บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิตามินอีดีต่อสุขภาพและผิวพรรณอย่างไร

วิตามินอี พูดขึ้นมาคงไม่มีใครไม่รู้จัก เพียงแต่จะรู้จักในรูปแบบไหนเท่านั้น คนส่วนมากจะคุ้นเคยกับวิตามินอีที่อยู่ในรูปของส่วนผสมสำคัญพื้นฐานในครีมบำรุงผิวหน้าหลายยี่ห้อหรือรูปแบบน้ำมันวิตามินอี ( vitamin e oil ) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยรักษาแผลเป็นและรอยดำจากสิว ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ เช่น มลภาวะ แสงแดด ฝุ่นควันอันเป็นสาเหตุของริ้วรอย สำหรับสาวๆที่มีปัญหาผิวแห้งกร้านบริเวณข้อศอก น้ำมันวิตามินอีจะช่วยฟื้นฟูให้ผิวมีความอ่อนนุ่มผลิตภัณฑ์ความงามต้านริ้วรอยและครีมกันแดด ส่วนใหญ่มักมีส่วนผสมของวิตามินอีเพราะช่วยลดเลือนริ้วรอย ลดการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวมีความเปล่งปลั่งสดใส

เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของวิตามินอี ควรเก็บให้ห่างจากแสงแดด อุณหภูมิต่ำกว่า 30องศาเซลเซียส บรรจุในขวดปั๊มที่มิดชิดเพราะออกซิเจนในอากาศจะก่อปฏิกิริยาทำให้วิตามินอีมีประสิทธิภาพลดลง

ใน blog นี้แป้งจะไม่เน้นวิตามินอีที่เป็นรูปแบบทาภายนอก แต่เป็นวิตามินอี ชนิดรับประทานที่เป็นอาหารเสริมเท่านั้นค่ะ

วิตามินอี ( vitamin e ) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดออกซิเดชันของสารในกลุ่มไขมัน ( lipid peroxide ) ทำงานเช่นเดียวกับวิตามินเอ ซีลีเนียมและวิตามินซี

ละลายในไขมัน ถูกเก็บสะสมไว้ที่ตับเนื้อเยื่อไขมัน หัวใจ กล้ามเนื้อ อัณฑะ มดลูกเลือด ต่อมหมวกไตและต่อมใต้สมอง

ประกอบด้วยสารตามธรรมชาติสองกลุ่มใหญ่คือ โทโคฟีรอล (Tocopherol )และโทโคไทรอีนอล ( Tocotrienol ) โดยแบ่งเป็น 4 รูปคือ แอลฟา ( alpha ) เบต้า ( be ta ) แกมมา ( gamma ) และเดลตา ( delta ) ส่วนโทโคไทรอีนอลแบ่งเป็น 4 รูปเช่นกันคือ แอลฟา ( alpha ) เบต้า ( beta ) แกมมา ( gamma ) และเดลตา ( delta )

ในบรรดาสารทั้ง 8 ตัว แอลฟาโทโคฟีรอลจัดได้ว่า มีฤทธิ์ทางชีวภาพสูงสุด แต่แกมมาโทโคฟีรอลมีประสิทธิภาพมากกว่าในการเพิ่มระดับเอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส ( SOD ) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังรวมถึงมะเร็ง อัลไซเมอร์ โรคหัวใจและความชรา

วิตามินอีคุณภาพดี จะประกอบด้วย d-Alpha Tocopherol ( ดี-แอลฟาโทโคฟีรอล ) Plus d-Beta Tocopherol ( ดี-เบต้าโทโคฟีรอล ) d-Delta Tocopherol (ดี-เดลต้าโทโคฟีรอล ) and d-Gamma Tocopherol ( ดี-แกมมาโทโคฟีรอลซึ่งมีส่วนผสมของวิตามินอีทั้ง 4 รูปแบบในเม็ด บรรจุใน soft gel ( แคปซูลเจลนิ่ม ) 

แต่บางยี่ห้อ จะมีวิตามินอีแค่รูปแบบเดียวคือd - Alpha Tocopherol เพราะฉะนั้นมองหารูปแบบข้างบนจะคุ้มค่ากว่านะคะ

วิตามินอีคุณภาพสูงที่สุด คือ รูปแบบโทโคไทรอีนอล ( Tocotrienol ) 

วิตามินอีที่เป็นน้ำมันใน soft gel อาจก่อให้เกิดสิว ผิวมันในผู้ที่มีผิวผสม ผิวมันอยู่ก่อนแล้ว จึงควรหลีกเลี่ยง โดยมองหาวิตามินอีชนิด dry ( D-Alpha Tocopheryl Succinate )เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว-ผิวผสม-ผิวมันเนื่องจากเป็นวิตามินอีชนิดแห้ง จึงไม่ก่อให้เกิดสิวผิวหน้ามัน 


แหล่งอาหารธรรมชาติ ; น้ำมันพืช สัตว์ปีก,ไข่น้ำมันจมูกข้าวสาลี น้ำมันพืชอะโวคาโดผักโขม เมล็ดทานตะวันจมูกข้าวสาลีถั่วและธัญพืช


มีประโยชน์อย่างไร
1.ช่วยให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัย โดยชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์อันเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน
2.ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี
3.นำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อเพิ่มความทนของร่างกายในสภาวะกดดันหรือเครียด
4.ปกป้องปอดจากมลพิษทางอากาศโดยทำงานร่วมกับวิตามินเอ
5.เพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้เชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ ( T-cell )  เป็นชนิดย่อยชนิดหนึ่งของเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างและพัฒนาความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

 เซลล์เหล่านี้มักไม่มีบทบาทในการทำลายเซลล์อื่นหรือจับกินสิ่งแปลกปลอม ไม่สามารถฆ่าเซลล์เจ้าบ้านที่ติดเชื้อหรือฆ่าจุลชีพก่อโรคได้ และถ้าไม่มีเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆ เซลล์ชนิดนี้อาจถูกมองว่าไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด 

เซลล์ทีเซลล์มีบทบาทในการกระตุ้น ชี้นำการทำงานของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆและถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในระบบภูมิคุ้มกัน มีส่วนจำเป็นในการระบุการเปลี่ยนคลาสแอนติบอดีของเซลล์บี ช่วยในการกระตุ้นและการเจริญของเซลล์ทีไซโตท็อกซิกอีกทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการทำลายแบคทีเรียของฟาโกไซต์อย่างแมโครฟาจได้ 

บทบาทต่อเซลล์อื่นๆ เหล่านี้เองที่ทำให้เซลล์ชนิดนี้ถูกเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าเซลล์ทีเฮลเปอร์ ( T-cell helper )

6.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
7.ป้องกันและสลายลิ่มเลือด
8.บรรเทาอาการอ่อนเพลีย
9.ป้องกันแผลเป็นนูน ( คีลอยด์ )
10.เร่งให้แผลไหม้บริเวณผิวหนังหายเร็วขึ้น
11.ทำงานคล้ายยาขับปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิต
12.ช่วยในการป้องกันภาวะแท้ง
13.บรรเทาอาการตะคริวหรือขาตึง
14.ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและอัมพฤกษ์อัมพาต
15.ลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์
16.อาจช่วยป้องกันความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กับดวงตา
17.ช่วยรักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อขาจากสาเหตุการตีบตันของหลอดเลือดทำให้กล้ามเนื้อขาดออกซิเจน

ดรไวล์แนะนำให้เสริมด้วยวิตามินอีรูปแบบtocotrienols ( โทโคไตรอีนอล )ไม่ต่ำกว่า 80มิลลิกรัมต่อวัน หากคุณไม่สามารถมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอีธรรมชาติผสม ( natural mix tocopherol ) อย่างน้อยวันละ 400-800 IU ทุกวัน 

ควรหลีกเลี่ยง DL-อัลฟาโทโคฟีรอล รูปแบบสังเคราะห์

วิตามินอีที่ละลายในไขมัน จะถูกดูดซึมได้ดีที่สุด เมื่อรับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมันบางส่วน

วิตามินอีจะเสื่อมประสิทธิภาพเมื่อสัมผัสกับอากาศร้อนและแสง จึงควรเก็บไว้ในที่มืดและเย็น


โดยส่วนตัวแป้งก็กินวิตามินอีทั้ง 2 รูปแบบพบว่า ไม่ก่อให้เกิดสิวแต่อย่างใด ผลที่ได้คือ ผิวนุ่มลื่นขึ้นทั่วตัว ( ปกติผิวกายเนียนละเอียด แต่ใบหน้ามีสภาพผิวมัน ) รอยแผลเป็นจางลงเร็ว ไม่เหนื่อยง่าย  แต่แนะนำว่าสาวผิวแห้งกับสตรีวัยทอง ไม่ควรพลาดค่ะ

เราอยากรู้ว่า วิตามินอีดีต่อร่างกายและผิวพรรณจริงหรือไม่ ต้องลองกินดู ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวเราเอง แม้กระทั่งอาการแพ้หรือผลข้างเคียงของวิตามิน ซึ่งไม่ได้เกิดกับทุกคน แต่ละคนมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นไม่เท่ากัน ไม่ลองไม่รู้นะคะ







ที่มา : 
vitamin bible
www.drweil.com/drw/u/ART 02813/fact-absorb-vitamin e
https://th.wikipedia.org>wiki>เซลล์ทีเฮลเปอร์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

14 สัญญาณเตือนว่าอาจมีปัญหาสมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหาร

• มีอาการระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หรือลำไส้แปรปรวน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและท้องผูก • มีปัญหาไมเกรนหรือนอนไม่หลับ ...

บทความยอดนิยม