บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนจบ)

เวลาที่เราไปเลือกซื้อผักและผลไม้ตามซุปเปอร์มาเก็ต จะพบว่า ผักผลไม้ชนิดเดียวกันมีราคาแพงกว่าที่วางจำหน่ายในห้างค้าส่ง ตอนแรกแป้งก็สงสัยว่า ทำไมราคาต่างกันเกือบเท่าตัว พอได้ซื้อแอปเปิ้ลฟูจิและส้มวาเลนเซียมาลองกินดู โอ๊ะ!! ความสด กรอบอร่อยของแอปเปิ้ลแตกต่างตามการคัดเกรด ส่วนส้มวาเลเซีย เนื้อส้มหวานฉ่ำ ไม่ฝ่อห่อเหี่ยวเหมือนซื้อจากห้างค้าส่งนะคะ

ใดๆคือ ซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้ง 2 ที่ จะมีตราสัญลักษณ์แปะไว้ที่ผักว่า ผักปลอดภัย ผักออแกนิกมั่ง ตอนนั้นสังเกตเห็นแต่ไม่ได้สนใจใคร่รู้ คิดว่าปลอดสารพิษเหมือนๆกันล่ะมั๊งท่า สนใจราคามากกว่าอย่างอื่น พอมีข่าวองุ่นไซมัสแคทเท่านั้นแหละ อืม!! หาข้อมูลเพิ่มดีกว่า ชักอยากรู้แวดวงเกษตรกรรมขึ้นมาเชียว

ผักปลอดสารพิษ คือผักที่มีระบบการผลิตที่ใช้สารเคมีในการป้องกันและปราบศัตรูพืชรวมถึงปุ๋ยเคมีเพื่อการเจริญเติบโตของพืช แต่ให้เว้นช่วงการใช้สารเคมีก่อนการเก็บเกี่ยว ซึ่งผลผลิตที่ได้จะยังมีสารเคมีตกค้าง แต่ไม่เกินในปริมาณที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยมีการขอใบรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ใบรับรองผักปลอดสารพิษ

ผักปลอดสารพิษแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ผักปลอดสารเคมี (PESTICIDE FREE)
การปลูกผักปลอดสารเคมี จะเน้นการควบคุมการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก แต่จะไม่ใช้สารเคมีในการกำจัดแมลง (โดยจะยังคงใช้ปุ๋ยเคมีและฮอร์โมนเร่งผลผลิต) หากแต่เป็นสารเคมีที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 

ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวจะต้องมีสารเคมีตกค้างไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ โดยมีหน่วยงานรับรองมาตรฐานจากกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ไม่มีสารตกค้างเกินระดับมาตรฐาน จึงแน่ใจว่าเป็นผักปลอดสารเคมี

2. ผักอนามัย (PESTICIDE SAFE)
ผักอนามัยหรือเรารู้จักกันในชื่อของ “ผักกางมุ้ง” เป็นผักที่ยังคงใช้สารเคมีเพื่อการเจริญเติบโตและใช้สารกำจัดแมลง แต่จะเป็นสารเคมีที่มีพิษตกค้างในระยะสั้น และหยุดฉีดพ่นสารเคมีก่อนการเก็บเกี่ยวตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ 

การปลูกผักประเภทนี้มีอยู่ 2 แบบ คือ การปลูกโดยใช้มุ้งตาข่ายหรือกางมุ้ง และอีกแบบจะไม่ใช้มุ้งตาข่าย แต่เน้นการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน คือเน้นปลูกผักตามฤดูกาลร่วมกับผักประเภทกะหล่ำปลี ตั้งโอ๋ ซึ่งช่วยลดการระบาดของแมลงแถมเป็นผลดีต่อการค้าขายเพราะมีผักหลายชนิดวางจำหน่าย ส่วนการรับรองมาตรฐานจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกับผักปลอดสารพิษ

3.ผักไฮโดรโปนิกส์ (HYDROPONICS)
การปลูกผักประเภทนี้เป็นการปลูกโดยใช้น้ำแทนดิน โดยผสมอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตลงในน้ำ รากพืชที่สัมผัสน้ำจะดูดซึมสารอาหารสะสมไว้ที่ใบ ส่วนรากที่ไม่สัมผัสน้ำจะทำหน้าที่รับออกซิเจน ผักที่นิยมปลูกประเภทนี้ เป็นผักสลัดพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งต้องนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศ

4.ผักเกษตรอินทรีย์ (ORGANIC FARMING)
เรารู้จักผักชนิดนี้ในชื่อเรียกว่า “ผักออร์แกนิก” เป็นผักที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม (GMO) ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช ยาฆ่าแมลงหรือฮอร์โมนต่าง ๆ การผลิตผักประเภทนี้จะเน้นใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ส่วนการกำจัดศัตรูพืชจะใช้สารเคมีที่ผลิตจากธรรมชาติ เช่น สะเดา โล่ติ๊น จึงปลอดภัยต่อสุขภาพและไม่ทำลายสภาพสิ่งแวดล้อม

สารกำจัดแมลงแบบอินทรีย์ เป็นสารสกัดที่มาจากพืช ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูก ผลผลิตและมนุษย์ แต่สารกำจัดแมลงแบบอินทรีย์มักมีประสิทธิภาพต่ำ ทำให้ต้องฉีดบ่อยครั้ง ทั้งยังมีความเฉพาะเจาะจงต่อแมลงบางชนิด ไม่สามารถกำจัดได้อย่างครอบคลุม 

ทําไมผลผลิตออร์แกนิกถึงมีสารกําจัดศัตรูพืช

ผู้บริโภคจํานวนมากเลือกอาหารออร์แกนิกเพราะเชื่อว่าปลูกและผลิตโดยไม่ใช้สารกําจัดศัตรูพืช เนื่องจากสารกําจัดศัตรูพืช
จํานวนมากถูกห้ามจากเกษตรอินทรีย์ นี่เป็นก้าวสําคัญในทิศทางที่ถูกต้อง แต่เกษตรกรเกือบทั้งหมดหรือแม้แต่เกษตรกรอินทรีย์จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงบางชนิด แต่ใช้คนละชนิดกัน

สารกําจัดศัตรูพืชส่วนใหญ่ในรายการ USDA Organic ของสารที่ได้รับอนุญาตมีต้นกําเนิดจากธรรมชาติ ในขณะที่เกษตรกรทั่วไปได้รับอนุญาตให้ใช้สารกําจัดศัตรูพืชสังเคราะห์ 900 ชนิด แต่ทว่าเกษตรกรอินทรีย์ได้รับอนุญาตให้ใช้สารกําจัดศัตรูพืชสังเคราะห์เพียง 25 ชนิดเท่านั้น 

ด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ยุ่งยากกว่าการใช้ทางลัด เพราะต้องคำนึงหลายปัจจัย นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมพืชผักออร์แกนิกถึงมีราคาสูงกว่าปกติหลายเท่า แป้งลองซื้อผักบุ้งออร์แกนิกในซุปเปอร์มาเก็ต 150 กรัม ราคา 22 บาท เท่ากับโลละ 140 บาทแต่ซื้อผักบุ้งตลาดสดโลละ 20 บาท ต่างกัน 7 เท่า หรือผักกวางตุ้งฮ่องเต้ 200 กรัมราคา 40 บาท เท่ากับโลละ 200 บาท สภาพผักคือ สดมากๆ ผักต้นอ่อนทุกต้นเหมือนที่แม่แป้งปลูกเลย กรอบอร่อยสมราคา แต่แพงมาก ส่วนราคาตลาดสดไม่แน่ใจเพราะเหมือนจะไม่เห็นผักชนิดนี้ เคยเห็นแต่ผักคะน้าฮ่องเต้(สภาพผักแก่เชียว)เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกต่างๆที่เราแทบจะไม่เคยเห็นว่า ถูกกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามท้องตลาดนั่นเอง


#ผักออร์แกนิก
#ผักปลอดสารพิษ
#ผักไฮโดรโปนิกส์
#ผักกางมุ้ง
#ผักอินทรีย์










วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนที่ 4)

หากตามข่าวดีๆจะพบว่า สารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชอยู่คู่กับคนไทยมาช้านานแล้ว แป้งคัดลอกข่าวบางส่วนมาให้อ่านกันนะคะ

29 ก.ย.2561 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตรและสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินโครงการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในผักและผลไม้สด ตามเกณฑ์มาตรฐานของไทย

สำหรับการดำเนินงานในปี 2561 มีการเก็บตัวอย่างผักและผลไม้สดทั้งหมด 41 ชนิดพืช รวม 7,054 ตัวอย่างจากทั่วประเทศ ผ่านมาตรฐานร้อยละ 88.8 ไม่ผ่านมาตรฐานร้อยละ 11.2 และเมื่อนำปริมาณที่ตรวจพบในผักและผลไม้สดมาประเมินความเสี่ยงของผู้บริโภค พบว่า ร้อยละ 99.86 อยู่ในระดับที่ปลอดภัย

จากข้อมูลการตรวจของกระทรวงสาธรณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า
ผักและผลไม้สดที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 100% มีจำนวน 6 ชนิด ได้แก่ มันฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง มังคุด ผักกาดขาวปลี ถั่วแขก ส่วนข้าวโพดหวานพบสารพิษต่ำมาก

ผักและผลไม้สดที่พบปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด 6 อันดับแรก ได้แก่ พริก ถั่วฝักยาว คะน้า ส้ม มะเขือเปาะ มะเขือเทศ แต่ทั้งนี้ยังมีความปลอดภัยในการบริโภค เนื่องจากสารตกค้างนี้จะเกิดอันตรายต่อเมื่อผู้บริโภค บริโภคในปริมาณมากเท่านั้น

ปลายปี 2563 "ไทยแพน" พบผักผลไม้ 58.7% มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน "องุ่นนำเข้า พุทราจีน พริก ขึ้นฉ่าย คะน้า มะเขือเทศเล็ก" เจอ 100%
 
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เผยผลการตรวจสอบผักและผลไม้ประจำปี 2563 โดยสุ่มตรวจผักผลไม้ทั้งหมด 509 ตัวอย่างจากทั่วประเทศ โดยประกอบไปด้วย ผลไม้จำนวน 9 ชนิด อาทิ ส้มโอ, ส้มแมนดารินนำเข้า, ลองกอง, น้อยหน่า, แก้วมังกร, ฝรั่ง, ส้มสายน้ำผึ้ง, พุทราจีน และองุ่นแดงนอก
 
ส่วนผักจำนวน 18 ชนิด ประกอบด้วย ข้าวโพดหวาน, มันฝรั่ง, หน่อไม้ฝรั่ง, กระเจี๊ยบเขียว, แครอท, ถั่วฝักยาว, บร็อกโคลี, หัวไชเท้า, ผักบุ้ง, มะระ, กะเพรา, กวางตุ้ง, ผักชี, มะเขือเทศผลเล็ก, คะน้า, ขึ้นฉ่าย, พริกแดง พริกขี้หนู และของแห้ง 2 ชนิด ได้แก่ พริกแห้ง และเห็ดหอม โดยส่งตัวอย่างทั้งหมดไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการในประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งสามารถตรวจวัดผลได้ครอบคลุมสารเคมีกำจัดแมลงและเชื้อรา (ไม่รวมสารเคมีกำจัดวัชพืช) กว่า 500 ชนิด  และได้รับรองมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO17025)

ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-PAN ได้เปิดผลการตรวจวิเคราะห์พบว่า มีผักและผลไม้มากถึง 58.7% ที่พบสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน ทั้งนี้ผักที่พบการตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด คือ มะเขือเทศผลเล็ก พริกขี้หนู พริกแดง ขึ้นฉ่าย คะน้า พบตกค้างเกินมาตรฐานทั้งหมดทุกตัวอย่าง (100%) จากที่เก็บมาชนิดละ 16 ตัวอย่าง

*** หมวดผลไม้ที่พบสารตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด 8 อันดับแรก ได้แก่ 
1. องุ่นแดงนอก พบสารตกค้าง 100%
2. พุทราจีน พบสารตกค้าง 100%
3. ส้มสายน้ำผึ้ง พบสารตกค้าง 81%
4. ฝรั่ง พบสารตกค้าง 60%
5. แก้วมังกร พบสารตกค้าง 56%
6. น้อยหน่า พบสารตกค้าง 43%
7. ลองกอง พบสารตกค้าง 14%
8. ส้มแมนดารินนำเข้า พบสารตกค้าง 13%
ส่วนส้มโอไม่พบการตกค้างเกินมาตรฐาน

*** หมวดผักสดที่พบสารตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 
1. พริกขี้หนู-พริกแดง พบสารตกค้าง 100%
2. ขึ้นฉ่าย พบสารตกค้าง 100%
3. คะน้า พบสารตกค้าง 100%
4. มะเขือเทศเล็ก พบสารตกค้าง 100%
5. ผักชี พบสารตกค้าง 88%
6. ผักกวางตุ้ง พบสารตกค้าง 81%
7. กะเพรา พบสารตกค้าง 81%
8. ถั่วฝักยาว พบสารตกค้าง 44%
9.แครอท พบสารตกต้าง 19%
10.กระเจี๊ยบเขียว พบสารตกค้าง 6%
ส่วนมันฝรั่งพบการตกค้างในระดับไม่เกินมาตรฐาน และข้าวโพดหวานไม่พบการตกค้างเลย

สำหรับของแห้ง  ได้แก่เห็ดหอมแห้งและพริกแห้งนั้น พบการตกค้างในระดับไม่ปลอดภัยมากถึง 94% และ 88% ตามลำดับ

สำหรับแหล่งจำหน่ายเมื่อเปรียบเทียบระหว่างห้างกับตลาดสดทั่วไปนั้น พบว่า
1. ผักและผลไม้จากตลาดทั่วไป พบสารตกค้าง 60.1% 
2.ห้างพบการตกค้างน้อยกว่าเล็กน้อยที่ระดับ 56.7%  
ทั้งที่โดยส่วนใหญ่จะจำหน่ายผักผลไม้ราคาแพงกว่าตลาดสดทั่วไป  

โดยในส่วนของตลาดสดทั่วไปนั้น มีการสุ่มตรวจผักจากตลาดทั่วประเทศ 10 จังหวัด พบว่า ตลาดจังหวัดนนทบุรีมีการพบตัวอย่างการตกค้างเกินมาตรฐาน 72.4% และตลาดสดเชียงใหม่ตกค้างน้อยที่สุด 48.3%  

สำหรับห้างค้าปลีกและสมัยใหม่(modern trade)นั้น ห้างค้าปลีกที่พบการตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด เรียงลำดับได้แก่ แม็คโคร (69%)  วิลล่ามาร์เก็ต (65.4%) เทสโก้ (56%)   บิ๊กซี (51.7%) กูร์เมต์มาร์เก็ต (51.7%) และท็อปส์ (41.4%)

จากการตรวจพบสารเคมีที่แบนแล้ว (วัตถุอันตรายชนิดที่ 4) จำนวน 5 ชนิด ได้แก่ คลอร์ไพริฟอส เอ็นโดซัลแฟน เมธามิโดฟอส เพ็นตาคลอโรฟีนอล และซัลโฟเท็พ  รวมทั้งพบสารนอกบัญชีวัตถุอันตรายอีก 32 ชนิด ซึ่งผิดกฎหมายนั้น จะนำเอกสารนี้เพื่อขอให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการแก้ปัญหา 

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์สุ่มเก็บตัวอย่างผักผลไม้สด 144 ตัวอย่าง 
พบตกค้างเกินค่ากำหนด 6.2%  

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ในปี 2566 สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินการสุ่มเก็บตัวอย่างผักและผลไม้สด เพื่อตรวจเฝ้าระวังการตกค้างของสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช ด้วยวิธีทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งในตัวอย่างที่ส่งมาตรวจวิเคราะห์มีผักที่นิยมบริโภคช่วงเทศกาลเจ ได้แก่ คะน้า ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี กวางตุ้ง หัวไชเท้า แครอท เห็ด ส้ม แอปเปิ้ล องุ่น ฝรั่ง สาลี่ จำนวนตัวอย่างทั้งหมด 144 ตัวอย่าง

โดยผลการตรวจวิเคราะห์ เป็นดังนี้
1.ไม่พบการตกค้าง คิดเป็นร้อยละ 81.9 
2.พบการตกค้าง แต่ไม่เกินค่ากำหนดตามพระราชบัญญัติอาหาร ร้อยละ 11.8 
3.พบการตกค้างเกินค่ากำหนดตามพระราชบัญญัติอาหาร ร้อยละ 6.2 

ผักและผลไม้สดที่พบการตกค้างสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชเกินมาตรฐานกำหนด ได้แก่ คะน้าและส้ม

ถึงว่าคะน้าราคาถูกเพราะเป็นพืชที่เจริญเติบโตเร็ว คะน้าที่ปลูกในประเทศไทยมีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 45-55 วัน(เกษตรกรก็ตัดขายได้แล้ว)หลังจากปลูก คะน้าอายุ45 วัน เป็นระยะที่ตลาดมีความต้องการมาก แต่คะน้าที่มีอายุ50-55 วันเป็นระยะที่เก็บเกี่ยวได้น้ําหนักมากกว่า(แป้งเจอบ่อยในห้างค่าส่งหรือตลาดสด ไม่ค่อยเจอคะน้าอ่อนยกเว้นคะน้าที่แม่ปลูกเอง อร่อย กรอบ ปลอดสารพิษ)
ก้านคะน้าแข็งยังกับสากกะเบือ ขนาดปอกเปลือกออกก็แล้ว คนที่ฟันฟางไม่ค่อยดี เลี่ยงได้เลี่ยง ยกเว้นคะน้าฮ่องกงจะกินได้ทั้งต้น)

วันก่อนแป้งไปเดินห้าง เผอิญได้ยินผู้ใหญ่คุยกันถามความหลังสารทุกข์สุกดิบ พี่ผู้หญิงหนึ่งในวงบอกว่า เพิ่งเลิกทำสวนทุเรียน อีกคนท้วงว่า ทำไมเลิกเป็นเศรษฐีทุเรียนล่ะ 

แกตอบว่า ‘‘ให้คนอื่นทำต่อ ไม่ไหวอายุมากแล้ว ฉีดยาทุเรียนเยอะเกิน ’’แป้งได้ยินแล้วขนลุกเพราะเพิ่งตะหนักถึงต้นทางห่วงโซ่อาหาร  ไม่ว่าพืชผักผลไม้อะไรก็ตาม หากไม่ฉีดยาฆ่าแมลง ผลผลิตจะสูญเปล่าเพราะแมลงศัตรูพืชกินเรียบ มิน่าล่ะ !! ผักออแกนิคถึงได้มีราคาแพงเป็น 2-3 เท่าตัว








ที่มา :

'ผักผลไม้'ที่มีสารพิษตกค้าง 100 เปอร์เซ็นต์ : องุ่นนำเข้า พุทราจีน ...bangkokbiznewshttps://www.bangkokbiznews.com › health

กรมวิทย์เผยผลตรวจผักผลไม้พบสารตกค้างเกินกำหนด 6.2% ส่วน ...Hfocus.orghttps://www.hfocus.org › content › 2023/10

เช็กผักผลไม้ 6 อันดับ สารพิษตกค้าง-ปลอดสาร 100%Thai PBShttps://www.thaipbs.or.th › ข่าว › สังคม

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนที่ 3)

ปิดฉากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทำลายสมอง รัฐบาลไบเดนประกาศแบนคลอร์ไพริฟอส(Chlorpyrifos)

5 ก.ย 2021 เป็นข่าวใหญ่โตในสื่อสหรัฐ เมื่อหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา(EPA) ประกาศแบนคลอร์ไพริฟอส สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ใช้ในผักและผลไม้ มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการเกษตร รวมทั้งในถั่วลิสง ผลไม้ พืชตระกูลถั่ว กะหล่ำปลี บล๊อคโคลี่ ซึ่งเป็นสาเหตุของผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมองและระบบประสาทของเด็กและทารกแล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของผู้บริโภค องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงานรับจ้างในภาคเกษตรของสหรัฐ หลังจากการการเคลื่อนไหวให้มีการแบนสารพิษร้ายแรงมานานกว่าสิบปี

ผู้เชี่ยวชาญหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา( EPA )ในยุคของบารัก โอบามา เสนอให้มีการแบนสารพิษนี้แล้ว แต่ถูกปฏิเสธเมื่อปี 2560 โดย Scott Pruitt ผู้บริหารของ EPA ที่ถูกแต่งตั้งโดยโดนัล ทรัมป์

Michal Freedhoff เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ EPA ด้านความปลอดภัยของสารเคมีและมลพิษ ให้สัมภาษณ์ต่อวอชิงตันโพสต์ว่า “สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากความพยายามกว่าทศวรรษของการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคลอร์ไพริฟอสมีผลกระทบต่อพัฒนาการทางระบบประสาทในเด็ก แม้แต่ได้รับในระดับที่ต่ำกว่าที่เคยคิดไว้” 

การใช้คลอร์ไพริฟอสทางการเกษตร จะถูกยกเลิกทั้งหมดภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่ EPA มีมติเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา 
สำหรับในสหภาพยุโรปมีการห้ามใช้ไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนการใช้นอกภาคการเกษตร เช่น ในสนามกอล์ฟ เป็นต้น จะมีการพิจารณาอีกครั้งในปีหน้า

คอร์ทีวา (Corteva) หรือเดิมคือ ดาว-ดูปองท์ (DowDupont) บริษัทผู้ผลิตสารกำจัดแมลงคลอร์ไพริฟอสกำลังเผชิญกับการฟ้องร้องดำเนินคดีแบบกลุ่ม หลังจาก 4 ครอบครัวในแคลิฟอร์เนียยื่นฟ้องเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2564 เนื่องจากลูกๆของพวกเขาได้รับผลกระทบทางสมอง

สารเคมีกำจัดแมลงคลอร์ไพริฟอสนิยมใช้กำจัดศัตรูพืชในผักและผลไม้หลายชนิด โดยจากการเฝ้าระวังของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช(Thai-Pan)พบว่า เป็นหนึ่งในสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างมากที่สุดในผักและผลไม้

กระทรวงสาธารณสุขในสมัย นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร มีข้อเสนอให้ยกเลิกการใช้สารเคมีคลอร์ไพริฟอสและพาราควอต ซึ่งใช้เวลากว่า 3 ปี จนคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติให้ยกเลิกการใช้ในที่สุด โดยคลอร์ไพริฟอสถูกประกาศยกเลิกการใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563




ที่มา ;

ปิดฉากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทำลายสมอง รัฐบาลไบเดนแบบคลอร์ไพริ ...thaipan.orghttps://thaipan.org › highlights

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนที่ 2)

24 ต.ค.2567 เป็นข่าวฮือฮาเมื่อเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN)  ร่วมกับ นิตยสารฉลาดซื้อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงผลการตรวจสารพิษในองุ่นไชน์มัสแคททั้งหมด 24 ตัวอย่าง ปรากฎว่า 23 ตัวอย่างจาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินที่กฎหมายกำหนด โดย 1 ตัวอย่างพบสารคลอร์ไพริฟอส ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 และเป็นสารที่ถูกแบนในไทยแล้ว 

เรามารู้จักคลอร์ไพริฟอส(Chlorpyrifos) กันดีกว่าคะ

คลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos)เป็นสารประกอบประเภทออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphates) มีฤทธิ์กำจัดแมลงและหนอนต่างๆได้หลายชนิด เกษตรกรจึงใช้สารเคมีชนิดนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1965 (พ.ศ.2508) เพื่อเป็นยากำจัดศัตรูพืช

คลอร์ไพริฟอส จะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของระบบประสาทในตัวแมลง(Inhibiting acetylcholinesterase) องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้คลอร์ไพริฟอสเป็นสารประกอบที่มีอันตราย การสัมผัสโดยตรงสามารถส่งผลกระทบต่อระบบประสาทของมนุษย์ และทำให้เกิดภาวะภูมิต้านทานตนเอง (Autoimmune disorders)

นอกจากนี้สารประกอบออร์กาโนฟอสเฟต ยังสร้างผลกระทบต่อกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย เช่น ทำให้สูญเสียการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ทำลายกระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายต่ำลง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต สตรีมีครรภ์ที่ได้รับสารประกอบชนิดนี้ จะส่งผลให้การพัฒนาระบบประสาทของทารกในครรภ์ผิดปกติได้

การศึกษาของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย พบว่าระดับ IQ และความจำในการทำงานที่ลดลงของเด็กอายุ 7 ขวบ มีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของการสัมผัสคลอร์ไพริฟอสก่อนคลอด 

การศึกษาอีกกรณีหนึ่งในกลุ่มเดียวกัน พบว่า เด็กอายุ 3 ขวบที่มีการสัมผัสกับคลอร์ไพริฟอสก่อนคลอดมากกว่าปกติ มีแนวโน้มที่จะมีความล่าช้าของพัฒนาการในวัยเด็ก ปัญหาความสนใจ ปัญหาสมาธิสั้น และปัญหาความผิดปกติทางพัฒนาการทั่วไป

การศึกษาของ UC Davis พบว่า คุณแม่ที่อาศัยในรัศมี 1 ไมล์จากทุ่งนาที่ใช้คลอร์ไพริฟอสและยาฆ่าแมลงออร์กาโนฟอสเฟตชนิดอื่น มีโอกาสที่ลูกจะเป็นโรคออทิสติกสเปกตรัมสูงขึ้น 60 เปอร์เซ็นต์ 

ความเชื่อมโยงระหว่างโรคออทิสติกและยาฆ่าแมลงอาจเป็นเพราะการสัมผัสยาฆ่าแมลงในระหว่างตั้งครรภ์ทำให้ความเสี่ยงต่อโรค
ออทิสติกเพิ่มขึ้น

การศึกษาล่าสุด พบความเชื่อมโยงระหว่างการสัมผัสกับคลอร์ไพริฟอสและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสมองในเด็กอายุ 7 ขวบ

จากข้อมูลความเป็นพิษหลายประการของคลอร์ไพริฟอส ทำให้ครอบครัวเกษตรกรในอเมริกา เลิกใช้คลอร์ไพริฟอสในฟาร์มของตนเองตั้งแต่ปี ค.ศ.2001 (พ.ศ.2544) เป็นต้นมา แต่เพิ่งมีการประกาศแบนในสหรัฐอเมริกา ปี 2021 ที่ผ่านมานี่เอง

การบริโภคคลอร์ไพริฟอสที่ตกค้างในพืชผักเป็นปริมาณมากๆ สามารถทำให้มนุษย์เสียชีวิตได้ อดีตที่ผ่านมาคลอร์ไพริฟอสเป็นยาฆ่าแมลงที่มีการจำหน่ายเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก โดยใช้ฉีดพ่นลงในแปลงเกษตร เช่น ฝ้าย ข้าวโพด อัลมอนด์ รวมถึงผลไม้จำพวกส้ม กล้วย และแอปเปิ้ล แต่ถูกต่อต้านและมีการยกเลิกการใช้ยาฆ่าแมลงชนิดนี้ในหลายประเทศเช่นกัน

ผลกระทบต่อระบบนิเวศมีดังนี้
1.ปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำ อากาศ พื้นดิน จนทำให้เสียสมดุลของระบบนิเวศน์และการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า รวมถึงแมลงที่มีประโยชน์อย่าง ผึ้ง ผีเสื้อที่ช่วยผสมพันธุ์พืชตามธรรมชาติได้ตายลงเป็นจำนวนมาก ตัวอ่อนของสัตว์น้ำ เช่น ลูกปลาไม่สามารถเจริญเป็นตัวเต็มวัยมักตายลงเสียก่อน หรือการปนเปื้อนในปลาใหญ่ที่พอจะทนพิษยาฆ่าแมลงได้อาจส่งผลกระทบมาถึงผู้บริโภคปลาด้วย

2.ไส้เดือนซึ่งเป็นสัตว์เกษตรกรที่ผิวดิน มีหน้าที่ทำให้ดินร่วนซุยและเกิดปุ๋ยตามธรรมชาติจะสูญหายไปจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากยาฆ่าแมลง สัตว์ป่าตามธรรมชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศน์ภาคเกษตรกรรม เช่น นก อาจสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ

3.เกิดภาวะกลายพันธุ์ของแมลงที่เป็นศัตรูพืช แมลงเหล่านี้สามารถทนพิษของยา ฆ่าแมลงทำให้เราเรียนรู้ว่าการใช้ยาฆ่าแมลงไม่ใช้วิธียั่งยืน แต่กลับก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า

4.มนุษย์ที่ได้รับยาฆ่าแมลงโดยตรงหรือโดยอ้อมหรือไม่รู้ตัวว่ากำลังได้รับยาฆ่าแมลงอยู่ จนทำให้เกิดโรคต่อร่างกายได้มากมายไม่ว่าจะเป็นโรคทางระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจ กล้ามเนื้อ หัวใจและมะเร็ง

ผลกระทบของสารกําจัดศัตรูพืชต่อผักและผลไม้

ดีดีที (ไดคลอโรไดฟีนิลไตรคลอโรอีเทน) เป็นตัวอย่างของ POP( มลพิษอินทรีย์ถาวร คือเป็นสารกําจัดศัตรูพืชชนิดหนึ่งที่ทนต่อการย่อยสลาย ดังนั้นจึงยังคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานาน)ที่มีพิษสูง ในปี ค.ศ 1900 มีการค้นพบว่า ดีดีทีเป็นยาฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงมีการใช้อย่างกว้างขวางโดยเกษตรกร ผลกระทบทางชีวภาพที่เป็นอันตรายของดีดีทีถูกค้นพบในอีกยี่สิบปีต่อมา ปัจจุบันถูกแบนในหลายประเทศเนื่องจากผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง

ในปี ค.ศ. 1962 นักชีววิทยาชาวอเมริกันชื่อ ราเชล คาร์สัน
ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Silent Spring บรรยายถึงผลกระทบของดีดีทีต่อสิ่งแวดล้อม การก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ และทำให้สัตว์ป่าหลายชนิดโดยเฉพาะนก เช่น นกอินทรีหัวขาวจำนวนลดลงจนเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ทำให้เกิดการศึกษาวิจัยสืบเนื่องและรณรงค์ให้ยกเลิกการใช้ดีดีทีอย่างขนานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา จนมีการประกาศใช้กฎหมายห้ามใช้ดีดีทีในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972 และเกิดอนุสัญญาสต็อกโฮล์ม ห้ามการใช้ดีดีทีทั่วโลกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001

สารบางชนิดที่พบในสารกําจัดวัชพืช(herbicide )ได้แก่

1.Glyphosate(ไกลโฟเสท)มีชื่อทางการค้าเรียกว่า Roundup(ราวด์อัพ),ทัชดาวน์, สปาร์ค, ไกลโฟเสทเป็นสารก่อกวนต่อมไร้ท่อ มักเชื่อมโยงกับมะเร็ง โรคตับ ปัญหาการเจริญพันธุ์ ข้อบกพร่องตั้งแต่แรกเกิด ปัญหารก และความเสียหายของดีเอ็นเอในตัวอ่อน
ซึ่งบริษัทผู้ผลิตเคลมว่าไม่ทำอันตรายในคน แต่พบว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ในสหรัฐอเมริกาก็มีเคสฟ้องร้องกันอยู่ แล้วผู้ป่วยชนะคดีด้วย ในบ้านเราเพิ่งจะตื่นตัว รณรงค์ห้ามใช้สารนี้เช่นกันคะ

พวกผู้อพยพที่มารับจ้างทำเกษตรกรรมในสหรัฐอเมริกา มักจะขาดความรู้และความระมัดระวังเวลาที่ใช้พวกยากำจัดแมลงศัตรูพืช คือไม่ได้ใช้พวกอุปกรณ์ป้องกันต่างๆทำให้สัมผัสกับสารเคมีโดยตรง จึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ คนกลุ่มนี้เลยมีอายุเฉลี่ยประมาณไม่เกิน 50 ปี ก็ตายจากโลกใบนี้ไปเสียแล้ว

2.Atrazine เป็นสารก่อกวนต่อมไร้ท่ออีกตัวหนึ่ง ทราบกันดีว่าทําให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมดลูก ส่งผลให้น้ําหนักทารกในครรภ์ต่ํา ความพิการของแขนขา และภาวะแทรกซ้อนของหัวใจและทางเดินปัสสาวะ

3.คลอโรไพริฟิซิส เชื่อมโยงกับผลกระทบทางระบบประสาทและความผิดปกติของพัฒนาการในเด็ก ความผิดปกติของภูมิต้านตนเองและปัญหาระบบทางเดินหายใจในผู้ใหญ่

4.Heptachlor เป็นสารก่อมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับเนื้องอกในตับ ระบบทางเดินอาหารและอาการทางระบบประสาท เช่น หงุดหงิดและเวียนศีรษะ

เกษตรกรไทยเสี่ยงป่วยด้วยพิษยาฆ่าแมลง-กำจัดศัตรูพืช ในปี 2561 พบผู้ป่วยเกือบ 1 หมื่นคน

คุณหมอแผนกอายุรกรรมในโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งในภูมิภาค เคยบอกไว้ว่า เจอเคสผู้ป่วยที่รับจ้างฉีดยาฆ่าแมลง มักจะมาด้วยอาการมีแผลพุพองบริเวณหลังลามไปจนถึงแขนและมือ(ปกติจะสะพายถังยาฆ่าแมลงไว้บนหลังเหมือนเด็กนักเรียนสะพายเป้) หายใจติดขัด  ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก การพยากรณ์โรคไม่ค่อยดี สุดท้ายมักเสียชีวิตในวัยไม่เกิน 40 ปีทุกราย 





#สารเคมีกำจัดแมลง
#องุ่นไชมัสคัส(shine muscat)
#คลอร์ไพริฟอส(Chlorpyrifos)
#ไกลโฟเสท(Glyphosate)
#สารเคมีกำจัดวัชพืช
#สารเคมีตกค้างในองุ่น
#ยาฆ่าแมลงออร์กาโนฟอสเฟต
#ดีดีที (ไดคลอโรไดฟีนิลไตรคลอโรอีเทน)
#สารกําจัดศัตรูพืช






ที่มา

คลอร์ไพริฟอส Chlorpyrifos - หาหมอ.com - HaamorHaamorhttps://haamor.com › คลอร์ไพริฟอส

คลอร์ไพริฟอส    | เครือข่ายการกำจัดศัตรูพืชและเกษตรนิเวศวิทยา ( ...Pesticide Action Network (PAN)https//www.panna. org .. resources › chlorpyrifos-facts

เกษตรกรไทย เสี่ยงป่วยด้วยพิษยาฆ่าแมลง-กำจัดศัตรูพืช ปี 61 พบ ...Hfocus.orghttps://www.hfocus.org › content › 2019/06

ดีดีทีWikipediahttps://th.wikipedia.org › wiki › ดีดีที

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ออกกำลังกายตอนเช้าหรือออกกำลังกายตอนเย็นแบบไหนดีกว่ากัน

1.พลังงานที่ใช้ตอนเช้าและตอนเย็น

ออกกำลังกายตอนเช้า หากทำช่วงที่ท้องยังว่าง โดยเฉพาะคนทำ IF และอยู่ช่วงฟาสติ้ง( fasting แปลว่า งดกิน)เพราะว่าตื่นมายังไม่ได้กินอะไรเลยจากการที่นอนมา และอดอาหารมามากกว่า 16 ชั่วโมง 

ร่างกายจะดึงไขมันที่สะสมมาช่วยให้ร่างกายมีพลังงานในการเคลื่อนไหว นั่นหมายความว่า คุณกำลังเบิร์นไขมันเก่าที่เก็บไว้อยู่ การทำแบบนี้ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานจากแหล่งสำรองได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึมให้ทำงานตลอดวัน ทำให้เผาผลาญได้ดีแม้ว่าหลังจากเลิกออกกำลังกายแล้ว

แต่ต้องย้ำว่าการออกกำลังกายชนิดที่ไม่ต้องออกแรงเยอะ เช่น
การเดิน หรือการเดินชัน(ปรับลู่วิ่ง) หรือการทำแบบ LIIT แต่ถ้าเกิดว่ายกเวทหนักๆ หรือทำแบบ HIIT อันนี้ร่างกายจะใช้พลังงานไม่ทันมักจะต้องเอากล้ามเนื้อสลายออกมาเป็นพลังงานมากกว่าการสลายไขมัน

หากต้องการออกกำลังกายในตอนเช้า โดยเฉพาะกับคนที่อยากออกกำลังกายก่อนไปทำงาน ซึ่งต้องตื่นเช้าขึ้นอีกเป็นชั่วโมง สิ่งสำคัญคือต้องนอนให้พอ ไม่อย่างนั้น จะรู้สึกอ่อนเพลียมากขึ้น ทั้งยังเสี่ยงวูบ และทำให้การออกกำลังกายไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร 

แต่ในทางกลับกัน หากเป็นตอนเย็น คุณอาจจะเพิ่งทานอาหารกลางวันหรือของว่างก่อนออกกำลังกาย ดังนั้นร่างกายจะมีพลังงานจากอาหารที่เพิ่งทานเข้ามาใหม่ ทำให้ใช้พลังงานจากแหล่งใหม่ก่อนจะไปดึงพลังงานเก่า  อันนี้ถือว่าเป็นข้อดีเพราะจะช่วยใช้พลังงานระหว่างวันที่สะสมมา ลดโอกาสที่พลังงานเหล่านั้นจะกลายเป็นไขมันสะสมอีกต่อไป

พูดง่าย ๆ คือ หากอยากเน้นการเผาผลาญไขมันเก่า การออกกำลังกายตอนเช้าอาจจะตอบโจทย์ แต่ถ้าแค่อยากเผาผลาญพลังงานจากมื้ออาหารของวันนี้ การออกกำลังกายตอนเย็นก็ดีนะ

2.ผลกระทบต่อระบบเมตาบอลิซึม

เรื่องการเผาผลาญเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ การออกกำลังกายตอนเช้าช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานต่อเนื่องตลอดวัน เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือการเติมน้ำมันเครื่องให้ร่างกาย ตอนเช้าระบบเผาผลาญจะถูกกระตุ้นให้ทำงานดีขึ้น ส่งผลให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงและมีพลังในการทำงานหรือกิจกรรมอื่น ๆ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมัน ทำให้กระบวนการนี้ทำงานได้ตลอดวัน

ส่วนการออกกำลังกายตอนเย็น แม้ว่าร่างกายจะไม่เผาผลาญตลอดวันเหมือนการออกกำลังกายตอนเช้า แต่มีข้อดีตรงที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น 

การออกกำลังกายตอนเช้าสามารถใช้ประโยชน์จากระดับคอร์ติซอลที่สูงเพื่อเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ควรออกกำลังกายแบบเบาถึงปานกลางเพื่อลดความเสี่ยงในการสลายกล้ามเนื้อและป้องกันผลกระทบด้านลบจากคอร์ติซอลที่สูงเกินไป

การเข้าใจบทบาทของคอร์ติซอลจะช่วยให้เราเลือกวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานได้อย่างดี

หลายคนบอกว่า การออกกำลังกายตอนเย็นช่วยทำให้หลับได้ลึกขึ้น เนื่องจากร่างกายได้ปลดปล่อยพลังงานที่สะสมมาในแต่ละวัน ก็เป็นการใช้พลังงานที่เหลือให้หมดก่อนจะเข้านอน ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย พร้อมกับกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญทำงานในขณะนอนหลับ

อีกหนึ่งข้อดีของการออกกำลังกายตอนเย็นคือ นอกจากช่วยผ่อนคลายร่างกาย โดยเฉพาะกับชาวออฟฟิศที่นั่งทำงานหลังขดหลังแข็งมาทั้งวัน การไปออกกำลังกายตอนเย็นช่วยให้กล้ามเนื้อได้ยืดเหยียด จะรู้สึกสบายตัวขึ้น นอกจากนั้น ฮอร์โมนเอนดอร์ฟินที่หลั่งออกมาระหว่างออกกำลังกาย ยังช่วยให้อารมณ์ดี และช่วยลดความเครียดที่สะสมมาทั้งวันได้อีกด้วย 

3.การจัดการฮอร์โมน

เรื่องฮอร์โมนเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกเวลาออกกำลังกาย โดยช่วงเช้าฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) จะอยู่ในระดับสูง ซึ่งช่วยกระตุ้นความตื่นตัวและการเผาผลาญไขมัน การออกกำลังกายในช่วงเช้าจึงช่วยจัดการกับความเครียดได้ดี ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวและพร้อมรับวันใหม่

ในขณะที่ตอนเย็น ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) จะสูงขึ้น โดยเฉพาะในคนที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ดังนั้นถ้าคุณมีเป้าหมายในการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อหรือความแข็งแรง การออกกำลังกายตอนเย็นจะช่วยส่งเสริมการทำงานของฮอร์โมนนี้ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้การสร้างกล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพมากกว่า ใครที่เน้นการสร้างกล้ามเนื้อ อาจจะเหมาะกับการออกกำลังกายช่วงเย็นมากกว่า

4.ควรเลือกประเภทการออกกำลังกาย ให้เหมาะสม

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ประเภทของการออกกำลังกายที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา ตอนเช้าอาจเหมาะกับการออกกำลังกายเบา ๆ อย่างเช่น การวิ่งเบา ๆ โยคะ หรือการออกกำลังกายที่ไม่ใช้พลังงานหนัก เพราะร่างกายยังไม่ตื่นเต็มที่ พลังงานที่ใช้จึงเป็นการกระตุ้นระบบเผาผลาญและเตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่  เพราะถ้าไปออกกำลังกายอย่างหนัก เช่น ยกเวท HITT มันคงต้องเข้าใจว่าอาจจะต้องใช้พลังงานพลังงานจากการสลายกล้ามเนื้อ เพราะว่าร่างกายต้องการพลังงานอย่างเร่งด่วน การสลายไขมันอาจจะช้ากว่าเรื่องของการใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อ

ส่วนตอนเย็น เหมาะกับการออกกำลังกายแบบหนักๆ ที่ใช้พลังงานมาก เช่น การยกเวท การคาร์ดิโอแบบเข้มข้น หรือการออกกำลังกายที่ใช้แรงและพลังงานสูง เนื่องจากร่างกายได้รับพลังงานจากมื้ออาหารมาแล้ว ทำให้มีแรงมากขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบาดเจ็บจากการที่กล้ามเนื้อยังไม่พร้อม

 5.ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีเวลาไหนที่ “ดีที่สุด” สำหรับการออกกำลังกาย มันขึ้นอยู่กับว่าคุณสะดวกตอนไหนมากกว่า หลายคนที่ต้องทำงานเช้าอาจจะสะดวกตอนเย็น หรือใครที่อยากกระตุ้นร่างกายก่อนทำงานอาจเลือกตอนเช้า ความสำเร็จของการออกกำลังกายไม่ได้ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา แต่อยู่ที่ความสม่ำเสมอและความตั้งใจ การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเราเองจะทำให้สามารถทำต่อเนื่องได้ 





ที่มา :

เพจหมอเจด

คลายสงสัย ออกกำลังกายตอนเช้า vs ตอนเย็น แบบไหนดีกว่ากัน?OfficeMatehttps://www.ofm.co.th › blog › best-time-to-workout

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2567

6 วิตามินที่ช่วยลดอาการไข้หวัดและภูมิแพ้

ลมหนาวเริ่มพัดความเย็นมาเยือนแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน ภูมิภาคที่อยู่ใกล้กับจีนจะมีมวลอากาศเย็นเคลื่อนตัวเข้ามายังภาคอีสานและภาคเหนือของไทยทุกปีแทนที่มวลอากาศร้อนเดิมที่ลอยสูงขึ้น และเคลื่อนกลับขึ้นไปทางเหนือเรื่อยๆ  กทม.ถึงไม่เคยหนาวเหมือนภาคอื่น อย่างดีแค่เย็นๆเท่านั้นเอง

อากาศอึมครึมขะมุกขะมัวไร้แสงแดดแบบนี้ เชื้อโรคทั้งหลาย เช่น แบคทีเรีย ราและไวรัสขยายพันธุ์ได้ดี ผู้คนแทบทุกช่วงอายุที่มีภูมิต้านทานต่ำมักจะเจ็บป่วยด้วยโรคไข้หวัด หอบหืด ภูมิแพ้  ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ,บี

แป้งเห็นเด็กๆป่วยจากไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง สามารถเกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ส่วนมากแล้วมักเกิดในเด็กเล็ก ๆ ที่อายุต่ำกว่า 5 ปี จนแทบล้นโรงพยาบาลรัฐเลยนะคะ

หากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพหรือปัจจัยอื่น ๆ อาจเกิดความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่
1. อาการแพ้หรือโรคหอบหืด ระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงหรือกระตุ้นโรคหอบหืดรุนแรงมากขึ้นจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

2.ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากภูมิคุ้มกันลดลงมากผิดปกติ จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และการติดเชื้อร้ายแรงมากขึ้น หรือการติดเชื้อเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายได้ โรคที่พบได้แก่ การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เป็นต้น
 
3.โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease) การทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน อาจส่งผลร้ายโดยย้อนกลับมาทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย จนทำให้เกิดภูมิแพ้ตัวเอง(โรคพุ่มพวง)

4.โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อที่ข้อต่อต่าง ๆ และโรคไทรอยด์ตาโปน ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันจู่โจมต่อมไทรอยด์

นอกจากโรคภัยไข้เจ็บที่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรงแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ได้แก่

1.พักผ่อนไม่เพียงพอ หากพักผ่อนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันสะสมไปเป็นนาน ๆ จะส่งผลให้ร่างกายมีฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้น  การมีความเครียดอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล(Cortisol) ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน เกิดความเสี่ยงต่ออาการอักเสบทั่วร่างกายและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

2.ขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ในทางกลับกัน หากไม่ออกกำลังกายจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงได้ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสร้างสารเคมีชนิดดีที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รู้สึกสดชื่น และมีภูมิต้านทานสูงขึ้น

3.รับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การรับประทานกลุ่มคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลมาก ๆ จะส่งผลเสียต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดหรืออวัยวะต่างๆ เริ่มจาก ผดผื่นคัน โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เกาต์ ฯลฯ

4.เครียดสะสม ความเครียดส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง เพราะเมื่อในร่างกายมีความเครียดสูงขึ้น ฮอร์โมนความเครียดจะไปกดภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลงจนเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

วิตามินที่ช่วยลดอาการไข้หวัดและภูมิแพ้

1.วิตามินซี ช่วยในการลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคหวัด
รวมถึงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพอีกด้วย การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การอักเสบมีส่วนสําคัญต่อกระบวนการเกิดภูมิแพ้ วิตามินซีอาจบรรเทาอาการอักเสบได้

โดยทั่วไป ไม่แนะนําให้รับประทานวิตามินที่เป็นกรดสังเคราะห์มากกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน(ยกเว้นวิตามินชนิดเอสเตอร์(Ester)ซึ่งสกัดความเป็นกรดออกไปจนหมดสิ้น)เนื่องจาก
อาจนําไปสู่ผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง ตะคริว และท้องร่วง

ปริมาณวิตามินซีที่สูง จะรบกวนการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุที่จําเป็นอื่นๆ ได้ หลายคนที่กินวิตามินซีเกิน 2000 มิลลิกรัม จะมีอาการปวดข้อบริเวณนิ้วมือ(วิตามินซีสามารถเพิ่มระดับออกซาเลตของร่างกายได้ ซึ่งวิตามินซีจะเปลี่ยนเป็นออกซาเลตที่ปริมาณมากกว่า 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน )

วิตามินซีทําหน้าที่แตกต่างจากยาต้านฮีสตามีน โดยช่วยลดปริมาณ
ฮีสตามีนที่ร่างกายผลิต แทนที่จะปิดกั้นตัวรับฮีสตามีน การวิจัยชี้ให้เห็นว่า ระดับฮีสตามีนอาจลดลงประมาณ 38% หลังจากที่ร่างกายได้รับวิตามินซี 2 กรัม (2000 มิลลิกรัม)

การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่สูงขึ้นผ่าน IV(หลอดเลือดดำ)อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการรับประทาน

การศึกษาขนาดเล็ก ในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือโรคติดเชื้อจำนวน 89 คน พบว่าผู้ที่ได้รับวิตามินซี 7.5 กรัม (7500 มิลลิกรัม)
ทางหลอดเลือดดํา มีฮีสตามีนในเลือดน้อยลงประมาณ 50%

การศึกษาพบว่า ผู้ที่มีอาการแพ้ได้รับประโยชน์จากการลดฮีสตามีนมากกว่าผู้ที่มีโรคติดเชื้อ ซึ่งหากมีภาวะติดเชื้อการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวจะมีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินซี

2.โปรไบโอติก(Probiotic)
แลคติกาเซอิบาซิลลัส เดิมเรียกว่า แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส
ในโปรไบโอติกอาจช่วยคืนสมดุลให้กับระบบจุลินทรีย์ในลำไส้ได้ นับตั้งแต่โรคภูมิแพ้ไปจนถึงโรคอ้วน ความเครียดเรื้อรัง การรับประทานอาหารที่ผ่านการแปรรูป อาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ล้วนสร้างความเสียหายต่อระบบจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร

การคืนความสมดุล มีส่วนช่วยลดปฏิกิริยาตอบสนองต่ออาการแพ้ เนื่องจากแบคทีเรียที่สมดุลในลำไส้จะช่วยลดอาการอักเสบทั่วร่างกาย และปกป้องเยื่อบุลำไส้จากความเสียหายที่อาจทำให้ภูมิแพ้แย่ลงได้ แป้งคิดว่า มีผลจริงๆ เคยเจอกับตัวมาแล้ว  ซึ่งหลายคนมองข้ามจุดนี้ไป

การศึกษาหนึ่งพบว่า การดูแลลำไส้ของเด็กให้มีแบคทีเรียแลคติกาเซอิบาซิลลัสอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้และโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเมื่ออายุได้ 5 ปี ไม่มีอะไรที่ทำให้จามได้อีกแล้ว

การทบทวนการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2022 พบว่า โปรไบโอติกบรรเทาอาการแพ้อย่างมีนัยสําคัญ ช่วยปรับคุณภาพชีวิตในผู้ใหญ่และเด็กที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

มีโปรไบโอติกหลายสายพันธุ์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารเสริม แต่มีเพียงหยิบมือเดียวที่อาจช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้เพราะโปรไบโอติกจะไม่สามารถผ่านน้ำย่อยในกระเพาะอาหารยกเว้นมีเทคโนโลยีเคลือบแคปซูล มีผลทำให้อาหารเสริทราคาแพงยิ่งขึ้น อีกทางเลือกหนึ่งคือ รับประทานโปรไบโอติกจากอาหารหมักดอง เช่น โยเกิร์ต, เคเฟอร์, คอมบุชา, ผักดอง, เทมเป้, กิมจิ, มิโซะ, ขนมปังซาวโดว์ และครีมเปรี้ยว

3. เคอร์เซติน(Quercetin)
Quercetin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในพืชหลายชนิด ดูเหมือนว่าจะมีฤทธิ์ต้านอาการแพ้

งานวิจัยศึกษาแนะนําว่า Quercetin อาจปิดกั้นเส้นทางที่กระตุ้นการปล่อยฮีสตามีนเข้าสู่กระแสเลือด โดยป้องกันไม่ให้เซลล์เม็ดเลือดพิเศษที่เรียกว่า Mast cell แตกออกเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง (WBC) ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกายและปล่อยฮีสตามีน

โปรดทราบว่า เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารที่อาจแพ้ (สารก่อภูมิแพ้) จะเกิดการผลิตสารเคมีที่เรียกว่า ฮีสตามีน(Histamine)
ซึ่งฮีสตามีนทําให้เกิดอาการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ อ่านเพิ่มเติมที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0fVEDgt54bYZRmjVf5yNQYEmxU25a7tBvjmieBnEuJC6H4TrMzeErT4hVgMH6ghgAl&id=100063482893567

การศึกษาที่ดําเนินการในปี 2022 เกี่ยวข้องกับอาสาสมัคร 66 คนที่มีอาการแพ้ตามฤดูกาล ครึ่งหนึ่งได้รับอาหารเสริมเคอร์ซิติน 200 มิลลิกรัม และครึ่งหนึ่งได้รับยาหลอก มีรายงานว่า อาการคันที่ตา จาม และน้ํามูกไหลลดลง หลังจากรับประทานอาหารเสริม 4 สัปดาห์

Quercetin มีจําหน่ายเป็นอาหารเสริม สามารถพบได้ในอาหารและสมุนไพรหลายชนิด เช่น แอปเปิ้ล ชาดําและชาเขียว บรอกโคลี องุ่น
ผักชีลาว ใบยี่หร่า หัวหอม ออริกาโน พริกชี้ฟ้า แครนเบอร์รี่และบลูเบอร์รี่ ผักโขมและคะน้า เชอร์รี่ ผักกาดหอม หน่อไม้ฝรั่ง

ผลข้างเคียง ได้แก่ ปวดศีรษะหรือปวดท้อง Quercetin อาจไม่ปลอดภัยหากมีโรคไตหรือกําลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

4. Vitamin D

วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ทำหน้าที่ช่วยควบคุมการทํางานของระบบภูมิคุ้มกัน การขาดวิตามินดีเชื่อมโยงกับโรคหอบหืด ภูมิแพ้ อาการคัดจมูกและกลากเกลื้อน

การทดลองแบบสุ่มแบบ double-blind และ placebo-controlled ในปี 2019 แสดงให้เห็นว่า การทานอาหารเสริมวิตามินดีร่วมกับยาลดภูมิแพ้ช่วยให้อาการดีขึ้นในคนที่ขาดวิตามินดี

การศึกษาอื่นในปี 2019 แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนภูมิแพ้จะมีผลการรักษาที่ดีขึ้นหากมีระดับวิตามินดีที่เหมาะสม

การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (allergen immunotherapy) เป็นการรักษา โดยฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่คิดว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เข้าไปในร่างกายทีละน้อย แล้วค่อยๆเพิ่มจำนวนเพื่อให้สร้างภูมิต้านทานต่อสิ่งที่แพ้  วิธีนี้จะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการมาก ซึ่งไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา หรือไม่สามารถทนผลข้างเคียงของยาได้ หรือผู้ที่มีโรคภูมิแพ้หลายชนิดร่วมด้วย

5. Omega-3

การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง อาจช่วยลดความเสี่ยงของการแพ้รวมถึงโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ได้แก่ ปลาที่มีไขมันในน้ําเย็น เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาเฮอริ่ง และปลาซาร์ดีน ตลอดจนถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ และวอลนัท

6.Zinc(สังกะสี)

สังกะสีเป็นแร่ธาตุธรรมชาติที่พบในอาหารหลายชนิด ช่วยให้ร่างกายมีการพัฒนาและเจริญเติบโต สังกะสีอาจเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แต่ยังมีบทบาทในการรักษาบาดแผล การรับรสชาติ และการตอบสนองการแพ้

สังกะสีอาจช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากการแพ้ ผู้ที่ขาดสังกะสีมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าผู้ที่ไม่ขาดสังกะสีถึง 5 เท่า

การศึกษาหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างเกือบ 2,000 คน พบว่า ระดับสังกะสีในเลือดที่ลดลง ทําให้ระดับแอนติบอดีภูมิแพ้เพิ่มขึ้นหรือที่เรียกว่า IgE IgE ที่สูงขึ้นเชื่อมโยงกับการแพ้ตามฤดูกาลและโรคภูมิแพ้ประเภทอื่น ๆ อาจอธิบายได้ว่า ทําไมการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า การรับประทานอาหารเสริมสังกะสีสามารถช่วยลดอาการภูมิแพ้ตามฤดูกาลได้

อาหารเสริมสังกะสีในปริมาณสูง อาจทําให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องร่วง ปวดท้อง และอาเจียนภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรับประทาน สเปรย์ฉีดจมูกที่มีสังกะสีอาจทําให้สูญเสียการรับกลิ่นชั่วคราว

ผลข้างเคียงต่างๆมีแนวโน้มที่จะหายไปภายในระยะเวลาอันสั้น อาหารเสริมสังกะสีไม่ควรเกินขีดจํากัดสูงสุด 40 มก.ต่อวัน

สังกะสีเป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมที่มีแนวโน้มดีสำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ในขณะที่จําเป็นต้องมีการศึกษาขนาดใหญ่ในมนุษย์ แต่ก็มีหลักฐานสําหรับศักยภาพของสังกะสีที่ช่วยลดภูมิแพ้ การบริโภคอาหารธรรมชาติที่มีสังกะสีสูง เช่น หอยนางรม อกไก่งวง และเมล็ดฟักทอง นับเป็นวิธีที่ดีเช่นกัน

ไม่แนะนำสังกะสี(Zinc)ในคนที่มีผิวแห้งหรือผิวผสม เพราะจะมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอาการแห้งจนระคายเคืองคันผิวหน้าหรือบริเวณร่างกายคะ





ที่มา :
9 Best Natural Antihistamines for AllergiesVerywell Healthhttps://www.verywellhealth.com › natur...

Vitamin C for Allergies: Effectiveness, Uses, and PrecautionsHealthlinehttps://www.healthline.com › nutrition

Natural antihistamines: Top 8 remedies for allergiesMedicalNewsTodayhttps://www.medicalnewstoday.com › a...

Top 9 Foods and Supplements to Alleviate Allergy SymptomsFullscripthttps://fullscript.com › Blog

10 Best Supplements and Herbs for AllergiesGoodRxhttps://www.goodrx.com › ... › Allergies

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2567

สุขภาพดีเริ่มต้นที่ลำไส้

การค้นพบโพรไบโอติกเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อ Elie Metchnikoff หรือที่รู้จักกันในนาม "บิดาแห่งโพรไบโอติก" ได้สังเกตว่า ชาวชนบทในประเทศบัลแกเรียมีสุขภาพแข็งแรงแม้อยู่ในวัยชรามาก ท่ามกลางความยากจนและสภาพอากาศอันเลวร้าย เขาตั้งทฤษฎีว่าสุขภาพจะดีขึ้นและมีความชราช้าลง โดยการจัดการจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วยแบคทีเรียที่เป็นมิตรกับโฮสต์ที่พบในนมเปรี้ยว ตั้งแต่นั้นมาการวิจัยยังคงสนับสนุนการค้นพบของเขาพร้อมกับประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น

โพรไบโอติกมักถูกเรียกว่า "แบคทีเรียดี" เพราะช่วยให้ลำไส้แข็งแรง หากพูดถึงเรื่องแบคทีเรีย หลายๆคนอาจจะคิดถึงเชื้อโรคร้ายที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ แต่จริงๆ แล้วแบคทีเรียนั้นมีหลายประเภททั้งแบคทีเรียที่ก่อโรค และแบคทีเรียดีที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเรียกว่า Probiotic

Probiotic คือกลุ่มแบคทีเรียหรือยีสต์ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร และระบบอื่นๆ ของร่างกาย เมื่อมีอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบทางเดินอาหารและระบบอื่นๆ ของร่างกาย เนื่องจากจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรเหล่านี้มีส่วนช่วยในการดูดซึมสารอาหาร การป้องกันโรค และรักษาภาวะที่ผิดปกติของร่างกาย

โพรไบโอติกเป็นแบคทีเรียและยีสต์ที่มีชีวิตซึ่งให้ประโยชน์ต่อสุขภาพเมื่อบริโภคในปริมาณมาก

โปรไบโอติกที่พบบ่อยที่สุดสองชนิดในท้องตลาด ได้แก่ แบคทีเรียชนิดดีที่เรียกว่า แลคโตบาซิลลัสและบิฟิโดแบคทีเรียม

ข้อควรทราบเกี่ยวกับโปรไบโอติก(Probiotic)

1.โปรไบโอติกสามารถทําให้เกิดปัญหาหัวใจได้หรือไม่
อายุรแพทย์โรคหัวใจ มักจํากัดเฉพาะผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเท่านั้น ซึ่งร่างกายอ่อนแอมีผลต่อการติดเชื้อ

2.สามารถรับประทานวิตามินร่วมกับโปรไบโอติกได้หรือไม่
วิตามินแต่ละตัวทำงานในรูปแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงไม่มีปฏิกิริยาระหว่างวิตามินและโปรไบโอติก หมายความว่า
การเพิ่มโปรไบโอติกพร้อมวิตามินของโดยทั่วไป ไม่มีปัญหาเลย! ไม่ว่าเราจะรับประทานวิตามินซี วิตามินดี วิตามินบี หรือแม้แต่แร่ธาตุ เช่น แมกนีเซียม สังกะสี หรือธาตุเหล็ก โปรไบโอติกจะไม่รบกวนเช่นกัน

3.ยาบางชนิดที่อาจทําปฏิกิริยากับโปรไบโอติกบางชนิด ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา (เช่น clotrimazole, ketoconazole, griseofulvin, nystatin)

4.ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาก เช่น ผู้ที่ได้รับเคมีบําบัด ไม่ควรทานโปรไบโอติกเนื่องจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อ นักโภชนาการสามารถช่วยระบุโปรไบโอติกที่มีสายพันธุ์แบคทีเรียตามเงื่อนไขต่างๆ

จุลินทรีย์ที่ดีมีหลายสายพันธุ์
ซึ่งแต่ละสายพันธุ์นั้น นอกจากช่วยเรื่องฟื้นฟูสุขภาพทั่วไปและสุขภาพทางเดินอาหารเหมือนกันแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่เฉพาะตัวเช่น

1.บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กติส (Bifidobacterium lactis)ช่วยรักษาอาการผิวหนังเป็นผื่นคันจากภูมิแพ้
2.แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ (Lacticaseibacillus casei )ช่วยเรื่องท้องร่วงจากการใช้ยาปฎิชีวนะ ติดเชื้อยีสต์ในช่องคลอด ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ภูมิแพ้ต่างๆ และโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของตัวเอง
3.แลคโตบาซิลลัส แพลนทารัม (Lactobacillus plantarum )ช่วยเรื่องโรคสำไส้อักเสบ โรคลำไส้แปรปรวน และท้องร่วงในระหว่างการเดินทาง
4.แลคโตบาซิลลัส รามโนซัส (Lacticaseibacillus rhamnosus )ช่วยเรื่องท้องร่วงจากยาปฎิชีวินะ ท้องร่วงจากการติดเชื้อคลอสตริเดียมดิฟฟิไซล์

5.เมื่อใช้โปรไบโอติกครั้งแรก บางคนมีอาการท้องอืด ท้องอืด หรือท้องเสีย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลําไส้อาจส่งผลให้แบคทีเรียผลิตก๊าซมากกว่าปกติ อาจนําไปสู่อาการท้องอืดได้ อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปภายใน2-3 วัน
หรือหลายสัปดาห์ หลังจากรับประทานโปรไบโอติก

6.น้ําตาลและสารให้ความหวานเทียมไม่ดีต่อลําไส้ เนื่องจากอาจทําให้ลําไส้อิ่มตัวด้วยแบคทีเรีย 'ไม่ดี' มากขึ้น อาหารแปรรูปอาจทําให้เกิดความไม่สมดุลของแบคทีเรียและทําให้กระเพาะอาหารเกิดการทําลายแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น

7.งานวิจัยบางฉบับพบว่า มีการเชื่อมโยงโปรไบโอติกกับการติดเชื้อร้ายแรงและผลข้างเคียงอื่นๆ ซึ่งคนที่มีแนวโน้มที่จะมีปัญหามากที่สุดคือ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน ผู้ที่ได้รับการผ่าตัด และผู้ป่วยหนัก อย่าใช้โปรไบโอติกหากมีปัญหาเหล่านั้น
















ที่มา :

When Probiotics Are Bad For You - Heart to Heart Medical ...hearttoheartmedicalcenter.com › Blog
5 Possible Side Effects of Probiotics - Healthlinewww.healthline.com › nutrition › probioti...

Probiotics, Prebiotics & Synbiotics: Benefits, Definition, Side ...www.medicinenet.com › probiotics › article

Could You Benefit From a Probiotic Supplement? | Everyday ...www.everydayhealth.com › digestive-health

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

วิตามินช่วยลดอาการภูมิแพ้ได้จริงหรือ

1.วิตามินซี ช่วยในการลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคหวัด
รวมถึงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพอีกด้วย การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การอักเสบมีส่วนสําคัญต่อกระบวนการเกิดภูมิแพ้ วิตามินซีอาจบรรเทาอาการอักเสบได้

โดยทั่วไป ไม่แนะนําให้รับประทานวิตามินที่เป็นกรดสังเคราะห์มากกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน(ยกเว้นวิตามินชนิดเอสเตอร์(Ester)ซึ่งสกัดความเป็นกรดออกไปจนหมดสิ้น)เนื่องจาก
อาจนําไปสู่ผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง ตะคริว และท้องร่วง ปริมาณวิตามินซีที่สูง ยังสามารถรบกวนการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุที่จําเป็นอื่นๆ ได้

วิตามินซีทําหน้าที่แตกต่างจากยาต้านฮีสตามีน โดยช่วยลดปริมาณ
ฮีสตามีนที่ร่างกายผลิต แทนที่จะปิดกั้นตัวรับฮีสตามีน การวิจัยชี้ให้เห็นว่า ระดับฮีสตามีนอาจลดลงประมาณ 38% หลังจากที่ร่างกายได้รับวิตามินซี 2 กรัม (2000 มิลลิกรัม)

การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่สูงขึ้นผ่าน IV(หลอดเลือดดำ)อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการรับประทาน

การศึกษาขนาดเล็ก ในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือโรคติดเชื้อจำนวน 89 คน พบว่าผู้ที่ได้รับวิตามินซี 7.5 กรัม (7500 มิลลิกรัม)
ทางหลอดเลือดดํา มีฮีสตามีนในเลือดน้อยลงประมาณ 50%

การศึกษาพบว่า ผู้ที่มีอาการแพ้ได้รับประโยชน์จากการลดฮีสตามีนมากกว่าผู้ที่มีโรคติดเชื้อ ซึ่งหากมีภาวะติดเชื้อการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวจะมีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินซี

ปลายปีที่แล้ว แป้งป่วยเป็นภูมิแพ้กำเริบ มีอาการน้ำมูกไหล ไม่มีไข้ ไม่เจ็บคอ ไอ โดยจะไอแห้งๆในเวลากลางคืน(ช่วงที่อากาศเริ่มเย็น)และคันคอมากจนต้องลุกขึ้นมาไอ ทำให้สะดุ้งตื่นช่วงเช้าตรู่เวลาประมาณ 6 โมง(แป้งเปิดแอร์ 28 องศา ช่วง 6 โมงอุณหภูมิในห้องนอนจะลดต่ำลงเหลือ 25 องศา) ถือว่าเย็นมากสำหรับคนป่วย ความเย็นคือสาเหตุที่กระตุ้นภูมิแพ้ ส่งผลให้แป้งคันคอจนไอแห้ง)

บอกก่อนว่า แป้งไม่ได้ไปหาหมอและกินยาแผนปัจจุบันสักเม็ดเพราะไม่อยากได้ผลข้างเคียงของยาที่แถมมาด้วย เลยลุกมากิน Ester-c 1000 mg จำนวน 1 เม็ด แล้วนอนต่อ ต่ออาการคันคอยังคงอยู่ ตัดสินใจลุกไปกิน Ester-c 1000 mg อีก 2 เม็ด ภายใน 10-15 นาที แป้งหายคันคอเป็นปลิดทิ้ง พอตื่นขึ้นมาสดชื่นเสียจริง

ส่วนสาเหตุที่ภูมิแพ้กำเริบเพราะแป้งออกกำลังกายในฟิตเนส 2 ชม.ครึ่ง ปกติเล่นแค่ 1 ชม.พอดีเห็นว่า เป็นวันหยุดเลยเล่นเพลินจน
ร่างกายอ่อนล้า เมื่อใดที่เราไร้เรี่ยวแรง พลังชีวิตจะตก ในที่นี้จะหมายถึงระดับภูมิคุ้มกันจะต่ำลงด้วย ภูมิแพ้ถามหาสิคะ

คืนต่อมา ราวตี 5 เศษ อาการหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ยังคงอยู่ คราวนี้เด้งลุกจากเตียงไปกิน Ester-c 1000 mg จำนวน 2 เม็ดรวดเดียว อีก 15 นาทีต่อมา ไม่คันคอและไอ นอนต่อได้สบาย

คืนสุดท้าย 6 โมงกว่า แป้งคันคอแล้วจะไอเหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าอาการคันคอลดลงมาก ไม่คันคอเท่า 2 คืนแรก เริ่มไอแค่แค๊กเดียว แป้งลุกไปกิน Ester-c 2 เม็ด ไม่ถึง 10 นาที อาการคันคอหายไปสิ้นสุดความทรมาน ใช้เวลา 3 คืน หายป่วยจากภาวะหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ซะที 🎉 🎊 🎉

สาเหตุที่กินวิตามินซีเพียงเม็ดเดียวแล้วอาการกำเริบจากภูมิแพ้ยังคงอยู่ เนื่องจากวิตามินซีจะออกฤทธิ์ได้ดีและมีประสิทธิภาพในตอนที่ร่างกายเจ็บป่วยต้องมีปริมาณ( Dose)มากกว่า 2000 mg ขึ้นไป กินแค่เม็ดเดียวแทบไม่มีประโยชน์อันใดเพราะระดับฮีสตามีนลดลงน้อยมาก(เทียบจากงานวิจัย) ความเจ็บป่วยยังคงอยู่เท่าเดิม แป้งทดลองมาแล้วคะ
ปล.ช่วงที่ป่วย ไม่ได้กินวิตามินใดๆ ยกเว้น Ester-c

2.โพรไบโอติก(Probiotic)
แลคติกาเซอิบาซิลลัส เดิมเรียกว่า แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส
ในโพรไบโอติกอาจช่วยคืนสมดุลให้กับระบบจุลินทรีย์ในลำไส้ได้ นับตั้งแต่โรคภูมิแพ้ไปจนถึงโรคอ้วน ความเครียดเรื้อรัง และการรับประทานอาหารที่ผ่านการแปรรูปและมีน้ำตาลมากเกินไป ล้วนสร้างความเสียหายต่อระบบจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร

การคืนความสมดุล มีส่วนช่วยลดปฏิกิริยาตอบสนองต่ออาการแพ้ เนื่องจากแบคทีเรียที่สมดุลในลำไส้จะช่วยลดอาการอักเสบทั่วร่างกาย และปกป้องเยื่อบุลำไส้จากความเสียหายที่อาจทำให้ภูมิแพ้แย่ลงได้ แป้งคิดว่า มีผลจริงๆนะคะ ซึ่งหลายคนมองข้ามจุดนี้ไป

การศึกษาหนึ่งพบว่า การดูแลลำไส้ของเด็กให้มีแบคทีเรียแลคติกาเซอิบาซิลลัสอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้และโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเมื่ออายุได้ 5 ปี ไม่มีอะไรที่ทำให้จามได้อีกแล้ว

การทบทวนการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2022 พบว่า โปรไบโอติกบรรเทาอาการอย่างมีนัยสําคัญ ช่วยปรับคุณภาพชีวิตในผู้ใหญ่และเด็กที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

อย่างไรก็ดี  มีโปรไบโอติกหลายสายพันธุ์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารเสริม แต่มีเพียงหยิบมือเดียวที่อาจช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้ อีกทางเลือกหนึ่งคือ รับประทานโปรไบโอติกจากอาหารหมักดอง เช่น โยเกิร์ต, เคเฟอร์, คอมบุชา, ผักดอง, เทมเป้, กิมจิ, มิโซะ, ขนมปังซาวโดว์ และครีมเปรี้ยว

ความจริงแป้งทำกิมจิ แตงกวาดอง แหนมเห็ดนางฟ้ากินเอง(เพิ่งเริ่มกินตอนต้นปี)โดยกระบวนการหมักดองเพื่อให้เกิดจุลินทรีย์ชนิดดีหรือเรียกว่า โปรไอติก(probiotic)จะไม่มีการเติมน้ำส้มสายชูหรือกรดน้ำส้ม(citric acids)ในแตงกวาดองเพราะแป้งเคยมีอาการกรดไหลย้อนมาก่อน เลยไม่อยากเติมกรดสังเคราะห์ลงไปอีกคะ

แต่พอกินซ้ำๆเลยพาลจะเบื่อ เลยมองหาโปรไบโอติกจากโยเกิร์ตแทน แป้งจะเอาโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย(135 กรัม)ปั่นรวมกับน้ำใบย่านาง 300 ml+ผักกาดขาว 2 ใบ ใช้เวลาปั่นเพียง 30 วินาที(ความร้อนจากการปั่นที่กินเวลานานขึ้น จะลดคุณค่าของใบย่านางลง) ดื่มได้ทุกวันร่วม 3 เดือน ยังไม่เบื่อแต่กลับชอบมากเพราะเห็นผลชัดเจน

แป้งสังเกตว่า เมื่อก่อนเวลาเราทำกับข้าวหรือทำงานบ้านโดยไม่เปิดแอร์ สักพักเหงื่อจะท่วมตัว+หัวชื้น พอผมเปียกแล้วโดนพัดลมเพียงแค่พัดผ่าน เราจะจามฮัดเช้ยทันที อ๋อ!!ภูมิแพ้มาอีกล่ะ

ตั้งแต่กินโยเกิร์ตปั่นรวม ถึงแม้หัวแป้งจะเปียกแฉะโดนพัดลมแค่ไหน ไม่มีไอจามแต่อย่างใดแถมระบบย่อยอาหารดีขึ้นมาก โดยเฉพาะเวลากินธัญพืชท้องไม่อืดบวมเหมือนเคย เมื่อก่อนจะกินลูกเกดดำซัลตานา(ผลิตในตุรกี)ไม่ได้เลย สาเหตุคือ กระบวนการผลิตจะใส่สารซัลไฟต์เพื่อฟอกสีและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ยีสต์และแบคทีเรีย ทำให้เก็บรักษาอาหารได้นาน ซึ่งกินทีไร ท้องอืดทันตา ตอนนี้กินได้ชิลๆ ไม่ท้องอืดแต่อย่างใด

หมายเหตุ
1.แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส พบในโยเกิร์ตหลายยี่ห้อ
2.ใบย่านางและผักกาดขาวมีฤทธิ์เย็น เหมาะกับคนที่เป็นกรดไหลย้อน ช่วยปรับสมดุลร่างกายได้ดี ทั้งนี้ใบย่านางมีฤทธิ์เย็น โปรดระมัดระวังในการกินเพราะจะเกิดตะคริว มือชาได้ง่าย
3.แป้งเคยกินโปรไบโอติกที่เป็นอาหารเสริมแค่เม็ดเดียว มีอาการท้องอืดบวมอย่างหนัก เลยตัดสินใจมองหาแบบธรรมชาติดีกว่า










ที่มา :
9 Best Natural Antihistamines for AllergiesVerywell Healthhttps://www.verywellhealth.com › natur...

Vitamin C for Allergies: Effectiveness, Uses, and PrecautionsHealthlinehttps://www.healthline.com › nutrition

Natural antihistamines: Top 8 remedies for allergiesMedicalNewsTodayhttps://www.medicalnewstoday.com › a...

18 supplements for allergy relief and preventiondr. ronald hoffmanhttps://drhoffman.com › article › 18-sup...

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

โรคภูมิแพ้ที่ใครหลายคนไม่อาจเอาชนะได้

โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่พบบ่อยในคนไทยและหลายล้านคนทั่วโลกสร้างความทุกข์ทรมานไปพร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ต่ำลง ยิ่งป่วยนานวัน การอักเสบในร่างกายจะคงอยู่นานขึ้น

โรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกาย แล้วกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารนั้นมากผิดปกติ ภายหลังเมื่อได้รับสารนั้นเข้าไปอีก ภูมิคุ้มกันดังกล่าวจะกระตุ้นให้เกิดอาการ ซึ่งจะเกิดอาการเฉพาะในคนที่แพ้เท่านั้น ในคนปกติจะไม่เกิดอาการแต่อย่างใด

โรคภูมิแพ้ไม่ใช่แค่ทำให้คัดจมูก หายใจมีเสียงหวีดและจามเท่านั้น ละอองเกสรและสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ ยังสามารถทำลาย DNA ในจมูก ไซนัสและปอด ทำให้เกิดการอักเสบซึ่งส่งผลให้อาการแพ้รุนแรงขึ้นรวมถึงภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง นอกจากนี้ละอองเกสรดอกไม้ยังสามารถทำให้อาการหอบหืดกำเริบได้

การศึกษาหนึ่งของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกาพบว่า การเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินมีสาเหตุมาจากปฏิกิริยาตอบสนองต่อละอองเกสรและหญ้าอันเนื่องจากโรคหอบหืดนั้น
มีมากถึง 60,000 เคสต่อปี ส่วนประชากรไทยราว 18 ล้านคน ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ พบในเด็กมากถึง 40 % ผู้ใหญ่ 26 %

โรคภูมิแพ้ เป็นกลุ่มของโรคที่แสดงอาการได้กับหลายระบบของร่างกาย อาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคภูมิแพ้ที่เป็น ซึ่งพยาธิสภาพนั้นเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ทํางานมากเกินไป ทําให้เยื่อบุที่อวัยวะต่างๆ มีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากเกินไป ทำให้เกิดการตอบสนองที่มากผิดปกติของอวัยวะนั้นๆ เช่น

1.กรณีเป็นที่ตา เรียกว่า เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic conjunctivitis) ผู้ป่วยจะมีอาการคัน เคืองตา ตาแดง นํ้าตาไหล หนังตาบวม แสบตา

2.กรณีเป็นที่จมูก เรียกว่า โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic rhinitis) หรือโรคแพ้อากาศ ผู้ป่วยจะมีอาการจาม คันจมูก นํ้ามูกไหลออกมาทางจมูกหรือไหลลงคอ คัดจมูก คันเพดานปากหรือคอ

3.กรณีเป็นที่หลอดลม เรียกว่า โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคหอบหืด (asthma) ผู้ป่วยจะมีอาการ ไอ หอบเหนื่อย หายใจขัด แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด หายใจลําบากหรือหายใจเร็ว โดยเฉพาะเวลาตอนกลางคืน ตอนเช้ามืด หรือขณะออกกําลังกายหรือขณะเป็นไข้หวัด

4.กรณีเป็นที่ผิวหนัง เรียกว่า โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (atopic dermatitis) ผู้ป่วยจะมีอาการ คัน มีผดผื่นตามตัว ผื่นมักแห้ง แดง มีสะเก็ดบางๆ หรือมีนํ้าเหลืองแห้งกรังปกคลุมอยู่

ในเด็กเล็ก มักเป็นที่แก้ม ก้น หัวเข่าและข้อศอก ส่วนเด็กโตมักเป็นที่ข้อพับของแขนและขา ในรายที่เป็นเรื้อรัง ผิวหนังบริเวณที่เป็น จะหนาตัวขึ้นและมีสีคลํ้าขึ้น

นอกจากนั้นผิวหนังอาจเกิดการอักเสบ จากการสัมผัสกับสารบางชนิดที่แพ้ได้ เช่น ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน เครื่องสําอาง ผิวหนังอาจมีการอักเสบเป็นตุ่มนูนคันหรือใหญ่เป็นปื้นนูนแดงและคันมากที่เรียกว่า ลมพิษ ซึ่งมักจะเกิดจากการแพ้อาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล หรือ แพ้แมลงกัดต่อย หรือแพ้ยา

5.กรณีเป็นที่ระบบทางเดินอาหาร เรียกว่า โรคแพ้อาหาร (food allergy) ผู้ป่วยจะมีอาการ อาเจียน คลื่นไส้ ท้องเสีย ปากบวม ปวดท้อง ท้องอืด อาจมีอาการของระบบทางเดินหายใจ (เช่น หอบหืด, แพ้อากาศ) และผิวหนัง (เช่น ผื่นคัน, ลมพิษ) ร่วมด้วย อาหารที่เป็นสาเหตุได้บ่อย ได้แก่ นมวัว ไข่ ถั่ว อาหารทะเล ผัก และผลไม้บางชนิด ผงชูรส สารกันบูด สารแต่งกลิ่นและสี  

ภูมิแพ้ที่กล่าวมาทั้ง 5 ข้อ แป้งเป็นครบหมด ยกเว้นข้อ 3
ยิ่งข้อ 5 เนี่ย ช่วงอายุ 30-46 ปี อาการแพ้กำเริบปีละ 1-2 ครั้ง แต่ละครั้งจบที่เข้าห้องฉุกเฉิน ฉีดยา CPM+Dexamethasone เข้าเส้นเลือด พัก 1-2 ชม.แล้วกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน

4 ปีที่แล้ว แป้งดื่มน้ำฝรั่ง(เห็นพนักงานเทจากแกลลอนไม่ใช่ยี่ห้อดัง)ที่โรงแรมแค่แก้วเดียว เพียง 2 ชม.ผ่านไป ภูมิแพ้ที่ระบบทางเดินอาหารกำเริบมีอาการคันตามผิวหนัง ตาบวมท้องบวม พอไปห้องฉุกเฉิน เล่าอาการให้แพทย์ฟัง ยังจำคำพูดได้ดีว่า ’’คุณแพ้หนักขนาดนี้ ยังจะดื่มน้ำผลไม้อยู่อีกเหรอ‘‘ ตอนนั้นรู้สึกกลัวมาก พอฉีดยาสูตรเดิมเข้าเส้นเลือดเสร็จ กลับมาพักที่บ้าน ตั้งปณิธานว่า ''จะเลิกดื่มน้ำผลไม้ตลอดชีวิต''

ปัจจุบัน โรคภูมิแพ้ของแป้งอยู่ในระยะสงบ ไม่ไอจามยามค่ำคืน ดื่มน้ำผลไม้กล่องยี่ห้อทิปโก้ได้สบาย ไม่มีอาการแพ้อาหารเหมือนในอดีต อาหารที่เคยแพ้กลับกินได้หมดทุกอย่าง เคยแพ้เม็ดสีเฉดชมพูในอายชาโดว์หรือบรัชออน แป้งสามารถทาได้ไม่มีอาการคันระคายเคืองเลย ดีใจสุดๆคะ

ช่วงนี้ไวรัสที่มากับสายฝนกำลังระบาด หลายคนป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ไม่ก็โควิด พานอนซมกันเยอะมากๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย ดังคำกล่าวที่ว่า ความไม่มีโรคเป็นพรอันประเสริฐ หากไม่อยากเจ็บป่วย พยายามดูแลตัวเองให้ดี กินวิตามินต่อเนื่อง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปล่อยวาง พักผ่อนเยอะๆนะคะ

ขอบคุณมากมายที่ติดตามอ่านจนจบคะ





ที่มา :
รศ. นพ. ปารยะ   อาศนะเสนภาควิชาโสต  นาสิก  ลาริงซ์วิทยาFaculty of Medicine Siriraj Hospitalคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

Estimates of Present and Future Asthma Emergency ...AGU Publicationshttps://agupubs.onlinelibrary.wiley.com › ...

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ยาแก้แพ้กับผลข้างเคียงที่คุณอาจไม่เคยรู้

ช่วงนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน ผู้คนส่วนใหญ่ที่ร่างกายแข็งแรงมักสบายดี แต่คนที่เป็นภูมิแพ้ อาการจะกำเริบบ่อยครั้งในหน้าฝน ความเจ็บป่วยแม้เพียงเล็กน้อย สร้างความทรมานให้ร่างกายมากพอควร 

เมื่อก่อนสมัยยังสาว(ปัจจุบันแป้งก็สาวคือสาวขึ้นบันได ล้อเล่นคะ)แป้งก็มีอาการภูมิแพ้กำเริบทุกฤดูกาล พอเริ่มมีอายุมากขึ้น พบว่า วิตามินคุณภาพสูงช่วยลดการเกิดภูมิแพ้ได้จริงๆ ยิ่งออกกำลังกายร่วมด้วย จะส่งเสริมให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ไม่แพ้อีกต่อไป โบกมือลาภูมิแพ้หยอยๆได้เลยนะคะ

สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในหน้าฝน ทำให้อุณหภูมิและความชื้น ไปกระตุ้นอาการของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกเกิดการอักเสบ ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพในการกรองสิ่งแปลกปลอมในอากาศและการปรับอุณหภูมิอากาศก่อนเข้าสู่หลอดลมหรือระบบทางเดินหายใจลดลง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ตอบสนองต่อตัวกระตุ้นภูมิแพ้ได้ง่ายและมักจะพบอาการแพ้เป็นประจำ เช่น ผื่นลมพิษ คัดจมูก  น้ำมูกไหล  ไอจาม  เจ็บคอ  คันตา คันคอ ฯลฯ

สารก่อภูมิแพ้ที่เพิ่มขึ้นมากับละอองฝนและลม ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองโดยการหลั่งสารเคมีที่เรียกว่า 
ฮีสตามีน (Histamine) ออกมา ซึ่งสารตัวนี้จะไปกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้หรือหอบหืดได้ 

โปรดทราบว่า เมื่อคุณสัมผัสกับสารที่อาจแพ้ (สารก่อภูมิแพ้) ร่างกายของคุณจะผลิตสารเคมีที่เรียกว่า ฮีสตามีน(Histamine)
ซึ่งฮีสตามีนทําให้เกิดอาการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการแพ้

ย้อนอดีตเมื่อ 18 ปีที่แล้ว ตอนนั้นแป้งอายุ 32 ปี มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้จากพันธุกรรม เรียกได้ว่าป่วยตั้งแต่เกิด(รับมรดกจากแม่ ส่วนน้องชายและน้องสาวกลับไม่เป็น) ด้วยความที่พักผ่อนน้อย จึงมีอาการจาม คัดจมูก คันหู คันตา ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ได้รับยามาหลายขนาน หนึ่งในนั้นคือ เซอร์เทค(Zyrtec)ซึ่งเป็นยาแก้แพ้รุ่นใหม่ที่ไม่ทำให้ง่วง 

แป้งกิน Zyrtec 10 mg ครั้งละ 1 เม็ด ก่อนนอนในคืนแรกตอนเที่ยงคืน หลับสบายจนถึง 6 โมงเย็นของวันรุ่งขึ้น สิริรวม 18 ชม.

อันที่จริงแป้งรู้สึกตัวตื่นรอบแรกช่วงเที่ยงวัน แต่ฤทธิ์ยากดประสาทส่วนกลางให้หลับต่อ เหมือนว่าเราอยากจะลุกจากเตียงนอนแต่ลุกไม่ไหว นอนต่อไปเถอะเพราะยังไงก็เป็นวันเสาร์ แถมตื่นมารู้สึก
อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ทั้งๆที่นอนหลับสนิทตั้งนาน คุณพระคุณเจ้า!! เกิดมาไม่เคยเจอผลข้างเคียงของยาแก้แพ้ที่ส่งผลให้นอนมาราธอนแบบนี้มาก่อน เคยกิน CPM ช่วงที่แพ้อาหารต่างๆ ก็ตื่นนอนตามปกติ อีกเหตุผลที่ทำให้แป้งศึกษาและทดลองกินวิตามินอย่างจริงจังเพราะผลข้างเคียงของยา Zyrtec นี่เองคะ

เรามาดูกันว่า ยาแก้แพ้ชนิดที่ไม่ง่วงชื่อ Zyrtec ออกฤทธิ์อย่างไร

ยาเซทิริซีน (Cetirizine) ชื่อการค้าของยาคือ เซอร์เทค(Zyrtec) เป็นกลุ่มยาต้านสารฮีสตามีน (Histamine) ออกฤทธิ์ช่วยลดอาการแพ้ต่างๆ เช่น ผื่นคัน ลมพิษ ไอ จาม มีขนาด 10 มิลลิกรัมต่อเม็ด หรือชนิดน้ำ มีขนาดยา 5 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา

เซทิริซีน เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ที่มีอาการคันตา เคืองตา จาม น้ำมูกไหล และผื่นลมพิษแบบเฉียบพลัน สามารถบรรเทาอาการคันได้เร็วกว่ายาอื่นในกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากยาออกฤทธิ์เร็ว แต่ให้ผลลดอาการคัดจมูก เมารถ เมาเรือ ได้ไม่ดีเท่ากลุ่มดั้งเดิม

หลังรับประทาน Zyrtec ยาจะถูกดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารภายใน 1 ชั่วโมง และออกฤทธิ์ได้นานถึง 24 ชั่วโมง และยานี้สามารถซึมผ่านเข้าสมองได้เพียงเล็กน้อย จึงเป็นเหตุที่ยานี้ไม่ค่อยก่อให้เกิดอาการง่วงนอน(เหตุไฉนยาถึงได้ซึมผ่านสมองแป้งจนถึงขั้นนอนยาวนาน 18 ชม.แสดงว่า การดูดซึมของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน)

ร่างกายจะกำจัดยาส่วนใหญ่ออกทางปัสสาวะ บางส่วนถูกเปลี่ยนโครงสร้างที่ตับเสียก่อนและถูกขับออกไปจากร่างกาย ระดับยาในกระแสเลือดจะลดลง 50% (Half life) ภายในเวลาประมาณ 8.30 ชั่วโมง

ผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ ง่วงนอน, ปากแห้ง, ปวดหัว อ่อนเพลีย เจ็บคอ ปากแห้ง ปวดศีรษะ ใจสั่น ร้อนวูบวาบ ตาพร่ามัว ฯลฯ

มีการแชร์ในโลกออนไลน์ว่า ยาแก้แพ้มีอยู่ 2 รุ่น คือรุ่นเก่าที่กินแล้วง่วง กับรุ่นใหม่ที่กินแล้วไม่ง่วง หากเรากินยาแก้แพ้รุ่นเก่าไปนานๆ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมโดยเฉพาะผู้สูงอายุ

ดร.ภก. ดนุช ปัญจพรผล อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ให้ข้อมูลว่า "เป็นความจริง"

โดยปกติแล้ว ความจำของมนุษย์ถูกควบคุมโดยสมอง ซึ่งสมองจะมีสารสื่อประสาทหลายตัว สารสื่อประสาทที่เรียกว่า อะเซทิลโคลีน(Acetylcholine) จะทำงานเกี่ยวข้องกับความจำ หากอะเซทิลโคลีนหลั่งออกมาน้อยลง มีโอกาสที่จะมีปัญหาเรื่องความจำหรือหลงลืมได้ 

ยาแก้แพ้ ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 กลุ่มดังนี้

กลุ่มที่ 1 ยาแก้แพ้รุ่นแรก เช่น คลอเฟนิรามีน (chlorpheniramine) หรือเรียกว่า CPM,ไดเฟนไฮดรามีน (diphenhydramine) ไดเมนไฮดริเนต (dimenhydrinate)เราคุ้นเคยในชื่อ Dramamine, ไฮดรอไซซีน (hydroxyzine) บรอมเฟนิรามีน (brompheniramine) คีโตติเฟน (ketotifen) เป็นชนิดทำให้ง่วง ออกฤทธิ์กับสมองโดยตรง จึงมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อความจำ

ส่วนกลุ่มที่ 2 และ 3 เป็นยาแก้แพ้รุ่นใหม่ ต่างจากยาต้านฮีสตามีนรุ่นแรก ยาแก้แพ้ชนิดนี้เป็นตัวยาที่จะผ่านเข้าสมองได้น้อย จึงทำให้กินแล้วไม่ง่วงซึมเท่ายาแก้แพ้แบบดั้งเดิม ยาแก้แพ้ชนิดไม่ง่วงในปัจจุบัน เช่น ยาเซทิริซีน (cetirizine) เลโวเซทิริซีน (levocetirizine) เฟโซเฟนาดีน (fexofenadine) และลอราทาดีน (loratadine) 

ด้วยเหตุนี้ ยาแก้แพ้รุ่นที่สอง เช่น Zyrtec จึงมีโอกาสน้อยที่จะทําให้เกิดอาการง่วงนอนมากกว่ายาแก้แพ้รุ่นแรก เป็นกลุ่มยาที่พัฒนาแล้วว่าไม่เข้าสู่สมอง ดังนั้นจึงกระทบกับความจำน้อย กลุ่มที่เห็นรับประทานกันเยอะๆ คือ ยานอนหลับ

ดังนั้นคนที่รับประทานยานอนหลับอยู่เป็นประจำ และจำเป็นต้องกินยาแก้แพ้ร่วมด้วย ควรเลือกยาแก้แพ้ในกลุ่มที่ 2 และ 3 เพราะยาแก้แพ้ในรุ่นแรก หากรับประทานเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อความจำได้เพิ่มมากกว่าคนที่ไม่ได้บริโภค

คนปกติเมื่อมีความกังวลหรือความเครียดสะสม จะมีผลทำให้บางคราวหลงๆลืมๆได้ พอกินยากลุ่มแก้แพ้ ไม่ว่าจะแพ้อากาศ ผดผื่นคัน เมารถเมาเรือ บ่อยๆซ้ำเติมอีก โรคสมองเสื่อมอยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆนะคะ




ที่มา

Cetirizine: antihistamine that relieves allergy symptoms - NHSNHShttps://www.nhs.uk › medicines › cetirizine

Zyrtec Side Effects and Drug WarningsVerywell Healthhttps://www.verywellhealth.com › befo...

ทานยาแก้แพ้ในกลุ่มนี้ เสี่ยงโรคสมองเสื่อม!!pptvhd36.comhttps://www.pptvhd36.com › สถานีสุขภาพ › ข่าว

รู้ทัน สาเหตุโรคภูมิแพ้ในฤดูฝน - โรงพยาบาลศิครินทร์ - Sikarinโรงพยาบาลศิครินทร์https://www.sikarin.com › health › รู้ทัน-สาเหตุโรคภ...

ยาแก้แพ้ รับประทานแล้วเสี่ยงสมองเสื่อม จริงหรือ ? - รามา แชนแนลคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีhttps://www.rama.mahidol.ac.th › ramachannel › article


 

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ออกซาเลต(Oxalate)ในผักใบเขียวกับการเกิดนิ่วในไต

 
ในโลกปัจจุบัน เราจะพบว่าการบริโภคผักและผลไม้เป็นสิ่งจําเป็นสำหรับคนที่อยากมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง(ยกเว้นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง)

ผักใบเขียว ธัญพืชและพืชตระกูลถั่ว เป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพมาช้านาน อาหารส่วนใหญ่ที่มีออกซาเลต(Oxalate)นั้นดีต่อสุขภาพอย่างมาก เนื่องจากอาหารหลายชนิดเหล่านี้จัดเป็นซุปเปอร์ฟู้ด(Super food)ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ไฟเบอร์ วิตามิน
ไฟโตนิวเทรียนซ์และสารอาหารอื่นๆ ที่สำคัญต่อการทำงานของร่างกาย

คนที่มีสุขภาพดีส่วนใหญ่ สามารถบริโภคอาหารที่อุดมด้วยออกซาเลตได้โดยไม่มีปัญหา แต่ผู้ที่มีการทํางานของลําไส้แปรปรวนอาจต้องจำกัดการบริโภค

เรามาทำความรู้จักออกซาเลต(Oxalate)กันดีกว่านะคะ

ออกซาเลต(Oxalate)พบได้ในพืชเกือบทุกชนิด แต่พืชบางชนิดมีปริมาณสูงมาก ในขณะที่บางชนิดก็มีปริมาณน้อยมากเช่นกัน เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์มีปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ออกซาเลตหรือกรดออกซาลิก(Oxalic acid)เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่พบในพืชหลายชนิด รวมถึงผักใบเขียว  ผลไม้ โกโก้ ถั่ว และเมล็ดพืช

แคลเซียมออกซาเลต (Calcium Oxalate) หรือเรียกง่ายๆว่า ผลึกจิ๋วในพืช คือการรวมตัวกันระหว่างกรดออกซาลิก (Oxalic acid) กับแคลเซียม (calcium) จนกลายเป็นผลึกอนุภาคขนาดเล็กที่มีทั้งอยู่เดี่ยว ๆ และรวมกันเป็นกลุ่มภายในเนื้อเยื่อของพืช

การสร้างผลึกของพืชมาจากกลไกการควบคุมทางชีวภาพ กล่าวคือ เมื่อพืชมีปริมาณแคลเซียมในกระบวนเมตาบอลิซึม (metabolism) มากเกินไป แคลเซียมที่เกินออกมาจะถูกดึงมาเก็บไว้ในเซลล์ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือน Calcium Sink(ถังเก็บแคลเซียมสำรอง)เพื่อรอการนำไปใช้อีกครั้งเมื่อพืชต้องการ และระหว่างรอการนำไปใช้นั้น ทำให้เกิดการรวมตัวของแคลเซียมจนกลายร่างเป็น “ผลึกจิ๋วในพืช”

ออกซาเลตลดการดูดซึมแร่ธาตุได้
ออกซาเลตสามารถจับกับแร่ธาตุในลําไส้และป้องกันไม่ให้บางส่วนถูกดูดซึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับไฟเบอร์ ตัวอย่างเช่น ผักโขมมีแคลเซียมและออกซาเลตสูง ซึ่งป้องกันไม่ให้แคลเซียมจํานวนมากถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นการรับประทานไฟเบอร์และออกซาเลตร่วมกัน  จะช่วยขัดขวางการดูดซึมของสารก่อนิ่ว

ออกซาเลตอาจทําให้เกิดนิ่วในไต
โดยปกติแคลเซียมและออกซาเลตจํานวนเล็กน้อยจะมีอยู่ในทางเดินปัสสาวะ แต่ยังคงละลายและไม่ก่อให้เกิดปัญหา บางครั้งก็จับกันเป็นผลึก แต่ในบางคนผลึกจิ๋วเหล่านี้สามารถนําไปสู่การก่อตัวของนิ่วในไตได้

สารแคลเซียมออกซาเลตในผลึกพืช เป็นองค์ประกอบทางเคมีที่มีมากที่สุดในก้อนนิ่วที่เกิดในระบบทางเดินปัสสาวะ

สรุปคือ หากผักที่เรากินเข้าไปมีผลึกแคลเซียมออกซาเลตแฝงตัวอยู่ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้

ในความเป็นจริง นิ่วที่มีขนาดเล็กมักไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ แต่นิ่วที่มีขนาดใหญ่ อาจทําให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้อาเจียน และมีเลือดปนในปัสสาวะเมื่อเคลื่อนผ่านระบบทางเดินปัสสาวะ

ถึงแม้ว่าจะมีนิ่วในไตชนิดอื่น แต่ประมาณ 80% ประกอบด้วยแคลเซียมออกซาเลต ยิ่งระดับออกซาเลตสูงเท่าไร ความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไตประเภทนี้จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

นิ่วในไต เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไตทำงานผิดปกติ สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่พบมากในช่วงอายุ 30-40 ปี
เมื่ออายุ 70 ปี ผู้ชาย 1 ใน 5 คนและผู้หญิง 1 ใน 10 คนจะเป็นโรคนิ่วในไต

หากมีอาการปวดหลัง ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะบ่อยครั้ง ปวดบิดท้องรุนแรง รับประทานยาแก้ปวดก็ไม่บรรเทา ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษา เพราะหากทิ้งไว้นานอาจเกิดการติดเชื้อจนเนื้อเยื่อไตเสีย ไตเสื่อม และเกิดไตวายเรื้อรังได้
ด้วยเหตุผลนี้ ผู้ที่เป็นนิ่วในไต อาจได้รับคําแนะนําให้ลดการบริโภคอาหารที่มีออกซาเลตสูง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากครึ่งหนึ่งของออกซาเลตที่พบในปัสสาวะ ผลิตโดยร่างกายมากกว่าที่จะดูดซึมจากอาหาร(ร่างกายมนุษย์สามารถผลิตออกซาเลตได้ด้วยตัวเองหรือได้รับจากอาหาร)

สาเหตุที่ทําให้เกิดการสะสมของออกซาเลต

1.การรับประทานยาปฏิชีวนะหรือมีประวัติเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร สามารถเพิ่มระดับออกซาเลตในร่างกายได้เช่นกัน ในคนปกติ สารประกอบเหล่านี้จะถูกกําจัดในการขับถ่ายหรือปัสสาวะ

แบคทีเรียที่ดีในลําไส้จะช่วยกําจัดออกซาเลต โดยออกซาเลตบางส่วนที่เรากินมักถูกทําลายโดยแบคทีเรียชนิดดีในลําไส้ก่อนที่จะจับกับแร่ธาตุได้ เมื่อระดับของแบคทีเรียเหล่านี้ลดลง ปริมาณออกซาเลตที่สูงขึ้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จนเกิดปัญหาสุขภาพได้(อ่านมาถึงตรงนี้ โปรไบโอติกส์รับจบอีกแล้ว)

2.อาหารที่มีวิตามินซีสูง สามารถเพิ่มระดับออกซาเลตของร่างกายได้ ซึ่งวิตามินซีจะเปลี่ยนเป็นออกซาเลตที่ปริมาณมากกว่า 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่วิตามินซีชนิดเอสเตอร์(Ester-c)จะถูกสกัดความเป็นกรดออกไปจนหมดสิ้น จึงปลอดภัยกว่าวิตามินซีสังเคราะห์(Ascorbic acid)

ผลึกจิ๋วในพืชอาจมีความน่ากลัวก็จริง แต่เราสามารถลดปริมาณแคลเซียมออกซาเลตได้ดังนี้

1.การต้มผัก สามารถลดปริมาณออกซาเลตได้ 30-87% ขึ้นอยู่กับชนิดของผัก

2.ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น อย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน หากมีนิ่วในไต ให้ดื่มให้เพียงพอเพื่อผลิตปัสสาวะอย่างน้อย 2.5 ลิตรต่อวัน

3.รับประทานแคลเซียมให้เพียงพอเพราะแคลเซียมจับกับออกซาเลตในลําไส้และลดปริมาณที่ร่างกายดูดซึม ควรพยายามบริโภคอย่างน้อย 800–1,200 มก. ต่อวันเทียบเท่านมสด 3-4 แก้ว

หมายเหตุ
อาหารที่มีแคลเซียมสูงและออกซาเลตต่ํา เช่น
ชีส นม เนยแข็ง โยเกิร์ตรสธรรมชาติ(plain yogurt) ปลากระป๋องที่มีกระดูก ผักกาดฮ่องเต้(ผักกวางตุ้งไต้หวัน) บรอกโคลี

อาหารที่มีออกซาเลตสูงได้แก่ ผักโขม ผักปวยเล้ง ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง อัลมอนด์ มันฝรั่ง หัวบีท จมูกข้าวสาลี  ราสเบอรี่ ผงโกโก้ มันเทศ ถั่วลิสง ผักกาดเขียว(มักใช้ในการผลิตผักดอง เช่น ผักดองกระป๋องตรานั่นโน่นนี่ หากเอามาผัดเหมือนผักกาดขาว รสชาติไม่อร่อยเพราะมีรสขม)ผักสวิสชาร์ด(Swiss chard)เป็นพืชตระกูล
เดียวกับบีทรูท ใบชะพลู หน่อไม้ ชา ฯลฯ

ทั้งหมดทั้งมวลเราจะเห็นว่า อาหารหลายชนิดต่างมีออกซาเลต แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องหลีกเลี่ยงทุกอย่าง การรับประทานอาหารที่สมดุลด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมในแต่ละวัน รวมไปถึงการรับประทานผักให้หลากหลาย ไม่รับประทานผักซ้ำๆเพื่อลดการสะสมของผลึกจิ๋วในพืช จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายสูงสุด นำมาซึ่งการมีสุขภาพดีอย่างแท้จริง

อาจจะดูเหมือนว่า มีความยุ่งยากในการเลือกอาหารการกิน
อย่าลืมว่า ชีวิตคือการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ยังไงการป้องกันดีกว่าการรักษาอย่างแน่นอน ดีกว่าต้องใช้เวลาครึ่งวันในโรงพยาบาลเอกชนหรือทั้งวันในโรงพยาบาลรัฐเพื่อรอพบแพทย์ ซึ่งตอนนั้นความเจ็บป่วยได้เกิดขึ้นแล้วนะคะ









ที่มา :

Foods High in OxalatesWebMDhttps://www.webmd.com › ... › Reference

What Is a Low Oxalate Diet?Healthlinehttps://www.healthline.com › health

Oxalate (Oxalic Acid): Good or Bad?Healthlinehttps://www.healthline.com › nutrition

ผลึกในพืช สถานีบูรพาhttps://w

นิ่วในไต อันตราย สังเกตอาการรีบรักษา อย่านิ่งนอนใจnakornthon hospitalhttps://www.nakornthon.com › article › detail › นิ่วในไ...

นิ่วในไต (Kidney stones) อาการ ปัจจัยเสี่ยง การวินิจฉัย และ ...MedPark Hospitalhttp://www.medparkhospital.com › disease-and-treatment

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง  ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในการประคับประคองสุขภาพเป็นเวลาร่วม 10 ปี แต่เริ่มกินวิตามินเมื่อ 25 ปีที่แล้วนะคะ

เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา

เป็นทราบกันมานานแล้วว่า ยาแก้ปวด ทำกระเพาะอาหารพัง ไตวาย และรับรู้กันมากขึ้นตั้งแต่ปี 2004 จวบจนปัจจุบัน พบว่า มีผลต่อเส้นเลือดหัวใจ เส้นเลือดสมอง ทำให้เกิดการอุดตัน เกิดหัวใจวายเป็นอัมพฤกษ์ได้

ในปีนั้นเองเป็นที่ฮือฮากันทั่วโลก เมื่อยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID : NonSteroidal Anti-Inflammatory Drug) และออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงโดยยับยั้ง CycloOxygenase-2 (COX-2 Inhibitor) ที่ชื่อว่า Vioxx (Rofecoxib) ถูกพบว่าทำให้เกิดปัญหา มีคนตายจากภาวะหัวใจวายมากมาย จนทำให้บริษัทต้องถอนยาตัวนี้ออกจากท้องตลาด

ยากลุ่มนี้ที่ยังมีใช้อยู่ และที่เป็นพี่น้องกับ Vioxx แม้ว่าจะแพงขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดจากอันตรายต่อไต กระเพาะอาหาร รวมทั้งเส้นเลือด ตัวอย่างคือ Celecoxib (เช่น Celebrex) Etoricoxib (เช่น Arcoxia)

สำหรับกลุ่มยาถูกลงมาอีกหน่อย ที่เรียกว่า NSAID แบบมีฤทธิ์ไม่เจาะจง ซึ่งเป็นยาแก้ปวดอักเสบที่ใช้กันทั่วในเมืองไทย ตั้งแต่ Diclofenac (เช่น Voltaren) Ibuprofen (เช่น Brufen) Naproxen (เช่น Naprosyn) Meloxicam (เช่น Mobic) Piroxicam (เช่น Feldene) Indomethacin (เช่น Indocid) Sulindac (เช่น Clinoril) Phenylbutazone Mefenamic acid (เช่น ponstan) ซึ่งยาเหล่านี้แต่ละตัวมีหลายสิบยี่ห้อหรือหลายชื่อ แล้วแต่ว่าผลิตจากบริษัทใด

อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่มีการเตือนและการให้ความรู้เหล่านี้มาตลอด ดูท่าจะไม่มีใครสะดุ้งสะเทือน ทั้งผู้ใช้และผู้จ่ายยา เพราะพบว่าปริมาณการจำหน่ายยิ่งดุเดือดมหาศาล รวมทั้งที่เอามารวมเป็นยาชุดแก้ปวด แก้เมื่อย แก้ไมเกรน ชุดละ 3-5 เม็ด และหาซื้อได้ทั่วไป

 มีรายงานเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2017  ในวารสารหัวใจของยุโรป ตอกย้ำอันตรายของยาเหล่านี้ โดยพบว่ายาในกลุ่ม NSAID ที่ไม่มีฤทธิ์เจาะจง ทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วย จนถึงกับหยุดไปเฉยๆ โดยทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ร้อยละ 31 จากยา Ibuprofen และความเสี่ยงสูงขึ้นไปถึงร้อยละ 50 สำหรับยา Diclofenac

ก่อนหน้านี้ไม่นานในเดือนกันยายน 2016 มีรายงานลักษณะเดียวกัน ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษว่า ยาแก้ปวดมีผลเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายจากเส้นเลือดหัวใจอุดตัน และหัวใจเต้นผิดปกติเช่นกัน

Etoricoxib (อีโตริคอกซิบ)ชื่อทางการค้าคือ Acorxia เป็นยารักษาอาการปวดและอักเสบจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) ข้ออักเสบจากโรคเก๊าท์ (Gouty Arthritis) ไปจนถึงปวดประจำเดือน (Dysmenorrhoea) และอาจช่วยลดอาการปวดจากโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด (Ankylosing Spondylitis) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)

โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไซโคลออกซีจีเนส (Cyclooxygenase: COX) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งก่อให้เกิดอาการปวดและอักเสบ ส่งผลให้อาการปวดและอักเสบที่เกิดขึ้นบรรเทาลงได้

กลางปีที่แล้ว แป้งออกกำลังกายในฟิตเนสโดยเล่นเครื่อง Lat pull down แต่ห้าวเป้งใช้น้ำหนัก 30 ปอนด์(หากเล่นประจำจะไม่เกิดการบาดเจ็บที่ไหล่และหลัง แต่แป้งหยุดเล่นไปเป็น 3 อาทิตย์)วันถัดมาเจ็บไหล่ซ้ายเป็นๆหายๆ  พออายุมากขึ้น เผลอพลั้งพลาดทำอะไรนิดๆหน่อยๆ จะเจ็บกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นยาวนานเชียวคะ

ตัดสินใจกินยาคลายกล้ามเนื้อ Norgesic หลังอาหารเช้า-เย็น 2 วัน อาการไม่ทุเลา ปรึกษาเภสัชกรเลยขยับมาเป็นยา NSAID ชื่อ Acorxia มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและลดอาการปวด โดส 90 mg วันละ 1 ครั้ง(1 แผงมี 5 เม็ด)แค่วันที่ 2 อาการปวดทุเลาลง 50% ครบ 5 วัน หายปวดไหล่เป็นปลิดทิ้ง
อีก 5 วันต่อมา เผลอหิ้วของหนักน่าจะ 6-7 โล  คุณพระ!! ปวดไหล่ด้านเดิมอีกล่ะ

แป้งเริ่มกินยา acorxia ใหม่ พอวันที่ 3 ไม่ปวดไหล่ซ้ายล่ะ แต่เวลากัดขนมปังปิ้ง(อบขนมปังกินเอง)รู้สึกเจ็บเพดานปาก ยิ่งตอนที่แผ่นขนมปังที่กรอบชนด้านในขอบปาก จะเจ็บเหมือนคนเป็นร้อนใน(ชั่วชีวิตแป้งไม่เคยเป็นร้อนใน ส่วนสามีเป็นประจำ(เครียด)แต่ปัจจุบัน ไม่เป็นมาหลายปีตั้งแต่กินวิตามิน) เคี้ยวข้าวก็เจ็บไปหมด เอะใจ!!เลยไปหาข้อมูลข้างเคียงของยาตัวนี้   หนึ่งในผลข้างเคียงคือ แผลในปาก นั่นเอง

หมายเหตุ
Arcoxia ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกา

เดือนเมษายน 2007 บริษัทผู้ผลิตยา Arcoxia ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA เหตุผลที่ไม่ได้รับการอนุมัติ มีสาเหตุมาจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองและคำถามเกี่ยวกับอัตราส่วนความเสี่ยงต่อประโยชน์ที่ได้รับในผู้ป่วยที่รับประทานยา Arcoxia

แต่ทว่าบริษัท Merck(เมอร์ค)ซึ่งเป็นผู้ผลิตยายังคงทำการตลาด Arcoxia นอกสหรัฐอเมริกาต่อไป รวม 60 กว่าประเทศทั่วโลก
 และผ่านอ.ย.ในไทยเรียบร้อย

ปัจจุบันไม่ว่าจะปวดกล้ามเนื้อจากออกกำลังกายหรือยกของหนัก
แป้งจะนวดคลายกล้ามเนื้อด้วยยาทาเคาน์เตอร์เพนหรือ Ammeltz yoko yoko แค่นั้น ไม่กล้ากินยา กลัวผลข้างเคียงชะมัดยาดคะ

อีกเรื่องคือ ผลข้างเคียงจากยาลดไขมันกลุ่มสแตติน เช่น Simvastatin เพื่อนผู้หญิงแป้ง 2 คน มีค่าไขมันคอเลสเตอรอล 220-250mg/dl LDL 160 mg/dl

หมอจ่ายยา simvastatin 10 mg มาให้วันละ 1 เม็ด กินยาไปเพียง 2 สัปดาห์ เริ่มมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีตะคริวที่ท้อง ปวดน่องทั้งๆที่ไม่ได้เดินเหินมาก ปวดร้าวแขน แป้งถามกลับไปว่า ‘’กินยาลดไขมันใช่มั๊ย กรุณากลับไปพบแพทย์ แจ้งผลข้างเคียงของยา
และขอเปลี่ยนยาตัวใหม่เด้อ ‘’พอเจอหน้ากันอีกที เพื่อนบอกว่า ‘’หมอเปลี่ยนยาให้ล่ะ ไม่ปวดกล้ามเนื้อแขนและน่อง ตะคริวที่ท้องก็หายไป ‘‘

เล่าให้ฟังอีกเรื่องคือ มีรุ่นน้องอายุน่าจะ 35 ปี ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน ก่อนหน้านี้แข็งแรงดี ปีนี้น้ำหนักขึ้น 7-8 กก.ทำงานบ้านทุกอย่าง ไม่ออกกำลังกาย ชอบกินของมันของทอด อาหารรสเผ็ดจัด ไปพบแพทย์ที่คลีนิคแถวบ้าน ได้ยาลดการหลั่งกรดมาตัวหนึ่ง(ไม่ทราบชื่อยาเพราะคลีนิคมักไม่เขียนชื่อยาให้คนไข้ เกรงว่าผู้ป่วยจะไปซื้อยากินเอง หมอเป็นห่วง) อาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าพอเข้าวันที่ 3 กลับคลื่นไส้ อาเจียน กินอะไรไม่ได้เลย นอกจากข้าวต้ม นอนซมทั้งวันเพราะอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียนจนไม่มีเรี่ยวแรงลุกเดิน

ญาติหอบหิ้วพาไปหาหมอที่คลีนิคเดิม แจ้งว่า แพ้ยาตัวนี้
ซึ่งหมอจ่ายยามาแค่ตัวเดียวที่เหลือเป็น motilium ซึ่งเป็นยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยเคยกิน motilium ไม่มีผลข้างเคียงอะไร
หมอกล่าวว่า’’ไม่น่าใช่ เป็นไปไม่ได้หรอก’’ ว่าแล้วก็จ่ายยาลึกลับตัวนั้นเยอะกว่าเดิมอีกจาก 1 สัปดาห์กลายเป็น 1 เดือน อ่านถึงบรรทัดนี้ คิดว่า เราควรฝืนใจกินยาที่มีผลข้างเคียง(คลื่นไส้ อาเจียนจนไม่มีแรง)ตามแพทย์สั่ง หรือ ควรจะไปหาหมอใหม่ดีคะ

ปล.คุณหมอเจ้าของคลีนิค รับรักษาโรคทั่วไป ไม่ได้จบแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร









ที่มา :

F.D.A. Rejects Merck's New Pain MedicationThe New York Timeshttps://www.nytimes.com › 2007/04/13

เพจเฟซบุ๊ค นพ. ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา

FDA Advisory Committee Rejects Merck's ArcoxiaFDAnewshttps://www.fdanews.com › articles › 91...

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

หัวข้อ โปรไบโอติกส์(Probiotics)มีดีต่อลำไส้อย่างไร

หัวข้อ โปรไบโอติกส์(Probiotics)มีดีต่อลำไส้อย่างไร

อาหารหมักดองมีจุลินทรีย์ชนิดดีที่เรียกว่า โปรไบโอติกส์ (probiotics) ที่พบได้บ่อยคือ แบคทีเรียกรดแลกติก (lactic acid bacteria) หรือ แลกโตบาซิลลัส (lactobacillus) ความแข็งแกร่งของแบคทีเรียชนิดนี้ คือจะกินน้ำตาลเป็นอาหาร แล้วเปลี่ยนน้ำตาลในสภาวะไร้อากาศหรือออกซิเจนต่ำให้กลายเป็นกรดแลกติก เมื่อค่าพีเอชในอาหารลดลง ทำให้จุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ เติบโตต่อไปไม่ได้ นอกจากแลกโตบาซิลลัสแต่เพียงผู้เดียว

การหมักดองจึงเป็นหนึ่งในวิธีการถนอมอาหารที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยแต่ละชนชาติต่างก็มีอาหารหมักดองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีเมนูเด่นจากทั่วโลกที่อยากชวนไปทำความรู้จักด้วยกันดังนี้

1.เริ่มจากเพื่อนบ้านในทวีปเอเชียอย่างเกาหลีใต้ที่เผยแพร่ความอร่อยของผักดองเกาหลีอย่าง กิมจิ (Kimchi) จนได้รับความนิยมมากมายจากนักชิมทั่วโลก เครื่องเคียงรสเผ็ด เปรี้ยว เค็ม ที่ขาดไม่ได้ในทุกมื้ออาหารของชาวเกาหลี ทำจากพืชตระกูลผักกาดหมักกับพริก เกลือ น้ำตาล ขิง นอกจากนี้ยังได้รับยกย่องว่าเป็น 1 ใน 5 อาหารที่ดีต่อสุขภาพของโลก และมีสรรพคุณช่วยชะลอความชราอีกด้วย 

กิมจิเป็นเครื่องเคียงของอาหารเกาหลีที่ทำจากผักหมัก ซึ่งหลักๆ แล้วจะใช้ผักกาดขาวและหัวไชเท้า ปรุงรสด้วยเครื่องเทศต่างๆ ในระหว่างการหมัก แบคทีเรียกรดแลคติก รวมทั้งแลคโตบาซิลลัส จะสลายน้ำตาลในผัก ส่งผลให้อาหารมีรสเปรี้ยวและอุดมด้วยโปรไบโอติกส์

2.สำหรับแดนปลาดิบคงต้องยกให้ มิโซะ (Miso) เต้าเจี้ยวญี่ปุ่นรสชาติเค็มที่หมักจากถั่วเหลือง นิยมนำมาทำซุป และ นัตโตะ (Natto) ถั่วหมักญี่ปุ่น ทำจากถั่วเหลืองหมักเชื้อแบคทีเรีย มีกลิ่นค่อนข้างเฉพาะตัว

3.ส่วนแดนมังกรก็ไม่น้อยหน้า คอมบุชะหรือคอมบุฉะ (Kombucha) ชาหมักที่มีอยู่คู่ประเทศจีนมายาวนานกว่า 2,000 ปี ซึ่งเกิดจากการนำชาเขียวหรือชาดำไปหมักกับน้ำตาล หัวเชื้อแบคทีเรียและยีสต์กลับมาได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการกำจัดจุลินทรีย์และเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 

4.ขยับไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เทมเป้ (Tempeh) คือถั่วเหลืองหมักเมนูโปรดของชาวอินโดนีเซียและมาเลเซีย นิยมกินแทนเนื้อสัตว์ ช่วยลดไขมันและลดอาการท้องอืด

5.ข้ามมาที่แถบยุโรปกันบ้าง ซาวร์เคราต์ (Sauerkraut) หรือกะหล่ำปลีดองรสเปรี้ยว เป็นเครื่องเคียงที่ขาดไม่ได้เมื่อกินอาหารจานเนื้อและไส้กรอกของชาวเยอรมัน ไม่เพียงช่วยแก้เลี่ยน แต่ยังอุดมไปด้วยกากใยอาหารและช่วยปรับสมดุลให้ระบบย่อยอาหารอีกด้วย 

6.ส่วนชาวยุโรปตะวันออกนั้นโปรดปรานคีเฟอร์ (Kefir) นมหมักรสชาติคล้ายโยเกิร์ตแต่มีความเข้มข้นมากกว่าและมีสารอาหารสูงมากจนกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์อาหารสุขภาพของยุคนี้ 

7.ส่วนยุโรปฝั่งตะวันตกก็ไม่ยอมแพ้ ซาวร์โด (Sourdough)คือขนมปังเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ขนมปังที่มีประวัติความเป็นมาหลายพันปีใช้วิธีหมักกับยีสต์ธรรมชาติที่เรียกว่า ซาวร์โดสตาร์เตอร์ (Sourdough Starter) ซึ่งเป็นแป้งหมักที่มียีสต์และแบคทีเรียธรรมชาติ รสชาติขนมปังจะออกเปรี้ยวนิดๆ เนื้อนุ่มเหนียว เปลือกขนมปังแข็ง 

อาหารหมักดองที่ผลิตโดยอุตสาหกรรมซึ่งเน้นผลิตปริมาณมาก มีความเสี่ยงต่อการใส่สารเร่งหมัก สารปรุงรส สารกันบูด สีผสมอาหาร สารเพิ่มความเป็นกรด เช่น กรดซิตริก กรดแอซีติก และมักเป็นการหมักดองด้วยจุลินทรีย์ที่ตายแล้วเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ 

นอกจากการสร้างสมดุลระหว่างแบคทีเรียที่ดีและไม่ดีแล้ว โปรไบโอติกส์ยังให้ประโยชน์หลายประการแก่ผู้สูงอายุ ช่วยลดความถี่และระยะเวลาของอาการท้องร่วง บางสายพันธุ์สามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจได้(ทดลองในสัตว์) อีกทั้งสามารถช่วยบรรเทาอาการแพ้แลคโตส (การไม่สามารถย่อยน้ําตาลในผลิตภัณฑ์นม มีผลทำให้ท้องอืด)

นักวิจัยเน้นว่า มีผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกส์ที่ดีและไม่ได้ผลในท้องตลาด ประชาชนควรเลือกอาหารเสริมอย่างระมัดระวัง ครึ่งหนึ่งของแบรนด์ทั้งหมดที่มีในสหราชอาณาจักรไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่กล่าวอ้าง ซึ่งผลิตภัณฑ์จําเป็นต้องมีแบคทีเรียที่มีชีวิตสายพันธุ์ที่ถูกต้อง เช่น bifidobacteria หรือ lactobacilli บริษัทผู้ผลิตต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่า แต่ละผลิตภัณฑ์มีแบคทีเรีย 10 ล้านตัวขึ้นไป 
กฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปกําลังบังคับให้ผู้ผลิตเปิดเผยข้อมูลนี้

หัวหน้านักวิจัย Glenn Gibson มหาวิทยาลัย Reading สหราชอาณาจักร กล่าวว่า โปรไบโอติกส์ช่วยปกป้องผู้สูงอายุจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากแบคทีเรียที่ทําให้เกิดอาหารเป็นพิษ เช่น E.coli โดยมีผลในเชิงบวกต่อสภาพลําไส้ เช่น อาการท้องร่วง IBS และอาการท้องร่วงที่เกี่ยวข้องกับยาปฏิชีวนะ

ยาปฏิชีวนะจะมีผลทำให้ระดับของแบคทีเรียทุกสายพันธุ์ในลําไส้ลดลง ไม่ว่าใครก็ตามที่รับประทานยาปฏิชีวนะ จะได้รับประโยชน์จากการรับประทานอาหารเสริมโปรไบโอติกส์

ประโยชน์ของโพรไบโอติกส์
1.ปรับสมดุลแบคทีเรียและต่อสู้กับแบคทีเรียตัวร้ายที่รุกรานเข้ามาในลำไส้
2.ป้องกันอาการท้องเสียที่เกิดจากผลข้างเคียงของการรับประทานยาปฎิชีวนะ
3.ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
4. โปรไบโอติกส์สามารถช่วยลดความผิดปกติของระบบย่อยอาหารบางอย่างได้ เช่น โรคลําไส้อักเสบ รวมถึงอาการลําไส้ใหญ่บวมเป็นแผล
5. โปรไบโอติกส์อาจช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน

งานวิจัยที่เก่ากว่าชี้ให้เห็นว่า การรับประทานโปรไบโอติกส์ช่วยลดโอกาสและระยะเวลาของการติดเชื้อทางเดินหายใจ อย่างไรก็ตาม คุณภาพของหลักฐานอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ํา

โปรไบโอติกส์ Lactobacillus crispatus แสดงให้เห็นว่า
ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้หญิงได้ 50% 

จําเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อค้นหาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างโปรไบโอติกส์และระบบภูมิคุ้มกัน

6.เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์บุผนังที่ช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียที่ไม่ดีเข้าสู่กระแสเลือด

แป้งเคยกินอาหารเสริมโปรไบโอติกส์ที่ผลิตในอเมริกา 5 พันล้านตัวต่อแคปซูล วันรุ่งขึ้นคือ ท้องอืดบวมเชียวคะ ลองฝืนกินต่ออีก 4-5 วัน โอ๊ย!! ไม่ไหว อะไรจะอืดขนาดนั้น เลยต้องยกให้สามีกินแทน มีผลทำให้ท้องอืดเหมือนกัน เลยส่งต่อให้หลานสาว ซึ่งน้องกินได้ ไม่มีผลข้างเคียงอะไรคะ

เอาจริงๆจากที่แป้งและสามีลองกินกิมจิ(ทำเอง)ติดต่อกันเกือบทุกวันเป็นเวลา 3 เดือนต่อปี(พอกินบ่อยๆก็เบื่อหน่าย พาลไม่อยากกินเลยกลายเป็นว่า ทำกิมจิปีละครั้งก็เกินพอ)พบว่า ช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อเปรียบได้กับระบบย่อยอาหารดีขึ้น 

สังเกตจากเวลาที่สามีกินขนมปัง(ทำเอง)+หมูหยอง พออิ่มเอมเท่านั้นแหละ ท้องอืด(สาเหตุคือ ขนมปังมีกลูเต็น เมื่อรับประทานกลูเตนแล้ว ร่างกายจะเกิดการตอบสนองที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณเยื้อบุลำไส้เล็กทำให้ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่ แต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกันไป เช่น มีลมในท้องเยอะ ผายลม คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง)
ต้องเรียกหายา Motilium เพื่อช่วยลดอาการท้องอืดทุกครั้ง แต่พอกินกิมจิถ้วยเล็กๆตามเข้าไป ปรากฏว่า ท้องไม่อืด ไม่ต้องกินยา Motilium อีกต่อไปคะ

ความเห็นส่วนตัว 
การกินกิมจิไม่ช่วยเรื่องท้องผูกได้ดีเทียบเท่ากินผักสดหรือผลไม้ที่มีกากใยสูงเพราะผักสดมีกากใยเยอะแถมชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำที่แทรกอยู่ในใบผัก หากพูดถึงระบบขับถ่าย ผักสดชนะเลิศคะ












ที่มา 

ทำความรู้จักอาหารหมักดองGourmet & Cuisinehttps://www.gourmetandcuisine.com › stories › detail

8 Health Benefits of ProbioticsHealthlinehttps://www.healthline.com › nutrition

Lactic acid bacteria / แบคทีเรียผลิตกรดแล็กทิก - Food WikiFood Network Solutionhttps://www.foodnetworksolution.com › wiki › word › la...

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567

เรื่องราวของผู้ชายล้วนๆ

 
ผู้ชายทุกคนมีนาฬิกาชีวภาพสำหรับความเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันเดือนปี เข็มนาทีที่เคลื่อนไปอย่างช้าๆในแต่ละชั่วโมง จะมีการเปลี่ยนไปของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย คนที่ดูแลสุขภาพตัวเองดีอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างช้าๆและค่อยเป็นค่อยไป

ความเสื่อมแห่งวัยจะเริ่มต้นเมื่ออายุ 25-30 ปีขึ้นไป
อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดโดยเฉลี่ยของมนุษย์จะลดลงประมาณหนึ่งจังหวะต่อนาทีต่อปี และความสามารถของหัวใจในการสูบฉีดเลือดสูงสุดจะลดลง 5-10 เปอร์เซ็นต์ต่อ10 ปี นั่นเป็นสาเหตุที่หัวใจทำงานได้ดีในวัย 25 ปี โดยมีอัตราสูบฉีดเลือดได้~2.4 ลิตรต่อนาที แต่หัวใจผู้ที่อายุ 65 ปีไม่สามารถสูบฉีดเกิน 1.25 ลิตรต่อนาที และหัวใจผู้ที่อายุ 80 ปี มีอัตราการสูบฉีดเลือดเพียงประมาณ 1 ลิตรเท่านั้น

ด้วยเหตุผลนี้ ในชีวิตประจำวันของผู้ชายที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว จะมีความสามารถในการออกกำลังกายแบบแอโรบิกลดลง  บางครั้งการทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน อาจเกิดความเหนื่อยล้าและหายใจไม่ทัน แล้วคนที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ฯลฯ จะมีสภาพเป็นเช่นไร ไม่อยากจะคิดเลยนะคะ

พอเข้าสู่วัยกลางคน หลอดเลือดของผู้ชายจะเริ่มแข็งตัวและความดันโลหิตจะเริ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันการไหลเวียนเลือดจะเปลี่ยนไป โดยมีความหนืดมากขึ้นและสูบฉีดทั่วร่างกายได้ยากขึ้น แถมจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีออกซิเจนจะลดลงไปด้วย

ส่วนใหญ่เริ่มน้ำหนักเพิ่มขึ้นในช่วงวัยกลางคน โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1.4-1.8 โลต่อปี ผู้ชายจะเริ่มสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเมื่ออายุ 40 ปี ดังนั้นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจึงกลายเป็นไขมันทั้งหมด ไขมันส่วนเกินนี้ส่งผลให้คอเลสเตอรอลชนิด LDL (ไม่ดี) เพิ่มขึ้น และคอเลสเตอรอล HDL (ดี) ลดลง

เมื่ออัตราการเผาผลาญลดลง ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6 จุดต่อ 10 ปี ทำให้โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดขึ้นอย่างน่าวิตกในผู้สูงอายุ การสูญเสียกล้ามเนื้อยังคงดำเนินต่อไป ในที่สุดกล้ามเนื้อของมนุษย์จะลดลงถึง 50% ซึ่งก่อให้เกิดความอ่อนแอและความพิการในที่สุด

โรคเบาหวานมีอยู่ 4 ชนิด ประมาณ 95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus) ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะดื้อฮอร์โมนอินซูลินร่วมกับการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนลดลง ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน

ในขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจะเริ่มแข็งและตึง แม้ว่าผู้ชายจะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกบางน้อยกว่าผู้หญิง แต่จะสูญเสียแคลเซียมในกระดูกเมื่ออายุมากขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อกระดูกหัก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มวลกล้ามเนื้อและความหนาแน่นของกระดูกลดลงคือ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน(testosterone )ในเพศชายลดลง ซึ่งลดลงประมาณ 1% ต่อปี

หลังจากอายุ 40 ปี ผู้ชายส่วนใหญ่ยังคงมีระดับฮอร์โมน
เทสโทสเตอโรนตามปกติและมีความสามารถในการสืบพันธุ์ตลอดชีวิต แต่สมรรถภาพทางเพศเริ่มลดลงแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงระบบประสาทจะเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เช่น ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง การประสานงานแย่ลง ความจำเสื่อมมักจะเกิดขึ้นและนอนหลับได้น้อยกว่าวัยหนุ่ม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นกับผู้ชายที่มีสุขภาพดี แต่ในผู้ชายที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว จะเริ่มแก่ชราอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัดเจน

มีงานวิจัยศึกษาปีพ.ศ. 2509 ในโรงเรียนแพทย์ตะวันตกเฉียงใต้ของมหาวิทยาลัยเท็กซัส ผู้ชายอายุ 20 ปี มีสุขภาพดีจำนวน 5 คน ใช้เวลา 3 สัปดาห์ในวันหยุดฤดูร้อนนอนอยู่บนเตียง แต่เมื่อหนุ่มๆเหล่านั้นลุกจากเตียงหลังสิ้นสุดการทดลอง นักวิจัยพบการเปลี่ยนแปลงร้ายแรงซึ่งรวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักเร็วขึ้น ความดันโลหิตซิสโตลิกที่สูงขึ้น อัตราการสูบฉีดเลือดสูงสุดของหัวใจลดลง ไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง

ในเวลาเพียงสามสัปดาห์ เด็กอายุ 20 ปีเหล่านี้ได้พัฒนาลักษณะทางสรีรวิทยาหลายอย่างเทียบเท่าผู้ชายที่อายุประมาณ 40 ปี
โชคดีที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น แต่ให้ผู้ชายกลุ่มเดิมเข้าร่วมโปรแกรมการออกกำลังกาย 8 สัปดาห์ พบว่าการออกกำลังกายช่วยฟื้นฟูความเสื่อมที่เกิดจากการนอนบนเตียงนานๆได้

ผู้ชายอายุน้อยๆสุขภาพปกติยังมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากขนาดนี้ แล้วผู้ป่วยติดเตียงจะเป็นเช่นไร มิน่าล่ะ!!
เวลาแป้งไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่ผ่าตัดอายุ 80 กว่าปีที่รพ.เอกชนทีไร จะเห็นเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์มาสอนการกายภาพบำบัดคนไข้อยู่เสมอ

ไม่มีใครสามารถหยุดนาฬิกาชีวภาพได้ แต่มนุษย์ทุกคนสามารถเดินให้ช้าลงได้ การออกกำลังกายไม่ใช่วิถีของความเยาว์วัย แต่เป็นขุมพลังแห่งความมีชีวิตชีวา

การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถป้องกันปัญหาร้ายแรงได้ อย่าฝืนออกกำลังกายหากนอนดึกพักผ่อนน้อย มีไข้หรือเจ็บป่วย ค่อยๆ ดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยยืดอายุขัย และลดอัตราการเกิดโรคและความทุพพลภาพในวัยชรา

อย่าละเลยการฟังเสียงของร่างกาย ไม่มีใครดูแลเราได้ดีเท่าตัวเอง
อย่าคาดหวังฝากชีวิตไว้กับโรงพยาบาล(ข้อมูลจำนวนแพทย์ล่าสุด ณ เม.ย.66 รวม 68,725 คน อยู่ในกทม. 3.2 หมื่นคน ตจว.3.4 หมื่นคนต่อประชากร 66 กว่าล้านคน)ควรเรียนรู้สัญญาณเตือนของโรคหัวใจรวมถึงอาการเจ็บหน้าอกหรือความดันโลหิตสูง อาการหายใจไม่สะดวก  เหนื่อยล้าหรือเหงื่อออก ชีพจรเต้นผิดปกติ อาการวิงเวียนศีรษะ หรือแม้แต่อาหารไม่ย่อย กรดไหลย้อนที่อาการคล้ายคลึงกับโรคหัวใจ รวมถึงความเจ็บปวดที่บ่งบอกถึงการอักเสบเรื้อรังซึ่งอนุมูลอิสระเป็นตัวกระตุ้นลำดับต้นๆ




ที่มา

Exercise and aging: Can you walk away from Father TimeHarvard Universityhttps://www.health.harvard.edu › exercis...

อาการเตือน โรคเบาหวานชนิดที่ 2โรงพยาบาลศิครินทร์https://www.sikarin.com › health › อาการเตือน-โรคเบาห...

วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2567

รีวิวสุขภาพย้อนหลังในปี 2566 ที่ผ่านมา

 รีวิวสุขภาพย้อนหลังในปี 2566 ที่ผ่านมา

เดือน ก.พ 66 แป้งกลับบ้านต่างจังหวัด มีเวลาว่างจึงไปนวดแผนไทยสังกัดโรงพยาบาลสกลนคร ซึ่งปกติไม่เคยนวดแบบนี้ ผลคือ เจ็บไหล่ซ้ายเรื้อรังนาน 2 เดือน กินยาคลายกล้ามเนื้อ norgesic ก็รู้สึกดีขึ้นช่วงที่กินยา พอหยุดกินก็เจ็บไหล่เหมือนเดิม กินยาอยู่ 2 วันเลยเลิกกินดีกว่าเพราะรู้สึกว่า มีผลข้างเคียงจากยาคือ ง่วงนอน ปากแห้งและตาแห้ง

ยิ่งทวีความเจ็บปวดมากขึ้นเวลาที่ออกแรงขัดหม้อ+กะทะสแตนเลส ใช้วิธีนวดยาเคาน์เตอร์เพน+ทายาแอมเม็ลทซ์ โยโกะ โยโกะเป็รระยะๆ(ยาตัวนี้ผลิตในญี่ปุ่น ดีนะคะ ไม่ต้องนวด แค่กลิ้งให้น้ำยาไหลออกมาบริเวณที่รู้สึกปวด หากอาการปวดไม่มาก วันรุ่งขึ้นหายคะ)

เดือนพ.ค 66 ดูเหมือนว่า อาการปวดไหล่ซ้ายเรื้อรังจะดีขึ้น จนเกือบหายสนิท แต่เวลาที่นั่งพิงหัวเตียงราว 1 ชม.ก่อนนอนเพื่อท่องโลกอินเตอร์เน็ต จะรู้สึกตึงๆที่ไหล่ซ้ายนิดๆ ก็ทายาวนไป ตื่นเช้ามาอาการตึงหายไป สาบานว่า จะไม่เฉียดนวดแผนไทยอีกแล้ว
เคยเล่าให้เพื่อนสนิทที่ชื่นชอบออกกำลังกายเป็นทุนเดิม จนมีกล้ามแขนนิดๆเพื่อนบอกว่า เค้านวดแผนไทยเป็นประจำ รู้สึกดีเบาสบาย คลายเมื่อยล้า แต่แป้งผู้ซึ่งแทบไม่ออกกำลังกายตั้งแต่ช่วงโควิด พอมาเจอการกดกล้ามเนื้อแรงๆ เลยเกิดการบาดเจ็บเรื้อรัง

เดือนมิ.ย 66 เริ่มรู้สึกว่า เวลายืนทำกับข้าว+ล้างจาน+ล้าง
อุปกรณ์เบเกอรี่ร่วมชั่วโมง จะปวดร้าวเอวและปวดหลังมากขึ้น
ซึ่งอาการแบบนี้เป็นมาตลอด 3 ปีกว่าๆ แก้ไขโดยใส่รองเท้ากีฬาเพื่อซัพพอร์ตเท้า ซึ่งจะช่วยได้เยอะกว่าใส่รองเท้าสลิปเปอร์คะ

เดือนก.ค 66 แป้งเริ่มคิดว่า การยืนนานๆทำให้ปวดเมื่อยหลัง นี่คืออาการปกติของผู้หญิงวัย 50 ปีมั๊ยนะ ความจริงร่างกายแป้งมีพลังงานเยอะมาก สามารถทำงานบ้านติดต่อกันโดยไม่ต้องนั่งพักราว 15 นาทีทุกชั่วโมงเหมือนในอดีต แต่ทำไมยังรู้สึกปวดเมื่อยบั้นเอวอยู่

อืม!! กล้ามเนื้อเราคงไม่แข็งแรงเพราะขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ระบบการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกายจัดว่าดีเยี่ยม(ไม่เหนื่อยง่าย ซึ่งคนละเรื่องกับการปวดหลังเวลายืนท่าเดิมนานๆ)ซึ่งเป็นผลจากการกินวิตามินต่อเนื่องมาตลอด 10 ปี

เดือนส.ค 66 เริ่มเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายจริงจังเพราะอยากมีกล้ามเนื้อสะโพกและต้นขาที่แข็งแรง โดยการถีบจักรยานตามด้วยเล่นเครื่อง leg press+ Lat pull down  เล่นอยู่ 4 เดือน เปลี่ยนไปเดินลู่วิ่ง+เล่น stepper machine ได้ 3 สัปดาห์ ซึ่งเครื่องเล่นอันสุดท้ายร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจน กล่าวคือ ยืนเตรียมทำกับข้าว ทำงานครัวร่วมชม.โดยไม่ต้องใส่รองเท้ากีฬาเพื่อซัพพอร์ตเท้า ใส่แค่รองเท้าสลิปเปอร์ก็ไม่รู้สึกปวดหลังเหมือนที่ผ่านๆมา อ๊ะ!!กล้ามเนื้อขาแข็งแรงเป็นแบบนี้นี่เอง

ตอนที่เล่นฟิตเนส แป้งจะเจอน้องผู้ชายมีกล้ามนิดๆ เล่นน้ำหนักที เป็น 100 กิโล แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่า น้องมาเล่นคือ เสียงหายใจครืดคราด จุดนี้ไม่แน่ใจว่า เป็นภูมิแพ้ กรดไหลย้อนหรือเป็นผลข้างเคียงจากการดื่มเวย์

มีน้องผู้หญิงร่างบาง อายุน่าจะ 40 นิดๆ แป้งเจอทีไร จะได้ยินเสียงหายใจเหนื่อยหอบนำมาก่อน(น้องเข้าห้องฟิตเนสก่อนแป้งราว 1 ชม.) ช่วงที่เล่นเครื่อง Lat pull down เสร็จ(น้ำหนัก 20 กิโล) เสียงหอบชัดเจน ซึ่งต่างจากแป้งที่เป็นโรคโลหิตจาง+พาหะธาลัสซีเมียโดยกำเนิด เล่นเครื่องเดียวกัน น้ำหนัก 30 กิโล ไม่มีอาการเหนื่อยหอบสักนิด เรียกได้ว่าความเหนื่อยอยู่หนใด สิ่งนี้เป็นผลจากการกินวิตามินเพิ่มพลังงานก่อนออกกำลังกาย

เมื่อก่อนเวลาที่เรานั่งพับเพียบเพื่อทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น นั่งปอกเปลือกผักคะน้านั่นนี่ราวครึ่งชม.พอลุกขึ้นต้องร้องโอ๊ย!ด้วยความเจ็บปวดเพราะเหน็บชากินตลอด ยังเคยคิดว่า เราเริ่มแก่ชราแล้วจริงๆ แต่พอเล่นเครื่อง Stepper Machine level 1 เป็นเวลา 50  นาทีต่อวัน นั่งบนพื้นนานนับชั่วโมง พอลุกขึ้นยืน กลับไม่รู้สึกโอดโอยหรือเป็นเหน็บชาเลยคะ
 
การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน
นี่ดีชะมัด เพิ่งเล่นเครื่องเล่น Stepper Machine ได้เพียง 3 สัปดาห์ แต่เล่นเครื่อง Leg Press Machine น้ำหนัก 30 กิโล ครั้งละ 15 นาทีx2 นาน 4 เดือน ยังไม่ค่อยเห็นความแตกต่างอะไรเลยคะ

ปกติวันเสาร์-อาทิตย์ แป้งจะต้องนอนกลางวันมาตั้งแต่สมัยสาวๆ ไม่เคยมีสัปดาห์ไหนที่จะไม่นอนกลางวัน ตั้งแต่กินวิตามิน +ออกกำลังกาย กลายเป็นไม่ง่วงหงาวหาวนอนอีกต่อไป เปลี่ยนเวลานอนกลางวันมาออกกำลังกายแทน ถือว่าใช้เวลาคุ้มค่าเลยทีเดียว

มัดรวมสุขภาพของแป้ง แข็งแรงขึ้นกว่าเดิมสวนทางกับอายุที่เพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้

1.ประจำเดือนยังมาเยอะในวันที่ 2 และหมดไปภายใน 7 วัน รอบประจำเดือนอยู่ที่ 21 วันคงเดิม(วงจรประจำเดือนของผู้หญิงประมาณ 21-28 วัน)
2.สายตาปกติ อ่านหนังสือ+ดูโซเซียลเน็ตเวิร์กไม่ต้องใส่แว่น
3.มีพลังงานเยอะ ไม่เหนื่อยง่าย
แป้งเคยทดลองไม่กินวิตามินสักเม็ดใน 1 วัน ผลปรากฏว่า หลังมื้ออาหารเช้า ซึ่งกินลูกเดือยต้ม 200 กรัม+น้ำนมอัลมอนด์+งาดำ(ทำเอง)ใส่อัลมอนด์สไลด์ เมื่อเวลา 30 นาทีผ่านไป แป้งรู้สึกง่วงมากๆ อยากจะล้มตัวลงนอน แต่ทำไม่ได้เพราะเพิ่งกินอิ่มใหม่ๆ พอครบ 1 ชม.นอนดีกว่า

พอกินมื้อเที่ยง เวลาผ่านไป 1 ชม.เริ่มง่วง แป้งก็นอนกลางวันอีก 1 ชม.สบายใจ คนที่ไร้พลังงานจะไม่กระฉับกระเฉง มีอาการง่วงเหงาหาวนอนแทบตลอดเวลาเป็นแบบนี้เอง

4.ผมหงอกคงเดิม ~100 เส้น  ไม่ย้อมผมแต่ใช้วิธีย้อมเฮนน่าแทน
5.กรดไหลย้อนดีขึ้นจากการออกกำลังกาย

6.ผิวกายยังคงมีความนุ่มเนียน ไม่มีจุดกระขาวบริเวณแขนขาและไม่แห้งกร้านไปตามวัยที่ล่วงเลย สิ่งนี้เป็นผลจากการกินวิตามินสม่ำเสมอ ถ้าไม่ได้กินวิตามินผิวบอกเลยว่า ผิวหน้าและผิวกายจะแห้งหยาบกร้าน(หากเราไม่ได้มีปัญหาผิวชัดเจน การกินวิตามินจะไม่เห็นความแตกต่างเท่าไหร่นัก แต่พอเกิดปัญหาเกี่ยวกับสภาพผิว การกินวิตามินคุณภาพสูง จะเห็นผลชัดเจนจนสังเกตได้)

7.ผิวหน้าจากผิวมันในอดีตกลายเป็นผิวผสม เวลาลงรองพื้นตามด้วยแป้งฝุ่น หน้าจะเนียนกริบแลดูผุดผ่อง ยกเว้นคืนไหนนอนดึกตี2-3 หน้าจะไม่เด้ง แววตาอิดโรยไม่สดใส

8.อาการภูมิแพ้ลดลงจนแทบไม่มีเลย ถึงแม้จะนอนดึกก็ตาม อันนี้เป็นผลจากการออกกำลังกาย

9.เวลาเกิดบาดแผล เช่น มีดทำครัวบาดมือไม่ลึกมาก แต่มีเลือดซึม แผลจะเริ่มสมานและหายภายใน 2-3 วัน อย่างโดนมีดบาดที่นิ้วมือตอนเย็น รุ่งเช้าแผลเริ่มปิด เวลาโดนน้ำจะไม่แสบมือ ไม่มีร่องรอยแผลเป็นหลังเกิดบาดแผลตั้งแต่เริ่มกินวิตามินเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ซึ่งก่อนหน้านั้นช่วงอายุ 20 กว่าปี หกล้มที จะมีรอยแผลเป็นเห็นชัดเจนบริเวณหัวเข่า สิ่งนี้เกิดจากการกินวิตามิน

10.ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สังเกตว่าเส้นผมที่ร่วงลงพื้น(เวลาสระผม จะมีผมร่วงราว 20 เส้น) มีขนาดเส้นเล็กและบางลง เมื่อก่อนจะปนเส้นหนาอย่างเยอะ คาดว่า เกิดจากการออกกำลังกายค่อนข้างหนักสำหรับคนที่มีภาวะโลหิตจางและพาหะธาลัสซีเมียแล้วกินโปรตีนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เส้นผมมีขนาดเล็กลง อาจจะต้องพิจารณาดื่มเวย์เพิ่มเพราะไม่สามารถกินเนื้อสัตว์วันละ 50-100 กรัมเพียงพอ

11.นอนหลับสนิทในทุกคืนที่กินอิ่มและไม่ตื่นกลางดึก แม้จะลุกมาเข้าห้องน้ำ พอหัวถึงหมอนก็หลับต่อได้สบาย แถมหลับสนิทไม่ฝันอะไรทั้งสิ้น นานๆครั้งถึงจะฝัน แต่จะจดจำความฝันไม่ได้ จำได้แค่เลือนลาง ไม่ปะติดปะต่อ ซึ่งแม่แป้งอายุ 72 ปีก็เป็นแบบนี้ แกเลยบ่นประจำว่า ไม่เคยฝันถึงเลขที่จะออกในแต่ละงวด สิ่งนี้เป็นผลจากการกินวิตามินก่อนนอน

แป้งเคยลองงดวิตามินก่อนนอน ปรากฏว่า ตื่นกลางดึกแล้วนอนต่อไม่ได้เลย ตาหลับแต่ใจไม่หลับ คุณพระ!!

12.ไม่มีโรคที่ต้องรักษาด้วยการกินยาแผนปัจจุบันแม้เพียงโรคเดียว เคยมีน้องผู้หญิงอีกคนที่เจอในฟิตเนส อายุน่าจะ 45 กว่าปี ถามแป้งว่า พี่เป็นความดันโลหิตสูงหรือเปล่า น้องบอกว่า กลุ่มแม่ๆผู้ปกครองที่อายุ 50 ปี เป็นความดันโลหิตสูงทุกคน(โรคไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูงมักมาพร้อมกับวัยหมดประจำเดือน)

ส่วนเพื่อนรุ่นเดียวกันกับแป้ง พากันเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ต้องรักษาด้วยการกินยาต่อเนื่องเรียบร้อย แต่เพื่อนหลายคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอก็ไม่เป็นโรคเหล่านี้เช่นกัน

ช่วงนี้แป้งมักได้ยินข่าวคนรู้จักเป็นมะเร็งกันเยอะขึ้น ล่าสุดน้องที่ทำงานเก่าอายุ 50 ปี เป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 1 แผนการรักษาคือ ตัดเต้านม ฉีดยามุ่งเป้าเดือนละ 1 เข็ม จำนวน 18 เข็ม ราคาเข็มละ 15,000 บาทและเคมีบำบัด 5 คอร์ส ส่วนน้องอีกคนอายุ 43 ปีเพิ่งเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม หลังพบกับความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานผ่านการรักษาโรคเป็นระยะเวลา 3 ปี

คนที่มีภูมิต้านทานสูง  จะไม่เจ็บป่วยหรือติดเชื้อง่าย  สิ่งที่เพิ่มภูมิคุ้มกันมีหลายอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดฮวบคือความเครียด สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องมีวินัยในการดูแลตัวเองนะคะ

 


14 สัญญาณเตือนว่าอาจมีปัญหาสมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหาร

• มีอาการระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หรือลำไส้แปรปรวน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและท้องผูก • มีปัญหาไมเกรนหรือนอนไม่หลับ ...

บทความยอดนิยม