บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2568

14 สัญญาณเตือนว่าอาจมีปัญหาสมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหาร

• มีอาการระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หรือลำไส้แปรปรวน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและท้องผูก
• มีปัญหาไมเกรนหรือนอนไม่หลับ
• เป็นสิวอักเสบ
• มีผื่นภูมิแพ้ เป็นๆ หายๆ
• เป็นหอบหืด
• มีระบบการเผาผลาญไม่ดี
• มีความเสี่ยงเป็นโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอัลไซเมอร์
• มีกลิ่นปาก 
• มีเมือกในอุจจาระ 
• รับประทายาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน
• ภาวะแพ้คาร์โบไฮเดรต
• เหนื่อยล้าหมดแรง
• ใช้ยาลดกรดในกระเพาะอาหารเป็นประจำ
• คัดจมูก
** ถ้ามีอาการข้างต้นอย่างน้อย 5 ข้อ หรือมากกว่า อาจมีภาวะความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย **

วิธีการสร้างสมดุลให้จุลินทรีย์ในลำไส้
1.ออกกำลังกายแบบไม่หักโหมเป็นประจำ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน จำนวน 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของลำไส้ ลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นอันตรายและยังช่วยเพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์ 
2.ลดการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูป อาหารสำเร็จรูป  อาหารทอดน้ำมันท่วม ไส้กรอก เบคอน ขนมขบเคี้ยว อาหารแช่แข็ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ฯลฯ
3.ลดอาหารรสเผ็ด เค็ม หรือรสจัด   
4.ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง   
5.เพิ่มสัดส่วนอาหารหมัก เช่น โยเกิร์ต กิมจิ คอมบูชา นัทโตะ ซาวเคราต์ และคีเฟอร์ ล้วนมีแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งแลคโตบาซิลลัส และสามารถลดปริมาณของสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคในลำไส้ได้ โปรไบโอติกส์เป็นแบคทีเรียที่มีชีวิตซึ่งสามารถช่วยฟื้นฟูลำไส้ให้กลับมามีสุขภาพดีได้

การบริโภคโพรไบโอติกส์ (จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์) พร้อมกับพรีไบโอติกส์ (ทำหน้าที่เป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์) จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและปรับสมดุลการทำงานของลำไส้

การรับประทานโพรไบโอติกส์ปริมาณมากในคราวเดียว อาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ท้องอืด ท้องผูกหรือท้องร่วง 
แป้งเคยลองกินโพรไบโอติกส์ที่เป็นอาหารเสริมหลายยี่ห้อ มีตั้งแต่ราคาถูกจนถึงราคาแพง ปรากฎว่า กินได้แค่ 3-5 วัน ท้องอืดบวม แน่นท้องไปหมด เลยเลิกกิน หันมากินโพรไบโอติกส์จากอาหารธรมชาติที่ทำเอง เช่น กิมจิ คอมบูชา(เห็นผลดีมาก) ส่วนโยเกิร์ต(ไม่ค่อยเห็นผลเท่าไหร่)

6.รับประทานอาหารที่หลากหลาย ไม่รับประทานอาหารซ้ำๆ
การทำเช่นนี้สามารถนำไปสู่ไมโครไบโอม(Microbiome)ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพลำไส้ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักที่มีไฟเบอร์สูงและผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยและสามารถส่งเสริมการเจริญเติบโตของบิฟิโดแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพ

7.จำกัดการบริโภคสารให้ความหวานเทียม
มีหลักฐานบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่า สารให้ความหวานเทียม เช่น แอสปาร์แตม ช่วยเพิ่มน้ำตาลในเลือดโดยกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น Enterobacteriaceae ของไมโครไบโอมในลำไส้ หรือผงชูรส(โมโนโซเดียมกลูตาเมต)ที่มากเกินไป อาจรบกวนการผลิตและการปล่อยสารเคมีในสมอง เช่น โดปามีน นอร์เอพิเนฟรินและเซโรโทนิน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสมดุลทางจิตใจและอารมณ์

การบริโภคผงชูรสปริมาณสูง มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวและการเกิดภาวะเมตาบอลิก( metabolic syndrome )ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆตามมา 

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า การกินผงชูรสเป็นเวลานานก่อให้เกิดภาวะความไม่สมดุลของการเกิดอนุมูลอิสระในเซลล์ไต ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ไตและยังมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าผงชูรสส่งผลต่อการทำลายเนื้อเยื่อของไตโดยการเพิ่มอนุมูลอิสระ(พบในสัตว์ทดลอง)

8.ลดการรับประทารอาหารแปรรูปสูง (Ultra-processed Foods) อาหารที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมหลายขั้นตอน นอกจากใส่พวกน้ำตาล ไขมัน โซเดียม(เกลือ)หรือไฟเบอร์และปรุงแต่งกลิ่นรสแล้ว ยังใส่สารเติมแต่งหรือวัตถุเจือปนอาหารต่าง ๆ เช่น สีผสมอาหาร สารแต่งกลิ่น สารให้ความหวาน อิมัลซิไฟเออร์ (สารรักษาความคงตัวในอาหาร) วัตถุกันเสีย ฯลฯ เพื่อช่วยให้อาหารอร่อย เลียนแบบรสและสัมผัสเหมือนอาหารสดใหม่ หรือซ่อนกลิ่น รสไม่พึงประสงค์และคงสภาพเดิมของอาหารไว้ เพื่อป้องกันจุลินทรีย์ที่เป็นตัวแปรในการทำให้อาหารเน่าเสียจากการเก็บรักษาได้ยาวนาน

ซึ่งความสะดวกและอร่อยเทียมเหล่านี้ ทำให้เราบริโภคอาหารแปรรูปสูง ไม่ว่าจะเป็น ขนมขบเคี้ยวบรรจุซอง น้ำอัดลม น้ำผลไม้อาหารปรุงสำเร็จแช่แข็ง อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไอศกรีม มาการีน ซอสมะเขือเทศฯลฯ แต่ในคนที่เป็นภูมิแพ้ สุขภาพจะแย่ลง มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ลำไส้แปรปรวน ภูมิแพ้กำเริบ เกิดผื่นคันไม่ทราบสาเหตุเนื่องจากแพ้สารกันเสีย สารปรุงแต่งต่างๆเหล่านั้น(ในอดีต แป้งก็เคยแพ้แบบนี้มาแล้ว)

พฤติกรรมการกินอาหารแปรรูปสูง ยังทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคลำไส้แปรปรวน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคซึมเศร้า และโรคมะเร็งบางชนิด

รายงานล่าสุดที่เพิ่งตีพิมพ์ในปี 2023 ระบุว่า การกินอาหารแปรรูปสูงเพิ่มขึ้นทุก 10% จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง และเนื้องอกในระบบประสาทส่วนกลาง อีกทั้งการกินในปริมาณมาก ๆ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก 

9.รับประทานอาหารที่มีพรีไบโอติกส์(Prebiotics)
พรีไบโอติกส์เป็นเส้นใยชนิดหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ อาหารที่มีพรีไบโอติกส์สูง ได้แก่ อาติโช๊ค กล้วย หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโอ๊ต และแอปเปิ้ล

10.ให้นมบุตรอย่างน้อย 6 เดือน
การให้นมบุตรมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาไมโครไบโอมในลำไส้ เด็กที่กินนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนจะมีบิฟิโดแบคทีเรียที่มีประโยชน์มากกว่าเด็กที่กินนมขวด 

11.รับประทานธัญพืชไม่ขัดสี
ธัญพืชไม่ขัดสีมีเส้นใยและคาร์โบไฮเดรตที่เป็นประโยชน์ เช่น เบต้ากลูแคน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง เบาหวาน และโรคอื่นๆ

12.ลองรับประทานอาหารจากพืช
อาหารมังสวิรัติอาจช่วยลดระดับแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค เช่น อีโคไล รวมถึงอาการอักเสบและคอเลสเตอรอลได้ 

13.รับประทานอาหารที่มีโพลีฟีนอลสูง โพลีฟีนอลเป็นสารประกอบจากพืชที่พบในไวน์แดง ชาเขียว ดาร์กช็อกโกแลต น้ำมันมะกอก และธัญพืชไม่ขัดสี โพลีฟีนอลจะถูกย่อยสลายโดยไมโครไบโอมเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์

14.นอนหลับ 6-8 ชั่วโมง โดยพบว่า การนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนและลดความเครียด ช่วยให้สภาพแวดล้อมในลำไส้มีสุขภาพดีกว่าการนอนน้อยหรือนอนไม่หลับเป็นประจำ 

15.ใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น ยาปฏิชีวนะจะฆ่าแบคทีเรียที่ไม่ดีและดีจำนวนมากในไมโครไบโอมของลำไส้ ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักขึ้นและดื้อยาได้ 









ที่มา :

https :// www . healthline . com/nutrition/gut-microbiome-and-health

https :// www . samitivejhospitals . com/th/article/detail/gut-microbiome

เทคนิคการแพทย์และกายภาพบำบัดThaiJohttps ://he01 . tci-thaijo . org › article › download
รู้หรือไม่ จุลินทรีย์ในลำไส้สำคัญมากกว่าที่คิด🦠Doctor Anywhere Thailandhttps :// www . doctoranywhere . co . th › post › gut-microbi...


วิจัยพบ น้ำตาลเทียม อาจก่อโรคระบบย่อยอาหาร ในระยะยาวสำนักโภชนาการhttps ://nutrition2.anamai .moph . go . th › rrhlnews




วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ทำไมอากาศหนาวทำให้เราติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น


10 ก.พ 2568  สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับฤดูไข้หวัดใหญ่ที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 15 ปี โดยมีผู้ติดเชื้อ 24 ล้านคน และเสียชีวิต 13,000 ราย โรงเรียนหลายแห่งปิดทำการเนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น


ส่วนประเทศญี่ปุ่น พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ถึง 9.523 ล้านคน เฉลี่ยวันละ 66,132 คน แป้งอ่านผ่านตาว่า คนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นกลับมาเมืองไทยช่วงนี้ ป่วยเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่กันตรึมเลยคะ


เชื้อไวรัสก่อโรคในระบบทางเดินหายใจ มีความสามารถแบ่งตัวได้ดีในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า เช่น rhinovirus หรือ corona virus(ไวรัสหวัดธรรมดา) จะแบ่งตัวได้ดีที่อุณหภูมิประมาณ 32-35 องศาเซลเซียส ในขณะที่อุณหภูมิในร่างกายอยู่ประมาณ 36-37 องศาเซลเซียส ดังนั้นเหมือนเรามีป้อมปราการ ไวรัสจะอยู่ได้แค่โพรงจมูกชั้นนอกซึ่งมีอุณหภูมิ 33-35 ซึ่งมีปริมาณไวรัสไม่มากนัก


สำหรับคนทั่วไป ขณะที่มีระบบภูมิคุ้มกันคอยตรวจตราร่วมด้วย ร่างกายก็จะ "เอาอยู่" เราจึงไม่ป่วย แต่เมื่อเราอยู่ในอุณหภูมิที่เย็นกว่าปกติ ร่างกายสร้างความอบอุ่นไม่ทัน อุณหภูมิลดลงเร็ว เชื้อไวรัสที่อยู่ที่โพรงจมูกอยู่แล้ว จะแบ่งตัวได้รวดเร็ว ภูมิคุ้มกันที่อยู่บริเวณนั้นก็รับมือไม่ไหว ทำให้เรามีโอกาสติดเชื้อโรคได้มากขึ้น


สรุปสาเหตุการติดเชื้อไวรัสง่ายกว่าในอากาศหนาวคือ

1. ปัจจัยของไวรัส สามารถแบ่งตัวได้ดีกว่า หากอุณหภูมิลดต่ำลง

2.ปัจจัยร่างกายมนุษย์ อากาศหนาวเย็น ทำให้กลไกการต้านเชื้อไวรัสที่โพรงจมูกแย่ลง



แต่ในร่างกายของคนที่เป็นภูมิแพ้ มักมีการรับรู้ความแตกต่างของอากาศ โดยเฉพาะความเย็นเป็นตัวกระตุ้น ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆนะคะ


เวลาที่เหงื่อเปียกซึมบนศีรษะ ทำให้ผมเปียกบางส่วนซึ่งผู้ป่วยภูมิแพ้หลายคนไม่ค่อยรู้ตัว ส่งผลให้ร่างกายมีความเย็นชื้นเหมือนคนที่เปียกฝน(จะต้องรีบสระผมให้สะอาดและเป่าให้แห้งโดยเร็วเพราะเชื้อโรคชอบความชื้น สามารถแบ่งตัวเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว)มีโอกาสป่วยง่ายขึ้นเมื่อมีความเย็นกว่าหรือความชื้นมากระทบ ร่างกายจะสร้างปฏิกิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้ขึ้น จึงเกิดอาการจามหรือไอในทันที 


เมื่อก่อนตอนที่ภูมิแพ้ยังไม่อยู่ในระยะสงบ แป้งทำงานบ้าน+ทำกับข้าวจนหัวเปียกชื้นประจำพอเปิดตู้เย็นที่มีความเย็นมาก มักจะจามทันทีหรือ จู่ๆเดินผ่านพัดลม สายลมจากพัดลมเจือความชื้นมาโดนตัวเรา จะจามทันทีเช่นกัน(มักเกิดเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้เท่านั้น)


ช่วงก่อน Covid-19 แป้งไปต่างประเทศมักจะเป็นช่วงฤดูหนาว(อุณหภูมิติดลบ)พอเราอาบน้ำอุ่นออกมาแล้วแต่งตัวหน้ากระจก สักพักก็จะจามประมาณ 1-2 ครั้ง นึกเอาเองว่าน่าจะเกิดจากอากาศเย็น ประกอบกับพักผ่อนน้อยจากการเดินทาง ภูมิแพ้เลยกำเริบทุกครั้งเป็นแบบนี้ทุกประเทศ วนเวียนอยู่อย่างนี้ 15 ปี


จนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว(อายุ 45ปี)แป้งอยู่เมืองไทย นั่งแต่งตัวหน้ากระจก ช่วงนั้นน่าจะฤดูฝน แต่งหน้าอะไรเสร็จเรียบร้อย ขั้นตอนสุดท้ายคือจะทาแป้งวิ๊งยี่ห้อ Guerlain(เกอร์แลง) มีคุณสมบัติทำให้หน้าผ่องใสงดงาม พอปัดแป้งวิ๊งเสร็จ จามทันที ฉุกคิดได้ว่า อากาศไม่ได้หนาวเย็นเท่าเมืองนอก ผมเผ้าไม่ได้เปียกชื้น ทำไมเราถึงได้จามกันนะ


คิดตริตรองสักพัก ได้คำตอบล่ะ โห!!ที่ผ่านมา เราแพ้ส่วนผสมสีชมพูในแป้งตัวนี้นี่เอง ใช้ต่อเนื่องกัน 3 กระปุก(ปกติจะแพ้อายแชโดว์สีชมพู)แต่อันนั้นทาบนเปลือกตา(ทาทีไรตาจะบวมแดงเป็นปลาทอง ต้องฉีดยาสเตียรอยด์ถึงจะหาย) ไม่นึกว่าทาบนแก้มก็จะแพ้เหมือนกัน เพราะตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่เคยจามซักครั้ง จะจามเฉพาะตอนที่อยู่หน้ากระจกหลังจากทาแป้งวิ้งเท่านั้น(กว่าจะรู้ตัวว่าแพ้เมคอัพตัวนี้ เวลาล่วงผ่านมา 15 ปี)


สาเหตุคือ เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ทำงานมากเกินไป ทำให้เยื่อบุที่อวัยวะต่างๆมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นทำให้เกิดการตอบสนองที่มากผิดปกติของอวัยวะนั้นๆเช่น กรณีเป็นที่จมูก เรียกว่าโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ มีอาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหลทางจมูกหรือไหลลงคอ

คัดจมูก คันเพดานปากหรือคอ


ปัจจุบัน โรคภูมิแพ้ของแป้งอยู่ในระยะสงบแล้วนะคะ ทำงานบ้านจนหัวเปียกโชก เดินผ่านพัดลม ก็ไม่มีอาการจามฮัดชิ้วเหมือนในอดีต

ทาบรัชออนหรืออายแชโดว์สีชมพูได้ ไม่มีอาการจามหรือระคายเคืองคันจนตาบวมเป็นปลาทองแต่อย่างใด 


นึกขอบคุณตัวเองที่สนใจเรื่องวิตามิน+อาหารที่อุดมไปด้วยไมโครไบโอม(microbiome)ที่หลากหลาย เห็นผลชัดเจนช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวเนื่องกับอาการแพ้ได้จริงๆ(คนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายทุกวันนี้ มีจำนวนมากถึง 62% มีผิวบอบบางแพ้ง่าย จำเป็นต้องเอาใจใส่ในเรื่องการดูแลสมดุลของไมโครไบโอมบนผิว)ไม่เช่นนั้นแป้งยังคงป่วยเป็นภูมิแพ้อยู่ร่ำไปคะ 


การฟื้นฟูไมโครไบโอมเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ไม่ยาก การเลือกพรีไบโอติกและโพรไบโอติกในอาหารที่เรากินเข้าไป จะช่วยหล่อเลี้ยงแบคทีเรียที่ดีให้กับร่างกายของเราและส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหารด้วยนะคะ



ที่มา :

The United States faces its worst flu season in 15 years, with 24 people infected... OnlyMyHealthhttps://www.onlymyhealth.com › Health News › Latest


แพทย์หญิงปุษยบรรพ์ สุวรรณคีรี

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนจบ)

เวลาที่เราไปเลือกซื้อผักและผลไม้ตามซุปเปอร์มาเก็ต จะพบว่า ผักผลไม้ชนิดเดียวกันมีราคาแพงกว่าที่วางจำหน่ายในห้างค้าส่ง ตอนแรกแป้งก็สงสัยว่า ทำไมราคาต่างกันเกือบเท่าตัว พอได้ซื้อแอปเปิ้ลฟูจิและส้มวาเลนเซียมาลองกินดู โอ๊ะ!! ความสด กรอบอร่อยของแอปเปิ้ลแตกต่างตามการคัดเกรด ส่วนส้มวาเลเซีย เนื้อส้มหวานฉ่ำ ไม่ฝ่อห่อเหี่ยวเหมือนซื้อจากห้างค้าส่งนะคะ

ใดๆคือ ซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้ง 2 ที่ จะมีตราสัญลักษณ์แปะไว้ที่ผักว่า ผักปลอดภัย ผักออแกนิกมั่ง ตอนนั้นสังเกตเห็นแต่ไม่ได้สนใจใคร่รู้ คิดว่าปลอดสารพิษเหมือนๆกันล่ะมั๊งท่า สนใจราคามากกว่าอย่างอื่น พอมีข่าวองุ่นไซมัสแคทเท่านั้นแหละ อืม!! หาข้อมูลเพิ่มดีกว่า ชักอยากรู้แวดวงเกษตรกรรมขึ้นมาเชียว

ผักปลอดสารพิษ คือผักที่มีระบบการผลิตที่ใช้สารเคมีในการป้องกันและปราบศัตรูพืชรวมถึงปุ๋ยเคมีเพื่อการเจริญเติบโตของพืช แต่ให้เว้นช่วงการใช้สารเคมีก่อนการเก็บเกี่ยว ซึ่งผลผลิตที่ได้จะยังมีสารเคมีตกค้าง แต่ไม่เกินในปริมาณที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยมีการขอใบรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ใบรับรองผักปลอดสารพิษ

ผักปลอดสารพิษแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ผักปลอดสารเคมี (PESTICIDE FREE)
การปลูกผักปลอดสารเคมี จะเน้นการควบคุมการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก แต่จะไม่ใช้สารเคมีในการกำจัดแมลง (โดยจะยังคงใช้ปุ๋ยเคมีและฮอร์โมนเร่งผลผลิต) หากแต่เป็นสารเคมีที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 

ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวจะต้องมีสารเคมีตกค้างไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ โดยมีหน่วยงานรับรองมาตรฐานจากกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ไม่มีสารตกค้างเกินระดับมาตรฐาน จึงแน่ใจว่าเป็นผักปลอดสารเคมี

2. ผักอนามัย (PESTICIDE SAFE)
ผักอนามัยหรือเรารู้จักกันในชื่อของ “ผักกางมุ้ง” เป็นผักที่ยังคงใช้สารเคมีเพื่อการเจริญเติบโตและใช้สารกำจัดแมลง แต่จะเป็นสารเคมีที่มีพิษตกค้างในระยะสั้น และหยุดฉีดพ่นสารเคมีก่อนการเก็บเกี่ยวตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ 

การปลูกผักประเภทนี้มีอยู่ 2 แบบ คือ การปลูกโดยใช้มุ้งตาข่ายหรือกางมุ้ง และอีกแบบจะไม่ใช้มุ้งตาข่าย แต่เน้นการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน คือเน้นปลูกผักตามฤดูกาลร่วมกับผักประเภทกะหล่ำปลี ตั้งโอ๋ ซึ่งช่วยลดการระบาดของแมลงแถมเป็นผลดีต่อการค้าขายเพราะมีผักหลายชนิดวางจำหน่าย ส่วนการรับรองมาตรฐานจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกับผักปลอดสารพิษ

3.ผักไฮโดรโปนิกส์ (HYDROPONICS)
การปลูกผักประเภทนี้เป็นการปลูกโดยใช้น้ำแทนดิน โดยผสมอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตลงในน้ำ รากพืชที่สัมผัสน้ำจะดูดซึมสารอาหารสะสมไว้ที่ใบ ส่วนรากที่ไม่สัมผัสน้ำจะทำหน้าที่รับออกซิเจน ผักที่นิยมปลูกประเภทนี้ เป็นผักสลัดพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งต้องนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศ

4.ผักเกษตรอินทรีย์ (ORGANIC FARMING)
เรารู้จักผักชนิดนี้ในชื่อเรียกว่า “ผักออร์แกนิก” เป็นผักที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม (GMO) ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช ยาฆ่าแมลงหรือฮอร์โมนต่าง ๆ การผลิตผักประเภทนี้จะเน้นใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ส่วนการกำจัดศัตรูพืชจะใช้สารเคมีที่ผลิตจากธรรมชาติ เช่น สะเดา โล่ติ๊น จึงปลอดภัยต่อสุขภาพและไม่ทำลายสภาพสิ่งแวดล้อม

สารกำจัดแมลงแบบอินทรีย์ เป็นสารสกัดที่มาจากพืช ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูก ผลผลิตและมนุษย์ แต่สารกำจัดแมลงแบบอินทรีย์มักมีประสิทธิภาพต่ำ ทำให้ต้องฉีดบ่อยครั้ง ทั้งยังมีความเฉพาะเจาะจงต่อแมลงบางชนิด ไม่สามารถกำจัดได้อย่างครอบคลุม 

ทําไมผลผลิตออร์แกนิกถึงมีสารกําจัดศัตรูพืช

ผู้บริโภคจํานวนมากเลือกอาหารออร์แกนิกเพราะเชื่อว่าปลูกและผลิตโดยไม่ใช้สารกําจัดศัตรูพืช เนื่องจากสารกําจัดศัตรูพืช
จํานวนมากถูกห้ามจากเกษตรอินทรีย์ นี่เป็นก้าวสําคัญในทิศทางที่ถูกต้อง แต่เกษตรกรเกือบทั้งหมดหรือแม้แต่เกษตรกรอินทรีย์จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงบางชนิด แต่ใช้คนละชนิดกัน

สารกําจัดศัตรูพืชส่วนใหญ่ในรายการ USDA Organic ของสารที่ได้รับอนุญาตมีต้นกําเนิดจากธรรมชาติ ในขณะที่เกษตรกรทั่วไปได้รับอนุญาตให้ใช้สารกําจัดศัตรูพืชสังเคราะห์ 900 ชนิด แต่ทว่าเกษตรกรอินทรีย์ได้รับอนุญาตให้ใช้สารกําจัดศัตรูพืชสังเคราะห์เพียง 25 ชนิดเท่านั้น 

ด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ยุ่งยากกว่าการใช้ทางลัด เพราะต้องคำนึงหลายปัจจัย นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมพืชผักออร์แกนิกถึงมีราคาสูงกว่าปกติหลายเท่า แป้งลองซื้อผักบุ้งออร์แกนิกในซุปเปอร์มาเก็ต 150 กรัม ราคา 22 บาท เท่ากับโลละ 140 บาทแต่ซื้อผักบุ้งตลาดสดโลละ 20 บาท ต่างกัน 7 เท่า หรือผักกวางตุ้งฮ่องเต้ 200 กรัมราคา 40 บาท เท่ากับโลละ 200 บาท สภาพผักคือ สดมากๆ ผักต้นอ่อนทุกต้นเหมือนที่แม่แป้งปลูกเลย กรอบอร่อยสมราคา แต่แพงมาก ส่วนราคาตลาดสดไม่แน่ใจเพราะเหมือนจะไม่เห็นผักชนิดนี้ เคยเห็นแต่ผักคะน้าฮ่องเต้(สภาพผักแก่เชียว)เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกต่างๆที่เราแทบจะไม่เคยเห็นว่า ถูกกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามท้องตลาดนั่นเอง


#ผักออร์แกนิก
#ผักปลอดสารพิษ
#ผักไฮโดรโปนิกส์
#ผักกางมุ้ง
#ผักอินทรีย์










วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนที่ 4)

หากตามข่าวดีๆจะพบว่า สารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชอยู่คู่กับคนไทยมาช้านานแล้ว แป้งคัดลอกข่าวบางส่วนมาให้อ่านกันนะคะ

29 ก.ย.2561 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตรและสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินโครงการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในผักและผลไม้สด ตามเกณฑ์มาตรฐานของไทย

สำหรับการดำเนินงานในปี 2561 มีการเก็บตัวอย่างผักและผลไม้สดทั้งหมด 41 ชนิดพืช รวม 7,054 ตัวอย่างจากทั่วประเทศ ผ่านมาตรฐานร้อยละ 88.8 ไม่ผ่านมาตรฐานร้อยละ 11.2 และเมื่อนำปริมาณที่ตรวจพบในผักและผลไม้สดมาประเมินความเสี่ยงของผู้บริโภค พบว่า ร้อยละ 99.86 อยู่ในระดับที่ปลอดภัย

จากข้อมูลการตรวจของกระทรวงสาธรณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า
ผักและผลไม้สดที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 100% มีจำนวน 6 ชนิด ได้แก่ มันฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง มังคุด ผักกาดขาวปลี ถั่วแขก ส่วนข้าวโพดหวานพบสารพิษต่ำมาก

ผักและผลไม้สดที่พบปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด 6 อันดับแรก ได้แก่ พริก ถั่วฝักยาว คะน้า ส้ม มะเขือเปาะ มะเขือเทศ แต่ทั้งนี้ยังมีความปลอดภัยในการบริโภค เนื่องจากสารตกค้างนี้จะเกิดอันตรายต่อเมื่อผู้บริโภค บริโภคในปริมาณมากเท่านั้น

ปลายปี 2563 "ไทยแพน" พบผักผลไม้ 58.7% มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน "องุ่นนำเข้า พุทราจีน พริก ขึ้นฉ่าย คะน้า มะเขือเทศเล็ก" เจอ 100%
 
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เผยผลการตรวจสอบผักและผลไม้ประจำปี 2563 โดยสุ่มตรวจผักผลไม้ทั้งหมด 509 ตัวอย่างจากทั่วประเทศ โดยประกอบไปด้วย ผลไม้จำนวน 9 ชนิด อาทิ ส้มโอ, ส้มแมนดารินนำเข้า, ลองกอง, น้อยหน่า, แก้วมังกร, ฝรั่ง, ส้มสายน้ำผึ้ง, พุทราจีน และองุ่นแดงนอก
 
ส่วนผักจำนวน 18 ชนิด ประกอบด้วย ข้าวโพดหวาน, มันฝรั่ง, หน่อไม้ฝรั่ง, กระเจี๊ยบเขียว, แครอท, ถั่วฝักยาว, บร็อกโคลี, หัวไชเท้า, ผักบุ้ง, มะระ, กะเพรา, กวางตุ้ง, ผักชี, มะเขือเทศผลเล็ก, คะน้า, ขึ้นฉ่าย, พริกแดง พริกขี้หนู และของแห้ง 2 ชนิด ได้แก่ พริกแห้ง และเห็ดหอม โดยส่งตัวอย่างทั้งหมดไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการในประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งสามารถตรวจวัดผลได้ครอบคลุมสารเคมีกำจัดแมลงและเชื้อรา (ไม่รวมสารเคมีกำจัดวัชพืช) กว่า 500 ชนิด  และได้รับรองมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO17025)

ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-PAN ได้เปิดผลการตรวจวิเคราะห์พบว่า มีผักและผลไม้มากถึง 58.7% ที่พบสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน ทั้งนี้ผักที่พบการตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด คือ มะเขือเทศผลเล็ก พริกขี้หนู พริกแดง ขึ้นฉ่าย คะน้า พบตกค้างเกินมาตรฐานทั้งหมดทุกตัวอย่าง (100%) จากที่เก็บมาชนิดละ 16 ตัวอย่าง

*** หมวดผลไม้ที่พบสารตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด 8 อันดับแรก ได้แก่ 
1. องุ่นแดงนอก พบสารตกค้าง 100%
2. พุทราจีน พบสารตกค้าง 100%
3. ส้มสายน้ำผึ้ง พบสารตกค้าง 81%
4. ฝรั่ง พบสารตกค้าง 60%
5. แก้วมังกร พบสารตกค้าง 56%
6. น้อยหน่า พบสารตกค้าง 43%
7. ลองกอง พบสารตกค้าง 14%
8. ส้มแมนดารินนำเข้า พบสารตกค้าง 13%
ส่วนส้มโอไม่พบการตกค้างเกินมาตรฐาน

*** หมวดผักสดที่พบสารตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 
1. พริกขี้หนู-พริกแดง พบสารตกค้าง 100%
2. ขึ้นฉ่าย พบสารตกค้าง 100%
3. คะน้า พบสารตกค้าง 100%
4. มะเขือเทศเล็ก พบสารตกค้าง 100%
5. ผักชี พบสารตกค้าง 88%
6. ผักกวางตุ้ง พบสารตกค้าง 81%
7. กะเพรา พบสารตกค้าง 81%
8. ถั่วฝักยาว พบสารตกค้าง 44%
9.แครอท พบสารตกต้าง 19%
10.กระเจี๊ยบเขียว พบสารตกค้าง 6%
ส่วนมันฝรั่งพบการตกค้างในระดับไม่เกินมาตรฐาน และข้าวโพดหวานไม่พบการตกค้างเลย

สำหรับของแห้ง  ได้แก่เห็ดหอมแห้งและพริกแห้งนั้น พบการตกค้างในระดับไม่ปลอดภัยมากถึง 94% และ 88% ตามลำดับ

สำหรับแหล่งจำหน่ายเมื่อเปรียบเทียบระหว่างห้างกับตลาดสดทั่วไปนั้น พบว่า
1. ผักและผลไม้จากตลาดทั่วไป พบสารตกค้าง 60.1% 
2.ห้างพบการตกค้างน้อยกว่าเล็กน้อยที่ระดับ 56.7%  
ทั้งที่โดยส่วนใหญ่จะจำหน่ายผักผลไม้ราคาแพงกว่าตลาดสดทั่วไป  

โดยในส่วนของตลาดสดทั่วไปนั้น มีการสุ่มตรวจผักจากตลาดทั่วประเทศ 10 จังหวัด พบว่า ตลาดจังหวัดนนทบุรีมีการพบตัวอย่างการตกค้างเกินมาตรฐาน 72.4% และตลาดสดเชียงใหม่ตกค้างน้อยที่สุด 48.3%  

สำหรับห้างค้าปลีกและสมัยใหม่(modern trade)นั้น ห้างค้าปลีกที่พบการตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด เรียงลำดับได้แก่ แม็คโคร (69%)  วิลล่ามาร์เก็ต (65.4%) เทสโก้ (56%)   บิ๊กซี (51.7%) กูร์เมต์มาร์เก็ต (51.7%) และท็อปส์ (41.4%)

จากการตรวจพบสารเคมีที่แบนแล้ว (วัตถุอันตรายชนิดที่ 4) จำนวน 5 ชนิด ได้แก่ คลอร์ไพริฟอส เอ็นโดซัลแฟน เมธามิโดฟอส เพ็นตาคลอโรฟีนอล และซัลโฟเท็พ  รวมทั้งพบสารนอกบัญชีวัตถุอันตรายอีก 32 ชนิด ซึ่งผิดกฎหมายนั้น จะนำเอกสารนี้เพื่อขอให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการแก้ปัญหา 

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์สุ่มเก็บตัวอย่างผักผลไม้สด 144 ตัวอย่าง 
พบตกค้างเกินค่ากำหนด 6.2%  

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ในปี 2566 สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินการสุ่มเก็บตัวอย่างผักและผลไม้สด เพื่อตรวจเฝ้าระวังการตกค้างของสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช ด้วยวิธีทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งในตัวอย่างที่ส่งมาตรวจวิเคราะห์มีผักที่นิยมบริโภคช่วงเทศกาลเจ ได้แก่ คะน้า ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี กวางตุ้ง หัวไชเท้า แครอท เห็ด ส้ม แอปเปิ้ล องุ่น ฝรั่ง สาลี่ จำนวนตัวอย่างทั้งหมด 144 ตัวอย่าง

โดยผลการตรวจวิเคราะห์ เป็นดังนี้
1.ไม่พบการตกค้าง คิดเป็นร้อยละ 81.9 
2.พบการตกค้าง แต่ไม่เกินค่ากำหนดตามพระราชบัญญัติอาหาร ร้อยละ 11.8 
3.พบการตกค้างเกินค่ากำหนดตามพระราชบัญญัติอาหาร ร้อยละ 6.2 

ผักและผลไม้สดที่พบการตกค้างสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชเกินมาตรฐานกำหนด ได้แก่ คะน้าและส้ม

ถึงว่าคะน้าราคาถูกเพราะเป็นพืชที่เจริญเติบโตเร็ว คะน้าที่ปลูกในประเทศไทยมีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 45-55 วัน(เกษตรกรก็ตัดขายได้แล้ว)หลังจากปลูก คะน้าอายุ45 วัน เป็นระยะที่ตลาดมีความต้องการมาก แต่คะน้าที่มีอายุ50-55 วันเป็นระยะที่เก็บเกี่ยวได้น้ําหนักมากกว่า(แป้งเจอบ่อยในห้างค่าส่งหรือตลาดสด ไม่ค่อยเจอคะน้าอ่อนยกเว้นคะน้าที่แม่ปลูกเอง อร่อย กรอบ ปลอดสารพิษ)
ก้านคะน้าแข็งยังกับสากกะเบือ ขนาดปอกเปลือกออกก็แล้ว คนที่ฟันฟางไม่ค่อยดี เลี่ยงได้เลี่ยง ยกเว้นคะน้าฮ่องกงจะกินได้ทั้งต้น)

วันก่อนแป้งไปเดินห้าง เผอิญได้ยินผู้ใหญ่คุยกันถามความหลังสารทุกข์สุกดิบ พี่ผู้หญิงหนึ่งในวงบอกว่า เพิ่งเลิกทำสวนทุเรียน อีกคนท้วงว่า ทำไมเลิกเป็นเศรษฐีทุเรียนล่ะ 

แกตอบว่า ‘‘ให้คนอื่นทำต่อ ไม่ไหวอายุมากแล้ว ฉีดยาทุเรียนเยอะเกิน ’’แป้งได้ยินแล้วขนลุกเพราะเพิ่งตะหนักถึงต้นทางห่วงโซ่อาหาร  ไม่ว่าพืชผักผลไม้อะไรก็ตาม หากไม่ฉีดยาฆ่าแมลง ผลผลิตจะสูญเปล่าเพราะแมลงศัตรูพืชกินเรียบ มิน่าล่ะ !! ผักออแกนิคถึงได้มีราคาแพงเป็น 2-3 เท่าตัว








ที่มา :

'ผักผลไม้'ที่มีสารพิษตกค้าง 100 เปอร์เซ็นต์ : องุ่นนำเข้า พุทราจีน ...bangkokbiznewshttps://www.bangkokbiznews.com › health

กรมวิทย์เผยผลตรวจผักผลไม้พบสารตกค้างเกินกำหนด 6.2% ส่วน ...Hfocus.orghttps://www.hfocus.org › content › 2023/10

เช็กผักผลไม้ 6 อันดับ สารพิษตกค้าง-ปลอดสาร 100%Thai PBShttps://www.thaipbs.or.th › ข่าว › สังคม

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนที่ 3)

ปิดฉากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทำลายสมอง รัฐบาลไบเดนประกาศแบนคลอร์ไพริฟอส(Chlorpyrifos)

5 ก.ย 2021 เป็นข่าวใหญ่โตในสื่อสหรัฐ เมื่อหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา(EPA) ประกาศแบนคลอร์ไพริฟอส สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ใช้ในผักและผลไม้ มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการเกษตร รวมทั้งในถั่วลิสง ผลไม้ พืชตระกูลถั่ว กะหล่ำปลี บล๊อคโคลี่ ซึ่งเป็นสาเหตุของผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมองและระบบประสาทของเด็กและทารกแล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของผู้บริโภค องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงานรับจ้างในภาคเกษตรของสหรัฐ หลังจากการการเคลื่อนไหวให้มีการแบนสารพิษร้ายแรงมานานกว่าสิบปี

ผู้เชี่ยวชาญหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา( EPA )ในยุคของบารัก โอบามา เสนอให้มีการแบนสารพิษนี้แล้ว แต่ถูกปฏิเสธเมื่อปี 2560 โดย Scott Pruitt ผู้บริหารของ EPA ที่ถูกแต่งตั้งโดยโดนัล ทรัมป์

Michal Freedhoff เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ EPA ด้านความปลอดภัยของสารเคมีและมลพิษ ให้สัมภาษณ์ต่อวอชิงตันโพสต์ว่า “สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากความพยายามกว่าทศวรรษของการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคลอร์ไพริฟอสมีผลกระทบต่อพัฒนาการทางระบบประสาทในเด็ก แม้แต่ได้รับในระดับที่ต่ำกว่าที่เคยคิดไว้” 

การใช้คลอร์ไพริฟอสทางการเกษตร จะถูกยกเลิกทั้งหมดภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่ EPA มีมติเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา 
สำหรับในสหภาพยุโรปมีการห้ามใช้ไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนการใช้นอกภาคการเกษตร เช่น ในสนามกอล์ฟ เป็นต้น จะมีการพิจารณาอีกครั้งในปีหน้า

คอร์ทีวา (Corteva) หรือเดิมคือ ดาว-ดูปองท์ (DowDupont) บริษัทผู้ผลิตสารกำจัดแมลงคลอร์ไพริฟอสกำลังเผชิญกับการฟ้องร้องดำเนินคดีแบบกลุ่ม หลังจาก 4 ครอบครัวในแคลิฟอร์เนียยื่นฟ้องเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2564 เนื่องจากลูกๆของพวกเขาได้รับผลกระทบทางสมอง

สารเคมีกำจัดแมลงคลอร์ไพริฟอสนิยมใช้กำจัดศัตรูพืชในผักและผลไม้หลายชนิด โดยจากการเฝ้าระวังของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช(Thai-Pan)พบว่า เป็นหนึ่งในสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างมากที่สุดในผักและผลไม้

กระทรวงสาธารณสุขในสมัย นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร มีข้อเสนอให้ยกเลิกการใช้สารเคมีคลอร์ไพริฟอสและพาราควอต ซึ่งใช้เวลากว่า 3 ปี จนคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติให้ยกเลิกการใช้ในที่สุด โดยคลอร์ไพริฟอสถูกประกาศยกเลิกการใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563




ที่มา ;

ปิดฉากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทำลายสมอง รัฐบาลไบเดนแบบคลอร์ไพริ ...thaipan.orghttps://thaipan.org › highlights

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนที่ 2)

24 ต.ค.2567 เป็นข่าวฮือฮาเมื่อเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN)  ร่วมกับ นิตยสารฉลาดซื้อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงผลการตรวจสารพิษในองุ่นไชน์มัสแคททั้งหมด 24 ตัวอย่าง ปรากฎว่า 23 ตัวอย่างจาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินที่กฎหมายกำหนด โดย 1 ตัวอย่างพบสารคลอร์ไพริฟอส ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 และเป็นสารที่ถูกแบนในไทยแล้ว 

เรามารู้จักคลอร์ไพริฟอส(Chlorpyrifos) กันดีกว่าคะ

คลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos)เป็นสารประกอบประเภทออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphates) มีฤทธิ์กำจัดแมลงและหนอนต่างๆได้หลายชนิด เกษตรกรจึงใช้สารเคมีชนิดนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1965 (พ.ศ.2508) เพื่อเป็นยากำจัดศัตรูพืช

คลอร์ไพริฟอส จะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของระบบประสาทในตัวแมลง(Inhibiting acetylcholinesterase) องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้คลอร์ไพริฟอสเป็นสารประกอบที่มีอันตราย การสัมผัสโดยตรงสามารถส่งผลกระทบต่อระบบประสาทของมนุษย์ และทำให้เกิดภาวะภูมิต้านทานตนเอง (Autoimmune disorders)

นอกจากนี้สารประกอบออร์กาโนฟอสเฟต ยังสร้างผลกระทบต่อกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย เช่น ทำให้สูญเสียการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ทำลายกระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายต่ำลง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต สตรีมีครรภ์ที่ได้รับสารประกอบชนิดนี้ จะส่งผลให้การพัฒนาระบบประสาทของทารกในครรภ์ผิดปกติได้

การศึกษาของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย พบว่าระดับ IQ และความจำในการทำงานที่ลดลงของเด็กอายุ 7 ขวบ มีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของการสัมผัสคลอร์ไพริฟอสก่อนคลอด 

การศึกษาอีกกรณีหนึ่งในกลุ่มเดียวกัน พบว่า เด็กอายุ 3 ขวบที่มีการสัมผัสกับคลอร์ไพริฟอสก่อนคลอดมากกว่าปกติ มีแนวโน้มที่จะมีความล่าช้าของพัฒนาการในวัยเด็ก ปัญหาความสนใจ ปัญหาสมาธิสั้น และปัญหาความผิดปกติทางพัฒนาการทั่วไป

การศึกษาของ UC Davis พบว่า คุณแม่ที่อาศัยในรัศมี 1 ไมล์จากทุ่งนาที่ใช้คลอร์ไพริฟอสและยาฆ่าแมลงออร์กาโนฟอสเฟตชนิดอื่น มีโอกาสที่ลูกจะเป็นโรคออทิสติกสเปกตรัมสูงขึ้น 60 เปอร์เซ็นต์ 

ความเชื่อมโยงระหว่างโรคออทิสติกและยาฆ่าแมลงอาจเป็นเพราะการสัมผัสยาฆ่าแมลงในระหว่างตั้งครรภ์ทำให้ความเสี่ยงต่อโรค
ออทิสติกเพิ่มขึ้น

การศึกษาล่าสุด พบความเชื่อมโยงระหว่างการสัมผัสกับคลอร์ไพริฟอสและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสมองในเด็กอายุ 7 ขวบ

จากข้อมูลความเป็นพิษหลายประการของคลอร์ไพริฟอส ทำให้ครอบครัวเกษตรกรในอเมริกา เลิกใช้คลอร์ไพริฟอสในฟาร์มของตนเองตั้งแต่ปี ค.ศ.2001 (พ.ศ.2544) เป็นต้นมา แต่เพิ่งมีการประกาศแบนในสหรัฐอเมริกา ปี 2021 ที่ผ่านมานี่เอง

การบริโภคคลอร์ไพริฟอสที่ตกค้างในพืชผักเป็นปริมาณมากๆ สามารถทำให้มนุษย์เสียชีวิตได้ อดีตที่ผ่านมาคลอร์ไพริฟอสเป็นยาฆ่าแมลงที่มีการจำหน่ายเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก โดยใช้ฉีดพ่นลงในแปลงเกษตร เช่น ฝ้าย ข้าวโพด อัลมอนด์ รวมถึงผลไม้จำพวกส้ม กล้วย และแอปเปิ้ล แต่ถูกต่อต้านและมีการยกเลิกการใช้ยาฆ่าแมลงชนิดนี้ในหลายประเทศเช่นกัน

ผลกระทบต่อระบบนิเวศมีดังนี้
1.ปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำ อากาศ พื้นดิน จนทำให้เสียสมดุลของระบบนิเวศน์และการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า รวมถึงแมลงที่มีประโยชน์อย่าง ผึ้ง ผีเสื้อที่ช่วยผสมพันธุ์พืชตามธรรมชาติได้ตายลงเป็นจำนวนมาก ตัวอ่อนของสัตว์น้ำ เช่น ลูกปลาไม่สามารถเจริญเป็นตัวเต็มวัยมักตายลงเสียก่อน หรือการปนเปื้อนในปลาใหญ่ที่พอจะทนพิษยาฆ่าแมลงได้อาจส่งผลกระทบมาถึงผู้บริโภคปลาด้วย

2.ไส้เดือนซึ่งเป็นสัตว์เกษตรกรที่ผิวดิน มีหน้าที่ทำให้ดินร่วนซุยและเกิดปุ๋ยตามธรรมชาติจะสูญหายไปจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากยาฆ่าแมลง สัตว์ป่าตามธรรมชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศน์ภาคเกษตรกรรม เช่น นก อาจสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ

3.เกิดภาวะกลายพันธุ์ของแมลงที่เป็นศัตรูพืช แมลงเหล่านี้สามารถทนพิษของยา ฆ่าแมลงทำให้เราเรียนรู้ว่าการใช้ยาฆ่าแมลงไม่ใช้วิธียั่งยืน แต่กลับก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า

4.มนุษย์ที่ได้รับยาฆ่าแมลงโดยตรงหรือโดยอ้อมหรือไม่รู้ตัวว่ากำลังได้รับยาฆ่าแมลงอยู่ จนทำให้เกิดโรคต่อร่างกายได้มากมายไม่ว่าจะเป็นโรคทางระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจ กล้ามเนื้อ หัวใจและมะเร็ง

ผลกระทบของสารกําจัดศัตรูพืชต่อผักและผลไม้

ดีดีที (ไดคลอโรไดฟีนิลไตรคลอโรอีเทน) เป็นตัวอย่างของ POP( มลพิษอินทรีย์ถาวร คือเป็นสารกําจัดศัตรูพืชชนิดหนึ่งที่ทนต่อการย่อยสลาย ดังนั้นจึงยังคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานาน)ที่มีพิษสูง ในปี ค.ศ 1900 มีการค้นพบว่า ดีดีทีเป็นยาฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงมีการใช้อย่างกว้างขวางโดยเกษตรกร ผลกระทบทางชีวภาพที่เป็นอันตรายของดีดีทีถูกค้นพบในอีกยี่สิบปีต่อมา ปัจจุบันถูกแบนในหลายประเทศเนื่องจากผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง

ในปี ค.ศ. 1962 นักชีววิทยาชาวอเมริกันชื่อ ราเชล คาร์สัน
ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Silent Spring บรรยายถึงผลกระทบของดีดีทีต่อสิ่งแวดล้อม การก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ และทำให้สัตว์ป่าหลายชนิดโดยเฉพาะนก เช่น นกอินทรีหัวขาวจำนวนลดลงจนเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ทำให้เกิดการศึกษาวิจัยสืบเนื่องและรณรงค์ให้ยกเลิกการใช้ดีดีทีอย่างขนานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา จนมีการประกาศใช้กฎหมายห้ามใช้ดีดีทีในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972 และเกิดอนุสัญญาสต็อกโฮล์ม ห้ามการใช้ดีดีทีทั่วโลกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001

สารบางชนิดที่พบในสารกําจัดวัชพืช(herbicide )ได้แก่

1.Glyphosate(ไกลโฟเสท)มีชื่อทางการค้าเรียกว่า Roundup(ราวด์อัพ),ทัชดาวน์, สปาร์ค, ไกลโฟเสทเป็นสารก่อกวนต่อมไร้ท่อ มักเชื่อมโยงกับมะเร็ง โรคตับ ปัญหาการเจริญพันธุ์ ข้อบกพร่องตั้งแต่แรกเกิด ปัญหารก และความเสียหายของดีเอ็นเอในตัวอ่อน
ซึ่งบริษัทผู้ผลิตเคลมว่าไม่ทำอันตรายในคน แต่พบว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ในสหรัฐอเมริกาก็มีเคสฟ้องร้องกันอยู่ แล้วผู้ป่วยชนะคดีด้วย ในบ้านเราเพิ่งจะตื่นตัว รณรงค์ห้ามใช้สารนี้เช่นกันคะ

พวกผู้อพยพที่มารับจ้างทำเกษตรกรรมในสหรัฐอเมริกา มักจะขาดความรู้และความระมัดระวังเวลาที่ใช้พวกยากำจัดแมลงศัตรูพืช คือไม่ได้ใช้พวกอุปกรณ์ป้องกันต่างๆทำให้สัมผัสกับสารเคมีโดยตรง จึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ คนกลุ่มนี้เลยมีอายุเฉลี่ยประมาณไม่เกิน 50 ปี ก็ตายจากโลกใบนี้ไปเสียแล้ว

2.Atrazine เป็นสารก่อกวนต่อมไร้ท่ออีกตัวหนึ่ง ทราบกันดีว่าทําให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมดลูก ส่งผลให้น้ําหนักทารกในครรภ์ต่ํา ความพิการของแขนขา และภาวะแทรกซ้อนของหัวใจและทางเดินปัสสาวะ

3.คลอโรไพริฟิซิส เชื่อมโยงกับผลกระทบทางระบบประสาทและความผิดปกติของพัฒนาการในเด็ก ความผิดปกติของภูมิต้านตนเองและปัญหาระบบทางเดินหายใจในผู้ใหญ่

4.Heptachlor เป็นสารก่อมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับเนื้องอกในตับ ระบบทางเดินอาหารและอาการทางระบบประสาท เช่น หงุดหงิดและเวียนศีรษะ

เกษตรกรไทยเสี่ยงป่วยด้วยพิษยาฆ่าแมลง-กำจัดศัตรูพืช ในปี 2561 พบผู้ป่วยเกือบ 1 หมื่นคน

คุณหมอแผนกอายุรกรรมในโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งในภูมิภาค เคยบอกไว้ว่า เจอเคสผู้ป่วยที่รับจ้างฉีดยาฆ่าแมลง มักจะมาด้วยอาการมีแผลพุพองบริเวณหลังลามไปจนถึงแขนและมือ(ปกติจะสะพายถังยาฆ่าแมลงไว้บนหลังเหมือนเด็กนักเรียนสะพายเป้) หายใจติดขัด  ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก การพยากรณ์โรคไม่ค่อยดี สุดท้ายมักเสียชีวิตในวัยไม่เกิน 40 ปีทุกราย 





#สารเคมีกำจัดแมลง
#องุ่นไชมัสคัส(shine muscat)
#คลอร์ไพริฟอส(Chlorpyrifos)
#ไกลโฟเสท(Glyphosate)
#สารเคมีกำจัดวัชพืช
#สารเคมีตกค้างในองุ่น
#ยาฆ่าแมลงออร์กาโนฟอสเฟต
#ดีดีที (ไดคลอโรไดฟีนิลไตรคลอโรอีเทน)
#สารกําจัดศัตรูพืช






ที่มา

คลอร์ไพริฟอส Chlorpyrifos - หาหมอ.com - HaamorHaamorhttps://haamor.com › คลอร์ไพริฟอส

คลอร์ไพริฟอส    | เครือข่ายการกำจัดศัตรูพืชและเกษตรนิเวศวิทยา ( ...Pesticide Action Network (PAN)https//www.panna. org .. resources › chlorpyrifos-facts

เกษตรกรไทย เสี่ยงป่วยด้วยพิษยาฆ่าแมลง-กำจัดศัตรูพืช ปี 61 พบ ...Hfocus.orghttps://www.hfocus.org › content › 2019/06

ดีดีทีWikipediahttps://th.wikipedia.org › wiki › ดีดีที

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ออกกำลังกายตอนเช้าหรือออกกำลังกายตอนเย็นแบบไหนดีกว่ากัน

1.พลังงานที่ใช้ตอนเช้าและตอนเย็น

ออกกำลังกายตอนเช้า หากทำช่วงที่ท้องยังว่าง โดยเฉพาะคนทำ IF และอยู่ช่วงฟาสติ้ง( fasting แปลว่า งดกิน)เพราะว่าตื่นมายังไม่ได้กินอะไรเลยจากการที่นอนมา และอดอาหารมามากกว่า 16 ชั่วโมง 

ร่างกายจะดึงไขมันที่สะสมมาช่วยให้ร่างกายมีพลังงานในการเคลื่อนไหว นั่นหมายความว่า คุณกำลังเบิร์นไขมันเก่าที่เก็บไว้อยู่ การทำแบบนี้ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานจากแหล่งสำรองได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึมให้ทำงานตลอดวัน ทำให้เผาผลาญได้ดีแม้ว่าหลังจากเลิกออกกำลังกายแล้ว

แต่ต้องย้ำว่าการออกกำลังกายชนิดที่ไม่ต้องออกแรงเยอะ เช่น
การเดิน หรือการเดินชัน(ปรับลู่วิ่ง) หรือการทำแบบ LIIT แต่ถ้าเกิดว่ายกเวทหนักๆ หรือทำแบบ HIIT อันนี้ร่างกายจะใช้พลังงานไม่ทันมักจะต้องเอากล้ามเนื้อสลายออกมาเป็นพลังงานมากกว่าการสลายไขมัน

หากต้องการออกกำลังกายในตอนเช้า โดยเฉพาะกับคนที่อยากออกกำลังกายก่อนไปทำงาน ซึ่งต้องตื่นเช้าขึ้นอีกเป็นชั่วโมง สิ่งสำคัญคือต้องนอนให้พอ ไม่อย่างนั้น จะรู้สึกอ่อนเพลียมากขึ้น ทั้งยังเสี่ยงวูบ และทำให้การออกกำลังกายไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร 

แต่ในทางกลับกัน หากเป็นตอนเย็น คุณอาจจะเพิ่งทานอาหารกลางวันหรือของว่างก่อนออกกำลังกาย ดังนั้นร่างกายจะมีพลังงานจากอาหารที่เพิ่งทานเข้ามาใหม่ ทำให้ใช้พลังงานจากแหล่งใหม่ก่อนจะไปดึงพลังงานเก่า  อันนี้ถือว่าเป็นข้อดีเพราะจะช่วยใช้พลังงานระหว่างวันที่สะสมมา ลดโอกาสที่พลังงานเหล่านั้นจะกลายเป็นไขมันสะสมอีกต่อไป

พูดง่าย ๆ คือ หากอยากเน้นการเผาผลาญไขมันเก่า การออกกำลังกายตอนเช้าอาจจะตอบโจทย์ แต่ถ้าแค่อยากเผาผลาญพลังงานจากมื้ออาหารของวันนี้ การออกกำลังกายตอนเย็นก็ดีนะ

2.ผลกระทบต่อระบบเมตาบอลิซึม

เรื่องการเผาผลาญเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ การออกกำลังกายตอนเช้าช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานต่อเนื่องตลอดวัน เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือการเติมน้ำมันเครื่องให้ร่างกาย ตอนเช้าระบบเผาผลาญจะถูกกระตุ้นให้ทำงานดีขึ้น ส่งผลให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงและมีพลังในการทำงานหรือกิจกรรมอื่น ๆ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมัน ทำให้กระบวนการนี้ทำงานได้ตลอดวัน

ส่วนการออกกำลังกายตอนเย็น แม้ว่าร่างกายจะไม่เผาผลาญตลอดวันเหมือนการออกกำลังกายตอนเช้า แต่มีข้อดีตรงที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น 

การออกกำลังกายตอนเช้าสามารถใช้ประโยชน์จากระดับคอร์ติซอลที่สูงเพื่อเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ควรออกกำลังกายแบบเบาถึงปานกลางเพื่อลดความเสี่ยงในการสลายกล้ามเนื้อและป้องกันผลกระทบด้านลบจากคอร์ติซอลที่สูงเกินไป

การเข้าใจบทบาทของคอร์ติซอลจะช่วยให้เราเลือกวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานได้อย่างดี

หลายคนบอกว่า การออกกำลังกายตอนเย็นช่วยทำให้หลับได้ลึกขึ้น เนื่องจากร่างกายได้ปลดปล่อยพลังงานที่สะสมมาในแต่ละวัน ก็เป็นการใช้พลังงานที่เหลือให้หมดก่อนจะเข้านอน ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย พร้อมกับกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญทำงานในขณะนอนหลับ

อีกหนึ่งข้อดีของการออกกำลังกายตอนเย็นคือ นอกจากช่วยผ่อนคลายร่างกาย โดยเฉพาะกับชาวออฟฟิศที่นั่งทำงานหลังขดหลังแข็งมาทั้งวัน การไปออกกำลังกายตอนเย็นช่วยให้กล้ามเนื้อได้ยืดเหยียด จะรู้สึกสบายตัวขึ้น นอกจากนั้น ฮอร์โมนเอนดอร์ฟินที่หลั่งออกมาระหว่างออกกำลังกาย ยังช่วยให้อารมณ์ดี และช่วยลดความเครียดที่สะสมมาทั้งวันได้อีกด้วย 

3.การจัดการฮอร์โมน

เรื่องฮอร์โมนเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกเวลาออกกำลังกาย โดยช่วงเช้าฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) จะอยู่ในระดับสูง ซึ่งช่วยกระตุ้นความตื่นตัวและการเผาผลาญไขมัน การออกกำลังกายในช่วงเช้าจึงช่วยจัดการกับความเครียดได้ดี ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวและพร้อมรับวันใหม่

ในขณะที่ตอนเย็น ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) จะสูงขึ้น โดยเฉพาะในคนที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ดังนั้นถ้าคุณมีเป้าหมายในการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อหรือความแข็งแรง การออกกำลังกายตอนเย็นจะช่วยส่งเสริมการทำงานของฮอร์โมนนี้ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้การสร้างกล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพมากกว่า ใครที่เน้นการสร้างกล้ามเนื้อ อาจจะเหมาะกับการออกกำลังกายช่วงเย็นมากกว่า

4.ควรเลือกประเภทการออกกำลังกาย ให้เหมาะสม

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ประเภทของการออกกำลังกายที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา ตอนเช้าอาจเหมาะกับการออกกำลังกายเบา ๆ อย่างเช่น การวิ่งเบา ๆ โยคะ หรือการออกกำลังกายที่ไม่ใช้พลังงานหนัก เพราะร่างกายยังไม่ตื่นเต็มที่ พลังงานที่ใช้จึงเป็นการกระตุ้นระบบเผาผลาญและเตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่  เพราะถ้าไปออกกำลังกายอย่างหนัก เช่น ยกเวท HITT มันคงต้องเข้าใจว่าอาจจะต้องใช้พลังงานพลังงานจากการสลายกล้ามเนื้อ เพราะว่าร่างกายต้องการพลังงานอย่างเร่งด่วน การสลายไขมันอาจจะช้ากว่าเรื่องของการใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อ

ส่วนตอนเย็น เหมาะกับการออกกำลังกายแบบหนักๆ ที่ใช้พลังงานมาก เช่น การยกเวท การคาร์ดิโอแบบเข้มข้น หรือการออกกำลังกายที่ใช้แรงและพลังงานสูง เนื่องจากร่างกายได้รับพลังงานจากมื้ออาหารมาแล้ว ทำให้มีแรงมากขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบาดเจ็บจากการที่กล้ามเนื้อยังไม่พร้อม

 5.ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีเวลาไหนที่ “ดีที่สุด” สำหรับการออกกำลังกาย มันขึ้นอยู่กับว่าคุณสะดวกตอนไหนมากกว่า หลายคนที่ต้องทำงานเช้าอาจจะสะดวกตอนเย็น หรือใครที่อยากกระตุ้นร่างกายก่อนทำงานอาจเลือกตอนเช้า ความสำเร็จของการออกกำลังกายไม่ได้ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา แต่อยู่ที่ความสม่ำเสมอและความตั้งใจ การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเราเองจะทำให้สามารถทำต่อเนื่องได้ 





ที่มา :

เพจหมอเจด

คลายสงสัย ออกกำลังกายตอนเช้า vs ตอนเย็น แบบไหนดีกว่ากัน?OfficeMatehttps://www.ofm.co.th › blog › best-time-to-workout

14 สัญญาณเตือนว่าอาจมีปัญหาสมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหาร

• มีอาการระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หรือลำไส้แปรปรวน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและท้องผูก • มีปัญหาไมเกรนหรือนอนไม่หลับ ...

บทความยอดนิยม