บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

7 อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้เป็นกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อน ( gastroesophageal reflux disease: GERD ) คือภาวะที่มีกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งหลอดอาหาร เป็นอวัยวะที่ไม่ทนต่อกรด จึงทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร โดยปกติหลอดอาหารจะมีการบีบตัวไล่อาหารลงด้านล่าง หูรูดทำหน้าที่ป้องกันการไหลย้อนของน้ำย่อยหรืออาหาร ไม่ให้ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร 

แต่ในปัจจุบัน หูรูดส่วนนี้ทำงานได้น้อยลงในบางคน ซึ่งจะตรวจพบได้ประมาณ 1 ใน 5 คนพบในคนทั่วไป  ทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กทารกไปจนถึงผู้ใหญ่ 


สาเหตุ
1.ความผิดปกติของหูรูดส่วนปลายหลอดอาหาร ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันกรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหาร มีความดันของหูรูดต่ำหรือเปิดบ่อยกว่าในคนปกติ ความผิดปกติเหล่านี้ อาจเกิดจากการดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคหอบหืด
2.ความผิดปกติในการบีบตัวของหลอดอาหาร ทำให้อาหารที่รับประทานเคลื่อนตัวลงช้า หรืออาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะอาหาร ค้างอยู่ในหลอดอาหารนานกว่าปกติ
3.ความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ส่งผลให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่าปกติ จะเพิ่มโอกาสการไหลย้อนของกรด จากกระเพาะอาหารสู่หลอดอาหารมากขึ้น 

ข้อควรระมัดระวัง อาหารประเภทไขมันสูงและช็อกโกแลต มีผลให้กระเพาะอาหารบีบตัวลดลง เพิ่มโอกาสเป็นกรดไหลย้อนมากขึ้น

อาการ
1.อาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก ซึ่งจะเป็นมากหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก การโน้มตัวไปข้างหน้า การยกของหนัก การนอนหงาย
2.มีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก มักมีอาการเรอ และมีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก จนทำให้เกิดพยาธิสภาพในหลอดอาหารขึ้น ได้แก่หลอดอาหารอักเสบจนมีเลือดออกจากหลอดอาหาร กลืนติดกลืนลำบาก
3.ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน หลังรับประทานอาหาร
4.เจ็บหน้าอก จุกคล้ายมีอะไรติดหรือขวางอยู่บริเวณคอ ต้องพยายามกระแอมออกบ่อยๆ 
5.หืดหอบ ไอแห้งๆ เสียงแหบเจ็บคอ อาการเหล่านี้เกิดจากกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณกล่องเสียง ทำให้เกิดกล่องเสียงอักเสบ


อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้เป็นกรดไหลย้อน
1.มะเขือเทศ อุดมไปด้วยกรดซิตริก ( citric acid ) และกรดมาลิก ( malic acid ) มะเขือเทศรวมทั้งซอส ซุป น้ำผลไม้ สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถทำให้ระบบทางเดินอาหารผลิตกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป เมื่อมีกรดปริมาณมากขึ้น จะถูกบังคับให้ไหลย้อนขึ้นหลอดอาหาร งานเข้าไม่รู้ตัวค่ะ

2.ผลไม้ประเภทส้ม จะเต็มไปด้วยกรดซิตริก ( citric acid )งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Rhinology Laryngology แสดงให้เห็นว่าการจำกัดปริมาณของกรดในอาหาร สามารถบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้ เช่น ไอกระแอม เสียงแหบ

3.หัวหอม มีส่วนทำให้ความดันของหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายลดลงต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้มีการไหลย้อนกลับของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารส่วนบนผิดปกติ ยกเว้นหัวหอมถูกปรุงสุก จึงจะไม่มีผลกระทบในการเพิ่มความเป็นกรดได้

4.น้ำอัดลม กรดคาร์บอนิกในภาชนะบรรจุ เช่น ขวดแก้ว กระป๋อง เมื่อสัมผัสอากาศ จะแยกตัวออกเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ เป็นฟองที่เกิดขึ้นเวลาเปิดขวดหรือกระป๋อง สามารถเพิ่มความดันในกระเพาะอาหาร โดยฟองอากาศจะเริ่มยืดขยายเหมือนลูกโป่งและบังคับให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารเปิด กรดหรือน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารจึงพร้อมไหลย้อนออกมาอย่างต่อเนื่อง

5.แอลกอฮอล์ มีส่วนทำให้กรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นลงในหลอดอาหารส่งผลให้รู้สึกแสบร้อนในลำคอ 

6.อาหารที่เต็มไปด้วยไขมันสูงเช่น อาหารทอด เนื้อสัตว์ติดมันหมูสามชั้น  จะใช้เวลาย่อยในกระเพาะอาหารนานกว่าอาหารประเภทอื่น ก่อให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารมีมากขึ้น จนเบียดหลอดอาหาร ส่งผลให้เกิดกรดไหลย้อนได้

7.กาแฟ ตามการศึกษาหนึ่งในเยอรมัน พบว่า คาเฟอีนในกาแฟ ส่งผลให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการกรดไหลย้อน แต่คาเฟอีนในชา ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด 


ที่มา


วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

วิตามินบี12 ( methylcobalamin ) มีความสำคัญอย่างมากกับระบบประสาทและสมอง


มนุษย์เราเมื่อถึงวัยหนุ่มสาว ร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพอะไรมากมายนัก ในความเป็นจริง ร่างกายมนุษย์แต่ละคน มีพันเอนไซม์ช่วยขับสามล้านปฏิกิริยาทางเคมีทุกวินาที ระบบย่อยอาหารเหล่านี้เสมือนฟันเฟืองเล็กๆในร่างกาย ที่ช่วยให้คนมีสุขภาพดี มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคและการอักเสบหลากหลาย แต่เมื่ออายุมากขึ้น ประกอบกับความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ รวมถึงระบบย่อยอาหารทำงานลดลง วิตามินตามธรรมชาติที่เคยมี กลับไม่มีการสร้างขึ้นตามปกติ จึงเป็นที่มาของการขาดวิตามินบี12 ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทและสมองอย่างมาก นั่นเอง

ปัจจุบันเรามักได้ยินคำว่า วิตามินบี12 ในเครื่องดื่มเพิ่มพลังงาน ( energy drink ) หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งผสมลงในอัตราส่วนน้อยนิดนั้น เมื่อเครื่องดื่มเคลื่อนตัวลงสู่ระบบทางเดินอาหารแล้ว จะดูดซึมได้ดีหรือไม่

 ลองมาหาคำตอบใน blog นี้กันนะคะ

วิตามินบี12 ( Cyanocobalamin ) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ ในเชิงพาณิชย์ผลิตได้จากการหมักเชื้อแบคทีเรียโดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม แตกตัวได้ไม่ดีนักในกระเพาะอาหาร ต้องรวมตัวกับแคลเซียมเพื่อให้ดูดซึมได้ดีที่ลำไส้เล็กส่วนปลายที่เรียกว่า ileum  

วิตามินบี12 ถูกใช้ในทุกขั้นตอนของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมองในเด็กทารกเพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยสร้าง DNA & เซลล์เม็ดเลือดแดงในช่วงปีแรกของชีวิต 

 การขาดวิตามินบี12 พบมากในผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น ผู้สูงอายุที่ระบบย่อยอาหารทำงานน้อยลง ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบและผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ 

 มีประโยชน์อย่างไร
 1.ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและป้องกันโรคโลหิตจางชนิด pernicious anemia ( โรคเรื้อรังที่เกิดจากการขาดวิตามินบี12 เนื่องจากขาดสาร intrinsic factor ( IF ) ซึ่งช่วยการดูดซึมวิตามินที่กระเพาะอาหาร )

2.ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร

3.ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี 
4.ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำและความคิดเฉียบคม 

5.บรรเทาความเครียด วิตกกังวล หงุดหงิด
 6.ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่
 7.ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
 8.วิตามินบี 12 ปริมาณ 80 mcg.ต่อวัน จะเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยทองได้
 9.ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
10.ลดภาวะซึมเศร้า 
11.ลดภาวะปลายประสาทอักเสบ ( peripheral neuropathy ) คือ อาการรู้สึกเจ็บแปล๊บๆเหมือนเข็มทิ่ม แสบร้อนบริเวณปลายเท้าจากโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนานเกิน 5 ปี )  

13.หากรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับวิตามินบี12 จะเป็นวิตามินที่เพิ่มพละกำลังได้อย่างดีเยี่ยม

 พบในเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะตับ ปลา ไข่ผลิตภัณฑ์จากนมและอาหารหมักดอง เช่น กะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยว ปลาร้า 

อาหารที่มาจากพืชผักทั้งหมด ไม่มีวิตามิน บี12 ยกเว้นอาหารหมักดอง จึงเป็นที่มาของการขาดวิตามินบี12 ในผู้ที่รับประทานมังสวิรัตน์ นั่นเอง

 ถึงแม้จะเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำแต่มีความพิเศษคือ ร่างกายสามารถเก็บสะสมวิตามินบี12 ที่ตับได้นานถึง 3 ปี กว่าวิตามินจะถูกขับออกจากร่างกาย 

 การขาดวิตามินบี12 มักปรากฎให้เห็นหลังจาก 5 ปีขึ้นไป

มักพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ที่ระบบย่อยอาหารทำงานน้อยลง

 แพทย์มักจ่ายวิตามินบี12 (cyanocobalamin ) มาให้ผู้ป่วยร่วมด้วยเสมอ แต่ไม่ค่อยได้ผลดีนัก เนื่องจากวิตามินบี 12 ในรูปแบบนี้ ดูดซึมได้ไม่ดีในระบบทางเดินอาหาร 

 วิตามินบี 12 ที่วางจำหน่ายทั่วไป ในรูปแบบไซยาโนโคบาลามิน ( cyanocobalamin ) แตกตัวและดูดซึมได้ไม่ดีในระบบทางเดินอาหาร 

แต่วิตามินบี 12 ที่มีกรรมวิธีผลิตโดยเทคโนโลยีชั้นสูง เรียกว่า เมธิลโคบาลามิน ( methylcobalamin ) จะดูดซึมได้ดีมากในระบบทางเดินอาหาร  

หากใครกินมังสวิรัตน์อยู่เป็นประจำ แนะนำให้มองหาวิตามินบี12 ชนิดเม็ดอมหรือเคี้ยวในรูปแบบ methylcobalamin วันละ 1000-5000 mcg เท่านั้น 

 ส่วนรูปแบบการฉีดวิตามินบี12 เป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะในอเมริกา แม้กระทั่งผู้ที่เป็นโรคอ้วนมีความจำเป็นต้องผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร ต้องได้รับการฉีดวิตามินบี12 ด้วยเช่นกัน อืม!! เพิ่งจะรู้นะเนี่ย

 สัญญานที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดวิตามินบี12 

1.ไม่มีเรี่ยวแรง เหนื่อยเรื้อรัง
2.สูญเสียความจำ
3.ซึมเศร้าโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อย 
4.มึนงง
5.เสียวซ่านบริเวณมือหรือเท้า
6.เวียนศีรษะ 
7.ปวดหัว
8.ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ

 ยังไม่พบรายงานว่า วิตามินบี12 ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แม้แต่การรับประทานในขนาดที่สูงมาก 

วิตามินบี12 สามารถเชื่อมโยงกับการนอนหลับ ภาวะซึมเศร้าเป็นอาการทางจิตจากการขาดวิตามินบี12 ภาวะซึมเศร้าเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้นอนไม่หลับและมีผลต่อการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน 

หากร่างกายมีวิตามินบี12 ในระดับสูง จะสามารถเพิ่มการผลิตเมลาโทนิน ส่งผลให้นอนหลับได้อย่างรวดเร็ว



หาซื้อได้ที่www.vitaminvillage.weloveshopping.com  
tel.061-742-9944



ที่มา ;
www.livestrong.com > food and drink
www.holistic online.com/.../sleep/sleep/_ons_nutrition.htm
นิตยสารชีวจิต
Vitamin bible

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

ลูทีน ( lutein ) วิตามินปกป้องและถนอมดวงตาไม่ให้เสียหายจากอนุมูลอิสระ


ลูทีน ( lutein ) และซีแซนทีน ( zeasanthin ) เป็นสารอาหารในกลุ่มแคโรทีนอยด์สีเหลือง มักอยู่ร่วมกัน จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำหรับดวงตา
ในธรรมชาติแม้จะมีแคโรทีนอยด์มากถึง 600 ชนิด แต่มีเพียงสาร 2 ชนิด ( ลูทีนและซีแซนทีน ) พบในจุดรับภาพของดวงตา สารทั้งสองชนิดจะทำหน้าที่กรองแสงที่เป็นอันตรายจากดวงตา ช่วยปกป้องไม่ให้เซลล์จอประสาทตาถูกทำลายโดยการลดอนุมูลอิสระ ดังนั้นจึงทำหน้าที่บำรุงสายตา ไม่ให้จอตาเสื่อมเร็ว

 ลูทีน ( lutein ) พบมากในพืช เช่น ดอกดาวเรืองและในจอประสาทตาของมนุษย์ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์รับภาพบริเวณจอประสาทตา

  มีความสำคัญในการมองเห็น 
โดยลูทีนจะทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในดวงตาและกรองแสงสีฟ้า ( มีที่มาจากแสงคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต ) หรือ แสงแดดจ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา จึงช่วยบำรุงสายตา ไม่ให้จอประสาทตาเสื่อมเร็ว 

 พบปริมาณสูงใน ผักใบเขียวและ
ผลไม้จำนวนมากที่มีสีสัน เช่น ผักโขม ผักคะน้าข้าวโพด แครอท และไข่แดง  

มีงานวิจัยหลายชิ้น แสดงให้เห็นว่า ลูทีนลดความเสี่ยงการเกิดโรคของดวงตา ซึ่งมีที่มาจากอายุ เช่น จอประสาทตาเสื่อม ( AMD คือ Age-related macular degeneration ) 

เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมที่มักมีผลต่อคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป จากหลายสาเหตุ เช่น โภชนาการ การอยู่ในที่กลางแจ้งเป็นเวลานาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ความเครียด การสูบบุหรี่ ความเสื่อมสภาพของยีนและเป็นสาเหตุสำคัญของการตาบอดของประชากรในซีกโลกตะวันตก ) รวมถึงโรคต้อกระจกอีกด้วย

 ลูทีนจะดูดซับพลังงานแสงส่วนเกินเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากแสงแดดมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรังสีแสงพลังงานสูงที่เรียกว่า แสงสีฟ้า นั่นเอง 

โรคจอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจก มีอุบัติการณ์เติบโตทั่วโลก กว่า 25 ล้านคน จากอายุที่เพิ่มขึ้นและปัจจัยสิ่งแวดล้อม

 มีประโยชน์อย่างไร 
1.ช่วยให้สายตามองเห็นภาพชัดเจนขึ้น ไม่เบลอ
 2.ลดอาการเมื่อยล้าและปวดเกร็งของกล้ามเนื้อดวงตาภายหลังจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
 3.ลดโอกาสการเกิดต้อหินและต้อกระจกได้ดี 
4.ลดอาการตาแห้งจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
 5.ลดอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ดวงตาจากความเสื่อมที่เป็นไปตามอายุ
 6.ลดอาการเคืองตา แสบตา ตามัว มองเห็นภาพซ้อน 
 7.ป้องกันโรควุ้นในลูกตาเสื่อม ( ผู้ป่วยมักจะมองเห็นหยากไย่หรือเป็นเส้นเทาดำ ขณะกลอกตา ปกติจะพบในคนอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่

ปัจจุบันจากการใช้สมาร์ทโฟน แทบเล็ตและคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็พบโรคนี้ได้ในวัยเพียง 20 ปี ) ลูทีนจะดูดซึมได้ดี หากรับประทานหลังอาหารที่มีไขมัน โดยเฉพาะ ไขมันชนิดดี เช่น น้ำมันมะกอก 

 ปริมาณที่แนะนำ 6-30 mg ต่อวัน เกือบ 3 ปีที่แป้งมีโอกาสใช้แทบเล็ตและโน๊ตบุค มากขึ้นกว่าปกติเพื่อหาข้อมูลต่างๆหลากหลาย ส่งผลให้กล้ามเนื้อตาล้าอยู่บ่อยๆ แม้จะหยอดตาด้วยน้ำตาเทียมเป็นประจำ แต่ก็คิดว่า เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ 


จึงเริ่มค้นคว้า หาข้อมูลจากหลายแหล่ง พบว่า ลูทีน ( lutein ) ช่วยแก้ปัญหานี้ได้จริง  แป้งกิน lutein 20 mg ยี่ห้อ jarrow formulas ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า เพียง 2 สัปดาห์ ปรากฎว่า แทบไม่ต้องใช้น้ำตาเทียม หยอดตาอีกเลย แถมไม่ปวดเบ้าตา แสบตาหลังใช้คอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานอีกด้วยนะคะ

  เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ดีกว่าปล่อยให้สายตาเสื่อมไปก่อนวัยอันควร อีกทั้งช่วยถนอมสายตาอันแหลมคมให้อยู่กับเรานานๆ ของดีอย่างนี้ ต้องบอกต่อเลยค่ะ




หาซื้อได้ที่ http://www.vitaminvillage.weloveshopping.com
tel. 061-742-9944
line ; 0617429944

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

ความลับของวิตามินบี 2 (riboflavin ) ที่คุณอาจยังไม่รู้




วิตามินบีเป็นหนึ่งในวิตามินที่ร่างกายขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน มีความสำคัญคือช่วยให้ร่างกายแปลงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน

 วิตามินบีรวมเหล่านี้ นอกจากเผาผลาญอาหารประเภทไขมันและโปรตีนแล้ว ยังมีส่วนสำคัญสำหรับผิวพรรณ เส้นผม ดวงตารวมถึงระบบประสาทอีกด้วย

คนส่วนใหญ่มักจะพบเห็นวิตามินบีต่างๆรวมกันตั้งแต่วิตามินบี1,2,3,6,12, biotin , choline , folic acid ถูกบีบอัดอยู่ในเม็ดหรือแคปซูลเดียวกัน มีปริมาณตั้งแต่ 25 mg ไปจนถึง 100 mg ตามแต่ยี่ห้อที่ผลิตออกสู่ท้องตลาด เรียกสารพัดวิตามินบีต่างๆเหล่านี้ว่า วิตามินบีรวม เรามาดูคุณประโยชน์อันมีค่ามหาศาลต่อร่างกายมนุษย์เสียก่อนว่ามีอะไรบ้าง คร่าวๆนะคะ

มีประโยชน์อย่างไร
   1. ลดอาการเหน็บชา โรคปากนกกระจอก
   2. บรรเทาอาการชาปลายมือ ปลายเท้า
   3. บรรเทาความเครียดที่เกิดจากการทำงานและทำงานหนัก
   4. บรรเทาความเจ็บป่วยทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
    5. ช่วยให้ความจำดี
    6. ลดความอ่อนเพลีย มีพละกำลังในการทำงาน
    7. เพิ่มความอยากอาหาร
    8. ลดอาการปวดศรีษะ ไมเกรน
    9. ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง

วิตามินบีรวม จะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากวิตามินตัวอื่นๆคือ กลิ่นของวิตามินจะแรงมาก ยิ่งวิตามินราคาถูก เปิดกระปุกที แทบเป็นลม 

เมื่อก่อนแป้งเคยซื้อวิตามินบีรวมราคาถูกมากิน เพราะคิดว่ายี่ห้อไหนก็เหมือนๆกันแหละ หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ ( แป้งเอาวิตามินบางส่วนมากินที่ออฟฟิศ ) ทุกครั้งที่แป้งเปิดกระปุกวิตามินบีรวม กลิ่นจะลอยไปประมาณ 50 เมตร น้องในออฟฟิศถึงกับแซวแป้งเป็นประจำ " รู้นะว่าพี่แป้งกินวิตามิน  กลิ่นลอยนำมาก่อนเลย " แต่หากมีราคาค่อนข้างสูง กลิ่นจะเบาบางจางกว่าแทบไม่ได้กลิ่นเลยค่ะ

นอกจากกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ผลที่ตามมาคือ ปัสสาวะจะเป็นสีเหลืองเข้มผิดปกติ อันนี้อย่าได้ตกอกตกใจไปนะคะ สีเหลืองเข้มของปัสสาวะเกิดจากสีของวิตามินบี 2 ( riboflavin ) นั่นเอง ดื่มน้ำตามเข้าไปเยอะๆ ปัสสาวะจะมีสีจางลงเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่อยากให้ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม ก็ต้องกินวิตามินบีแยกรายตัวไปเลย เช่น วิตามินบี 1 ( thiamine ) วิตามินบี 3 ( niacinamide ) ,วิตามินบี 6 ( pyridoxine ) , วิตามินบี 12 ( cyanocobalamin ) เป็นต้น

Blog นี้จะกล่าวถึงวิตามินบี 2  ( riboflavin ) นอกเหนือจากผลิตพลังงานในร่างกายแล้ว บี 2 ยังทำงานเป็นสารต้านอนุมูลอิสระโดยการต่อสู้กับอนุภาคที่สร้างความเสียหายในร่างกายเรียกว่า อนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระพวกนี้สามารถทำลายเซลล์และดีเอ็นเอ ( DNA ) นำไปสู่กระบวนชราเช่นเดียวกับการพัฒนาโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง  เป็นต้น

แหล่งอาหารธรรมชาติ : ยีสต์ อัลมอนด์ ธัญพืช จมูกข้าวสาลี เห็ด ถั่วเหลือง นม โยเกิร์ต ไข่ กะหล่ำปลี ผักโขม เนื้อสัตว์

อาการขาดวิตามินบี 2 : เหนื่อยอ่อนเพลีย โรคปากนกกระจอก ( มีแผลที่มุมปาก ) ผิวไวต่อแสง

วิตามินบี 2 นอกจากช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงวิตามินบี 6 &โฟเลตเป็นรูปที่พร้อมใช้งาน ช่วยป้องกันโรคต้อกระจก ต้อหินและผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า หากรับประทานวิตามินบี 2 ( riboflavin ) 400 mg เป็นประจำ จะลดความถี่ในการปวดศีรษะไมเกรนได้





ที่มา ; 



วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

passionflower ( ดอกเสาวรส ) ช่วยให้คนชอบคิดฟุ้งซ่าน นอนหลับได้ลึกตลอดทั้งคืน


  Passionflower ( ดอกเสาวรส )

ความสงบและความสมดุลทางอารมณ์เป็นสิ่งที่หายากในปัจจุบัน มีตัวเลขเพิ่มขึ้นของคนที่ทุกข์ทรมานจากการนอนไม่หลับ ทั้งไม่สามารถที่จะนอนหลับสนิทหรือนอนไม่หลับตลอดคืน

หนึ่งในห้าของผู้ใหญ่ ทนทุกข์ทรมานจากความวิตกกังวลหรือความตึงเครียดเพราะมีความกดดันและความรู้สึกหนักอึ้งจากเรื่องราวในชีวิต หน้าที่การงานและความรับผิดชอบต่อครอบครัว บางคนมีเรื่องราวความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้ที่ไม่สามารถจัดการกับวงจรความหงุดหงิด ฟุ้งซ่านนวมถึงความเครียด นานวันเข้าจะกลายเป็นนอนไม่หลับอย่างไม่รู้ตัว

คงมีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่รู้จัก passion friut ( เสาวรส ) ผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ดแต่มีกลิ่นหอมอโรม่าน่าหลงใหล กลิ่นรัญจวนใจของเสาวรสน่าสูดดมมากกว่าน่ากินเสียอีก แต่สิ่งที่แป้งจะพูดถึงคือ passionflower ( ดอกเสาวรส ) ใครที่กินเมลาโทนิน+5-HTP แล้วยังตาสว่างอยู่ละก็ ลองอ่านสรรพคุณของดอกเสาวรสดูนะคะ

สารสกัดจากเถาไม้ที่พบเห็นได้ทั่วไปในอเมริกา  ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและหดเกร็งของกล้ามเนื้อรวมไปถึงอาการอื่นที่เกิดจากความวิตกกังวล ทั้งยังใช้กับอาการนอนไม่หลับที่เกิดจากความฟุ้งซ่านได้ดี โดยเฉพาะในยามที่คุณตาสว่างอยู่บนเตียงจากการคิดกังวลในเรื่องไม่เป็นเรื่องตลอดทั้งคืน

เป็นพืชสมุนไพรที่มีจำนวนสายพันธุ์มากกว่า 525 สายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาและแพร่หลายในยุโรป จัดเป็นยากล่อมประสาทจากพืชที่ได้ผลดีมากในแง่ช่วยลดความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงอาการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ยังเป็นสมุนไพรที่ดีที่สุดสำหรับการบรรเทาความตึงเครียด ระบบประสาทปั่นป่วน คิดโน่นนั่นนี่ จนกลายเป็นรบกวนระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับอีกด้วย


นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า passionflower เพิ่มระดับของสารเคมีที่เรียกว่า กรดแกมม่า aminobutric ( GABA ) ในสมอง

GABA ช่วยลดการทำงานของเซลล์สมองทำให้ลดความวิตกกังวล หงุดหงิดและภาวะซึมเศร้า จึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

มีหลักฐานบ่งชี้ว่า สารสกัดจาก passionflower มีประสิทธิภาพทัดเทียมยากลุ่ม benzodiazepine (  เป็นยากลุ่มที่แพทย์นิยมใช้เป็นยาลดความกังวลหรือเป็นยานอนหลับมากที่สุดในการลดความวิตกกังวลของระบบประสาท มีชื่อเรียกทางการค้าว่า diazepam )

สามารถรับประทาน passionflower ได้ต่อเนื่องในระยะยาว ไม่ก่อให้เกิดการเสพติดเหมือนยาแผนปัจจุบัน

หมายเหตุ : สมุนไพรนี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม ปวดศีรษะได้ในบางคน ไม่ควรรับประทานก่อนขับรถหรือเมื่อทำงานกับเครื่องจักร ทั้งยังอาจเพิ่มฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ยาคลายกังวลบาร์บิทูเรตและยาต้านซึมเศร้า จึงจำเป็นต้องปรับขนาดของยาเหล่านี้

การนอนไม่หลับไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด บางทีแป้งเองมีความตื่นตัวทางระบบประสาท คิดทบทวนสารพัดในเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตระหว่างวัน เผลอนำมาประมวลผลก่อนนอน ส่งผลให้ตาค้าง นอนไม่หลับ แม้จะกิน melatonin , 5- HTP , chamomile ก่อนนอนไปแล้วก็ตาม ลองเติม passionflower อีก 1 เม็ด ปรากฎว่า สามารถระงับความฟุ้งซ่านได้ดีมาก จิตใจสงบเป็นเช่นนี้เอง คืนนั้นหลับสบายทั้งคืนค่ะ



ที่มา ;
Vitamin bible

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

Folic acid วิตามินนี้ดีต่อร่างกายอย่างไร

  Folic acid
วิตามินที่ละลายในน้ำ เป็นอีกหนึ่งในตระกูลบีรวม มีหน่วยวัดเป็นไมโครกรัม
มีความสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง
ช่วยในกระบวนการเผาผลาญของสารอาหารประเภทโปรตีน

ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 180-200 ไมโครกรัม สำหรับหญิงตั้งครรภ์ควรเพิ่มขนาดเป็น 2 เท่า และหญิงให้นมบุตรควรรับประทาน 280 ไมโครกรัมและ 260 ไมโครกรัมใน 6 เดือนหลัง ( เด็กในครรภ์จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคท่อระบบประสาทผิดปกติ เช่น spina bifida ( โรคความผิดปกติที่ส่วนโค้งของกระดูกสันหลังซึ่งเป็นมาแต่กำเนิด ) ลดลงอย่างชัดเจน หากมารดาได้รับกรดโฟลิกเป็นเท่าตัวของขนาดที่แนะนำ ในช่วงระหว่างที่มีการปฏิสนธิและในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ )

มีส่วนสำคัญในการสร้างกรดนิวคลีอิก ( กรดไรโบนิวคลีอิกและกรดดีออกซิไรโบนิวคลีอิก RNA & DNA )

มีความจำเป็นในกระบวนการใช้น้ำตาลและกรดอะมิโน

ถูกทำลายได้ง่าย หากเก็บรักษาด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสมในอุณหภูมิห้องเป็นเวลานานเกินไป

วิตามินนี้มีประโยชน์อย่างไร
1.ลดระดับกรดอะมิโนโฮโมซิสเตอีนในเลือดและลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ
2.ป้องกันการพิการแต่กำเนิดในทารก
3.ช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอด
4.ช่วยป้องกันพยาธิในลำไส้และอาหารเป็นพิษ
5.ช่วยให้ผิวพรรณแลดูสุขภาพดี
6.ออกฤทธิ์คล้ายยาแก้ปวดได้
7.อาจช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลง หากรับประทานร่วมกับกรดแพนโทเทนิกและ PABA ( พาบา )
8.ช่วยให้เจริญอาหาร หากคุณกำลังอ่อนเพลีย
9.อาจช่วยป้องกันแผลร้อนในได้
10.ช่วยรักษาภาวะซีดหรือโลหิตจาง

แหล่งอาหารธรรมชาติ :
ผักที่มีใบสีเขียวเข้ม แครอท ตับ ไข่แดง แคนตาลูป อาร์ติโชค แอพริคอท ฟักทอง อะโวคาโด ถั่ว

โดยทั่วไปมีจำหน่ายในขนาด 400-800 ไมโครกรัม ส่วนขนาด 1 มก. ( 1000 ไมโครกรัม )  ในสหรัฐอเมริกาต้องซื้อโดยใช้ใบสั่งแพทย์

บางครั้งในวิตามินบีรวมจะมีกรดโฟลิกอยู่ 400 ไมโครกรัมแต่โดยมากจะมีเพียง 100 ไมโครกรัม

ขนาดที่รับประทานโดยทั่วไปคือ 400 ไมโครกรัมไปจนถึง 5 มิลลิกรัมต่อวัน
พยายามเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีทั้งโฟเลตและวิตามินบี12 อยู่ด้วยกัน

ไม่พบอาการเป็นพิษ แต่บางคนอาจมีผื่นแพ้ได้บ้าง

หากเป็นสตรี ควรรับประทานกรดโฟลิกและวิตามินบี 6 ให้เพียงพอ กรดโฟลิกเพียง 400 ไมโครกรัมและวิตามินบี 6 เพียง 2-10 มิลลิกรัม สามารลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายเฉียบพลันได้ถึงร้อยละ 42

หากเป็นนักดื่มตัวยง แนะนำให้รับประทานกรดโฟลิกเพิ่มขึ้น
การรับประทานวิตามินซีในปริมาณสูง เพิ่มการขับกรดโฟลิกออกจากร่างกาย ดังนั้น ผู้ที่รับประทานวิตามินซีมากกว่า 2 กรัมต่อวัน ควรรับประทานกรดโฟลิกเพิ่มควบคู่กันไปด้วย

หากรับประทานยากันชักไดแลนติน ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซัลโฟนาไมด์ ฟีโนบาร์บิทอลหรือแอสไพริน ควรรับประทานกรดโฟลิกเพิ่มขึ้น

พบว่า หลายคนที่รับประทานกรดโฟลิก 1-5 มิลลิกรัมทุกวันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ช่วยแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอได้

หากกำลังป่วยหรือร่างกายกำลังต่อสู้กับโรคใดๆอยู่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อต่อสู้กับโรคควรจะมีกรดโฟลิกรวมอยู่ด้วยเพราะร่างกายขาดกรดโฟลิกไป แอนติบอดี้หรือสารภูมิคุ้มกันจะตกลงเช่นกัน

แป้งสนใจกินวิตามินตัวนี้เพราะเป็นพาหะธาลัสซีเมีย มีอาการอ่อนเพลียง่าย โดยกินครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น พบว่า มีเรี่ยวแรงกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่เหนื่อยง่ายเหมือนเคย อีกทั้งสนใจในคุณสมบัติมีส่วนสำคัญในการสร้างกรดนิวคลีอิก ( กรดไรโบนิวคลีอิกและกรดดีออกซิไรโบนิวคลีอิก ) ซึ่งสามารถชะลอวัย ซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมให้กลับมาทำหน้าที่ได้ดีอีกครั้งและบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง เหมาะสมกับสตรีที่สุด จัดเพิ่มเสียเลยค่ะ

Cr.vitamin bible

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

สารสกัดใบบัวบก ( guto kola ) มีประโชน์ต่อร่างกายอย่างไร


หลายคนคงจะรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี เพราะถูกคั้นเป็นเครื่องดื่มมีฤทธิ์เป็นยาเย็น แช่ขายเป็นขวดหรือกินแนมกับอาหารหลายประเภท เช่น ส้มตำ น้ำตก ซกเล็ก ลาบ ก้อย ฯลฯ

เป็นพืชเมืองร้อนที่มีต้นกำเนิดจากแถบอินเดีย มีการนำมาใช้อย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ตะวันออกและอายุรเวท บัวบกช่วยเสริมการไหลเวียนของโลหิตโดยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเส้นเลือดดำและเส้นเลือดฝอย เพิ่มการไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย ใช้ในการรักษาอาการเจ็บและบวมจากเส้นเลือดดำอักเสบอย่างได้ผลดี รวมถึงบรรเทาอาการเกร็งหรือตะคริวที่ขาด้วย

ใบบัวบกช่วยเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โดยกระตุ้นการสร้างเส้นใยเคราติน ลดการเกิดแผลเป็นและรอยแตกลายในขณะตั้งครรภ์

วารสารการแพทย์ของฝรั่งเศสได้ตีพิมพ์การศึกษาหนึ่ง พบว่า บาดแผลของสตรีที่ใช้ใบบัวบกหลังคลอด จะหายเร็วกว่าสตรีที่รักษาแบบปกติ ใบบัวบกส่งผลให้ร่างกายสงบ จึงอาจช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าและช่วยให้ความจำดีขึ้น

มีประโยชน์อย่างไร

1.บำรุงต่อมหมวกไต
2.ทำความสะอาดเลือดขจัดสิ่งสกปรกในผิว
3.ลดการอักเสบ ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากการบาดเจ็บ เช่น แผลผ่าตัด รอยฟกช้ำดำเขียว รอยแผลสิว
4.เพิ่มความแข็งแกร่งของระบบภูมิคุ้มกัน
5.มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
6.เพิ่มการไหลเวียนเลือด เพิ่มความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด เสริมสร้างเส้นเลือดฝอยจึงช่วยลดอาการขาบวมได้ดี
7.บรรเทาอาการปวดเกร็งหรือตะคริวที่ขา
8.ส่งเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
9.ส่งผลให้การนอนหลับดีขึ้น
10.เพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย
11.ลดระดับความเครียดและความวิตกกังวล
12.เพิ่มระดับการจดจำของสมอง
13.ช่วยลดภาวะผิวเปลือกส้มหรือเซลลูไลต์ ( cellulite ) 
14.ลดอาการปวดไมเกรน
15.ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ
16.ลดการเกิดเส้นเลือดขอด
มีการทดลองในสัตว์ พบว่าสารเคมีสำคัญ ไตรเตอพีนอยด์ ( triterpenoids ) ในใบบัวบกดูเหมือนจะช่วยสมานแผล เสริมสร้างเนื้อเยื่อผิว เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในแผลรวมถึงเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณบาดแผล

ระมัดระวังในผู้ป่วยโรคตับ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ไทรอยด์เป็นพิษ

แป้งทดลองกิน guto kola จากคุณสมบัติที่ช่วยลดเซลลูไลต์ ว่าได้ผลจริงแท้แค่ไหน เลือกกิน guto kola 475 mg ยี่ห้อ nature's answer ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น ร่วมกับการออกกำลังกายเฉพาะส่วนวันละ 45-60 นาที เพียง 4 เดือน พบว่า เซลลูไลท์บริเวณต้นขาค่อยๆลดเลือน ต้นขากระชับเป๊ะมาก ใส่กางเกงขาสั้นได้อย่างมั่นใจ เวลาที่ไปเดินชนโต๊ะ เก้าอี้ โน่นนั่นนี่ มักจะทิ้งรอยฟกช้ำดำเขียวไว้ต่างหน้าเป็นประจำ แป้งเป็นพยาบาลที่ขี้เกียจทายา ก็จะปล่อยรอยเขียวช้ำไว้เป็นสองอาทิตย์ รอยจึงจะหายไปเอง แต่พอกินวิตามินตัวนี้ อ้าว!! รอยช้ำจางลงเร็วมากเพียง 3-4 วัน ก็เลือนไปแถมรอยแผลเป็นจากสิวจางลงเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ปกติรอยแผลที่เกิดจากสิว กว่าจะหายเนี่ยใช้เวลาร่วม 4-6 เดือน บางคนเป็นปีอีกต่างหาก เท่าที่สังเกตเพียงแค่ 3 อาทิตย์ รอยดำสลายหายไปไหนก็ไม่รู้ สุดยอดจริงๆ

ใบบัวบกสกัดเป็นแคปซูลอัดเม็ด เวลาเลือกซื้อ นอกจากเกรดวัตถุดิบคุณภาพดีและเทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตแล้ว ให้ดูปริมาณมิลลิกรัมต่อเม็ดด้วยนะคะ เพราะถึงจะเป็นใบบัวบกเหมือนกันแต่ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงยังรวมถึงการดูดซึมในร่างกายอีกต่างหาก

อ้อ!! เกือบลืมไป ผู้ที่ผ่าตัดและทำศัลยกรรมความงามบนใบหน้ารวมถึงร่างกาย อาทิเช่น เสริมจมูก เสริมหน้าอก ฯลฯ ควรกินใบบัวบกแคปซูลเพื่อลดรอยบวมช้ำ เร่งให้แผลหายเร็วขึ้นถึงขีดสุดด้วยนะคะ









วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

วิตามินป้องกันแสงแดดอันร้อนแรง ( ตอนจบ )




1.SOD ( superoxide dismutase ) มีประสิทธิภาพในการป้องกันการถูกแดดเผาตามผลการศึกษาในการนำเสนอที่ประชุมสมาคมแพทย์ผิวหนังประเทศฝรั่งเศส เดือนพฤษภาคม. 2005โดย นักวิจัยใช้แสงยูวีเพื่อก่อให้เกิดผิวไหม้ที่แขนของอาสาสมัคร 50ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 1เดือน กลุ่มผู้เข้าร่วมทดลองจะได้รับ GilSODinและยาหลอกในแต่ละวัน สองสามวันก่อนที่จะมีการฉายรังสียูวีครั้งแรก (นักวิจัยใช้ Chromometry ในการวัดระดับสีผิวและ Videocapillaroscopyวัดการเปลี่ยนแปลงการอักเสบของผิวจากจำนวนเส้นเลือดฝอย )พบว่าผิวหนังของคนที่กิน GilSODin เมื่อมีการเผาไหม้จนเกิดสีแดงลดลงอย่างรวดเร็วกว่าคนที่ได้รับยาหลอกนั่นแสดงให้เห็นว่า GilSODin ลดความไวต่อการถูกแดดเผา จึงเป็นที่มาของ SODในส่วนผสมครีมกันแดดแบรนด์ดังจากยุโรปยี่ห้อ Clarins นั่นเอง

มีประโยชน์อย่างไร
1.
ย้อนเวลาให้ผิว
2.
ลดขนาดของเซลล์มะเร็ง
3.
ต่อต้านอนุมูลอิสระ
4.
ปกป้องผิวจากแสงแดด
5.
ลดการอักเสบทั่วร่างกาย
6.
เพิ่มพลังงาน ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย
7.
ริ้วรอยลดลงแลดูตื้นขึ้น ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
8.
เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง
9.
ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สว่างใส
10.
ลดอาการปวดศีรษะ

2.Astaxanthin เป็นเม็ดสีธรรมชาติที่พบในสาหร่ายทะเล Hemotococcus Pluvialisช่วยปกป้องแสงแดด สามารถลดความเสียหายที่เกิดจากรังสีของดวงอาทิตย์ในความเป็นจริง การถูกแดดเผาจะทำให้เกิดการอักเสบมีการศึกษาแสดงให้เห็นว่า astaxanthinจะเพิ่มความทนของร่างกายในการสัมผัสรังสียูวี 20-50%

มีประโยชน์อย่างไร
1.
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด (พบในหนูทดลอง )
2.
ป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระและเพิ่มความทนต่อแสงแดดได้มากขึ้น
3.
ช่วยลดฝ้า ป้องกันริ้วรอยก่อนวัยอันควร
4.
ป้องกันดวงตา ลดความเมื่อยล้าจากการจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
5.
บำรุงกระดูกและข้อต่อ
6.
เพิ่มความทนในการออกกำลังกาย
7.
ช่วยป้องกันสมองไม่ให้เกิดโรคอัลไซเมอร์

3.Selenium ซีลีเนียมเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายจากโรคมะเร็งรวมทั้งมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากแสงแดดซีลีเนียมยังรักษาความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อและลดการเกิดริ้วรอยให้ช้าลงอีกด้วย
แหล่งอาหารที่ดีที่สุดของซีลีเนียม :ธัญพืชอาหารทะเล กระเทียมและไข่
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าซีลีเนียมในรูปแบบอาหารเสริมหรือครีมบำรุงมีผลในการป้องกันมะเร็งผิวหนัง แร่ธาตุนี้ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ลดโอกาสเกิดผิวไหม้ขณะที่เผชิญกับแสงแดดได้ดี

Roddie Mckenzie M.D. แพทย์ผิวหนังอในมหาวิทยาลัยเอดินเบอระสก็อตแลนด์พบว่า ซีลีเนียมลดความเสียหายต่อเยื่อหุ้มเซลล์ในขณะที่ร่างกายสัมผัสกับแสงยูวีจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยมของซีลีเนียม
การปกป้องแสงแดดที่ดีที่สุดคือการปกป้องจากภายในโดยการกินวิตามินที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและปกป้องภายนอกคือการทาครีมกันแดด spf 50 ขึ้นไปทุก 2 ชั่วโมงสวมเสื้อคลุม ร่มอุปกรณ์ครบชุด ยังไงเสียแสงแดดก็ไม่มีทางทำร้ายผิวเราได้ค่ะ

แป้งนำเสนอบรรดาวิตามินป้องกันแสงแดดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดทั้ง 5ตัวครบหมดแล้ว ลองคัดเลือกและพิจารณาดูอีกทีว่าตัวไหนเริ่ดที่สุดค่ะ




เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม