วิตามินคุณภาพสูง กับการ ชะลอวัย สามารถเพิ่มความ ขาวใส และยกระดับ ภูมิต้านทาน อย่างเห็นได้ชัด ยกเว้นเจอวิตามินปลอมค่ะ
บทความที่ได้รับความนิยม
-
ความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นปัญหาใหญ่หลวงสำหรับผู้ชายหลายคน จะเริ่มมาเยือนตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป มีปัจจัยหลายอย...
-
การดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ไม่รู้จะรีบกันไปถึงไหน ยิ่งในกรุงเทพเมืองฟ้าอมรที่ได้การ...
-
hamercandysiam.lnwshop.com ลูกอมรสกาแฟผลิตในมาเลเซีย เป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายดีอันดับหนึ่งประเภทบำรุงร่างกายและเพิ่มสมรรถภาพใน...
-
ในปัจจุบันนี้ แทบทุกคนจะเป็นภูมิแพ้กันทั้งสิ้น แป้งเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นมานมนานต้ังแต่เด็กๆจนกระทั่งเริ่มเรียนม.ต้น ช่วงเช้าจะมีน้...
-
เรียนแจ้งทุกท่านเพื่อโปรดทราบ แป้งย้ายการตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ และผิวพรรณ ประจำสัปดาห์มายัง https://pangpungpond.blogspot.com/ เนื่องจาก...
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2567
ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนจบ)
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2567
ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนที่ 4)
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนที่ 3)
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนที่ 2)
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
ออกกำลังกายตอนเช้าหรือออกกำลังกายตอนเย็นแบบไหนดีกว่ากัน
วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2567
6 วิตามินที่ช่วยลดอาการไข้หวัดและภูมิแพ้
ลมหนาวเริ่มพัดความเย็นมาเยือนแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน ภูมิภาคที่อยู่ใกล้กับจีนจะมีมวลอากาศเย็นเคลื่อนตัวเข้ามายังภาคอีสานและภาคเหนือของไทยทุกปีแทนที่มวลอากาศร้อนเดิมที่ลอยสูงขึ้น และเคลื่อนกลับขึ้นไปทางเหนือเรื่อยๆ กทม.ถึงไม่เคยหนาวเหมือนภาคอื่น อย่างดีแค่เย็นๆเท่านั้นเอง
อากาศอึมครึมขะมุกขะมัวไร้แสงแดดแบบนี้ เชื้อโรคทั้งหลาย เช่น แบคทีเรีย ราและไวรัสขยายพันธุ์ได้ดี ผู้คนแทบทุกช่วงอายุที่มีภูมิต้านทานต่ำมักจะเจ็บป่วยด้วยโรคไข้หวัด หอบหืด ภูมิแพ้ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ,บี
แป้งเห็นเด็กๆป่วยจากไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง สามารถเกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ส่วนมากแล้วมักเกิดในเด็กเล็ก ๆ ที่อายุต่ำกว่า 5 ปี จนแทบล้นโรงพยาบาลรัฐเลยนะคะ
หากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพหรือปัจจัยอื่น ๆ อาจเกิดความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่
1. อาการแพ้หรือโรคหอบหืด ระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงหรือกระตุ้นโรคหอบหืดรุนแรงมากขึ้นจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
2.ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากภูมิคุ้มกันลดลงมากผิดปกติ จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และการติดเชื้อร้ายแรงมากขึ้น หรือการติดเชื้อเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายได้ โรคที่พบได้แก่ การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เป็นต้น
3.โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease) การทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน อาจส่งผลร้ายโดยย้อนกลับมาทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย จนทำให้เกิดภูมิแพ้ตัวเอง(โรคพุ่มพวง)
4.โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อที่ข้อต่อต่าง ๆ และโรคไทรอยด์ตาโปน ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันจู่โจมต่อมไทรอยด์
นอกจากโรคภัยไข้เจ็บที่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรงแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ได้แก่
1.พักผ่อนไม่เพียงพอ หากพักผ่อนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันสะสมไปเป็นนาน ๆ จะส่งผลให้ร่างกายมีฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้น การมีความเครียดอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล(Cortisol) ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน เกิดความเสี่ยงต่ออาการอักเสบทั่วร่างกายและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
2.ขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ในทางกลับกัน หากไม่ออกกำลังกายจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงได้ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสร้างสารเคมีชนิดดีที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รู้สึกสดชื่น และมีภูมิต้านทานสูงขึ้น
3.รับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การรับประทานกลุ่มคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลมาก ๆ จะส่งผลเสียต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดหรืออวัยวะต่างๆ เริ่มจาก ผดผื่นคัน โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เกาต์ ฯลฯ
4.เครียดสะสม ความเครียดส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง เพราะเมื่อในร่างกายมีความเครียดสูงขึ้น ฮอร์โมนความเครียดจะไปกดภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลงจนเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
วิตามินที่ช่วยลดอาการไข้หวัดและภูมิแพ้
1.วิตามินซี ช่วยในการลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคหวัด
รวมถึงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพอีกด้วย การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การอักเสบมีส่วนสําคัญต่อกระบวนการเกิดภูมิแพ้ วิตามินซีอาจบรรเทาอาการอักเสบได้
โดยทั่วไป ไม่แนะนําให้รับประทานวิตามินที่เป็นกรดสังเคราะห์มากกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน(ยกเว้นวิตามินชนิดเอสเตอร์(Ester)ซึ่งสกัดความเป็นกรดออกไปจนหมดสิ้น)เนื่องจาก
อาจนําไปสู่ผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง ตะคริว และท้องร่วง
ปริมาณวิตามินซีที่สูง จะรบกวนการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุที่จําเป็นอื่นๆ ได้ หลายคนที่กินวิตามินซีเกิน 2000 มิลลิกรัม จะมีอาการปวดข้อบริเวณนิ้วมือ(วิตามินซีสามารถเพิ่มระดับออกซาเลตของร่างกายได้ ซึ่งวิตามินซีจะเปลี่ยนเป็นออกซาเลตที่ปริมาณมากกว่า 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน )
วิตามินซีทําหน้าที่แตกต่างจากยาต้านฮีสตามีน โดยช่วยลดปริมาณ
ฮีสตามีนที่ร่างกายผลิต แทนที่จะปิดกั้นตัวรับฮีสตามีน การวิจัยชี้ให้เห็นว่า ระดับฮีสตามีนอาจลดลงประมาณ 38% หลังจากที่ร่างกายได้รับวิตามินซี 2 กรัม (2000 มิลลิกรัม)
การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่สูงขึ้นผ่าน IV(หลอดเลือดดำ)อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการรับประทาน
การศึกษาขนาดเล็ก ในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือโรคติดเชื้อจำนวน 89 คน พบว่าผู้ที่ได้รับวิตามินซี 7.5 กรัม (7500 มิลลิกรัม)
ทางหลอดเลือดดํา มีฮีสตามีนในเลือดน้อยลงประมาณ 50%
การศึกษาพบว่า ผู้ที่มีอาการแพ้ได้รับประโยชน์จากการลดฮีสตามีนมากกว่าผู้ที่มีโรคติดเชื้อ ซึ่งหากมีภาวะติดเชื้อการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวจะมีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินซี
2.โปรไบโอติก(Probiotic)
แลคติกาเซอิบาซิลลัส เดิมเรียกว่า แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส
ในโปรไบโอติกอาจช่วยคืนสมดุลให้กับระบบจุลินทรีย์ในลำไส้ได้ นับตั้งแต่โรคภูมิแพ้ไปจนถึงโรคอ้วน ความเครียดเรื้อรัง การรับประทานอาหารที่ผ่านการแปรรูป อาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ล้วนสร้างความเสียหายต่อระบบจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร
การคืนความสมดุล มีส่วนช่วยลดปฏิกิริยาตอบสนองต่ออาการแพ้ เนื่องจากแบคทีเรียที่สมดุลในลำไส้จะช่วยลดอาการอักเสบทั่วร่างกาย และปกป้องเยื่อบุลำไส้จากความเสียหายที่อาจทำให้ภูมิแพ้แย่ลงได้ แป้งคิดว่า มีผลจริงๆ เคยเจอกับตัวมาแล้ว ซึ่งหลายคนมองข้ามจุดนี้ไป
การศึกษาหนึ่งพบว่า การดูแลลำไส้ของเด็กให้มีแบคทีเรียแลคติกาเซอิบาซิลลัสอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้และโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเมื่ออายุได้ 5 ปี ไม่มีอะไรที่ทำให้จามได้อีกแล้ว
การทบทวนการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2022 พบว่า โปรไบโอติกบรรเทาอาการแพ้อย่างมีนัยสําคัญ ช่วยปรับคุณภาพชีวิตในผู้ใหญ่และเด็กที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
มีโปรไบโอติกหลายสายพันธุ์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารเสริม แต่มีเพียงหยิบมือเดียวที่อาจช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้เพราะโปรไบโอติกจะไม่สามารถผ่านน้ำย่อยในกระเพาะอาหารยกเว้นมีเทคโนโลยีเคลือบแคปซูล มีผลทำให้อาหารเสริทราคาแพงยิ่งขึ้น อีกทางเลือกหนึ่งคือ รับประทานโปรไบโอติกจากอาหารหมักดอง เช่น โยเกิร์ต, เคเฟอร์, คอมบุชา, ผักดอง, เทมเป้, กิมจิ, มิโซะ, ขนมปังซาวโดว์ และครีมเปรี้ยว
3. เคอร์เซติน(Quercetin)
Quercetin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในพืชหลายชนิด ดูเหมือนว่าจะมีฤทธิ์ต้านอาการแพ้
งานวิจัยศึกษาแนะนําว่า Quercetin อาจปิดกั้นเส้นทางที่กระตุ้นการปล่อยฮีสตามีนเข้าสู่กระแสเลือด โดยป้องกันไม่ให้เซลล์เม็ดเลือดพิเศษที่เรียกว่า Mast cell แตกออกเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง (WBC) ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกายและปล่อยฮีสตามีน
โปรดทราบว่า เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารที่อาจแพ้ (สารก่อภูมิแพ้) จะเกิดการผลิตสารเคมีที่เรียกว่า ฮีสตามีน(Histamine)
ซึ่งฮีสตามีนทําให้เกิดอาการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ อ่านเพิ่มเติมที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0fVEDgt54bYZRmjVf5yNQYEmxU25a7tBvjmieBnEuJC6H4TrMzeErT4hVgMH6ghgAl&id=100063482893567
การศึกษาที่ดําเนินการในปี 2022 เกี่ยวข้องกับอาสาสมัคร 66 คนที่มีอาการแพ้ตามฤดูกาล ครึ่งหนึ่งได้รับอาหารเสริมเคอร์ซิติน 200 มิลลิกรัม และครึ่งหนึ่งได้รับยาหลอก มีรายงานว่า อาการคันที่ตา จาม และน้ํามูกไหลลดลง หลังจากรับประทานอาหารเสริม 4 สัปดาห์
Quercetin มีจําหน่ายเป็นอาหารเสริม สามารถพบได้ในอาหารและสมุนไพรหลายชนิด เช่น แอปเปิ้ล ชาดําและชาเขียว บรอกโคลี องุ่น
ผักชีลาว ใบยี่หร่า หัวหอม ออริกาโน พริกชี้ฟ้า แครนเบอร์รี่และบลูเบอร์รี่ ผักโขมและคะน้า เชอร์รี่ ผักกาดหอม หน่อไม้ฝรั่ง
ผลข้างเคียง ได้แก่ ปวดศีรษะหรือปวดท้อง Quercetin อาจไม่ปลอดภัยหากมีโรคไตหรือกําลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
4. Vitamin D
วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ทำหน้าที่ช่วยควบคุมการทํางานของระบบภูมิคุ้มกัน การขาดวิตามินดีเชื่อมโยงกับโรคหอบหืด ภูมิแพ้ อาการคัดจมูกและกลากเกลื้อน
การทดลองแบบสุ่มแบบ double-blind และ placebo-controlled ในปี 2019 แสดงให้เห็นว่า การทานอาหารเสริมวิตามินดีร่วมกับยาลดภูมิแพ้ช่วยให้อาการดีขึ้นในคนที่ขาดวิตามินดี
การศึกษาอื่นในปี 2019 แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนภูมิแพ้จะมีผลการรักษาที่ดีขึ้นหากมีระดับวิตามินดีที่เหมาะสม
การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (allergen immunotherapy) เป็นการรักษา โดยฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่คิดว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เข้าไปในร่างกายทีละน้อย แล้วค่อยๆเพิ่มจำนวนเพื่อให้สร้างภูมิต้านทานต่อสิ่งที่แพ้ วิธีนี้จะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการมาก ซึ่งไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา หรือไม่สามารถทนผลข้างเคียงของยาได้ หรือผู้ที่มีโรคภูมิแพ้หลายชนิดร่วมด้วย
5. Omega-3
การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง อาจช่วยลดความเสี่ยงของการแพ้รวมถึงโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ได้แก่ ปลาที่มีไขมันในน้ําเย็น เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาเฮอริ่ง และปลาซาร์ดีน ตลอดจนถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ และวอลนัท
6.Zinc(สังกะสี)
สังกะสีเป็นแร่ธาตุธรรมชาติที่พบในอาหารหลายชนิด ช่วยให้ร่างกายมีการพัฒนาและเจริญเติบโต สังกะสีอาจเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แต่ยังมีบทบาทในการรักษาบาดแผล การรับรสชาติ และการตอบสนองการแพ้
สังกะสีอาจช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากการแพ้ ผู้ที่ขาดสังกะสีมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าผู้ที่ไม่ขาดสังกะสีถึง 5 เท่า
การศึกษาหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างเกือบ 2,000 คน พบว่า ระดับสังกะสีในเลือดที่ลดลง ทําให้ระดับแอนติบอดีภูมิแพ้เพิ่มขึ้นหรือที่เรียกว่า IgE IgE ที่สูงขึ้นเชื่อมโยงกับการแพ้ตามฤดูกาลและโรคภูมิแพ้ประเภทอื่น ๆ อาจอธิบายได้ว่า ทําไมการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า การรับประทานอาหารเสริมสังกะสีสามารถช่วยลดอาการภูมิแพ้ตามฤดูกาลได้
อาหารเสริมสังกะสีในปริมาณสูง อาจทําให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องร่วง ปวดท้อง และอาเจียนภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรับประทาน สเปรย์ฉีดจมูกที่มีสังกะสีอาจทําให้สูญเสียการรับกลิ่นชั่วคราว
ผลข้างเคียงต่างๆมีแนวโน้มที่จะหายไปภายในระยะเวลาอันสั้น อาหารเสริมสังกะสีไม่ควรเกินขีดจํากัดสูงสุด 40 มก.ต่อวัน
สังกะสีเป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมที่มีแนวโน้มดีสำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ในขณะที่จําเป็นต้องมีการศึกษาขนาดใหญ่ในมนุษย์ แต่ก็มีหลักฐานสําหรับศักยภาพของสังกะสีที่ช่วยลดภูมิแพ้ การบริโภคอาหารธรรมชาติที่มีสังกะสีสูง เช่น หอยนางรม อกไก่งวง และเมล็ดฟักทอง นับเป็นวิธีที่ดีเช่นกัน
ไม่แนะนำสังกะสี(Zinc)ในคนที่มีผิวแห้งหรือผิวผสม เพราะจะมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอาการแห้งจนระคายเคืองคันผิวหน้าหรือบริเวณร่างกายคะ
ที่มา :
9 Best Natural Antihistamines for AllergiesVerywell Healthhttps://www.verywellhealth.com › natur...
Vitamin C for Allergies: Effectiveness, Uses, and PrecautionsHealthlinehttps://www.healthline.com › nutrition
Natural antihistamines: Top 8 remedies for allergiesMedicalNewsTodayhttps://www.medicalnewstoday.com › a...
Top 9 Foods and Supplements to Alleviate Allergy SymptomsFullscripthttps://fullscript.com › Blog
10 Best Supplements and Herbs for AllergiesGoodRxhttps://www.goodrx.com › ... › Allergies
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2567
สุขภาพดีเริ่มต้นที่ลำไส้
การค้นพบโพรไบโอติกเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อ Elie Metchnikoff หรือที่รู้จักกันในนาม "บิดาแห่งโพรไบโอติก" ได้สังเกตว่า ชาวชนบทในประเทศบัลแกเรียมีสุขภาพแข็งแรงแม้อยู่ในวัยชรามาก ท่ามกลางความยากจนและสภาพอากาศอันเลวร้าย เขาตั้งทฤษฎีว่าสุขภาพจะดีขึ้นและมีความชราช้าลง โดยการจัดการจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วยแบคทีเรียที่เป็นมิตรกับโฮสต์ที่พบในนมเปรี้ยว ตั้งแต่นั้นมาการวิจัยยังคงสนับสนุนการค้นพบของเขาพร้อมกับประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น
โพรไบโอติกมักถูกเรียกว่า "แบคทีเรียดี" เพราะช่วยให้ลำไส้แข็งแรง หากพูดถึงเรื่องแบคทีเรีย หลายๆคนอาจจะคิดถึงเชื้อโรคร้ายที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ แต่จริงๆ แล้วแบคทีเรียนั้นมีหลายประเภททั้งแบคทีเรียที่ก่อโรค และแบคทีเรียดีที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเรียกว่า Probiotic
Probiotic คือกลุ่มแบคทีเรียหรือยีสต์ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร และระบบอื่นๆ ของร่างกาย เมื่อมีอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบทางเดินอาหารและระบบอื่นๆ ของร่างกาย เนื่องจากจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรเหล่านี้มีส่วนช่วยในการดูดซึมสารอาหาร การป้องกันโรค และรักษาภาวะที่ผิดปกติของร่างกาย
โพรไบโอติกเป็นแบคทีเรียและยีสต์ที่มีชีวิตซึ่งให้ประโยชน์ต่อสุขภาพเมื่อบริโภคในปริมาณมาก
โปรไบโอติกที่พบบ่อยที่สุดสองชนิดในท้องตลาด ได้แก่ แบคทีเรียชนิดดีที่เรียกว่า แลคโตบาซิลลัสและบิฟิโดแบคทีเรียม
ข้อควรทราบเกี่ยวกับโปรไบโอติก(Probiotic)
1.โปรไบโอติกสามารถทําให้เกิดปัญหาหัวใจได้หรือไม่
อายุรแพทย์โรคหัวใจ มักจํากัดเฉพาะผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเท่านั้น ซึ่งร่างกายอ่อนแอมีผลต่อการติดเชื้อ
2.สามารถรับประทานวิตามินร่วมกับโปรไบโอติกได้หรือไม่
วิตามินแต่ละตัวทำงานในรูปแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงไม่มีปฏิกิริยาระหว่างวิตามินและโปรไบโอติก หมายความว่า
การเพิ่มโปรไบโอติกพร้อมวิตามินของโดยทั่วไป ไม่มีปัญหาเลย! ไม่ว่าเราจะรับประทานวิตามินซี วิตามินดี วิตามินบี หรือแม้แต่แร่ธาตุ เช่น แมกนีเซียม สังกะสี หรือธาตุเหล็ก โปรไบโอติกจะไม่รบกวนเช่นกัน
3.ยาบางชนิดที่อาจทําปฏิกิริยากับโปรไบโอติกบางชนิด ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา (เช่น clotrimazole, ketoconazole, griseofulvin, nystatin)
4.ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาก เช่น ผู้ที่ได้รับเคมีบําบัด ไม่ควรทานโปรไบโอติกเนื่องจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อ นักโภชนาการสามารถช่วยระบุโปรไบโอติกที่มีสายพันธุ์แบคทีเรียตามเงื่อนไขต่างๆ
จุลินทรีย์ที่ดีมีหลายสายพันธุ์
ซึ่งแต่ละสายพันธุ์นั้น นอกจากช่วยเรื่องฟื้นฟูสุขภาพทั่วไปและสุขภาพทางเดินอาหารเหมือนกันแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่เฉพาะตัวเช่น
1.บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กติส (Bifidobacterium lactis)ช่วยรักษาอาการผิวหนังเป็นผื่นคันจากภูมิแพ้
2.แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ (Lacticaseibacillus casei )ช่วยเรื่องท้องร่วงจากการใช้ยาปฎิชีวนะ ติดเชื้อยีสต์ในช่องคลอด ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ภูมิแพ้ต่างๆ และโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของตัวเอง
3.แลคโตบาซิลลัส แพลนทารัม (Lactobacillus plantarum )ช่วยเรื่องโรคสำไส้อักเสบ โรคลำไส้แปรปรวน และท้องร่วงในระหว่างการเดินทาง
4.แลคโตบาซิลลัส รามโนซัส (Lacticaseibacillus rhamnosus )ช่วยเรื่องท้องร่วงจากยาปฎิชีวินะ ท้องร่วงจากการติดเชื้อคลอสตริเดียมดิฟฟิไซล์
5.เมื่อใช้โปรไบโอติกครั้งแรก บางคนมีอาการท้องอืด ท้องอืด หรือท้องเสีย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลําไส้อาจส่งผลให้แบคทีเรียผลิตก๊าซมากกว่าปกติ อาจนําไปสู่อาการท้องอืดได้ อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปภายใน2-3 วัน
หรือหลายสัปดาห์ หลังจากรับประทานโปรไบโอติก
6.น้ําตาลและสารให้ความหวานเทียมไม่ดีต่อลําไส้ เนื่องจากอาจทําให้ลําไส้อิ่มตัวด้วยแบคทีเรีย 'ไม่ดี' มากขึ้น อาหารแปรรูปอาจทําให้เกิดความไม่สมดุลของแบคทีเรียและทําให้กระเพาะอาหารเกิดการทําลายแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
7.งานวิจัยบางฉบับพบว่า มีการเชื่อมโยงโปรไบโอติกกับการติดเชื้อร้ายแรงและผลข้างเคียงอื่นๆ ซึ่งคนที่มีแนวโน้มที่จะมีปัญหามากที่สุดคือ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน ผู้ที่ได้รับการผ่าตัด และผู้ป่วยหนัก อย่าใช้โปรไบโอติกหากมีปัญหาเหล่านั้น
ที่มา :
When Probiotics Are Bad For You - Heart to Heart Medical ...hearttoheartmedicalcenter.com › Blog
5 Possible Side Effects of Probiotics - Healthlinewww.healthline.com › nutrition › probioti...
Probiotics, Prebiotics & Synbiotics: Benefits, Definition, Side ...www.medicinenet.com › probiotics › article
Could You Benefit From a Probiotic Supplement? | Everyday ...www.everydayhealth.com › digestive-health
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2567
วิตามินช่วยลดอาการภูมิแพ้ได้จริงหรือ
1.วิตามินซี ช่วยในการลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคหวัด
รวมถึงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพอีกด้วย การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การอักเสบมีส่วนสําคัญต่อกระบวนการเกิดภูมิแพ้ วิตามินซีอาจบรรเทาอาการอักเสบได้
โดยทั่วไป ไม่แนะนําให้รับประทานวิตามินที่เป็นกรดสังเคราะห์มากกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน(ยกเว้นวิตามินชนิดเอสเตอร์(Ester)ซึ่งสกัดความเป็นกรดออกไปจนหมดสิ้น)เนื่องจาก
อาจนําไปสู่ผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง ตะคริว และท้องร่วง ปริมาณวิตามินซีที่สูง ยังสามารถรบกวนการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุที่จําเป็นอื่นๆ ได้
วิตามินซีทําหน้าที่แตกต่างจากยาต้านฮีสตามีน โดยช่วยลดปริมาณ
ฮีสตามีนที่ร่างกายผลิต แทนที่จะปิดกั้นตัวรับฮีสตามีน การวิจัยชี้ให้เห็นว่า ระดับฮีสตามีนอาจลดลงประมาณ 38% หลังจากที่ร่างกายได้รับวิตามินซี 2 กรัม (2000 มิลลิกรัม)
การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่สูงขึ้นผ่าน IV(หลอดเลือดดำ)อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการรับประทาน
การศึกษาขนาดเล็ก ในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือโรคติดเชื้อจำนวน 89 คน พบว่าผู้ที่ได้รับวิตามินซี 7.5 กรัม (7500 มิลลิกรัม)
ทางหลอดเลือดดํา มีฮีสตามีนในเลือดน้อยลงประมาณ 50%
การศึกษาพบว่า ผู้ที่มีอาการแพ้ได้รับประโยชน์จากการลดฮีสตามีนมากกว่าผู้ที่มีโรคติดเชื้อ ซึ่งหากมีภาวะติดเชื้อการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวจะมีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินซี
ปลายปีที่แล้ว แป้งป่วยเป็นภูมิแพ้กำเริบ มีอาการน้ำมูกไหล ไม่มีไข้ ไม่เจ็บคอ ไอ โดยจะไอแห้งๆในเวลากลางคืน(ช่วงที่อากาศเริ่มเย็น)และคันคอมากจนต้องลุกขึ้นมาไอ ทำให้สะดุ้งตื่นช่วงเช้าตรู่เวลาประมาณ 6 โมง(แป้งเปิดแอร์ 28 องศา ช่วง 6 โมงอุณหภูมิในห้องนอนจะลดต่ำลงเหลือ 25 องศา) ถือว่าเย็นมากสำหรับคนป่วย ความเย็นคือสาเหตุที่กระตุ้นภูมิแพ้ ส่งผลให้แป้งคันคอจนไอแห้ง)
บอกก่อนว่า แป้งไม่ได้ไปหาหมอและกินยาแผนปัจจุบันสักเม็ดเพราะไม่อยากได้ผลข้างเคียงของยาที่แถมมาด้วย เลยลุกมากิน Ester-c 1000 mg จำนวน 1 เม็ด แล้วนอนต่อ ต่ออาการคันคอยังคงอยู่ ตัดสินใจลุกไปกิน Ester-c 1000 mg อีก 2 เม็ด ภายใน 10-15 นาที แป้งหายคันคอเป็นปลิดทิ้ง พอตื่นขึ้นมาสดชื่นเสียจริง
ส่วนสาเหตุที่ภูมิแพ้กำเริบเพราะแป้งออกกำลังกายในฟิตเนส 2 ชม.ครึ่ง ปกติเล่นแค่ 1 ชม.พอดีเห็นว่า เป็นวันหยุดเลยเล่นเพลินจน
ร่างกายอ่อนล้า เมื่อใดที่เราไร้เรี่ยวแรง พลังชีวิตจะตก ในที่นี้จะหมายถึงระดับภูมิคุ้มกันจะต่ำลงด้วย ภูมิแพ้ถามหาสิคะ
คืนต่อมา ราวตี 5 เศษ อาการหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ยังคงอยู่ คราวนี้เด้งลุกจากเตียงไปกิน Ester-c 1000 mg จำนวน 2 เม็ดรวดเดียว อีก 15 นาทีต่อมา ไม่คันคอและไอ นอนต่อได้สบาย
คืนสุดท้าย 6 โมงกว่า แป้งคันคอแล้วจะไอเหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าอาการคันคอลดลงมาก ไม่คันคอเท่า 2 คืนแรก เริ่มไอแค่แค๊กเดียว แป้งลุกไปกิน Ester-c 2 เม็ด ไม่ถึง 10 นาที อาการคันคอหายไปสิ้นสุดความทรมาน ใช้เวลา 3 คืน หายป่วยจากภาวะหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ซะที 🎉 🎊 🎉
สาเหตุที่กินวิตามินซีเพียงเม็ดเดียวแล้วอาการกำเริบจากภูมิแพ้ยังคงอยู่ เนื่องจากวิตามินซีจะออกฤทธิ์ได้ดีและมีประสิทธิภาพในตอนที่ร่างกายเจ็บป่วยต้องมีปริมาณ( Dose)มากกว่า 2000 mg ขึ้นไป กินแค่เม็ดเดียวแทบไม่มีประโยชน์อันใดเพราะระดับฮีสตามีนลดลงน้อยมาก(เทียบจากงานวิจัย) ความเจ็บป่วยยังคงอยู่เท่าเดิม แป้งทดลองมาแล้วคะ
ปล.ช่วงที่ป่วย ไม่ได้กินวิตามินใดๆ ยกเว้น Ester-c
2.โพรไบโอติก(Probiotic)
แลคติกาเซอิบาซิลลัส เดิมเรียกว่า แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส
ในโพรไบโอติกอาจช่วยคืนสมดุลให้กับระบบจุลินทรีย์ในลำไส้ได้ นับตั้งแต่โรคภูมิแพ้ไปจนถึงโรคอ้วน ความเครียดเรื้อรัง และการรับประทานอาหารที่ผ่านการแปรรูปและมีน้ำตาลมากเกินไป ล้วนสร้างความเสียหายต่อระบบจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร
การคืนความสมดุล มีส่วนช่วยลดปฏิกิริยาตอบสนองต่ออาการแพ้ เนื่องจากแบคทีเรียที่สมดุลในลำไส้จะช่วยลดอาการอักเสบทั่วร่างกาย และปกป้องเยื่อบุลำไส้จากความเสียหายที่อาจทำให้ภูมิแพ้แย่ลงได้ แป้งคิดว่า มีผลจริงๆนะคะ ซึ่งหลายคนมองข้ามจุดนี้ไป
การศึกษาหนึ่งพบว่า การดูแลลำไส้ของเด็กให้มีแบคทีเรียแลคติกาเซอิบาซิลลัสอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้และโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเมื่ออายุได้ 5 ปี ไม่มีอะไรที่ทำให้จามได้อีกแล้ว
การทบทวนการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2022 พบว่า โปรไบโอติกบรรเทาอาการอย่างมีนัยสําคัญ ช่วยปรับคุณภาพชีวิตในผู้ใหญ่และเด็กที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
อย่างไรก็ดี มีโปรไบโอติกหลายสายพันธุ์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารเสริม แต่มีเพียงหยิบมือเดียวที่อาจช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้ อีกทางเลือกหนึ่งคือ รับประทานโปรไบโอติกจากอาหารหมักดอง เช่น โยเกิร์ต, เคเฟอร์, คอมบุชา, ผักดอง, เทมเป้, กิมจิ, มิโซะ, ขนมปังซาวโดว์ และครีมเปรี้ยว
ความจริงแป้งทำกิมจิ แตงกวาดอง แหนมเห็ดนางฟ้ากินเอง(เพิ่งเริ่มกินตอนต้นปี)โดยกระบวนการหมักดองเพื่อให้เกิดจุลินทรีย์ชนิดดีหรือเรียกว่า โปรไอติก(probiotic)จะไม่มีการเติมน้ำส้มสายชูหรือกรดน้ำส้ม(citric acids)ในแตงกวาดองเพราะแป้งเคยมีอาการกรดไหลย้อนมาก่อน เลยไม่อยากเติมกรดสังเคราะห์ลงไปอีกคะ
แต่พอกินซ้ำๆเลยพาลจะเบื่อ เลยมองหาโปรไบโอติกจากโยเกิร์ตแทน แป้งจะเอาโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย(135 กรัม)ปั่นรวมกับน้ำใบย่านาง 300 ml+ผักกาดขาว 2 ใบ ใช้เวลาปั่นเพียง 30 วินาที(ความร้อนจากการปั่นที่กินเวลานานขึ้น จะลดคุณค่าของใบย่านางลง) ดื่มได้ทุกวันร่วม 3 เดือน ยังไม่เบื่อแต่กลับชอบมากเพราะเห็นผลชัดเจน
แป้งสังเกตว่า เมื่อก่อนเวลาเราทำกับข้าวหรือทำงานบ้านโดยไม่เปิดแอร์ สักพักเหงื่อจะท่วมตัว+หัวชื้น พอผมเปียกแล้วโดนพัดลมเพียงแค่พัดผ่าน เราจะจามฮัดเช้ยทันที อ๋อ!!ภูมิแพ้มาอีกล่ะ
ตั้งแต่กินโยเกิร์ตปั่นรวม ถึงแม้หัวแป้งจะเปียกแฉะโดนพัดลมแค่ไหน ไม่มีไอจามแต่อย่างใดแถมระบบย่อยอาหารดีขึ้นมาก โดยเฉพาะเวลากินธัญพืชท้องไม่อืดบวมเหมือนเคย เมื่อก่อนจะกินลูกเกดดำซัลตานา(ผลิตในตุรกี)ไม่ได้เลย สาเหตุคือ กระบวนการผลิตจะใส่สารซัลไฟต์เพื่อฟอกสีและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ยีสต์และแบคทีเรีย ทำให้เก็บรักษาอาหารได้นาน ซึ่งกินทีไร ท้องอืดทันตา ตอนนี้กินได้ชิลๆ ไม่ท้องอืดแต่อย่างใด
หมายเหตุ
1.แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส พบในโยเกิร์ตหลายยี่ห้อ
2.ใบย่านางและผักกาดขาวมีฤทธิ์เย็น เหมาะกับคนที่เป็นกรดไหลย้อน ช่วยปรับสมดุลร่างกายได้ดี ทั้งนี้ใบย่านางมีฤทธิ์เย็น โปรดระมัดระวังในการกินเพราะจะเกิดตะคริว มือชาได้ง่าย
3.แป้งเคยกินโปรไบโอติกที่เป็นอาหารเสริมแค่เม็ดเดียว มีอาการท้องอืดบวมอย่างหนัก เลยตัดสินใจมองหาแบบธรรมชาติดีกว่า
ที่มา :
9 Best Natural Antihistamines for AllergiesVerywell Healthhttps://www.verywellhealth.com › natur...
Vitamin C for Allergies: Effectiveness, Uses, and PrecautionsHealthlinehttps://www.healthline.com › nutrition
Natural antihistamines: Top 8 remedies for allergiesMedicalNewsTodayhttps://www.medicalnewstoday.com › a...
18 supplements for allergy relief and preventiondr. ronald hoffmanhttps://drhoffman.com › article › 18-sup...
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2567
โรคภูมิแพ้ที่ใครหลายคนไม่อาจเอาชนะได้
โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่พบบ่อยในคนไทยและหลายล้านคนทั่วโลกสร้างความทุกข์ทรมานไปพร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ต่ำลง ยิ่งป่วยนานวัน การอักเสบในร่างกายจะคงอยู่นานขึ้น
โรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกาย แล้วกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารนั้นมากผิดปกติ ภายหลังเมื่อได้รับสารนั้นเข้าไปอีก ภูมิคุ้มกันดังกล่าวจะกระตุ้นให้เกิดอาการ ซึ่งจะเกิดอาการเฉพาะในคนที่แพ้เท่านั้น ในคนปกติจะไม่เกิดอาการแต่อย่างใด
โรคภูมิแพ้ไม่ใช่แค่ทำให้คัดจมูก หายใจมีเสียงหวีดและจามเท่านั้น ละอองเกสรและสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ ยังสามารถทำลาย DNA ในจมูก ไซนัสและปอด ทำให้เกิดการอักเสบซึ่งส่งผลให้อาการแพ้รุนแรงขึ้นรวมถึงภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง นอกจากนี้ละอองเกสรดอกไม้ยังสามารถทำให้อาการหอบหืดกำเริบได้
การศึกษาหนึ่งของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกาพบว่า การเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินมีสาเหตุมาจากปฏิกิริยาตอบสนองต่อละอองเกสรและหญ้าอันเนื่องจากโรคหอบหืดนั้น
มีมากถึง 60,000 เคสต่อปี ส่วนประชากรไทยราว 18 ล้านคน ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ พบในเด็กมากถึง 40 % ผู้ใหญ่ 26 %
โรคภูมิแพ้ เป็นกลุ่มของโรคที่แสดงอาการได้กับหลายระบบของร่างกาย อาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคภูมิแพ้ที่เป็น ซึ่งพยาธิสภาพนั้นเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ทํางานมากเกินไป ทําให้เยื่อบุที่อวัยวะต่างๆ มีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากเกินไป ทำให้เกิดการตอบสนองที่มากผิดปกติของอวัยวะนั้นๆ เช่น
1.กรณีเป็นที่ตา เรียกว่า เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic conjunctivitis) ผู้ป่วยจะมีอาการคัน เคืองตา ตาแดง นํ้าตาไหล หนังตาบวม แสบตา
2.กรณีเป็นที่จมูก เรียกว่า โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic rhinitis) หรือโรคแพ้อากาศ ผู้ป่วยจะมีอาการจาม คันจมูก นํ้ามูกไหลออกมาทางจมูกหรือไหลลงคอ คัดจมูก คันเพดานปากหรือคอ
3.กรณีเป็นที่หลอดลม เรียกว่า โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคหอบหืด (asthma) ผู้ป่วยจะมีอาการ ไอ หอบเหนื่อย หายใจขัด แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด หายใจลําบากหรือหายใจเร็ว โดยเฉพาะเวลาตอนกลางคืน ตอนเช้ามืด หรือขณะออกกําลังกายหรือขณะเป็นไข้หวัด
4.กรณีเป็นที่ผิวหนัง เรียกว่า โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (atopic dermatitis) ผู้ป่วยจะมีอาการ คัน มีผดผื่นตามตัว ผื่นมักแห้ง แดง มีสะเก็ดบางๆ หรือมีนํ้าเหลืองแห้งกรังปกคลุมอยู่
ในเด็กเล็ก มักเป็นที่แก้ม ก้น หัวเข่าและข้อศอก ส่วนเด็กโตมักเป็นที่ข้อพับของแขนและขา ในรายที่เป็นเรื้อรัง ผิวหนังบริเวณที่เป็น จะหนาตัวขึ้นและมีสีคลํ้าขึ้น
นอกจากนั้นผิวหนังอาจเกิดการอักเสบ จากการสัมผัสกับสารบางชนิดที่แพ้ได้ เช่น ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน เครื่องสําอาง ผิวหนังอาจมีการอักเสบเป็นตุ่มนูนคันหรือใหญ่เป็นปื้นนูนแดงและคันมากที่เรียกว่า ลมพิษ ซึ่งมักจะเกิดจากการแพ้อาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล หรือ แพ้แมลงกัดต่อย หรือแพ้ยา
5.กรณีเป็นที่ระบบทางเดินอาหาร เรียกว่า โรคแพ้อาหาร (food allergy) ผู้ป่วยจะมีอาการ อาเจียน คลื่นไส้ ท้องเสีย ปากบวม ปวดท้อง ท้องอืด อาจมีอาการของระบบทางเดินหายใจ (เช่น หอบหืด, แพ้อากาศ) และผิวหนัง (เช่น ผื่นคัน, ลมพิษ) ร่วมด้วย อาหารที่เป็นสาเหตุได้บ่อย ได้แก่ นมวัว ไข่ ถั่ว อาหารทะเล ผัก และผลไม้บางชนิด ผงชูรส สารกันบูด สารแต่งกลิ่นและสี
ภูมิแพ้ที่กล่าวมาทั้ง 5 ข้อ แป้งเป็นครบหมด ยกเว้นข้อ 3
ยิ่งข้อ 5 เนี่ย ช่วงอายุ 30-46 ปี อาการแพ้กำเริบปีละ 1-2 ครั้ง แต่ละครั้งจบที่เข้าห้องฉุกเฉิน ฉีดยา CPM+Dexamethasone เข้าเส้นเลือด พัก 1-2 ชม.แล้วกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน
4 ปีที่แล้ว แป้งดื่มน้ำฝรั่ง(เห็นพนักงานเทจากแกลลอนไม่ใช่ยี่ห้อดัง)ที่โรงแรมแค่แก้วเดียว เพียง 2 ชม.ผ่านไป ภูมิแพ้ที่ระบบทางเดินอาหารกำเริบมีอาการคันตามผิวหนัง ตาบวมท้องบวม พอไปห้องฉุกเฉิน เล่าอาการให้แพทย์ฟัง ยังจำคำพูดได้ดีว่า ’’คุณแพ้หนักขนาดนี้ ยังจะดื่มน้ำผลไม้อยู่อีกเหรอ‘‘ ตอนนั้นรู้สึกกลัวมาก พอฉีดยาสูตรเดิมเข้าเส้นเลือดเสร็จ กลับมาพักที่บ้าน ตั้งปณิธานว่า ''จะเลิกดื่มน้ำผลไม้ตลอดชีวิต''
ปัจจุบัน โรคภูมิแพ้ของแป้งอยู่ในระยะสงบ ไม่ไอจามยามค่ำคืน ดื่มน้ำผลไม้กล่องยี่ห้อทิปโก้ได้สบาย ไม่มีอาการแพ้อาหารเหมือนในอดีต อาหารที่เคยแพ้กลับกินได้หมดทุกอย่าง เคยแพ้เม็ดสีเฉดชมพูในอายชาโดว์หรือบรัชออน แป้งสามารถทาได้ไม่มีอาการคันระคายเคืองเลย ดีใจสุดๆคะ
ช่วงนี้ไวรัสที่มากับสายฝนกำลังระบาด หลายคนป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ไม่ก็โควิด พานอนซมกันเยอะมากๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย ดังคำกล่าวที่ว่า ความไม่มีโรคเป็นพรอันประเสริฐ หากไม่อยากเจ็บป่วย พยายามดูแลตัวเองให้ดี กินวิตามินต่อเนื่อง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปล่อยวาง พักผ่อนเยอะๆนะคะ
ขอบคุณมากมายที่ติดตามอ่านจนจบคะ
ที่มา :
รศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสนภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยาFaculty of Medicine Siriraj Hospitalคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Estimates of Present and Future Asthma Emergency ...AGU Publicationshttps://agupubs.onlinelibrary.wiley.com › ...
วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2567
ยาแก้แพ้กับผลข้างเคียงที่คุณอาจไม่เคยรู้
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2567
ออกซาเลต(Oxalate)ในผักใบเขียวกับการเกิดนิ่วในไต
ในโลกปัจจุบัน เราจะพบว่าการบริโภคผักและผลไม้เป็นสิ่งจําเป็นสำหรับคนที่อยากมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง(ยกเว้นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง)
ผักใบเขียว ธัญพืชและพืชตระกูลถั่ว เป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพมาช้านาน อาหารส่วนใหญ่ที่มีออกซาเลต(Oxalate)นั้นดีต่อสุขภาพอย่างมาก เนื่องจากอาหารหลายชนิดเหล่านี้จัดเป็นซุปเปอร์ฟู้ด(Super food)ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ไฟเบอร์ วิตามิน
ไฟโตนิวเทรียนซ์และสารอาหารอื่นๆ ที่สำคัญต่อการทำงานของร่างกาย
คนที่มีสุขภาพดีส่วนใหญ่ สามารถบริโภคอาหารที่อุดมด้วยออกซาเลตได้โดยไม่มีปัญหา แต่ผู้ที่มีการทํางานของลําไส้แปรปรวนอาจต้องจำกัดการบริโภค
เรามาทำความรู้จักออกซาเลต(Oxalate)กันดีกว่านะคะ
ออกซาเลต(Oxalate)พบได้ในพืชเกือบทุกชนิด แต่พืชบางชนิดมีปริมาณสูงมาก ในขณะที่บางชนิดก็มีปริมาณน้อยมากเช่นกัน เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์มีปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ออกซาเลตหรือกรดออกซาลิก(Oxalic acid)เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่พบในพืชหลายชนิด รวมถึงผักใบเขียว ผลไม้ โกโก้ ถั่ว และเมล็ดพืช
แคลเซียมออกซาเลต (Calcium Oxalate) หรือเรียกง่ายๆว่า ผลึกจิ๋วในพืช คือการรวมตัวกันระหว่างกรดออกซาลิก (Oxalic acid) กับแคลเซียม (calcium) จนกลายเป็นผลึกอนุภาคขนาดเล็กที่มีทั้งอยู่เดี่ยว ๆ และรวมกันเป็นกลุ่มภายในเนื้อเยื่อของพืช
การสร้างผลึกของพืชมาจากกลไกการควบคุมทางชีวภาพ กล่าวคือ เมื่อพืชมีปริมาณแคลเซียมในกระบวนเมตาบอลิซึม (metabolism) มากเกินไป แคลเซียมที่เกินออกมาจะถูกดึงมาเก็บไว้ในเซลล์ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือน Calcium Sink(ถังเก็บแคลเซียมสำรอง)เพื่อรอการนำไปใช้อีกครั้งเมื่อพืชต้องการ และระหว่างรอการนำไปใช้นั้น ทำให้เกิดการรวมตัวของแคลเซียมจนกลายร่างเป็น “ผลึกจิ๋วในพืช”
ออกซาเลตลดการดูดซึมแร่ธาตุได้
ออกซาเลตสามารถจับกับแร่ธาตุในลําไส้และป้องกันไม่ให้บางส่วนถูกดูดซึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับไฟเบอร์ ตัวอย่างเช่น ผักโขมมีแคลเซียมและออกซาเลตสูง ซึ่งป้องกันไม่ให้แคลเซียมจํานวนมากถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นการรับประทานไฟเบอร์และออกซาเลตร่วมกัน จะช่วยขัดขวางการดูดซึมของสารก่อนิ่ว
ออกซาเลตอาจทําให้เกิดนิ่วในไต
โดยปกติแคลเซียมและออกซาเลตจํานวนเล็กน้อยจะมีอยู่ในทางเดินปัสสาวะ แต่ยังคงละลายและไม่ก่อให้เกิดปัญหา บางครั้งก็จับกันเป็นผลึก แต่ในบางคนผลึกจิ๋วเหล่านี้สามารถนําไปสู่การก่อตัวของนิ่วในไตได้
สารแคลเซียมออกซาเลตในผลึกพืช เป็นองค์ประกอบทางเคมีที่มีมากที่สุดในก้อนนิ่วที่เกิดในระบบทางเดินปัสสาวะ
สรุปคือ หากผักที่เรากินเข้าไปมีผลึกแคลเซียมออกซาเลตแฝงตัวอยู่ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้
ในความเป็นจริง นิ่วที่มีขนาดเล็กมักไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ แต่นิ่วที่มีขนาดใหญ่ อาจทําให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้อาเจียน และมีเลือดปนในปัสสาวะเมื่อเคลื่อนผ่านระบบทางเดินปัสสาวะ
ถึงแม้ว่าจะมีนิ่วในไตชนิดอื่น แต่ประมาณ 80% ประกอบด้วยแคลเซียมออกซาเลต ยิ่งระดับออกซาเลตสูงเท่าไร ความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไตประเภทนี้จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
นิ่วในไต เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไตทำงานผิดปกติ สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่พบมากในช่วงอายุ 30-40 ปี
เมื่ออายุ 70 ปี ผู้ชาย 1 ใน 5 คนและผู้หญิง 1 ใน 10 คนจะเป็นโรคนิ่วในไต
หากมีอาการปวดหลัง ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะบ่อยครั้ง ปวดบิดท้องรุนแรง รับประทานยาแก้ปวดก็ไม่บรรเทา ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษา เพราะหากทิ้งไว้นานอาจเกิดการติดเชื้อจนเนื้อเยื่อไตเสีย ไตเสื่อม และเกิดไตวายเรื้อรังได้
ด้วยเหตุผลนี้ ผู้ที่เป็นนิ่วในไต อาจได้รับคําแนะนําให้ลดการบริโภคอาหารที่มีออกซาเลตสูง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากครึ่งหนึ่งของออกซาเลตที่พบในปัสสาวะ ผลิตโดยร่างกายมากกว่าที่จะดูดซึมจากอาหาร(ร่างกายมนุษย์สามารถผลิตออกซาเลตได้ด้วยตัวเองหรือได้รับจากอาหาร)
สาเหตุที่ทําให้เกิดการสะสมของออกซาเลต
1.การรับประทานยาปฏิชีวนะหรือมีประวัติเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร สามารถเพิ่มระดับออกซาเลตในร่างกายได้เช่นกัน ในคนปกติ สารประกอบเหล่านี้จะถูกกําจัดในการขับถ่ายหรือปัสสาวะ
แบคทีเรียที่ดีในลําไส้จะช่วยกําจัดออกซาเลต โดยออกซาเลตบางส่วนที่เรากินมักถูกทําลายโดยแบคทีเรียชนิดดีในลําไส้ก่อนที่จะจับกับแร่ธาตุได้ เมื่อระดับของแบคทีเรียเหล่านี้ลดลง ปริมาณออกซาเลตที่สูงขึ้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จนเกิดปัญหาสุขภาพได้(อ่านมาถึงตรงนี้ โปรไบโอติกส์รับจบอีกแล้ว)
2.อาหารที่มีวิตามินซีสูง สามารถเพิ่มระดับออกซาเลตของร่างกายได้ ซึ่งวิตามินซีจะเปลี่ยนเป็นออกซาเลตที่ปริมาณมากกว่า 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่วิตามินซีชนิดเอสเตอร์(Ester-c)จะถูกสกัดความเป็นกรดออกไปจนหมดสิ้น จึงปลอดภัยกว่าวิตามินซีสังเคราะห์(Ascorbic acid)
ผลึกจิ๋วในพืชอาจมีความน่ากลัวก็จริง แต่เราสามารถลดปริมาณแคลเซียมออกซาเลตได้ดังนี้
1.การต้มผัก สามารถลดปริมาณออกซาเลตได้ 30-87% ขึ้นอยู่กับชนิดของผัก
2.ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น อย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน หากมีนิ่วในไต ให้ดื่มให้เพียงพอเพื่อผลิตปัสสาวะอย่างน้อย 2.5 ลิตรต่อวัน
3.รับประทานแคลเซียมให้เพียงพอเพราะแคลเซียมจับกับออกซาเลตในลําไส้และลดปริมาณที่ร่างกายดูดซึม ควรพยายามบริโภคอย่างน้อย 800–1,200 มก. ต่อวันเทียบเท่านมสด 3-4 แก้ว
หมายเหตุ
อาหารที่มีแคลเซียมสูงและออกซาเลตต่ํา เช่น
ชีส นม เนยแข็ง โยเกิร์ตรสธรรมชาติ(plain yogurt) ปลากระป๋องที่มีกระดูก ผักกาดฮ่องเต้(ผักกวางตุ้งไต้หวัน) บรอกโคลี
อาหารที่มีออกซาเลตสูงได้แก่ ผักโขม ผักปวยเล้ง ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง อัลมอนด์ มันฝรั่ง หัวบีท จมูกข้าวสาลี ราสเบอรี่ ผงโกโก้ มันเทศ ถั่วลิสง ผักกาดเขียว(มักใช้ในการผลิตผักดอง เช่น ผักดองกระป๋องตรานั่นโน่นนี่ หากเอามาผัดเหมือนผักกาดขาว รสชาติไม่อร่อยเพราะมีรสขม)ผักสวิสชาร์ด(Swiss chard)เป็นพืชตระกูล
เดียวกับบีทรูท ใบชะพลู หน่อไม้ ชา ฯลฯ
ทั้งหมดทั้งมวลเราจะเห็นว่า อาหารหลายชนิดต่างมีออกซาเลต แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องหลีกเลี่ยงทุกอย่าง การรับประทานอาหารที่สมดุลด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมในแต่ละวัน รวมไปถึงการรับประทานผักให้หลากหลาย ไม่รับประทานผักซ้ำๆเพื่อลดการสะสมของผลึกจิ๋วในพืช จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายสูงสุด นำมาซึ่งการมีสุขภาพดีอย่างแท้จริง
อาจจะดูเหมือนว่า มีความยุ่งยากในการเลือกอาหารการกิน
อย่าลืมว่า ชีวิตคือการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ยังไงการป้องกันดีกว่าการรักษาอย่างแน่นอน ดีกว่าต้องใช้เวลาครึ่งวันในโรงพยาบาลเอกชนหรือทั้งวันในโรงพยาบาลรัฐเพื่อรอพบแพทย์ ซึ่งตอนนั้นความเจ็บป่วยได้เกิดขึ้นแล้วนะคะ
ที่มา :
Foods High in OxalatesWebMDhttps://www.webmd.com › ... › Reference
What Is a Low Oxalate Diet?Healthlinehttps://www.healthline.com › health
Oxalate (Oxalic Acid): Good or Bad?Healthlinehttps://www.healthline.com › nutrition
ผลึกในพืช สถานีบูรพาhttps://w
นิ่วในไต อันตราย สังเกตอาการรีบรักษา อย่านิ่งนอนใจnakornthon hospitalhttps://www.nakornthon.com › article › detail › นิ่วในไ...
นิ่วในไต (Kidney stones) อาการ ปัจจัยเสี่ยง การวินิจฉัย และ ...MedPark Hospitalhttp://www.medparkhospital.com › disease-and-treatment
วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567
เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา
หนึ่งในเหตุผลที่แป้งจะไม่ใช้ยารักษาโรคที่ไม่ซับซ้อนเป็นตัวเลือกแรกเพราะเคยพบเจอกับผลข้างเคียงหลายอย่าง ดังนั้นวิตามินจึงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในการประคับประคองสุขภาพเป็นเวลาร่วม 10 ปี แต่เริ่มกินวิตามินเมื่อ 25 ปีที่แล้วนะคะ
เรื่องเล่าจากผลข้างเคียงของยา
เป็นทราบกันมานานแล้วว่า ยาแก้ปวด ทำกระเพาะอาหารพัง ไตวาย และรับรู้กันมากขึ้นตั้งแต่ปี 2004 จวบจนปัจจุบัน พบว่า มีผลต่อเส้นเลือดหัวใจ เส้นเลือดสมอง ทำให้เกิดการอุดตัน เกิดหัวใจวายเป็นอัมพฤกษ์ได้
ในปีนั้นเองเป็นที่ฮือฮากันทั่วโลก เมื่อยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID : NonSteroidal Anti-Inflammatory Drug) และออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงโดยยับยั้ง CycloOxygenase-2 (COX-2 Inhibitor) ที่ชื่อว่า Vioxx (Rofecoxib) ถูกพบว่าทำให้เกิดปัญหา มีคนตายจากภาวะหัวใจวายมากมาย จนทำให้บริษัทต้องถอนยาตัวนี้ออกจากท้องตลาด
ยากลุ่มนี้ที่ยังมีใช้อยู่ และที่เป็นพี่น้องกับ Vioxx แม้ว่าจะแพงขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดจากอันตรายต่อไต กระเพาะอาหาร รวมทั้งเส้นเลือด ตัวอย่างคือ Celecoxib (เช่น Celebrex) Etoricoxib (เช่น Arcoxia)
สำหรับกลุ่มยาถูกลงมาอีกหน่อย ที่เรียกว่า NSAID แบบมีฤทธิ์ไม่เจาะจง ซึ่งเป็นยาแก้ปวดอักเสบที่ใช้กันทั่วในเมืองไทย ตั้งแต่ Diclofenac (เช่น Voltaren) Ibuprofen (เช่น Brufen) Naproxen (เช่น Naprosyn) Meloxicam (เช่น Mobic) Piroxicam (เช่น Feldene) Indomethacin (เช่น Indocid) Sulindac (เช่น Clinoril) Phenylbutazone Mefenamic acid (เช่น ponstan) ซึ่งยาเหล่านี้แต่ละตัวมีหลายสิบยี่ห้อหรือหลายชื่อ แล้วแต่ว่าผลิตจากบริษัทใด
อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่มีการเตือนและการให้ความรู้เหล่านี้มาตลอด ดูท่าจะไม่มีใครสะดุ้งสะเทือน ทั้งผู้ใช้และผู้จ่ายยา เพราะพบว่าปริมาณการจำหน่ายยิ่งดุเดือดมหาศาล รวมทั้งที่เอามารวมเป็นยาชุดแก้ปวด แก้เมื่อย แก้ไมเกรน ชุดละ 3-5 เม็ด และหาซื้อได้ทั่วไป
มีรายงานเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2017 ในวารสารหัวใจของยุโรป ตอกย้ำอันตรายของยาเหล่านี้ โดยพบว่ายาในกลุ่ม NSAID ที่ไม่มีฤทธิ์เจาะจง ทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วย จนถึงกับหยุดไปเฉยๆ โดยทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ร้อยละ 31 จากยา Ibuprofen และความเสี่ยงสูงขึ้นไปถึงร้อยละ 50 สำหรับยา Diclofenac
ก่อนหน้านี้ไม่นานในเดือนกันยายน 2016 มีรายงานลักษณะเดียวกัน ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษว่า ยาแก้ปวดมีผลเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายจากเส้นเลือดหัวใจอุดตัน และหัวใจเต้นผิดปกติเช่นกัน
Etoricoxib (อีโตริคอกซิบ)ชื่อทางการค้าคือ Acorxia เป็นยารักษาอาการปวดและอักเสบจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) ข้ออักเสบจากโรคเก๊าท์ (Gouty Arthritis) ไปจนถึงปวดประจำเดือน (Dysmenorrhoea) และอาจช่วยลดอาการปวดจากโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด (Ankylosing Spondylitis) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)
โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไซโคลออกซีจีเนส (Cyclooxygenase: COX) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งก่อให้เกิดอาการปวดและอักเสบ ส่งผลให้อาการปวดและอักเสบที่เกิดขึ้นบรรเทาลงได้
กลางปีที่แล้ว แป้งออกกำลังกายในฟิตเนสโดยเล่นเครื่อง Lat pull down แต่ห้าวเป้งใช้น้ำหนัก 30 ปอนด์(หากเล่นประจำจะไม่เกิดการบาดเจ็บที่ไหล่และหลัง แต่แป้งหยุดเล่นไปเป็น 3 อาทิตย์)วันถัดมาเจ็บไหล่ซ้ายเป็นๆหายๆ พออายุมากขึ้น เผลอพลั้งพลาดทำอะไรนิดๆหน่อยๆ จะเจ็บกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นยาวนานเชียวคะ
ตัดสินใจกินยาคลายกล้ามเนื้อ Norgesic หลังอาหารเช้า-เย็น 2 วัน อาการไม่ทุเลา ปรึกษาเภสัชกรเลยขยับมาเป็นยา NSAID ชื่อ Acorxia มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและลดอาการปวด โดส 90 mg วันละ 1 ครั้ง(1 แผงมี 5 เม็ด)แค่วันที่ 2 อาการปวดทุเลาลง 50% ครบ 5 วัน หายปวดไหล่เป็นปลิดทิ้ง
อีก 5 วันต่อมา เผลอหิ้วของหนักน่าจะ 6-7 โล คุณพระ!! ปวดไหล่ด้านเดิมอีกล่ะ
แป้งเริ่มกินยา acorxia ใหม่ พอวันที่ 3 ไม่ปวดไหล่ซ้ายล่ะ แต่เวลากัดขนมปังปิ้ง(อบขนมปังกินเอง)รู้สึกเจ็บเพดานปาก ยิ่งตอนที่แผ่นขนมปังที่กรอบชนด้านในขอบปาก จะเจ็บเหมือนคนเป็นร้อนใน(ชั่วชีวิตแป้งไม่เคยเป็นร้อนใน ส่วนสามีเป็นประจำ(เครียด)แต่ปัจจุบัน ไม่เป็นมาหลายปีตั้งแต่กินวิตามิน) เคี้ยวข้าวก็เจ็บไปหมด เอะใจ!!เลยไปหาข้อมูลข้างเคียงของยาตัวนี้ หนึ่งในผลข้างเคียงคือ แผลในปาก นั่นเอง
หมายเหตุ
Arcoxia ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกา
เดือนเมษายน 2007 บริษัทผู้ผลิตยา Arcoxia ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA เหตุผลที่ไม่ได้รับการอนุมัติ มีสาเหตุมาจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองและคำถามเกี่ยวกับอัตราส่วนความเสี่ยงต่อประโยชน์ที่ได้รับในผู้ป่วยที่รับประทานยา Arcoxia
แต่ทว่าบริษัท Merck(เมอร์ค)ซึ่งเป็นผู้ผลิตยายังคงทำการตลาด Arcoxia นอกสหรัฐอเมริกาต่อไป รวม 60 กว่าประเทศทั่วโลก
และผ่านอ.ย.ในไทยเรียบร้อย
ปัจจุบันไม่ว่าจะปวดกล้ามเนื้อจากออกกำลังกายหรือยกของหนัก
แป้งจะนวดคลายกล้ามเนื้อด้วยยาทาเคาน์เตอร์เพนหรือ Ammeltz yoko yoko แค่นั้น ไม่กล้ากินยา กลัวผลข้างเคียงชะมัดยาดคะ
อีกเรื่องคือ ผลข้างเคียงจากยาลดไขมันกลุ่มสแตติน เช่น Simvastatin เพื่อนผู้หญิงแป้ง 2 คน มีค่าไขมันคอเลสเตอรอล 220-250mg/dl LDL 160 mg/dl
หมอจ่ายยา simvastatin 10 mg มาให้วันละ 1 เม็ด กินยาไปเพียง 2 สัปดาห์ เริ่มมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีตะคริวที่ท้อง ปวดน่องทั้งๆที่ไม่ได้เดินเหินมาก ปวดร้าวแขน แป้งถามกลับไปว่า ‘’กินยาลดไขมันใช่มั๊ย กรุณากลับไปพบแพทย์ แจ้งผลข้างเคียงของยา
และขอเปลี่ยนยาตัวใหม่เด้อ ‘’พอเจอหน้ากันอีกที เพื่อนบอกว่า ‘’หมอเปลี่ยนยาให้ล่ะ ไม่ปวดกล้ามเนื้อแขนและน่อง ตะคริวที่ท้องก็หายไป ‘‘
เล่าให้ฟังอีกเรื่องคือ มีรุ่นน้องอายุน่าจะ 35 ปี ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน ก่อนหน้านี้แข็งแรงดี ปีนี้น้ำหนักขึ้น 7-8 กก.ทำงานบ้านทุกอย่าง ไม่ออกกำลังกาย ชอบกินของมันของทอด อาหารรสเผ็ดจัด ไปพบแพทย์ที่คลีนิคแถวบ้าน ได้ยาลดการหลั่งกรดมาตัวหนึ่ง(ไม่ทราบชื่อยาเพราะคลีนิคมักไม่เขียนชื่อยาให้คนไข้ เกรงว่าผู้ป่วยจะไปซื้อยากินเอง หมอเป็นห่วง) อาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าพอเข้าวันที่ 3 กลับคลื่นไส้ อาเจียน กินอะไรไม่ได้เลย นอกจากข้าวต้ม นอนซมทั้งวันเพราะอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียนจนไม่มีเรี่ยวแรงลุกเดิน
ญาติหอบหิ้วพาไปหาหมอที่คลีนิคเดิม แจ้งว่า แพ้ยาตัวนี้
ซึ่งหมอจ่ายยามาแค่ตัวเดียวที่เหลือเป็น motilium ซึ่งเป็นยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยเคยกิน motilium ไม่มีผลข้างเคียงอะไร
หมอกล่าวว่า’’ไม่น่าใช่ เป็นไปไม่ได้หรอก’’ ว่าแล้วก็จ่ายยาลึกลับตัวนั้นเยอะกว่าเดิมอีกจาก 1 สัปดาห์กลายเป็น 1 เดือน อ่านถึงบรรทัดนี้ คิดว่า เราควรฝืนใจกินยาที่มีผลข้างเคียง(คลื่นไส้ อาเจียนจนไม่มีแรง)ตามแพทย์สั่ง หรือ ควรจะไปหาหมอใหม่ดีคะ
ปล.คุณหมอเจ้าของคลีนิค รับรักษาโรคทั่วไป ไม่ได้จบแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร
ที่มา :
F.D.A. Rejects Merck's New Pain MedicationThe New York Timeshttps://www.nytimes.com › 2007/04/13
เพจเฟซบุ๊ค นพ. ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา
FDA Advisory Committee Rejects Merck's ArcoxiaFDAnewshttps://www.fdanews.com › articles › 91...
วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567
หัวข้อ โปรไบโอติกส์(Probiotics)มีดีต่อลำไส้อย่างไร
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567
เรื่องราวของผู้ชายล้วนๆ
ผู้ชายทุกคนมีนาฬิกาชีวภาพสำหรับความเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันเดือนปี เข็มนาทีที่เคลื่อนไปอย่างช้าๆในแต่ละชั่วโมง จะมีการเปลี่ยนไปของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย คนที่ดูแลสุขภาพตัวเองดีอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างช้าๆและค่อยเป็นค่อยไป
ความเสื่อมแห่งวัยจะเริ่มต้นเมื่ออายุ 25-30 ปีขึ้นไป
อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดโดยเฉลี่ยของมนุษย์จะลดลงประมาณหนึ่งจังหวะต่อนาทีต่อปี และความสามารถของหัวใจในการสูบฉีดเลือดสูงสุดจะลดลง 5-10 เปอร์เซ็นต์ต่อ10 ปี นั่นเป็นสาเหตุที่หัวใจทำงานได้ดีในวัย 25 ปี โดยมีอัตราสูบฉีดเลือดได้~2.4 ลิตรต่อนาที แต่หัวใจผู้ที่อายุ 65 ปีไม่สามารถสูบฉีดเกิน 1.25 ลิตรต่อนาที และหัวใจผู้ที่อายุ 80 ปี มีอัตราการสูบฉีดเลือดเพียงประมาณ 1 ลิตรเท่านั้น
ด้วยเหตุผลนี้ ในชีวิตประจำวันของผู้ชายที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว จะมีความสามารถในการออกกำลังกายแบบแอโรบิกลดลง บางครั้งการทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน อาจเกิดความเหนื่อยล้าและหายใจไม่ทัน แล้วคนที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ฯลฯ จะมีสภาพเป็นเช่นไร ไม่อยากจะคิดเลยนะคะ
พอเข้าสู่วัยกลางคน หลอดเลือดของผู้ชายจะเริ่มแข็งตัวและความดันโลหิตจะเริ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันการไหลเวียนเลือดจะเปลี่ยนไป โดยมีความหนืดมากขึ้นและสูบฉีดทั่วร่างกายได้ยากขึ้น แถมจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีออกซิเจนจะลดลงไปด้วย
ส่วนใหญ่เริ่มน้ำหนักเพิ่มขึ้นในช่วงวัยกลางคน โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1.4-1.8 โลต่อปี ผู้ชายจะเริ่มสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเมื่ออายุ 40 ปี ดังนั้นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจึงกลายเป็นไขมันทั้งหมด ไขมันส่วนเกินนี้ส่งผลให้คอเลสเตอรอลชนิด LDL (ไม่ดี) เพิ่มขึ้น และคอเลสเตอรอล HDL (ดี) ลดลง
เมื่ออัตราการเผาผลาญลดลง ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6 จุดต่อ 10 ปี ทำให้โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดขึ้นอย่างน่าวิตกในผู้สูงอายุ การสูญเสียกล้ามเนื้อยังคงดำเนินต่อไป ในที่สุดกล้ามเนื้อของมนุษย์จะลดลงถึง 50% ซึ่งก่อให้เกิดความอ่อนแอและความพิการในที่สุด
โรคเบาหวานมีอยู่ 4 ชนิด ประมาณ 95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus) ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะดื้อฮอร์โมนอินซูลินร่วมกับการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนลดลง ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
ในขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจะเริ่มแข็งและตึง แม้ว่าผู้ชายจะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกบางน้อยกว่าผู้หญิง แต่จะสูญเสียแคลเซียมในกระดูกเมื่ออายุมากขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อกระดูกหัก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มวลกล้ามเนื้อและความหนาแน่นของกระดูกลดลงคือ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน(testosterone )ในเพศชายลดลง ซึ่งลดลงประมาณ 1% ต่อปี
หลังจากอายุ 40 ปี ผู้ชายส่วนใหญ่ยังคงมีระดับฮอร์โมน
เทสโทสเตอโรนตามปกติและมีความสามารถในการสืบพันธุ์ตลอดชีวิต แต่สมรรถภาพทางเพศเริ่มลดลงแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงระบบประสาทจะเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เช่น ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง การประสานงานแย่ลง ความจำเสื่อมมักจะเกิดขึ้นและนอนหลับได้น้อยกว่าวัยหนุ่ม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นกับผู้ชายที่มีสุขภาพดี แต่ในผู้ชายที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว จะเริ่มแก่ชราอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัดเจน
มีงานวิจัยศึกษาปีพ.ศ. 2509 ในโรงเรียนแพทย์ตะวันตกเฉียงใต้ของมหาวิทยาลัยเท็กซัส ผู้ชายอายุ 20 ปี มีสุขภาพดีจำนวน 5 คน ใช้เวลา 3 สัปดาห์ในวันหยุดฤดูร้อนนอนอยู่บนเตียง แต่เมื่อหนุ่มๆเหล่านั้นลุกจากเตียงหลังสิ้นสุดการทดลอง นักวิจัยพบการเปลี่ยนแปลงร้ายแรงซึ่งรวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักเร็วขึ้น ความดันโลหิตซิสโตลิกที่สูงขึ้น อัตราการสูบฉีดเลือดสูงสุดของหัวใจลดลง ไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง
ในเวลาเพียงสามสัปดาห์ เด็กอายุ 20 ปีเหล่านี้ได้พัฒนาลักษณะทางสรีรวิทยาหลายอย่างเทียบเท่าผู้ชายที่อายุประมาณ 40 ปี
โชคดีที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น แต่ให้ผู้ชายกลุ่มเดิมเข้าร่วมโปรแกรมการออกกำลังกาย 8 สัปดาห์ พบว่าการออกกำลังกายช่วยฟื้นฟูความเสื่อมที่เกิดจากการนอนบนเตียงนานๆได้
ผู้ชายอายุน้อยๆสุขภาพปกติยังมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากขนาดนี้ แล้วผู้ป่วยติดเตียงจะเป็นเช่นไร มิน่าล่ะ!!
เวลาแป้งไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่ผ่าตัดอายุ 80 กว่าปีที่รพ.เอกชนทีไร จะเห็นเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์มาสอนการกายภาพบำบัดคนไข้อยู่เสมอ
ไม่มีใครสามารถหยุดนาฬิกาชีวภาพได้ แต่มนุษย์ทุกคนสามารถเดินให้ช้าลงได้ การออกกำลังกายไม่ใช่วิถีของความเยาว์วัย แต่เป็นขุมพลังแห่งความมีชีวิตชีวา
การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถป้องกันปัญหาร้ายแรงได้ อย่าฝืนออกกำลังกายหากนอนดึกพักผ่อนน้อย มีไข้หรือเจ็บป่วย ค่อยๆ ดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยยืดอายุขัย และลดอัตราการเกิดโรคและความทุพพลภาพในวัยชรา
อย่าละเลยการฟังเสียงของร่างกาย ไม่มีใครดูแลเราได้ดีเท่าตัวเอง
อย่าคาดหวังฝากชีวิตไว้กับโรงพยาบาล(ข้อมูลจำนวนแพทย์ล่าสุด ณ เม.ย.66 รวม 68,725 คน อยู่ในกทม. 3.2 หมื่นคน ตจว.3.4 หมื่นคนต่อประชากร 66 กว่าล้านคน)ควรเรียนรู้สัญญาณเตือนของโรคหัวใจรวมถึงอาการเจ็บหน้าอกหรือความดันโลหิตสูง อาการหายใจไม่สะดวก เหนื่อยล้าหรือเหงื่อออก ชีพจรเต้นผิดปกติ อาการวิงเวียนศีรษะ หรือแม้แต่อาหารไม่ย่อย กรดไหลย้อนที่อาการคล้ายคลึงกับโรคหัวใจ รวมถึงความเจ็บปวดที่บ่งบอกถึงการอักเสบเรื้อรังซึ่งอนุมูลอิสระเป็นตัวกระตุ้นลำดับต้นๆ
ที่มา
Exercise and aging: Can you walk away from Father TimeHarvard Universityhttps://www.health.harvard.edu › exercis...
อาการเตือน โรคเบาหวานชนิดที่ 2โรงพยาบาลศิครินทร์https://www.sikarin.com › health › อาการเตือน-โรคเบาห...
วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2567
รีวิวสุขภาพย้อนหลังในปี 2566 ที่ผ่านมา
รีวิวสุขภาพย้อนหลังในปี 2566 ที่ผ่านมา
เดือน ก.พ 66 แป้งกลับบ้านต่างจังหวัด มีเวลาว่างจึงไปนวดแผนไทยสังกัดโรงพยาบาลสกลนคร ซึ่งปกติไม่เคยนวดแบบนี้ ผลคือ เจ็บไหล่ซ้ายเรื้อรังนาน 2 เดือน กินยาคลายกล้ามเนื้อ norgesic ก็รู้สึกดีขึ้นช่วงที่กินยา พอหยุดกินก็เจ็บไหล่เหมือนเดิม กินยาอยู่ 2 วันเลยเลิกกินดีกว่าเพราะรู้สึกว่า มีผลข้างเคียงจากยาคือ ง่วงนอน ปากแห้งและตาแห้ง
ยิ่งทวีความเจ็บปวดมากขึ้นเวลาที่ออกแรงขัดหม้อ+กะทะสแตนเลส ใช้วิธีนวดยาเคาน์เตอร์เพน+ทายาแอมเม็ลทซ์ โยโกะ โยโกะเป็รระยะๆ(ยาตัวนี้ผลิตในญี่ปุ่น ดีนะคะ ไม่ต้องนวด แค่กลิ้งให้น้ำยาไหลออกมาบริเวณที่รู้สึกปวด หากอาการปวดไม่มาก วันรุ่งขึ้นหายคะ)
เดือนพ.ค 66 ดูเหมือนว่า อาการปวดไหล่ซ้ายเรื้อรังจะดีขึ้น จนเกือบหายสนิท แต่เวลาที่นั่งพิงหัวเตียงราว 1 ชม.ก่อนนอนเพื่อท่องโลกอินเตอร์เน็ต จะรู้สึกตึงๆที่ไหล่ซ้ายนิดๆ ก็ทายาวนไป ตื่นเช้ามาอาการตึงหายไป สาบานว่า จะไม่เฉียดนวดแผนไทยอีกแล้ว
เคยเล่าให้เพื่อนสนิทที่ชื่นชอบออกกำลังกายเป็นทุนเดิม จนมีกล้ามแขนนิดๆเพื่อนบอกว่า เค้านวดแผนไทยเป็นประจำ รู้สึกดีเบาสบาย คลายเมื่อยล้า แต่แป้งผู้ซึ่งแทบไม่ออกกำลังกายตั้งแต่ช่วงโควิด พอมาเจอการกดกล้ามเนื้อแรงๆ เลยเกิดการบาดเจ็บเรื้อรัง
เดือนมิ.ย 66 เริ่มรู้สึกว่า เวลายืนทำกับข้าว+ล้างจาน+ล้าง
อุปกรณ์เบเกอรี่ร่วมชั่วโมง จะปวดร้าวเอวและปวดหลังมากขึ้น
ซึ่งอาการแบบนี้เป็นมาตลอด 3 ปีกว่าๆ แก้ไขโดยใส่รองเท้ากีฬาเพื่อซัพพอร์ตเท้า ซึ่งจะช่วยได้เยอะกว่าใส่รองเท้าสลิปเปอร์คะ
เดือนก.ค 66 แป้งเริ่มคิดว่า การยืนนานๆทำให้ปวดเมื่อยหลัง นี่คืออาการปกติของผู้หญิงวัย 50 ปีมั๊ยนะ ความจริงร่างกายแป้งมีพลังงานเยอะมาก สามารถทำงานบ้านติดต่อกันโดยไม่ต้องนั่งพักราว 15 นาทีทุกชั่วโมงเหมือนในอดีต แต่ทำไมยังรู้สึกปวดเมื่อยบั้นเอวอยู่
อืม!! กล้ามเนื้อเราคงไม่แข็งแรงเพราะขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ระบบการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกายจัดว่าดีเยี่ยม(ไม่เหนื่อยง่าย ซึ่งคนละเรื่องกับการปวดหลังเวลายืนท่าเดิมนานๆ)ซึ่งเป็นผลจากการกินวิตามินต่อเนื่องมาตลอด 10 ปี
เดือนส.ค 66 เริ่มเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายจริงจังเพราะอยากมีกล้ามเนื้อสะโพกและต้นขาที่แข็งแรง โดยการถีบจักรยานตามด้วยเล่นเครื่อง leg press+ Lat pull down เล่นอยู่ 4 เดือน เปลี่ยนไปเดินลู่วิ่ง+เล่น stepper machine ได้ 3 สัปดาห์ ซึ่งเครื่องเล่นอันสุดท้ายร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจน กล่าวคือ ยืนเตรียมทำกับข้าว ทำงานครัวร่วมชม.โดยไม่ต้องใส่รองเท้ากีฬาเพื่อซัพพอร์ตเท้า ใส่แค่รองเท้าสลิปเปอร์ก็ไม่รู้สึกปวดหลังเหมือนที่ผ่านๆมา อ๊ะ!!กล้ามเนื้อขาแข็งแรงเป็นแบบนี้นี่เอง
ตอนที่เล่นฟิตเนส แป้งจะเจอน้องผู้ชายมีกล้ามนิดๆ เล่นน้ำหนักที เป็น 100 กิโล แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่า น้องมาเล่นคือ เสียงหายใจครืดคราด จุดนี้ไม่แน่ใจว่า เป็นภูมิแพ้ กรดไหลย้อนหรือเป็นผลข้างเคียงจากการดื่มเวย์
มีน้องผู้หญิงร่างบาง อายุน่าจะ 40 นิดๆ แป้งเจอทีไร จะได้ยินเสียงหายใจเหนื่อยหอบนำมาก่อน(น้องเข้าห้องฟิตเนสก่อนแป้งราว 1 ชม.) ช่วงที่เล่นเครื่อง Lat pull down เสร็จ(น้ำหนัก 20 กิโล) เสียงหอบชัดเจน ซึ่งต่างจากแป้งที่เป็นโรคโลหิตจาง+พาหะธาลัสซีเมียโดยกำเนิด เล่นเครื่องเดียวกัน น้ำหนัก 30 กิโล ไม่มีอาการเหนื่อยหอบสักนิด เรียกได้ว่าความเหนื่อยอยู่หนใด สิ่งนี้เป็นผลจากการกินวิตามินเพิ่มพลังงานก่อนออกกำลังกาย
เมื่อก่อนเวลาที่เรานั่งพับเพียบเพื่อทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น นั่งปอกเปลือกผักคะน้านั่นนี่ราวครึ่งชม.พอลุกขึ้นต้องร้องโอ๊ย!ด้วยความเจ็บปวดเพราะเหน็บชากินตลอด ยังเคยคิดว่า เราเริ่มแก่ชราแล้วจริงๆ แต่พอเล่นเครื่อง Stepper Machine level 1 เป็นเวลา 50 นาทีต่อวัน นั่งบนพื้นนานนับชั่วโมง พอลุกขึ้นยืน กลับไม่รู้สึกโอดโอยหรือเป็นเหน็บชาเลยคะ
การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน
นี่ดีชะมัด เพิ่งเล่นเครื่องเล่น Stepper Machine ได้เพียง 3 สัปดาห์ แต่เล่นเครื่อง Leg Press Machine น้ำหนัก 30 กิโล ครั้งละ 15 นาทีx2 นาน 4 เดือน ยังไม่ค่อยเห็นความแตกต่างอะไรเลยคะ
ปกติวันเสาร์-อาทิตย์ แป้งจะต้องนอนกลางวันมาตั้งแต่สมัยสาวๆ ไม่เคยมีสัปดาห์ไหนที่จะไม่นอนกลางวัน ตั้งแต่กินวิตามิน +ออกกำลังกาย กลายเป็นไม่ง่วงหงาวหาวนอนอีกต่อไป เปลี่ยนเวลานอนกลางวันมาออกกำลังกายแทน ถือว่าใช้เวลาคุ้มค่าเลยทีเดียว
มัดรวมสุขภาพของแป้ง แข็งแรงขึ้นกว่าเดิมสวนทางกับอายุที่เพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้
1.ประจำเดือนยังมาเยอะในวันที่ 2 และหมดไปภายใน 7 วัน รอบประจำเดือนอยู่ที่ 21 วันคงเดิม(วงจรประจำเดือนของผู้หญิงประมาณ 21-28 วัน)
2.สายตาปกติ อ่านหนังสือ+ดูโซเซียลเน็ตเวิร์กไม่ต้องใส่แว่น
3.มีพลังงานเยอะ ไม่เหนื่อยง่าย
แป้งเคยทดลองไม่กินวิตามินสักเม็ดใน 1 วัน ผลปรากฏว่า หลังมื้ออาหารเช้า ซึ่งกินลูกเดือยต้ม 200 กรัม+น้ำนมอัลมอนด์+งาดำ(ทำเอง)ใส่อัลมอนด์สไลด์ เมื่อเวลา 30 นาทีผ่านไป แป้งรู้สึกง่วงมากๆ อยากจะล้มตัวลงนอน แต่ทำไม่ได้เพราะเพิ่งกินอิ่มใหม่ๆ พอครบ 1 ชม.นอนดีกว่า
พอกินมื้อเที่ยง เวลาผ่านไป 1 ชม.เริ่มง่วง แป้งก็นอนกลางวันอีก 1 ชม.สบายใจ คนที่ไร้พลังงานจะไม่กระฉับกระเฉง มีอาการง่วงเหงาหาวนอนแทบตลอดเวลาเป็นแบบนี้เอง
4.ผมหงอกคงเดิม ~100 เส้น ไม่ย้อมผมแต่ใช้วิธีย้อมเฮนน่าแทน
5.กรดไหลย้อนดีขึ้นจากการออกกำลังกาย
6.ผิวกายยังคงมีความนุ่มเนียน ไม่มีจุดกระขาวบริเวณแขนขาและไม่แห้งกร้านไปตามวัยที่ล่วงเลย สิ่งนี้เป็นผลจากการกินวิตามินสม่ำเสมอ ถ้าไม่ได้กินวิตามินผิวบอกเลยว่า ผิวหน้าและผิวกายจะแห้งหยาบกร้าน(หากเราไม่ได้มีปัญหาผิวชัดเจน การกินวิตามินจะไม่เห็นความแตกต่างเท่าไหร่นัก แต่พอเกิดปัญหาเกี่ยวกับสภาพผิว การกินวิตามินคุณภาพสูง จะเห็นผลชัดเจนจนสังเกตได้)
7.ผิวหน้าจากผิวมันในอดีตกลายเป็นผิวผสม เวลาลงรองพื้นตามด้วยแป้งฝุ่น หน้าจะเนียนกริบแลดูผุดผ่อง ยกเว้นคืนไหนนอนดึกตี2-3 หน้าจะไม่เด้ง แววตาอิดโรยไม่สดใส
8.อาการภูมิแพ้ลดลงจนแทบไม่มีเลย ถึงแม้จะนอนดึกก็ตาม อันนี้เป็นผลจากการออกกำลังกาย
9.เวลาเกิดบาดแผล เช่น มีดทำครัวบาดมือไม่ลึกมาก แต่มีเลือดซึม แผลจะเริ่มสมานและหายภายใน 2-3 วัน อย่างโดนมีดบาดที่นิ้วมือตอนเย็น รุ่งเช้าแผลเริ่มปิด เวลาโดนน้ำจะไม่แสบมือ ไม่มีร่องรอยแผลเป็นหลังเกิดบาดแผลตั้งแต่เริ่มกินวิตามินเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ซึ่งก่อนหน้านั้นช่วงอายุ 20 กว่าปี หกล้มที จะมีรอยแผลเป็นเห็นชัดเจนบริเวณหัวเข่า สิ่งนี้เกิดจากการกินวิตามิน
10.ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สังเกตว่าเส้นผมที่ร่วงลงพื้น(เวลาสระผม จะมีผมร่วงราว 20 เส้น) มีขนาดเส้นเล็กและบางลง เมื่อก่อนจะปนเส้นหนาอย่างเยอะ คาดว่า เกิดจากการออกกำลังกายค่อนข้างหนักสำหรับคนที่มีภาวะโลหิตจางและพาหะธาลัสซีเมียแล้วกินโปรตีนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เส้นผมมีขนาดเล็กลง อาจจะต้องพิจารณาดื่มเวย์เพิ่มเพราะไม่สามารถกินเนื้อสัตว์วันละ 50-100 กรัมเพียงพอ
11.นอนหลับสนิทในทุกคืนที่กินอิ่มและไม่ตื่นกลางดึก แม้จะลุกมาเข้าห้องน้ำ พอหัวถึงหมอนก็หลับต่อได้สบาย แถมหลับสนิทไม่ฝันอะไรทั้งสิ้น นานๆครั้งถึงจะฝัน แต่จะจดจำความฝันไม่ได้ จำได้แค่เลือนลาง ไม่ปะติดปะต่อ ซึ่งแม่แป้งอายุ 72 ปีก็เป็นแบบนี้ แกเลยบ่นประจำว่า ไม่เคยฝันถึงเลขที่จะออกในแต่ละงวด สิ่งนี้เป็นผลจากการกินวิตามินก่อนนอน
แป้งเคยลองงดวิตามินก่อนนอน ปรากฏว่า ตื่นกลางดึกแล้วนอนต่อไม่ได้เลย ตาหลับแต่ใจไม่หลับ คุณพระ!!
12.ไม่มีโรคที่ต้องรักษาด้วยการกินยาแผนปัจจุบันแม้เพียงโรคเดียว เคยมีน้องผู้หญิงอีกคนที่เจอในฟิตเนส อายุน่าจะ 45 กว่าปี ถามแป้งว่า พี่เป็นความดันโลหิตสูงหรือเปล่า น้องบอกว่า กลุ่มแม่ๆผู้ปกครองที่อายุ 50 ปี เป็นความดันโลหิตสูงทุกคน(โรคไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูงมักมาพร้อมกับวัยหมดประจำเดือน)
ส่วนเพื่อนรุ่นเดียวกันกับแป้ง พากันเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ต้องรักษาด้วยการกินยาต่อเนื่องเรียบร้อย แต่เพื่อนหลายคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอก็ไม่เป็นโรคเหล่านี้เช่นกัน
ช่วงนี้แป้งมักได้ยินข่าวคนรู้จักเป็นมะเร็งกันเยอะขึ้น ล่าสุดน้องที่ทำงานเก่าอายุ 50 ปี เป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 1 แผนการรักษาคือ ตัดเต้านม ฉีดยามุ่งเป้าเดือนละ 1 เข็ม จำนวน 18 เข็ม ราคาเข็มละ 15,000 บาทและเคมีบำบัด 5 คอร์ส ส่วนน้องอีกคนอายุ 43 ปีเพิ่งเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม หลังพบกับความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานผ่านการรักษาโรคเป็นระยะเวลา 3 ปี
คนที่มีภูมิต้านทานสูง จะไม่เจ็บป่วยหรือติดเชื้อง่าย สิ่งที่เพิ่มภูมิคุ้มกันมีหลายอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดฮวบคือความเครียด สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องมีวินัยในการดูแลตัวเองนะคะ
14 สัญญาณเตือนว่าอาจมีปัญหาสมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหาร
• มีอาการระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หรือลำไส้แปรปรวน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและท้องผูก • มีปัญหาไมเกรนหรือนอนไม่หลับ ...
บทความยอดนิยม
-
ความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นปัญหาใหญ่หลวงสำหรับผู้ชายหลายคน จะเริ่มมาเยือนตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป มีปัจจัยหลายอย...
-
การดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ไม่รู้จะรีบกันไปถึงไหน ยิ่งในกรุงเทพเมืองฟ้าอมรที่ได้การ...
-
hamercandysiam.lnwshop.com ลูกอมรสกาแฟผลิตในมาเลเซีย เป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายดีอันดับหนึ่งประเภทบำรุงร่างกายและเพิ่มสมรรถภาพใน...
-
ในปัจจุบันนี้ แทบทุกคนจะเป็นภูมิแพ้กันทั้งสิ้น แป้งเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นมานมนานต้ังแต่เด็กๆจนกระทั่งเริ่มเรียนม.ต้น ช่วงเช้าจะมีน้...
-
เรียนแจ้งทุกท่านเพื่อโปรดทราบ แป้งย้ายการตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ และผิวพรรณ ประจำสัปดาห์มายัง https://pangpungpond.blogspot.com/ เนื่องจาก...
-
Mentalk เป็นลูกอมโสมทะเลทรายเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เกรดพรีเมี่ยมชื่อดังในตำนาน ผลิตในประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วยสมุนไพรชั้นเยี่ยม ปราศจากสารเคมีใ...
-
วิตามินที่กล่าวถึงต่อไปนี้ เรียกว่า borage oil ( น้ำมันโบราจ ) บางคนอาจไม่ค่อยคุ้นเคยห...
-
คนที่มีความสุขกับการกิน ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรเข้าปาก มักจะเอร็ดอร่อยเสมอ บางทีกินแค่นิดเดียว แต่น้ำหนักขึ้นเอาๆ พยายามลดการกินลง แต่ไม่ได้ผลเ...
-
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า grape seed ช่วยในเรื่องการลดเม็ดสีที่เกิดจากการทำลายของแสงแดด ส่งผลให้สีผิวสม่ำเสมอ และขาวใสขึ้น ลองมาดูกันดีกว่...
-
แป้งได้รับข้อความขอบคุณจากหลังไมค์ท่านหนึ่ง ซึ่งอ่านบทความในบล็อก’’Goutless ชาลดอาการกำเริบโรคเกาต์อย่างเห็นผลชะงัด’’ ซึ่งพ่อของผู้อ่านท่าน...