บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

รู้จักและรู้เท่าทันเหตุที่มาของสิว

พูดถึงสิวแล้ว ไม่มีใครอยากให้โผล่ขึ้นมาบดบังความงดงามและมิติของใบหน้า พอสิวหายก็เหลือรอยดำรอยแดงฝากไว้ต่างหน้าอีกต่างหาก เฮ้อ!! เศร้าซะไม่มี

บ้านเรามีสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น ต่อมไขมันขยันทำงาน กระตุ้นให้หลั่งไขมันออกมาอุดตันรูขุมขน ไม่รวมกับรูขุมขนอุดตันจากครีมบำรุงผิว ยังมีฮอร์โมนเพศที่เป็นตัวกระตุ้นชั้นดี ส่งผลให้สิวชนิดต่างๆมะรุมมะตุ้มใบหน้าเราไม่ว่างเว้น

โดยธรรมชาติแล้ว ผิวหนังของคนเราในวัย 20 ปี จะมีการผลัดเซลล์ผิวทุก 28 วันและเมื่ออายุมากขึ้นความสามารถและประสิทธิภาพการแบ่งตัวของเซลล์จะลดน้อยลง เซลล์เก่าที่ตายแล้วมักจะไม่ยอมหลุดลอกออกไปง่ายๆ และจะเกาะรวมกัน ไม่ยอมให้เซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเพื่อทำหน้าที่หมุนเวียนทำให้ใบหน้าที่หมองคล้ำจากแสงแดดและมลภาวะ ดูแย่ขึ้นไปอีก เป็นผลให้ระยะเวลาในการผลัดเซลล์ผิวก็จะยาวนานขึ้นเรื่อยๆ เช่น เมื่ออายุ 70 ปี จะผลัดเซลล์ผิวทุก 7 สัปดาห์

สิวอุดตัน สิวผด สิวอักเสบ เป็นภาวะทางผิวหนังที่สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย การรักษาและเยียวยาที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดความรุนแรงของการอักเสบ จนเกิดหลุมสิวหรือแผลเป็นได้

คนที่มีสิวเกิดขึ้นเป็นประจำ จะสังเกตุได้ว่า สิวอักเสบมักเกิดขึ้นซ้ำที่เดิมหลายรอบ

หลายคนแปลกใจว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น กล่าวคือ บริเวณที่เคยเกิดสิว ร่างกายจะมีการซ่อมแซมผิวจากการอักเสบให้กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็ว ประมาณ 1-3 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว แต่เมื่อเกิดการอักเสบของผิว ( สิว ) อีกครั้ง สิวจึงเกิดที่เดิมทุกครั้งไป

เนื่องจากเนื้อเยื่อผิวบริเวณที่เกิดสิวมีความอ่อนแอ เซลล์ผิวยังไม่มีความแข็งแรงพอ เมื่อรูขุมขนอุดตันจากน้ำมันในชั้นใต้ผิวและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว มารวมตัวกัน สิวจึงโผล่มาที่เก่าเวลาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่นิยมไปรักษาสิวด้วยการฉีดสเตียรอยด์ สิวยุบชั่วข้ามคืนก็จริง อีกไม่กี่เดือน สิวก็จะโผล่มาที่เดิมเป๊ะ ไม่พลาดเลยค่ะ

ส่วนรอยดำแดง เป็นสิ่งที่เหลืออยู่หลังผิวเกิดการอักเสบ จะเลือนหายไปตามรอบของการผลัดเซลล์ผิว โดยเฉพาะในคนที่มีอายุน้อยๆ แต่หากอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป กระบวนการสร้างคอลลาเจนจะลดน้อยลง นี่เป็นสาเหตุของรอยดำที่กว่าจะหายในบางคน ต้องใช้เวลาแรมปีไงค่ะ

เคยสังเกตุบ้างมั๊ยค่ะ เวลาที่เรานอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอหรือมีระดับความเครียดสูง สิวอักเสบ สิวผด สิวอุดตันจะระดมพลมาเกิดขึ้นบนใบหน้า กลไกที่ก่อให้เกิดสิวคือ ร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ( cortisol ) ออกมามาก ส่งผลให้เกิดการอักเสบฉับพลันโดยเฉพาะบริเวณผิวหน้า บวกกับเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่น สิวเจ้ากรรมจึงโผล่มาอย่างช่วยไม่ได้

สิวฮอร์โมน จะมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ตราบเท่าที่ระดับฮอร์โมนเพศยังแปรปรวน บางคนแทบไม่ใช้ครีมบำรุงผิวใดๆเลย สิวฮอร์โมนก็ยังปะทุอยู่ตลอด เด็กหญิงหลายคนที่เริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่วัยประถม หากพ่อแม่เคยเป็นสิว ลูกมักได้มรดกสิวเสมอ แค่เริ่มมีประจำเดือน สิวมาเต็มหน้า จนแทบไม่มีที่ว่าง

ปัจจัยที่ส่งผลทำให้เกิดสิวฮอร์โมน
1.ฮอร์โมนแอนโดรเจน ( androgen ) เป็นฮอร์โมนเพศชาย พบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ในผู้ชายจะมีมากกว่า ฮอร์โมนนี้ทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ ทำให้ต่อมไขมันที่ผิวหนังโตขึ้น และทำให้ต่อมไขมันหลั่งไขมันออกมามากขึ้น

ไขมันที่หลั่งไขมันออกมามากเกินไป จะส่งผลให้เกิดการอุดตันและเป็นอาหารชั้นดีของเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บริเวณผิวหน้า พอมาเจอกัน หายนะตามมา ผิวหน้าจะอุดมไปด้วยปัญหาผิว สิวระเบิด

2.ฮอร์โมนเอสโตรเจน ( estrogen ) เป็นฮอร์โมนเพศหญิง ทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน การที่เพศหญิงมีประจำเดือนเพราะระดับฮอร์โมนตัวนี้เปลี่ยนแปลงในร่างกาย เราจึงมีโอกาสเป็นสิวเห่อและสิวหายเป็นระยะๆในทุกรอบของการมีประจำเดือน

เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์ในร่างกายที่มีความแปรปรวนอยู่ตลอด ยกเว้นจะกินยาคุมกำเนิดซึ่งมีส่วนผสมของฮอร์โมนสังเคราะห์เอสโตรเจน ( estrogen )และโปรเจสติน ( progestin ) เช่น ไดแอน ยาสมิน ออยเลส ฯลฯ ซึ่งมีทั้งผลดีและผลเสียในคราวเดียวกัน ต้องคิดเยอะๆก่อนที่จะเลือกวิธีนี้ สิวหายก็จริง แต่บางคนได้ฝ้าแถมมา อันนี้ก็ไม่คุ้มเลยนะคะ

แป้งมีครีมบำรุงผิว ( essence ) และโอเวอร์ไนท์มาร์ค ( overnight mask ) ที่ช่วยลดสิวผด สิวอุดตัน สิวอักเสบได้เป็นอย่างดี รอติดตาม blog ถัดไปค่ะ



เนื่องจาก blog นานาสารพันปัญหา volume 3 
มีผู้อ่านส่งคำถามเข้ามาเป็นจำนวนมาก 
ส่งผลให้ไฟล์เดิมมีขนาดใหญ่เกินไป
จึงไม่สามารถส่งคำถามเข้ามาได้ตามปกติ

แป้งจึงเปิด blog นานาสารพันปัญหา volume 4 
รบกวนทุกท่านส่งคำถามมายัง blog นี้
ตั้งแต่ 28 มี. 2559 เป็นต้นไป

แป้งจะมาตอบปัญหาสุขภาพและผิวพรรณเป็นประจำ
ทุกวันอาทิตย์ 
โดยปิดรับคำถามทุกวันเสาร์ เวลา 12.00 .
หากเกินกว่านั้น ขออนุญาตยกยอดไปตอบในครั้งถัดไปค่ะ

ทั้งนี้จะตอบคำถามเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพและผิวพรรณผ่าน blog นานาสารพันปัญหาvolume 4 เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

ส่วนอีเมล,หลังไมค์,เพจแป้งปังปอนด์
http://www.pangpungpond.blogspot.com งดตอบคำถาม เนื่องจากคำถามส่งมาหลายช่องทาง แป้งเกิดความสับสน จึงขออนุญาตตอบเพียงช่องทางเดียวค่ะ


ขออภัยในความไม่สะดวกมา  ที่นี้ด้วยนะคะ


วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิตามินอีดีต่อสุขภาพและผิวพรรณอย่างไร

วิตามินอี พูดขึ้นมาคงไม่มีใครไม่รู้จัก เพียงแต่จะรู้จักในรูปแบบไหนเท่านั้น คนส่วนมากจะคุ้นเคยกับวิตามินอีที่อยู่ในรูปของส่วนผสมสำคัญพื้นฐานในครีมบำรุงผิวหน้าหลายยี่ห้อหรือรูปแบบน้ำมันวิตามินอี ( vitamin e oil ) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยรักษาแผลเป็นและรอยดำจากสิว ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ เช่น มลภาวะ แสงแดด ฝุ่นควันอันเป็นสาเหตุของริ้วรอย สำหรับสาวๆที่มีปัญหาผิวแห้งกร้านบริเวณข้อศอก น้ำมันวิตามินอีจะช่วยฟื้นฟูให้ผิวมีความอ่อนนุ่มผลิตภัณฑ์ความงามต้านริ้วรอยและครีมกันแดด ส่วนใหญ่มักมีส่วนผสมของวิตามินอีเพราะช่วยลดเลือนริ้วรอย ลดการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวมีความเปล่งปลั่งสดใส

เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของวิตามินอี ควรเก็บให้ห่างจากแสงแดด อุณหภูมิต่ำกว่า 30องศาเซลเซียส บรรจุในขวดปั๊มที่มิดชิดเพราะออกซิเจนในอากาศจะก่อปฏิกิริยาทำให้วิตามินอีมีประสิทธิภาพลดลง

ใน blog นี้แป้งจะไม่เน้นวิตามินอีที่เป็นรูปแบบทาภายนอก แต่เป็นวิตามินอี ชนิดรับประทานที่เป็นอาหารเสริมเท่านั้นค่ะ

วิตามินอี ( vitamin e ) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดออกซิเดชันของสารในกลุ่มไขมัน ( lipid peroxide ) ทำงานเช่นเดียวกับวิตามินเอ ซีลีเนียมและวิตามินซี

ละลายในไขมัน ถูกเก็บสะสมไว้ที่ตับเนื้อเยื่อไขมัน หัวใจ กล้ามเนื้อ อัณฑะ มดลูกเลือด ต่อมหมวกไตและต่อมใต้สมอง

ประกอบด้วยสารตามธรรมชาติสองกลุ่มใหญ่คือ โทโคฟีรอล (Tocopherol )และโทโคไทรอีนอล ( Tocotrienol ) โดยแบ่งเป็น 4 รูปคือ แอลฟา ( alpha ) เบต้า ( be ta ) แกมมา ( gamma ) และเดลตา ( delta ) ส่วนโทโคไทรอีนอลแบ่งเป็น 4 รูปเช่นกันคือ แอลฟา ( alpha ) เบต้า ( beta ) แกมมา ( gamma ) และเดลตา ( delta )

ในบรรดาสารทั้ง 8 ตัว แอลฟาโทโคฟีรอลจัดได้ว่า มีฤทธิ์ทางชีวภาพสูงสุด แต่แกมมาโทโคฟีรอลมีประสิทธิภาพมากกว่าในการเพิ่มระดับเอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส ( SOD ) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังรวมถึงมะเร็ง อัลไซเมอร์ โรคหัวใจและความชรา

วิตามินอีคุณภาพดี จะประกอบด้วย d-Alpha Tocopherol ( ดี-แอลฟาโทโคฟีรอล ) Plus d-Beta Tocopherol ( ดี-เบต้าโทโคฟีรอล ) d-Delta Tocopherol (ดี-เดลต้าโทโคฟีรอล ) and d-Gamma Tocopherol ( ดี-แกมมาโทโคฟีรอลซึ่งมีส่วนผสมของวิตามินอีทั้ง 4 รูปแบบในเม็ด บรรจุใน soft gel ( แคปซูลเจลนิ่ม ) 

แต่บางยี่ห้อ จะมีวิตามินอีแค่รูปแบบเดียวคือd - Alpha Tocopherol เพราะฉะนั้นมองหารูปแบบข้างบนจะคุ้มค่ากว่านะคะ

วิตามินอีคุณภาพสูงที่สุด คือ รูปแบบโทโคไทรอีนอล ( Tocotrienol ) 

วิตามินอีที่เป็นน้ำมันใน soft gel อาจก่อให้เกิดสิว ผิวมันในผู้ที่มีผิวผสม ผิวมันอยู่ก่อนแล้ว จึงควรหลีกเลี่ยง โดยมองหาวิตามินอีชนิด dry ( D-Alpha Tocopheryl Succinate )เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว-ผิวผสม-ผิวมันเนื่องจากเป็นวิตามินอีชนิดแห้ง จึงไม่ก่อให้เกิดสิวผิวหน้ามัน 


แหล่งอาหารธรรมชาติ ; น้ำมันพืช สัตว์ปีก,ไข่น้ำมันจมูกข้าวสาลี น้ำมันพืชอะโวคาโดผักโขม เมล็ดทานตะวันจมูกข้าวสาลีถั่วและธัญพืช


มีประโยชน์อย่างไร
1.ช่วยให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัย โดยชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์อันเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน
2.ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี
3.นำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อเพิ่มความทนของร่างกายในสภาวะกดดันหรือเครียด
4.ปกป้องปอดจากมลพิษทางอากาศโดยทำงานร่วมกับวิตามินเอ
5.เพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้เชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ ( T-cell )  เป็นชนิดย่อยชนิดหนึ่งของเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างและพัฒนาความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

 เซลล์เหล่านี้มักไม่มีบทบาทในการทำลายเซลล์อื่นหรือจับกินสิ่งแปลกปลอม ไม่สามารถฆ่าเซลล์เจ้าบ้านที่ติดเชื้อหรือฆ่าจุลชีพก่อโรคได้ และถ้าไม่มีเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆ เซลล์ชนิดนี้อาจถูกมองว่าไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด 

เซลล์ทีเซลล์มีบทบาทในการกระตุ้น ชี้นำการทำงานของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆและถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในระบบภูมิคุ้มกัน มีส่วนจำเป็นในการระบุการเปลี่ยนคลาสแอนติบอดีของเซลล์บี ช่วยในการกระตุ้นและการเจริญของเซลล์ทีไซโตท็อกซิกอีกทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการทำลายแบคทีเรียของฟาโกไซต์อย่างแมโครฟาจได้ 

บทบาทต่อเซลล์อื่นๆ เหล่านี้เองที่ทำให้เซลล์ชนิดนี้ถูกเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าเซลล์ทีเฮลเปอร์ ( T-cell helper )

6.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
7.ป้องกันและสลายลิ่มเลือด
8.บรรเทาอาการอ่อนเพลีย
9.ป้องกันแผลเป็นนูน ( คีลอยด์ )
10.เร่งให้แผลไหม้บริเวณผิวหนังหายเร็วขึ้น
11.ทำงานคล้ายยาขับปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิต
12.ช่วยในการป้องกันภาวะแท้ง
13.บรรเทาอาการตะคริวหรือขาตึง
14.ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและอัมพฤกษ์อัมพาต
15.ลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์
16.อาจช่วยป้องกันความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กับดวงตา
17.ช่วยรักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อขาจากสาเหตุการตีบตันของหลอดเลือดทำให้กล้ามเนื้อขาดออกซิเจน

ดรไวล์แนะนำให้เสริมด้วยวิตามินอีรูปแบบtocotrienols ( โทโคไตรอีนอล )ไม่ต่ำกว่า 80มิลลิกรัมต่อวัน หากคุณไม่สามารถมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอีธรรมชาติผสม ( natural mix tocopherol ) อย่างน้อยวันละ 400-800 IU ทุกวัน 

ควรหลีกเลี่ยง DL-อัลฟาโทโคฟีรอล รูปแบบสังเคราะห์

วิตามินอีที่ละลายในไขมัน จะถูกดูดซึมได้ดีที่สุด เมื่อรับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมันบางส่วน

วิตามินอีจะเสื่อมประสิทธิภาพเมื่อสัมผัสกับอากาศร้อนและแสง จึงควรเก็บไว้ในที่มืดและเย็น


โดยส่วนตัวแป้งก็กินวิตามินอีทั้ง 2 รูปแบบพบว่า ไม่ก่อให้เกิดสิวแต่อย่างใด ผลที่ได้คือ ผิวนุ่มลื่นขึ้นทั่วตัว ( ปกติผิวกายเนียนละเอียด แต่ใบหน้ามีสภาพผิวมัน ) รอยแผลเป็นจางลงเร็ว ไม่เหนื่อยง่าย  แต่แนะนำว่าสาวผิวแห้งกับสตรีวัยทอง ไม่ควรพลาดค่ะ

เราอยากรู้ว่า วิตามินอีดีต่อร่างกายและผิวพรรณจริงหรือไม่ ต้องลองกินดู ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวเราเอง แม้กระทั่งอาการแพ้หรือผลข้างเคียงของวิตามิน ซึ่งไม่ได้เกิดกับทุกคน แต่ละคนมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นไม่เท่ากัน ไม่ลองไม่รู้นะคะ







ที่มา : 
vitamin bible
www.drweil.com/drw/u/ART 02813/fact-absorb-vitamin e
https://th.wikipedia.org>wiki>เซลล์ทีเฮลเปอร์


เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับห...

บทความยอดนิยม