสัตว์และไขมันจากถั่วเหลืองเพราะมีสารที่เพิ่มการอักเสบสูง


8. กินธัญพืชและผักที่ปลูกจากดินเพื่อให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุอย่างเพียงพอ ธัญพืชยังมีกรดไขมันโอเมก้า 9 วิตามินอี และวิตามินบี

9. กินอาหารด่าง คืออาหารมังสวิรัติ หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ร่างกายเป็นกรด เช่น ไขมันสัตว์ รวมทั้งนม เนื้อสัตว์ และของหวานรวมถึงช็อกโกแลต

10. ไม่ควรดื่มน้ำที่ผ่านการกรองด้วยกระบวนการรีเวอร์ส ออสโมซิส ที่รู้จักกันในนามว่า น้ำอาร์โอ และไม่ควรดื่มน้ำอัดลม(รวมทั้งน้ำอัดลมที่ปราศจากน้ำตาล) เพราะมีความเป็นกรดสูงมาก

11. ดื่มน้ำแร่หรือน้ำด่าง น้ำแร่มีความเป็นด่างสูงและยังช่วยเสริมแร่ธาตุให้กับร่างกาย การดื่มน้ำมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำที่มีความเป็นด่าง ช่วยกำจัดสารพิษและชะลอไตเสื่อม

12. หลีกเลี่ยงอาหารกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป

13. หลีกเลี่ยงอาหารใส่ผงชูรส ซึ่งมักจะอยู่ในอาหารสำเร็จรูป สารปรุงแต่งรสอาหาร น้ำจิ้ม และน้ำซุป

14. หลีกเลี่ยงอาหารที่หุงต้มด้วยความร้อนสูงอยู่เป็นเวลานาน ๆ และไม่ควรทำอาหารด้วยการใช้เครื่องไม่โครเวฟอยู่เป็นประจำ

15. กินวิตามินเสริมอย่างถูกหลัก เพราะเราไม่มีทางกินอาหารให้ได้วิตามินอย่างครบถ้วน






ที่มา :

คนไม่อยากแก่ โดย ดร.นพ.พัฒนา เต็งอำนวย

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม