บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ไม่ควรที่จะมีใครต้องมาเจ็บป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้(ตอนจบ)

ตำรับอาหารของเบิร์นสไตน์เป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก

ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานบรรเทาและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ หรือลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน


ย้ำว่า ไม่ใช่อาหารลดน้ําหนัก แม้ว่าจะมีแนวโน้มว่าใครก็ตามที่ทําตามได้จะลดน้ําหนักได้


เนื่องจากจํากัดคาร์โบไฮเดรตอย่างมาก อาหารเบิร์นสไตน์จึงแตกต่างจากแนวทางการบริโภคอาหารสําหรับโรคเบาหวานที่ส่งเสริมโดยสมาคมทางการแพทย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ถกเถียงกันจนถึงปัจจุบัน


อาหารเบิร์นสไตน์จํากัดจํานวนคาร์โบไฮเดรต 30 กรัมต่อวัน(ข้าวขาว 1 ทัพพี (โดยประมาณ) มีคาร์โบไฮเดรต 18 กรัม)


อาหารเบิร์นสไตน์ไม่มีกฎหรือแนวทางเกี่ยวกับโปรตีน ไขมัน หรือแคลอรี่ทั้งหมด 


อาหารของเบิร์นสไตน์ไม่ใช่อาหารลดน้ําหนัก แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดน้ําตาลในเลือด อาหารไม่สามารถพิจารณาได้ว่า "แคลอรี่ต่ํา" เนื่องจากไม่มีข้อจํากัด เกี่ยวกับปริมาณโปรตีนหรือไขมันที่คุณสามารถรับประทานได้


อาหารเบิร์นสไตน์ยังมีมุมมองที่แตกต่างของโปรตีนในอาหารมากกว่าแนวทางทางการแพทย์ส่วนใหญ่ ในขณะที่การจํากัดโปรตีนเป็นคําแนะนำหลักด้านโภชนาการโรคเบาหวานแบบดั้งเดิม ดร. เบิร์นสไตน์ไม่เห็นเหตุผลที่จะจํากัดการบริโภคโปรตีน เนื่องจากพอลดคาร์บลง เราจะไม่มีรู้สึกอิ่มหรือไม่มีเรี่ยวแรงเท่ากับตอนกินคาร์บเยอะๆ ดังนั้นการเพิ่มโปรตีนและไขมัน จะทำให้เรารู้สึกอิ่มและมีพลังงานมากขึ้นจากการเผาผลาญโปรตีนและไขมัน โดยที่ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

หมายเหตุ


1.ขนมอบและธัญพืชส่วนใหญ่ทำจากแป้งขัดสี ธัญพืชบางชนิดมีไขมันและน้ำตาลสูง เมื่อรับประทานเข้าไป ร่างกายจะย่อยและดูดซึมเป็นน้ำตาลอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง


2.พืชตระกูลถั่วทุกชนิด 

ดร.เบิร์นสไตน์แนะนำให้จำกัดการบริโภคพืชตระกูลถั่วในผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตและใยอาหารสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ แม้ว่าถั่วจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่นๆ เช่น โปรตีนและแร่ธาตุ แต่สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลอย่างเคร่งครัด การจำกัดปริมาณถั่วจึงเป็นสิ่งสำคัญ 


พืชตระกูลถั่วเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเมื่อย่อยแล้วจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด


3.ดร.เบิร์นสไตน์ไม่ได้ห้ามกินมะเขือเทศในการลดน้ำตาล แต่แนะนำให้จำกัดปริมาณที่บริโภคเนื่องจากมะเขือเทศมีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลธรรมชาติ ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ที่เป็นเบาหวานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลอย่างเข้มงวด


4.น้ำหวานจากอะกาเว่ (Agave Nectar) หรือที่เรียกกันว่า น้ำเชื่อมอะกาเว่ คือน้ำหวานที่สกัดจากต้นอะกาเว่ ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งสามารถพบได้ในแถบเม็กซิโกและอเมริกาใต้

5. พืชตระกูลถั่ว (Legumes) คือพืชที่อยู่ในวงศ์ Fabaceae (หรือ Leguminosae) ซึ่งมีลักษณะเป็นฝักและมีเมล็ดอยู่ภายใน ฝักและเมล็ดของพืชตระกูลถั่วสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด 


ตัวอย่างพืชตระกูลถั่วที่นิยมนำมาประกอบอาหาร ได้แก่

ถั่วเมล็ดแห้ง (Dry beans)เช่น ถั่วเหลือง, ถั่วแดง, ถั่วดำ, ถั่วขาว, ถั่วเขียว, ถั่วลันเตาถั่วฝัก (Fresh beans)เช่น ถั่วฝักยาว, ถั่วพู, ถั่วแขกถั่วอื่นๆ เช่น ถั่วลิสง, ถั่วชิกพี (chickpea), ถั่วเลนทิล, ถั่วลิมา, ถั่วเนย


6. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้าหนึ่งออนซ์ครึ่งหรือเบียร์หนึ่งกระป๋องมีแนวโน้มที่จะมีผลต่อระดับน้ําตาลในเลือดขึ้นเล็กน้อย


เรียบเรียงโดย แป้งปังปอนด์





ที่มา :


Dr. Bernstein's Diabetes Diet: Pros, Cons, and How It Works


https://diatribe.org/diet-and-nutrition/which-yogurt-best-people-diabetes

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ไม่ควรที่จะมีใครต้องมาเจ็บป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้

โรคเบาหวาน คือ 1 ใน 5 กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็น
กลุ่มโรคที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพกว่า 4 แสนล้านบาท หรือกว่า 75% ของงบประมาณสุขภาพทั้งหมดถูกใช้ไปสำหรับรักษาผู้ป่วยกลุ่มโรค NCDs 

ความอันตรายของโรคเบาหวานคือ
มักทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาในกลุ่มโรค NCDs เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง และโรคไตวายเรื้อรัง ฯลฯ 

ปัจจุบันเรารู้ว่า อาหารเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค NCDs
อาจดูเหมือนว่า มีความยุ่งยากในการเลือกอาหารการกิน ถ้าหากคุณไม่อยากป่วย ต้องไปหาหมอนั่งรอหลายชั่วโมงเพื่อพบแพทย์ แล้วได้คุยไม่ถึง 5 นาที สุดท้ายได้รับยากลับบ้านเป็นตะกร้า กินยารักษาโรคหนึ่ง กลับได้ของแถม(ที่ไม่มีใครอยากได้)คือ ผลข้างเคียงของยา เรียกว่า เจ็บป่วย 1 โรคแถมผลข้างเคียงอีก 1 โรคเสมอ

พึงระลึกไว้ว่ายาเป็นสารเคมี ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อรักษาและบรรเทาความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นของมนุษย์ชั่วคราว ไม่ควรที่จะมีผู้ป่วยคนไหนต้องกินยารักษาโรคไปตลอดชีวิต ถึงแม้ในอดีตจะพบว่าโรคหลายอย่างรักษาไม่หาย แต่กลับไม่ใช่โรคเบาหวานชนิดที่ 1
(ต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต)

Richard K.Bernstein (ริชาร์ต เค เบิร์นสไตน์)เป็นเด็กที่มีน้ำหนักมากและป่วยหนัก ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ในปี 1946 เมื่ออายุ 12 ปี ในเวลานั้นแผนการรักษาโรคคือ อาหารคาร์โบไฮเดรตสูง การฉีดอินซูลินทุกวันและพบแพทย์ตามนัดทุกเดือนเพื่อตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือด เบิร์นสไตน์ประสบกับภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของโรคเป็นเวลาหลายปี ทั้งๆที่พยายามปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด 

ในปี 1969 ขณะนั้นอายุ 40 ปี ก่อนที่จะเปลี่ยนอาชีพจากวิศวกร เบิร์นสไตน์ได้ซื้อเครื่องวัดระดับน้ําตาลในเลือด ซึ่งในอดีตจะใช้เฉพาะโรงพยาบาลเท่านั้น เขาเริ่มทดสอบระดับน้ําตาลในเลือดตลอดทั้งวัน เพื่อพยายามหาว่าปัจจัยใดที่จะทําให้ระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้นหรือลดลง 

เขาพยายามศึกษาหาแนวทางอื่นๆที่น่าจะจัดการกับเบาหวานได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ โดยเช็คน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่องว่าสัมพันธ์กับอาหาร กิจวัตรประจำวันและปริมาณอินซูลินที่ใช้อย่างไร แล้วจึงปรับเรื่องอาหาร 

เบิร์นสไตน์สามารถจัดการระดับน้ำตาลได้ด้วยการผสมผสานระหว่างอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ํา(การแพทย์สมัยก่อนจำเป็นต้องให้กินอาหารคาร์โบไฮเดรตสูงเนื่องจากเมื่อฉีดอินซูลินเข้าไป ระดับน้ำตาลจะลดฮวบฮาบ)การออกกําลังกาย และอินซูลินในปริมาณที่น้อยกว่าอาหารที่รับประทาน ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะแทรกซ้อนหลายอย่างของโรคเบาหวานในอดีตได้รับการแก้ไขแล้ว

ในขณะที่คำแนะนำทางการแพทย์ยังถือว่าสารอาหารหลักคือคาร์โบไฮเดรต แต่เบิร์นสไตน์ใช้แนวทางโลว์คาร์บ(คาร์โบไฮเดรตต่ำ)เน้นไปที่โปรตีนและไขมัน ทำให้ควบคุมน้ำตาลได้ดีในระดับที่วงการแพทย์เคยเชื่อว่า‘‘ไม่น่าจะเป็นไปได้’’

เบิร์นสไตน์ได้พยายามเสนอแนวคิดใหม่ แต่ไม่ได้รับการยอมรับเนื่องจากไม่ใช่แพทย์ เรียกได้ว่า พูดไปเถอะ พูดเท่าไหร่ก็ไม่มีใครสนใจฟังอยู่ดี(อันนี้แป้งเติมเอง)

จึงได้ตัดสินใจเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์เมื่ออายุ 45 ปี โดยเรียนต่อเฉพาะทางด้านต่อมไร้ท่อและได้รับปริญญาจากวิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เปลี่ยนสถานะจากวิศวกรมาประกอบวิชาชีพเวชกรรมในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ (Endocrinologist)

นพ.เบิร์นสไตน์ ได้ใช้แนวทางโลว์คาร์บในการรักษาให้กับผู้เป็นเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ทำให้ผู้ป่วยควบคุมเบาหวานให้อยู่ในระยะสงบและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมจำนวนมาก

นพ.เบิร์นสไตน์ยังอุทิศตนให้ความรู้ในการจัดการเบาหวานกับประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังได้เขียน Dr. Bernstein’s Diabetes Solution ซึ่งเป็นทั้งหนังสือและตำราสำหรับผู้เป็นเบาหวานและบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย

หนังสือดร. Bernstein's Diabetes Solution ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1997 และอัปเดตในปี 2011 เพื่อรวมข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ เช่น ปั๊มอินซูลิน เครื่องวัดน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง(CGM)ยา รวมถึงอินซูลินที่สูดดมและสูตรอาหารได้กลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับผู้ป่วยและแพทย์ทั่วโลก 

หนังสือเล่มนี้ท้าทายคําแนะนําด้านอาหารคาร์โบไฮเดรตและสนับสนุนการบําบัดโรคเบาหวานด้วยการจํากัดคาร์โบไฮเดรตแทนด้วยโปรโตคอลอินซูลินโดยละเอียดและกลยุทธ์การจัดการไลฟ์สไตล์มุ่งเป้าไปที่การบรรลุระดับน้ําตาลในเลือดให้เป็นปกติ ซึ่งก่อนหน้านี้ เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้สําหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เย้!!

Bernstein เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 15 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา ศิริอายุรวม 90 ปี แสดงว่า แนวทางการรักษาภาวะเบาหวานคือ โลว์คาร์บ(คาร์โบไฮเดรตต่ำ)เน้นโปรตีนและไขมัน เพิ่งเริ่มมีมา 35 ปีนี่เองนะคะ

หมายเหตุ 

1.โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus)เกิดจากเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ขาดอินซูลิน มักพบในเด็ก  ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องได้รับอินซูลินไปตลอดชีวิต ในรูปแบบยาฉีด เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปกติที่สุด และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการขาดอินซูลิน ร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

2.โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus)เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด ร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน มักพบในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนร่วมด้วย

การวินิจฉัยเบาหวาน ทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งใน 4 วิธี ดังต่อไปนี้
 1. มีอาการโรคเบาหวานชัดเจน ได้แก่ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมาก น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่มีสาเหตุ ร่วมกับตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร ถ้ามีค่า ≥200 มก./ดล.
 2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (อย่างน้อย 8ชั่วโมง) ≥ 126 มก./ดล. 
 3. การตรวจความทนต่อกลูโคส โดยให้รับประทานกลูโคส 75 กรัม แล้วตรวจระดับน้ำตาลในเลือดที่ 2 ชั่วโมง ถ้ามีค่า ≥ 200 มก./ดล.
 4. การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (A1C) ≥ 6.5% 

ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกือบ 50% จะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตลอดชีวิต บางคนอาจสูญเสียการมองเห็น ในขณะที่หลายคนเกิดโรคไตวายเรื้อรังจนต้องฟอกไตตลอดชีวิต

3.แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ (Endocrinologist) คือแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยและรักษาโรคและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบต่อมไร้ท่อและฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน, โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์, โรคกระดูกพรุน, และภาวะผิดปกติของต่อมใต้สมองและต่อมหมวกไต,วัยหมดประจำเดือน

4. เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบต่อเนื่อง (Continuous Glucose Monitoring หรือ CGM) คืออุปกรณ์ที่ใช้ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเจาะเลือดซ้ำๆ เหมือนเครื่องตรวจน้ำตาลแบบเดิม CGM ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพสามารถติดตามระดับน้ำตาลในเลือดได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการรักษาได้ทันท่วงที

#เบิร์นสไตน์,Berstein, Richard K.Bernstein (ริชาร์ต เค เบิร์นสไตน์,NCDs,โรคเบาหวาน,โลว์คาร์บ, คาร์โบไฮเดรตต่ำ,NCD,CGM,แป้งปังปอนด์

ที่มา :

Diabetes pioneer Dr Richard Bernstein passes away at age of ...diabetes.co.ukhttps://www.diabetes.co.uk › news › apr

นพ.ชัชวาล ลีลาเจริญพร Phimai Diabetes Remission Training Center

Dr. Bernstein's Diabetes Diet: Pros, Cons, and How It WorksVerywell Healthhttps://www.verywellhealth.com › bernsteins-diabetes-d...

โรคเบาหวาน คืออะไรสมาคม โรค เบาหวาน แห่ง ประเทศไทยhttps://www.dmthai.org › index.php › 2018-diabates-31

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568

วิตามินกับการดูแลสุขภาพและผิวพรรณอย่างยั่งยืน

มือของแป้งในวัย 51 ปีที่ใช้ทำอาหาร งานบ้าน ล้างจาน(เพิ่งจะมีเครื่องล้างจานได้6 เดือนเศษ)ซักผ้าด้วยมือ 40%(เคยเห็นเสื้อผ้าของรุ่นน้องที่ใช้เครื่องซักผ้า+อบผ้า 100% เสื้อผ้าจะดูโทรมและเก่าเร็วมาก)ถึงแม้ว่ามือจะแห้งจนเกิดจมูกเล็บเพราะการล้างมือจากงานครัวบ่อยเกินไป แต่ฝ่ามือและเล็บรวมไปถึงฝ่าเท้าของแป้งมีสีชมพูนะคะ

แป้งเคยสังเกตเห็นนิ้วมือของน้องๆอายุ 40 กว่าปีหลายคน ซึ่งไม่ได้สนใจกินวิตามิน โฟกัสเพียงแค่อาหารสุขภาพ พบว่า บริเวณฝ่ามือและเล็บเป็นสีขาว ไม่ได้เป็นสีชมพูเหมือนแป้ง ซึ่งสามีแป้งอายุ 57 ปี ก็มีฝ่ามือและเล็บเป็นสีชมพูเช่นเดียวกัน

Longevity medicine คือศาสตร์แห่งการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนเพื่ออายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ไม่เป็นภาระของลูกหลาน กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากเพราะคนเริ่มเข้าสู่วัยชราเพิ่มขึ้น เด็กเกิดใหม่มีอัตราน้อยลงอย่างน่าใจหาย ประเทศเดนมาร์กเพิ่งขยายอายุเกษียณจากเดิม 67 เป็น 70 ปี ภายในปี 2040 หลายๆประเทศในยุโรปแต่ละบ้านมีบุตรเพียงคนเดียวหรือครึ่งคน ซึ่งเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging Medicine) ไม่ได้เป็นสาขาที่แพทยสภารับรองในประเทศไทย แพทย์ที่อ้างว่าเชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย โดยไม่ได้ผ่านการอบรมและรับรองจากแพทยสภา อาจมีความผิดตามกฎหมายหรือเปล่านะ 

แพทยสภาไทย พ.ศ 2567 มี 94 สาขาความเชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรอง เป็นสาขาหลัก 41 สาขาและอนุสาขา 53 สาขา ภายใต้อนุกรรมการฝึกอบรมและสอบของราชวิทยาลัยและสมาคม
โดยมีระยะเวลาการอบรม ตั้งแต่ 3-5 ปี ในสาขาหลักและเรียนต่ออนุสาขาเพิ่มอีก 2 ปี ปัจจุบันมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กว่า 40,000 คนจากแพทย์ทั่วประเทศ 76,000 คน โดยจบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญปีละกว่า 2,000 คน แต่ทว่าเวชศาสตร์ชะลอวัยไม่รวมอยู่ในรายชื่อสาขาเหล่านี้

แป้งกินวิตามินคุณภาพสูงจากอเมริกาเป็นเวลา 10+ปี จากคนที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงจากโรคโลหิตจาง(เล็กน้อย)และพาหะธารัสซีเมียประกอบกับกินข้าวน้อยมาตั้งแต่เด็ก จึงมีส่วนทำให้เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง ยิ่งเวลานั่งรถกับเพื่อนๆไปต่างจังหวัด ไม่ว่าใกล้หรือไกล เวลาจอดแวะพักกลางทาง ตอนที่ได้ออกมายืนหายใจนอกรถ จะรู้สึกสดชื่น หายใจโล่งกว่าตอนนั่งในรถอย่างเห็นชัดเจน สรุปคือ ไม่ว่ามีกิจกรรมอะไรก็ตามที แป้งจะเหนื่อยล้ากว่าใครเพื่อน

10 ปีที่แล้วจำได้ว่า พอเริ่มกินวิตามินได้เพียง 3-4 เดือน เหมือนเปิดโลกใบใหม่  พลังงานที่ล้นเหลือเฟือจากเดิมที่ไม่เคยจะมี วนเวียนในร่างกายแป้ง อาจเรียกได้เลือดสูบฉีดไปทั่วทุกเซลล์ การกินวิตามินหลายตัวต่อเนื่องมีส่วนช่วยในเรื่องการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย 

การที่เลือดไหลเวียนดี จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารเพียงพอ ส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ช่วยกำจัดของเสียเกิดขึ้นจากการเผาผลาญพลังงานออกจากเซลล์ แถมยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ร่างกายจึงรู้สึกสดชื่น มีพลังงาน ทำให้มีสุขภาพดีมีผิวพรรณสดใส อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงของโรค NCD เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดฯลฯ
เมื่อเดือนที่แล้ว สามีแป้งผู้ซึ่งกินวิตามินได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่แป้งกินเนื่องจากมีผลข้างเคียงจากวิตามิน เช่น ผื่นคัน ท้องอืด กรดไหลย้อน ฯลฯ ได้ตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจเอคโค่หัวใจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือดบอกว่า กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงและบีบตัวดีมาก ไม่เหมือนคนอายุ 57 ปีทั่วไป พร้อมกับถามย้ำถึง 3 ครั้งว่า‘‘ไม่มีโรคประจำตัวหรือกินยารักษาโรคอะไรเลยเหรอ‘‘ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ โรคยอดฮิตของคนสูงอายุ สามีแป้งก็ไม่เป็น ทั้งๆที่แกขี้เกียจออกกำลังกายสุดๆ(การออกกำลังกายจะช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวและเลือดไหลเวียนดีขึ้น)

ผิวพรรณของผู้หญิงจะสวยที่สุดแค่ตอนอายุ 20 กว่าปีเท่านั้น
จากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน พอย่างเข้าอายุ 30 ปี ทุกอย่างจะเริ่มเปลี่ยนไป ผิวไม่เปล่งปลั่งเหมือนก่อน แต่สำหรับผิวของคนกินวิตามินสม่ำเสมออย่างแป้ง ยังคงนวลเนียนเปล่งปลั่งสดใสอยู่เลย(ไม่ได้คิดไปเองเพราะมีแต่คนชม) มีสายตาปกติ ไม่ต้องใส่แว่นเหมือนคนวัยเดียวกัน หากเกิดบาดแผลเช่น มีดบาดนิ้วมือขณะทำอาหาร แผลจะสมานหายเร็วภายใน 2 วัน เวลาออกกำลังกายก็ไม่เคยรู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยเพราะกินวิตามินเพิ่มพลังงานหลายตัว

5 ปีที่แล้วช่วงโควิด แป้งฉีดวัคซีนเเอสตร้าเพียงเข็มเดียว มีผลข้างเคียงคือ น้ำหนักเพิ่มขึ้น 7 กิโลทั้งๆที่กินเท่าเดิม แถมพลังงานล้นจนนอนไม่หลับ รู้สึกได้ว่าเลือดไหลเวียนดีมาก ทำงานบ้านแบบไม่ต้องพักเหนื่อยกลางคันเหมือนเมื่อก่อน มีเรี่ยวแรงเยอะจนต้องงดวิตามินทุกตัว เป็นแบบนี้หลังฉีดวัคซีนร่วม 8 เดือน จนหมดฤทธิ์วัคซีน คาดว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับแป้ง เป็นการกระตุ้นแหล่งพลังงานในเซลล์ที่มีอยู่เดิมจากการกินวิตามินคุณภาพสูงมาหลายปี

NB.1.8.1 คือโควิดสายพันธุ์ล่าสุดในปี 2568 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ รวมถึงไทยถือเป็นสายพันธุ์ที่แพร่เชื้อได้รวดเร็วมาก แม้จะมีอาการไม่รุนแรงในผู้ป่วยทั่วไป แต่กลุ่มเสี่ยงยังคงต้องระวังเป็นพิเศษ ล่าสุดเห็นเพื่อนพยาบาลลงสตอรี่ว่า มีผู้ป่วยโควิด 2 คน คนแรกแจ้งว่า สบายดี ไม่มีไข้ แต่ตรวจเจอไข้ เอกซเรย์ปอด พบปอดอักเสบ ส่วนอีกคน ใส่ท่อช่วยหายใจเรียบร้อย ฤดูฝนมีสภาพอากาศชื้นสูง เชื้อโรคจึงเติบโตและแพร่กระจายได้ง่าย วอร์ด ICU รพ.รัฐหลายที่และวอร์ดอายุรกรรมแทบแตก คุณหมอราวน์คนไข้ฉ่ำจนไม่มีเวลาพักกินข้าวเลยคะ

ทุกคนมีทางเลือกที่จะดูแลร่างกายให้สมบูรณ์และแข็งแรงได้หลายแบบ เช่น ออกกำลังกายแต่พอควร รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล ทำ IF 16/8 ไม่ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ มองโลกในแง่ดี ฯลฯ 

การเลือกกินวิตามินที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพและผิวพรรณ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่สุดในชีวิตของแป้ง เพราะไม่เคยเจ็บป่วยแม้เพียงเล็กน้อยหรืออาการหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล(ยกเว้นการแพ้อาหารในอดีตที่จำเป็นต้องฉีดยาที่รพ.แล้วกลับบ้าน ซึ่งแป้งเพิ่งทราบที่มาและสาเหตุจากการวิเคราะห์ด้วยตัวเองเมื่อต้นปี 2568 นี่เอง จากนี้ไปภูมิแพ้จ๋า ลาก่อน)แถมไม่ต้องกินยารักษาโรคจากระดับภูมิคุ้มกันที่สูงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีโควิดกี่ซีซั่น ไม่เคยติดสักครั้ง ซึ่งไม่ใช่ความบังเอิญใดๆทั้งสิ้น สำหรับคนที่ไม่สนใจเรื่องวิตามินอาจมองบน แต่ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ปรากฏกับแป้งแล้วนะคะ

การมีชีวิตอย่างยืนยาวควบคู่ไปกับการมีร่างกายแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม สุขภาพที่ออกแบบเองได้มีอยู่จริงคะ(ผลลัพธ์ขึ้นกับสภาพร่างกายและการดูดซึมของแต่ละบุคคล)









หมายเหตุ
1.เอคโคหัวใจ (Echocardiogram)เป็นการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้บ่อยในปัจจุบัน เพื่อดูประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ เช่น การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ขนาดของห้องหัวใจ การไหลเวียนเลือดในหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ และดูตำแหน่งของหลอดเลือดต่างๆ ที่เข้า-ออกจากหัวใจ
2. โรค NCDs หรือ non-communicable diseases หรือที่เรามักเรียกว่า “โรคที่เราสร้างขึ้นมาเอง” เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของเรา โดยจะมีการสะสมอาการอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะยิ่งทำให้เกิดการเรื้อรังของโรคตามมา เช่น
  •   โรคเบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
    •    โรคความดันโลหิตสูง: แรงดันเลือดสูง
    •    โรคไขมันในเลือดสูง: ระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ
    •    โรคหลอดเลือดหัวใจ: หลอดเลือดหัวใจตีบหรือแข็ง
    •    โรคหลอดเลือดสมอง: ปัญหาหลอดเลือดในสมอง
    •    โรคมะเร็ง: เซลล์ในร่างกายเติบโตผิดปกติ
    •    โรคถุงลมโป่งพอง: ปอดสูญเสียความยืดหยุ่น
    •    โรคไต: ไตทำงานผิดปกติ 
3. IF ย่อมาจาก "Intermittent Fasting" หมายถึง การอดอาหารเป็นช่วงๆ หรือการกำหนดช่วงเวลาในการอดอาหารและรับประทานอาหารเพื่อลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก การทำ IF ไม่ได้หมายถึงการงดอาหารทั้งหมดในแต่ละวัน แต่เป็นการจำกัดเวลาที่สามารถทานอาหารได้

คำว่า Fasting(ฟาสติ้ง) แปลว่า อดอาหารหรืองดกิน

หลักการทำงานของ IF
1.ลดปริมาณการกิน การกำหนดเวลาในการรับประทานอาหารทำให้คุณกินน้อยลง

2.กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ในช่วงที่อดอาหาร ร่างกายจะใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงานแทนน้ำตาล 3.ลดฮอร์โมนอินซูลิน ฮอร์โมนอินซูลินมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดไปเป็นไขมัน การลดระดับอินซูลินจะช่วยลดการสะสมไขมัน 4.กระตุ้นฮอร์โมนอื่น ๆ การทำ IF อาจช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน เช่น Growth Hormone และ Norepinephrine


#แป้งปังปอนด์ไดอารี่

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

12 อาหารที่คนวัย 50+ปี ควรหลีกเลี่ยง

อาหารที่ทําให้เกิดแก๊สในคนๆหนึ่ง อาจไม่ทําให้เกิดแก๊สในอีกคนย่อมเป็นได้ จากความแตกต่างด้านจุลินทรีย์ชนิดดีหรือเรียกว่า โปรไบโอติกหรือเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหาร มีจำนวนมากน้อยไม่เท่ากัน เช่นเดียวกับการแพ้ยา อาหารหรือวิตามิน บางคนกินแล้วไม่แพ้ แต่บางคนกินไม่ได้เพราะมีอาการแพ้เป็นต้น

1.กล้วยหอม  อุดมไปด้วยไฟเบอร์และคาร์โบไฮเดรต(แปลงเป็นน้ำตาล)ซึ่งหมักโดยจุลินทรีย์ชนิดดีในลําไส้ระหว่างการย่อยอาหาร สารอาหารประเภทนี้ใช้เวลานานกว่าในการย่อย นําไปสู่การหมักที่ยาวนานขึ้น มีผลทำให้ท้องอืด แต่จะท้องอืดมากน้อยอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

กล้วยอาจทําให้เกิดแก๊สในบางคนเนื่องจากผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยเส้นใยที่ละลายน้ําได้ เส้นใยชนิดนี้ไม่สามารถย่อยได้ง่ายในลําไส้ ซึ่งอาจนําไปสู่การก่อตัวของแก๊ส

กล้วยยังมีฟรุกโตส ซึ่งเป็นน้ําตาลธรรมชาติที่มีอยู่ในผลไม้ กระตุ้นให้ท้องอืดได้ อาการเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นหากบริโภคมากเกินไป 

2.แครอท
แครอทอาจทำให้เกิดแก๊สในบางคนและกระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้องเมื่อรับประทานดิบในคราวเดียว เนื่องจากมีไฟเบอร์และคาร์โบไฮเดรตบางชนิด ถึงแม้จะนำมาปั่นเป็นน้ำแครอท ไฟเบอร์ยังมีเยอะอยู่ดี ดื่มเข้าไปกลายเป็นจุกท้องทันที

แครอทมีไฟเบอร์สูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการย่อยอาหาร แต่อาจทำให้เกิดแก๊สได้เมื่อแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ย่อยไฟเบอร์ จากนั้นจะผลิตแก๊สเป็นผลพลอยได้ ทำให้เกิดตะคริวในช่องท้องและท้องอืด 

3.ถั่ว 
กระตุ้นให้เกิดแก๊สได้ ปริมาณไฟเบอร์ในถั่วเพียง 100 กรัม จะมีผลทำให้ท้องอืดเนื่องจากมีราฟิโนส(Raffinose) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่มนุษย์ไม่สามารถย่อยได้ง่าย ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้ใหญ่เนื่องจากขาดเอนไซม์เฉพาะในลำไส้ ส่งผลให้แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่เกิดการหมักจนเกิดแก๊สต่างๆ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไฮโดรเจน โดยเฉพาะคนสูงอายุพอกินถั่วเข้าไป จะมีลมในท้องมากขึ้นจนผายลม และบางคนมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

มีหลายวิธีที่สามารถลดแก๊สที่เกิดจากถั่วได้ เช่น แช่น้ำเป็นเวลา 12 ชั่วโมงก่อนปรุงอาหาร 

โดยทั่วไปอาหารจะใช้เวลา 14 - 58 ชั่วโมงในการเคลื่อนผ่านระบบย่อยอาหาร โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลา 28 ชั่วโมง อาหารบางชนิดย่อยได้เร็วกว่าในขณะที่อาหารประเภทโปรตีน ไฟเบอร์และไขมันสูง มักจะใช้เวลานานกว่า

ปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคกรดไหลย้อน (GERD) โรคลำไส้อักเสบ (IBD) กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) และโรคไส้ใหญ่โป่งพอง อาจส่งผลต่อเวลาที่ใช้ในการย่อยอาหาร

ระยะเวลาที่ใช้ในการย่อยอาหารของแต่ละบุคคล จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น นิสัยการกิน(อาหารแปรรูป น้ำตาล ยาปฏิชีวนะ) ความเครียด ปัญหาสุขภาพและการพักผ่อนไม่เพียงพอ

4.ผักชะอม โดยเฉพาะชะอมในฤดูฝน จะมีรสเปรี้ยวและกลิ่นฉุน
มีกรดยูริกมากเป็นพิเศษ เป็นตัวการที่ทำให้เกิดข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งเป็นผลมาจากสารพิวรีน (Purine) โดยผักชะอมนั้นมีสารพิวรีนในระดับปานกลางถึงระดับสูง โดยเฉพาะผลจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ หลังวัยหมดประจำเดือนระดับกรดยูริกในผู้หญิงจะค่อยๆ สูงขึ้น

5. ผลิตภัณฑ์จากนม
แลคโตสเป็นน้ําตาลในนมและผลิตภัณฑ์นมส่วนใหญ่ รวมถึงชีสครีมชีสและไอศกรีม

นม โยเกิร์ตและไอศกรีมมีน้ําตาลนมแลคโตสสูง แลคโตสต้องการเอนไซม์ที่เรียกว่า ‘‘แลคเตส‘‘ เพื่อย่อยได้อย่างเหมาะสม ซึ่งผลิตในลําไส้เล็ก หากร่างกายผลิตแลคเตสไม่เพียงพอ เมื่อเคลื่อนตัวไปถึงลําไส้ใหญ่ ดังนั้นน้ําตาลแลคโตสที่ไม่ได้ย่อยจะถูกย่อยโดยแบคทีเรียในลําไส้ เกิดการปล่อยไฮโดรเจนและกรดไขมันสายสั้นซึ่งผลิตแก๊ส อาจทําให้เกิดลม ท้องอืดท้องเฟ้อได้

6. หอมหัวใหญ่
หัวหอมมีสารประกอบที่เรียกว่า‘‘ฟรุกแทน’’ ฟรุกแทนเป็นโอลิโกแซ็กคาไรด์ที่ประกอบด้วยโมเลกุลฟรุกโตส เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อกระเพาะอาหาร พืชผักตระกูลหอม ไม่ว่าจะเป็นหัวหอมแดง หัวหอมใหญ่ หรือต้นหอม มักดูดซึมในลำไส้ได้น้อย และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำในลำไส้ อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารจนกระตุ้นกรดไหลย้อนและท้องอืด

อันนี้เจอกับครอบครัวตัวเองเมื่อกลางปีที่แล้ว แป้งเห็นว่าหอมหัวใหญ่มีฤทธิ์ร้อนและบรรเทาอาการหวัด เพราะในหัวหอมใหญ่มีปริมาณวิตามินซีสูง ช่วยเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เผอิญแม่ป่วยเป็นไข้หวัดอยากให้แม่หายเร็วๆจึงแนะนำให้แม่ดื่มน้ำแอปเปิ้ล + หอมหัวใหญ่ปั่น แม่ดื่มตอนเย็นแล้วเข้านอนตอนสี่ทุ่ม จากนั้นแม่ไม่ได้นอนยันเช้าเพราะไอตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าจึงไปหาหมอที่คลีนิคหมอตรวจวินิจฉัยว่า เป็นโรคปอดอักเสบ(แม่อายุ 72 ปี) โดยไม่ได้เอกซเรย์เนื่องจากเป็นคลินิกเล็กๆ ให้ยาฆ่าเชื้อและยาแก้ไอมากิน

แป้งบอกกับแม่ว่า แม่ไม่ได้เป็นโรคปอดอักเสบตามที่หมอแจ้ง แต่แม่เป็นกรดไหลย้อนจากหอมหัวใหญ่+แอปเปิ้ล ไม่ต้องกินยาที่หมอจ่ายมา เดี๋ยวแม่ก็ดีขึ้น พอช่วงเย็นแป้งโทรไปถามอาการอีกที
ปรากฎว่า แม่หายไอแล้ว เริ่มสบายดีเหมือนก่อนจะกลายเป็นคนป่วยซ้ำซ้อนโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะลูกสาวคะ

7.ผักตระกูลกะหล่ำ
ไม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปลี บรอกโคลี หรือกะหล่ำดอก ล้วนมีคาร์โบไฮเดรตที่เรียกว่า ‘’แรฟฟิโนส‘‘ ประกอบด้วยน้ำตาล 3 ชนิด คือ ฟรุกโตส กลูโคส และกาแลกโทส ซึ่งร่างกายจะไม่สามารถย่อยในระบบทางเดินอาหารได้จนกว่าผักเหล่านี้จะถูกลำเลียงไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อที่จะถูกย่อย แต่กว่าจะย่อยได้หมด กากอาหารจากผักจะเกิดการหมักหมมจนกลายเป็นแก๊ส หากไม่อยากท้องอืด ควรทำให้สุกก่อนกิน

8.ธัญพืช
ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์หรือข้าวไรย์ ต่างก็มีส่วนประกอบของฟรุกแทนที่ไม่สามารถย่อยได้เองตามธรรมชาติ และเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่แพ้กลูเตน(โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบการย่อยทางพันธุกรรม จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับกลูเตนซึ่งไม่สามารถย่อยในลำไส้เล็กได้)แต่ถึงแม้จะไม่ได้แพ้กลูเตนเลยก็ตาม เส้นใยจากพืชที่ไม่ละลายแบบนี้ จะถูกหมักโดยเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ นำไปสู่การเกิดแก๊สเป็นจำนวนมากได้อยู่ดี 

9.ฟักทองและเมล็ดฟักทอง 
ฟักทองมีไฟเบอร์สูง การบริโภคอาจส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารและมีส่วนทําให้ปวดท้อง ท้องอืด 

10.ผลไม้หลายชนิด มีน้ําตาลฟรุกโตสตามธรรมชาติและน้ําตาลแอลกอฮอล์ซอร์บิทอล ซึ่งร่างกายมักมีปัญหาในการย่อย ตัวอย่างเช่น แอปเปิ้ล ลูกพีช ลูกแพร์ ลูกพรุน ฯลฯ

ผลไม้บางชนิดยังมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ําได้ ซอร์บิทอลและเส้นใยที่ละลายน้ําได้ต้องผ่านลําไส้ใหญ่ ซึ่งแบคทีเรียจะย่อยสลายกลายเป็นก๊าซไฮโดรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน

11. อาหารที่มีรสเค็มจัด โดยปกติโซเดียมจะทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย หากร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป ร่างกายจะดูดซึมน้ำเก็บไว้ที่ใต้ผิวหนังมากขึ้น จึงทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้
โดยเฉพาะผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน(ผู้หญิงที่สิ้นสุดการมีประจำเดือนอย่างถาวร เนื่องมาจากการที่รังไข่หยุดการสร้างฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน) จะสังเกตเห็นได้ชัดเจน

หมายเหตุ ผู้หญิงจะได้รับการวินิจฉัยว่า เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเมื่อประจำเดือนไม่มาต่อเนื่องครบ 1 ปี ซึ่งวัยหมดประจำเดือนสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 45 - 55 ปี 

12. มันเทศ
อาจทําให้เกิดแก๊สได้เพราะอุดมไปด้วยแป้ง เป็นที่รู้กันดีว่า แป้งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่ย่อยได้ช้ามาก ซึ่งนําไปสู่การผลิตแก๊สมากขึ้นในลําไส้ใหญ่ 

เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เริ่มเปลี่ยนไปเกี่ยวกับเอนไซม์ย่อยอาหาร(enzyme มาจากภาษากรีก แปลว่า " หมัก " )ซึ่งกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และตับอ่อน ล้วนสร้างเอนไซม์ย่อยอาหารทั้งสิ้น แต่จะสร้างลดลงเมื่ออายุมากขึ้น อาหารหรือพืชผักผลไม้ที่เคยกินได้ฉ่ำ กลับต้องงดหรือหลีกเลี่ยง 

มนุษย์ทุกคนหลีกไม่พ้นความเสื่อมอันเกิดจากวัยที่มากขึ้น เห็นได้จากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี การสร้างเนื้อเยื่อและซ่อมแซมอวัยวะลดลง ระดับภูมิคุ้มกันต่ำลง ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมหาศาลในร่างกายที่เราไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่รับรู้ได้จากความรู้สึกและสัญญาณบางอย่างในผู้ที่ช่างสังเกตเท่านั้น



ที่มา :

Intestinal gas Causes - Mayo ClinicMayo Clinichttps://www.mayoclinic.org › causes › sym-20050922

#แป้งปังปอนด์ไดอารี่

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2568

14 สัญญาณเตือนว่าอาจมีปัญหาสมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหาร

• มีอาการระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หรือลำไส้แปรปรวน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและท้องผูก
• มีปัญหาไมเกรนหรือนอนไม่หลับ
• เป็นสิวอักเสบ
• มีผื่นภูมิแพ้ เป็นๆ หายๆ
• เป็นหอบหืด
• มีระบบการเผาผลาญไม่ดี
• มีความเสี่ยงเป็นโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอัลไซเมอร์
• มีกลิ่นปาก 
• มีเมือกในอุจจาระ 
• รับประทายาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน
• ภาวะแพ้คาร์โบไฮเดรต
• เหนื่อยล้าหมดแรง
• ใช้ยาลดกรดในกระเพาะอาหารเป็นประจำ
• คัดจมูก
** ถ้ามีอาการข้างต้นอย่างน้อย 5 ข้อ หรือมากกว่า อาจมีภาวะความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย **

วิธีการสร้างสมดุลให้จุลินทรีย์ในลำไส้
1.ออกกำลังกายแบบไม่หักโหมเป็นประจำ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน จำนวน 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของลำไส้ ลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นอันตรายและยังช่วยเพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์ 
2.ลดการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูป อาหารสำเร็จรูป  อาหารทอดน้ำมันท่วม ไส้กรอก เบคอน ขนมขบเคี้ยว อาหารแช่แข็ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ฯลฯ
3.ลดอาหารรสเผ็ด เค็ม หรือรสจัด   
4.ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง   
5.เพิ่มสัดส่วนอาหารหมัก เช่น โยเกิร์ต กิมจิ คอมบูชา นัทโตะ ซาวเคราต์ และคีเฟอร์ ล้วนมีแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งแลคโตบาซิลลัส และสามารถลดปริมาณของสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคในลำไส้ได้ โปรไบโอติกส์เป็นแบคทีเรียที่มีชีวิตซึ่งสามารถช่วยฟื้นฟูลำไส้ให้กลับมามีสุขภาพดีได้

การบริโภคโพรไบโอติกส์ (จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์) พร้อมกับพรีไบโอติกส์ (ทำหน้าที่เป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์) จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและปรับสมดุลการทำงานของลำไส้

การรับประทานโพรไบโอติกส์ปริมาณมากในคราวเดียว อาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ท้องอืด ท้องผูกหรือท้องร่วง 
แป้งเคยลองกินโพรไบโอติกส์ที่เป็นอาหารเสริมหลายยี่ห้อ มีตั้งแต่ราคาถูกจนถึงราคาแพง ปรากฎว่า กินได้แค่ 3-5 วัน ท้องอืดบวม แน่นท้องไปหมด เลยเลิกกิน หันมากินโพรไบโอติกส์จากอาหารธรมชาติที่ทำเอง เช่น กิมจิ คอมบูชา(เห็นผลดีมาก) ส่วนโยเกิร์ต(ไม่ค่อยเห็นผลเท่าไหร่)

6.รับประทานอาหารที่หลากหลาย ไม่รับประทานอาหารซ้ำๆ
การทำเช่นนี้สามารถนำไปสู่ไมโครไบโอม(Microbiome)ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพลำไส้ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักที่มีไฟเบอร์สูงและผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยและสามารถส่งเสริมการเจริญเติบโตของบิฟิโดแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพ

7.จำกัดการบริโภคสารให้ความหวานเทียม
มีหลักฐานบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่า สารให้ความหวานเทียม เช่น แอสปาร์แตม ช่วยเพิ่มน้ำตาลในเลือดโดยกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น Enterobacteriaceae ของไมโครไบโอมในลำไส้ หรือผงชูรส(โมโนโซเดียมกลูตาเมต)ที่มากเกินไป อาจรบกวนการผลิตและการปล่อยสารเคมีในสมอง เช่น โดปามีน นอร์เอพิเนฟรินและเซโรโทนิน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสมดุลทางจิตใจและอารมณ์

การบริโภคผงชูรสปริมาณสูง มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวและการเกิดภาวะเมตาบอลิก( metabolic syndrome )ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆตามมา 

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า การกินผงชูรสเป็นเวลานานก่อให้เกิดภาวะความไม่สมดุลของการเกิดอนุมูลอิสระในเซลล์ไต ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ไตและยังมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าผงชูรสส่งผลต่อการทำลายเนื้อเยื่อของไตโดยการเพิ่มอนุมูลอิสระ(พบในสัตว์ทดลอง)

8.ลดการรับประทารอาหารแปรรูปสูง (Ultra-processed Foods) อาหารที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมหลายขั้นตอน นอกจากใส่พวกน้ำตาล ไขมัน โซเดียม(เกลือ)หรือไฟเบอร์และปรุงแต่งกลิ่นรสแล้ว ยังใส่สารเติมแต่งหรือวัตถุเจือปนอาหารต่าง ๆ เช่น สีผสมอาหาร สารแต่งกลิ่น สารให้ความหวาน อิมัลซิไฟเออร์ (สารรักษาความคงตัวในอาหาร) วัตถุกันเสีย ฯลฯ เพื่อช่วยให้อาหารอร่อย เลียนแบบรสและสัมผัสเหมือนอาหารสดใหม่ หรือซ่อนกลิ่น รสไม่พึงประสงค์และคงสภาพเดิมของอาหารไว้ เพื่อป้องกันจุลินทรีย์ที่เป็นตัวแปรในการทำให้อาหารเน่าเสียจากการเก็บรักษาได้ยาวนาน

ซึ่งความสะดวกและอร่อยเทียมเหล่านี้ ทำให้เราบริโภคอาหารแปรรูปสูง ไม่ว่าจะเป็น ขนมขบเคี้ยวบรรจุซอง น้ำอัดลม น้ำผลไม้อาหารปรุงสำเร็จแช่แข็ง อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไอศกรีม มาการีน ซอสมะเขือเทศฯลฯ แต่ในคนที่เป็นภูมิแพ้ สุขภาพจะแย่ลง มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ลำไส้แปรปรวน ภูมิแพ้กำเริบ เกิดผื่นคันไม่ทราบสาเหตุเนื่องจากแพ้สารกันเสีย สารปรุงแต่งต่างๆเหล่านั้น(ในอดีต แป้งก็เคยแพ้แบบนี้มาแล้ว)

พฤติกรรมการกินอาหารแปรรูปสูง ยังทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคลำไส้แปรปรวน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคซึมเศร้า และโรคมะเร็งบางชนิด

รายงานล่าสุดที่เพิ่งตีพิมพ์ในปี 2023 ระบุว่า การกินอาหารแปรรูปสูงเพิ่มขึ้นทุก 10% จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง และเนื้องอกในระบบประสาทส่วนกลาง อีกทั้งการกินในปริมาณมาก ๆ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก 

9.รับประทานอาหารที่มีพรีไบโอติกส์(Prebiotics)
พรีไบโอติกส์เป็นเส้นใยชนิดหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ อาหารที่มีพรีไบโอติกส์สูง ได้แก่ อาติโช๊ค กล้วย หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโอ๊ต และแอปเปิ้ล

10.ให้นมบุตรอย่างน้อย 6 เดือน
การให้นมบุตรมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาไมโครไบโอมในลำไส้ เด็กที่กินนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนจะมีบิฟิโดแบคทีเรียที่มีประโยชน์มากกว่าเด็กที่กินนมขวด 

11.รับประทานธัญพืชไม่ขัดสี
ธัญพืชไม่ขัดสีมีเส้นใยและคาร์โบไฮเดรตที่เป็นประโยชน์ เช่น เบต้ากลูแคน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง เบาหวาน และโรคอื่นๆ

12.ลองรับประทานอาหารจากพืช
อาหารมังสวิรัติอาจช่วยลดระดับแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค เช่น อีโคไล รวมถึงอาการอักเสบและคอเลสเตอรอลได้ 

13.รับประทานอาหารที่มีโพลีฟีนอลสูง โพลีฟีนอลเป็นสารประกอบจากพืชที่พบในไวน์แดง ชาเขียว ดาร์กช็อกโกแลต น้ำมันมะกอก และธัญพืชไม่ขัดสี โพลีฟีนอลจะถูกย่อยสลายโดยไมโครไบโอมเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์

14.นอนหลับ 6-8 ชั่วโมง โดยพบว่า การนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนและลดความเครียด ช่วยให้สภาพแวดล้อมในลำไส้มีสุขภาพดีกว่าการนอนน้อยหรือนอนไม่หลับเป็นประจำ 

15.ใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น ยาปฏิชีวนะจะฆ่าแบคทีเรียที่ไม่ดีและดีจำนวนมากในไมโครไบโอมของลำไส้ ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักขึ้นและดื้อยาได้ 









ที่มา :

https :// www . healthline . com/nutrition/gut-microbiome-and-health

https :// www . samitivejhospitals . com/th/article/detail/gut-microbiome

เทคนิคการแพทย์และกายภาพบำบัดThaiJohttps ://he01 . tci-thaijo . org › article › download
รู้หรือไม่ จุลินทรีย์ในลำไส้สำคัญมากกว่าที่คิด🦠Doctor Anywhere Thailandhttps :// www . doctoranywhere . co . th › post › gut-microbi...


วิจัยพบ น้ำตาลเทียม อาจก่อโรคระบบย่อยอาหาร ในระยะยาวสำนักโภชนาการhttps ://nutrition2.anamai .moph . go . th › rrhlnews




วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ทำไมอากาศหนาวทำให้เราติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น


10 ก.พ 2568  สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับฤดูไข้หวัดใหญ่ที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 15 ปี โดยมีผู้ติดเชื้อ 24 ล้านคน และเสียชีวิต 13,000 ราย โรงเรียนหลายแห่งปิดทำการเนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น


ส่วนประเทศญี่ปุ่น พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ถึง 9.523 ล้านคน เฉลี่ยวันละ 66,132 คน แป้งอ่านผ่านตาว่า คนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นกลับมาเมืองไทยช่วงนี้ ป่วยเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่กันตรึมเลยคะ


เชื้อไวรัสก่อโรคในระบบทางเดินหายใจ มีความสามารถแบ่งตัวได้ดีในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า เช่น rhinovirus หรือ corona virus(ไวรัสหวัดธรรมดา) จะแบ่งตัวได้ดีที่อุณหภูมิประมาณ 32-35 องศาเซลเซียส ในขณะที่อุณหภูมิในร่างกายอยู่ประมาณ 36-37 องศาเซลเซียส ดังนั้นเหมือนเรามีป้อมปราการ ไวรัสจะอยู่ได้แค่โพรงจมูกชั้นนอกซึ่งมีอุณหภูมิ 33-35 ซึ่งมีปริมาณไวรัสไม่มากนัก


สำหรับคนทั่วไป ขณะที่มีระบบภูมิคุ้มกันคอยตรวจตราร่วมด้วย ร่างกายก็จะ "เอาอยู่" เราจึงไม่ป่วย แต่เมื่อเราอยู่ในอุณหภูมิที่เย็นกว่าปกติ ร่างกายสร้างความอบอุ่นไม่ทัน อุณหภูมิลดลงเร็ว เชื้อไวรัสที่อยู่ที่โพรงจมูกอยู่แล้ว จะแบ่งตัวได้รวดเร็ว ภูมิคุ้มกันที่อยู่บริเวณนั้นก็รับมือไม่ไหว ทำให้เรามีโอกาสติดเชื้อโรคได้มากขึ้น


สรุปสาเหตุการติดเชื้อไวรัสง่ายกว่าในอากาศหนาวคือ

1. ปัจจัยของไวรัส สามารถแบ่งตัวได้ดีกว่า หากอุณหภูมิลดต่ำลง

2.ปัจจัยร่างกายมนุษย์ อากาศหนาวเย็น ทำให้กลไกการต้านเชื้อไวรัสที่โพรงจมูกแย่ลง



แต่ในร่างกายของคนที่เป็นภูมิแพ้ มักมีการรับรู้ความแตกต่างของอากาศ โดยเฉพาะความเย็นเป็นตัวกระตุ้น ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆนะคะ


เวลาที่เหงื่อเปียกซึมบนศีรษะ ทำให้ผมเปียกบางส่วนซึ่งผู้ป่วยภูมิแพ้หลายคนไม่ค่อยรู้ตัว ส่งผลให้ร่างกายมีความเย็นชื้นเหมือนคนที่เปียกฝน(จะต้องรีบสระผมให้สะอาดและเป่าให้แห้งโดยเร็วเพราะเชื้อโรคชอบความชื้น สามารถแบ่งตัวเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว)มีโอกาสป่วยง่ายขึ้นเมื่อมีความเย็นกว่าหรือความชื้นมากระทบ ร่างกายจะสร้างปฏิกิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้ขึ้น จึงเกิดอาการจามหรือไอในทันที 


เมื่อก่อนตอนที่ภูมิแพ้ยังไม่อยู่ในระยะสงบ แป้งทำงานบ้าน+ทำกับข้าวจนหัวเปียกชื้นประจำพอเปิดตู้เย็นที่มีความเย็นมาก มักจะจามทันทีหรือ จู่ๆเดินผ่านพัดลม สายลมจากพัดลมเจือความชื้นมาโดนตัวเรา จะจามทันทีเช่นกัน(มักเกิดเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้เท่านั้น)


ช่วงก่อน Covid-19 แป้งไปต่างประเทศมักจะเป็นช่วงฤดูหนาว(อุณหภูมิติดลบ)พอเราอาบน้ำอุ่นออกมาแล้วแต่งตัวหน้ากระจก สักพักก็จะจามประมาณ 1-2 ครั้ง นึกเอาเองว่าน่าจะเกิดจากอากาศเย็น ประกอบกับพักผ่อนน้อยจากการเดินทาง ภูมิแพ้เลยกำเริบทุกครั้งเป็นแบบนี้ทุกประเทศ วนเวียนอยู่อย่างนี้ 15 ปี


จนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว(อายุ 45ปี)แป้งอยู่เมืองไทย นั่งแต่งตัวหน้ากระจก ช่วงนั้นน่าจะฤดูฝน แต่งหน้าอะไรเสร็จเรียบร้อย ขั้นตอนสุดท้ายคือจะทาแป้งวิ๊งยี่ห้อ Guerlain(เกอร์แลง) มีคุณสมบัติทำให้หน้าผ่องใสงดงาม พอปัดแป้งวิ๊งเสร็จ จามทันที ฉุกคิดได้ว่า อากาศไม่ได้หนาวเย็นเท่าเมืองนอก ผมเผ้าไม่ได้เปียกชื้น ทำไมเราถึงได้จามกันนะ


คิดตริตรองสักพัก ได้คำตอบล่ะ โห!!ที่ผ่านมา เราแพ้ส่วนผสมสีชมพูในแป้งตัวนี้นี่เอง ใช้ต่อเนื่องกัน 3 กระปุก(ปกติจะแพ้อายแชโดว์สีชมพู)แต่อันนั้นทาบนเปลือกตา(ทาทีไรตาจะบวมแดงเป็นปลาทอง ต้องฉีดยาสเตียรอยด์ถึงจะหาย) ไม่นึกว่าทาบนแก้มก็จะแพ้เหมือนกัน เพราะตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่เคยจามซักครั้ง จะจามเฉพาะตอนที่อยู่หน้ากระจกหลังจากทาแป้งวิ้งเท่านั้น(กว่าจะรู้ตัวว่าแพ้เมคอัพตัวนี้ เวลาล่วงผ่านมา 15 ปี)


สาเหตุคือ เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ทำงานมากเกินไป ทำให้เยื่อบุที่อวัยวะต่างๆมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นทำให้เกิดการตอบสนองที่มากผิดปกติของอวัยวะนั้นๆเช่น กรณีเป็นที่จมูก เรียกว่าโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ มีอาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหลทางจมูกหรือไหลลงคอ

คัดจมูก คันเพดานปากหรือคอ


ปัจจุบัน โรคภูมิแพ้ของแป้งอยู่ในระยะสงบแล้วนะคะ ทำงานบ้านจนหัวเปียกโชก เดินผ่านพัดลม ก็ไม่มีอาการจามฮัดชิ้วเหมือนในอดีต

ทาบรัชออนหรืออายแชโดว์สีชมพูได้ ไม่มีอาการจามหรือระคายเคืองคันจนตาบวมเป็นปลาทองแต่อย่างใด 


นึกขอบคุณตัวเองที่สนใจเรื่องวิตามิน+อาหารที่อุดมไปด้วยไมโครไบโอม(microbiome)ที่หลากหลาย เห็นผลชัดเจนช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวเนื่องกับอาการแพ้ได้จริงๆ(คนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายทุกวันนี้ มีจำนวนมากถึง 62% มีผิวบอบบางแพ้ง่าย จำเป็นต้องเอาใจใส่ในเรื่องการดูแลสมดุลของไมโครไบโอมบนผิว)ไม่เช่นนั้นแป้งยังคงป่วยเป็นภูมิแพ้อยู่ร่ำไปคะ 


การฟื้นฟูไมโครไบโอมเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ไม่ยาก การเลือกพรีไบโอติกและโพรไบโอติกในอาหารที่เรากินเข้าไป จะช่วยหล่อเลี้ยงแบคทีเรียที่ดีให้กับร่างกายของเราและส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหารด้วยนะคะ



ที่มา :

The United States faces its worst flu season in 15 years, with 24 people infected... OnlyMyHealthhttps://www.onlymyhealth.com › Health News › Latest


แพทย์หญิงปุษยบรรพ์ สุวรรณคีรี

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ย้อนรอยสารเคมีกำจัดแมลงที่เคยนึกว่าอยู่ไกลตัว(ตอนจบ)

เวลาที่เราไปเลือกซื้อผักและผลไม้ตามซุปเปอร์มาเก็ต จะพบว่า ผักผลไม้ชนิดเดียวกันมีราคาแพงกว่าที่วางจำหน่ายในห้างค้าส่ง ตอนแรกแป้งก็สงสัยว่า ทำไมราคาต่างกันเกือบเท่าตัว พอได้ซื้อแอปเปิ้ลฟูจิและส้มวาเลนเซียมาลองกินดู โอ๊ะ!! ความสด กรอบอร่อยของแอปเปิ้ลแตกต่างตามการคัดเกรด ส่วนส้มวาเลเซีย เนื้อส้มหวานฉ่ำ ไม่ฝ่อห่อเหี่ยวเหมือนซื้อจากห้างค้าส่งนะคะ

ใดๆคือ ซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้ง 2 ที่ จะมีตราสัญลักษณ์แปะไว้ที่ผักว่า ผักปลอดภัย ผักออแกนิกมั่ง ตอนนั้นสังเกตเห็นแต่ไม่ได้สนใจใคร่รู้ คิดว่าปลอดสารพิษเหมือนๆกันล่ะมั๊งท่า สนใจราคามากกว่าอย่างอื่น พอมีข่าวองุ่นไซมัสแคทเท่านั้นแหละ อืม!! หาข้อมูลเพิ่มดีกว่า ชักอยากรู้แวดวงเกษตรกรรมขึ้นมาเชียว

ผักปลอดสารพิษ คือผักที่มีระบบการผลิตที่ใช้สารเคมีในการป้องกันและปราบศัตรูพืชรวมถึงปุ๋ยเคมีเพื่อการเจริญเติบโตของพืช แต่ให้เว้นช่วงการใช้สารเคมีก่อนการเก็บเกี่ยว ซึ่งผลผลิตที่ได้จะยังมีสารเคมีตกค้าง แต่ไม่เกินในปริมาณที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยมีการขอใบรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ใบรับรองผักปลอดสารพิษ

ผักปลอดสารพิษแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ผักปลอดสารเคมี (PESTICIDE FREE)
การปลูกผักปลอดสารเคมี จะเน้นการควบคุมการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก แต่จะไม่ใช้สารเคมีในการกำจัดแมลง (โดยจะยังคงใช้ปุ๋ยเคมีและฮอร์โมนเร่งผลผลิต) หากแต่เป็นสารเคมีที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 

ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวจะต้องมีสารเคมีตกค้างไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ โดยมีหน่วยงานรับรองมาตรฐานจากกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ไม่มีสารตกค้างเกินระดับมาตรฐาน จึงแน่ใจว่าเป็นผักปลอดสารเคมี

2. ผักอนามัย (PESTICIDE SAFE)
ผักอนามัยหรือเรารู้จักกันในชื่อของ “ผักกางมุ้ง” เป็นผักที่ยังคงใช้สารเคมีเพื่อการเจริญเติบโตและใช้สารกำจัดแมลง แต่จะเป็นสารเคมีที่มีพิษตกค้างในระยะสั้น และหยุดฉีดพ่นสารเคมีก่อนการเก็บเกี่ยวตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ 

การปลูกผักประเภทนี้มีอยู่ 2 แบบ คือ การปลูกโดยใช้มุ้งตาข่ายหรือกางมุ้ง และอีกแบบจะไม่ใช้มุ้งตาข่าย แต่เน้นการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน คือเน้นปลูกผักตามฤดูกาลร่วมกับผักประเภทกะหล่ำปลี ตั้งโอ๋ ซึ่งช่วยลดการระบาดของแมลงแถมเป็นผลดีต่อการค้าขายเพราะมีผักหลายชนิดวางจำหน่าย ส่วนการรับรองมาตรฐานจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกับผักปลอดสารพิษ

3.ผักไฮโดรโปนิกส์ (HYDROPONICS)
การปลูกผักประเภทนี้เป็นการปลูกโดยใช้น้ำแทนดิน โดยผสมอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตลงในน้ำ รากพืชที่สัมผัสน้ำจะดูดซึมสารอาหารสะสมไว้ที่ใบ ส่วนรากที่ไม่สัมผัสน้ำจะทำหน้าที่รับออกซิเจน ผักที่นิยมปลูกประเภทนี้ เป็นผักสลัดพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งต้องนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศ

4.ผักเกษตรอินทรีย์ (ORGANIC FARMING)
เรารู้จักผักชนิดนี้ในชื่อเรียกว่า “ผักออร์แกนิก” เป็นผักที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม (GMO) ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช ยาฆ่าแมลงหรือฮอร์โมนต่าง ๆ การผลิตผักประเภทนี้จะเน้นใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ส่วนการกำจัดศัตรูพืชจะใช้สารเคมีที่ผลิตจากธรรมชาติ เช่น สะเดา โล่ติ๊น จึงปลอดภัยต่อสุขภาพและไม่ทำลายสภาพสิ่งแวดล้อม

สารกำจัดแมลงแบบอินทรีย์ เป็นสารสกัดที่มาจากพืช ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูก ผลผลิตและมนุษย์ แต่สารกำจัดแมลงแบบอินทรีย์มักมีประสิทธิภาพต่ำ ทำให้ต้องฉีดบ่อยครั้ง ทั้งยังมีความเฉพาะเจาะจงต่อแมลงบางชนิด ไม่สามารถกำจัดได้อย่างครอบคลุม 

ทําไมผลผลิตออร์แกนิกถึงมีสารกําจัดศัตรูพืช

ผู้บริโภคจํานวนมากเลือกอาหารออร์แกนิกเพราะเชื่อว่าปลูกและผลิตโดยไม่ใช้สารกําจัดศัตรูพืช เนื่องจากสารกําจัดศัตรูพืช
จํานวนมากถูกห้ามจากเกษตรอินทรีย์ นี่เป็นก้าวสําคัญในทิศทางที่ถูกต้อง แต่เกษตรกรเกือบทั้งหมดหรือแม้แต่เกษตรกรอินทรีย์จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงบางชนิด แต่ใช้คนละชนิดกัน

สารกําจัดศัตรูพืชส่วนใหญ่ในรายการ USDA Organic ของสารที่ได้รับอนุญาตมีต้นกําเนิดจากธรรมชาติ ในขณะที่เกษตรกรทั่วไปได้รับอนุญาตให้ใช้สารกําจัดศัตรูพืชสังเคราะห์ 900 ชนิด แต่ทว่าเกษตรกรอินทรีย์ได้รับอนุญาตให้ใช้สารกําจัดศัตรูพืชสังเคราะห์เพียง 25 ชนิดเท่านั้น 

ด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ยุ่งยากกว่าการใช้ทางลัด เพราะต้องคำนึงหลายปัจจัย นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมพืชผักออร์แกนิกถึงมีราคาสูงกว่าปกติหลายเท่า แป้งลองซื้อผักบุ้งออร์แกนิกในซุปเปอร์มาเก็ต 150 กรัม ราคา 22 บาท เท่ากับโลละ 140 บาทแต่ซื้อผักบุ้งตลาดสดโลละ 20 บาท ต่างกัน 7 เท่า หรือผักกวางตุ้งฮ่องเต้ 200 กรัมราคา 40 บาท เท่ากับโลละ 200 บาท สภาพผักคือ สดมากๆ ผักต้นอ่อนทุกต้นเหมือนที่แม่แป้งปลูกเลย กรอบอร่อยสมราคา แต่แพงมาก ส่วนราคาตลาดสดไม่แน่ใจเพราะเหมือนจะไม่เห็นผักชนิดนี้ เคยเห็นแต่ผักคะน้าฮ่องเต้(สภาพผักแก่เชียว)เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกต่างๆที่เราแทบจะไม่เคยเห็นว่า ถูกกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามท้องตลาดนั่นเอง


#ผักออร์แกนิก
#ผักปลอดสารพิษ
#ผักไฮโดรโปนิกส์
#ผักกางมุ้ง
#ผักอินทรีย์










ไม่ควรที่จะมีใครต้องมาเจ็บป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้(ตอนจบ)

ตำรับอาหารของเบิร์นสไตน์เป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานบรรเทาและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ หรือ...

บทความยอดนิยม