บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ฝ้ารักษาอย่างไรก็ไม่มีทางหายขาดแน่หรือ


ผู้หญิงเมื่ออายุมากขึ้น หลีกไม่พ้นสารพัดปัญหาผิวพรรณต่างๆไม่ว่าจะเป็นเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย กระ ฝ้า ที่พร้อมใจกันมาเยือนใบหน้าของเรา ประเทศไทยตั้งอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตร จึงมีแสงแดดแรงกล้าตลอดทั้งปี ความจริงในแสงแดดอ่อนๆจะมีวิตามินดีที่รักษาความสมดุลของระดับแคลเซียมในเลือดและกระดูก พูดง่ายๆคือช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเข้าสู่กระดูกนั่นเองร่างกายจะสร้างวิตามินดีเมื่อได้รับแสงแดดเท่านั้น แต่ถ้าตากแดดจนผิวคล้ำจะกลายเป็นว่ายับยั้งการสร้างวิตามินดีเสียอีก ช่างไม่มีอะไรพอดีเสียเลย

มาพูดถึงเรื่องฝ้ากันดีกว่าค่ะ เพราะ 90%ของผู้ที่มีฝ้าเป็นผู้หญิง พบมากที่สุดในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20-50 ปีพบได้บ่อยในสตรีตั้งครรภ์และนับวันผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ก็มีอุบัติการณ์เกิดฝ้าเยอะมากขึ้น เป็นเพราะอะไรหนอ

ฝ้า ( Melasma ) มาจากภาษากรีก แปลว่า ความดำ คือการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี ( melanin ) ที่มีผลกระทบต่อความเสียหายของผิวหนัง มักมีความเกี่ยวข้องกับแสงแดดและความสมดุลของฮอร์โมน เกิดได้ทุกเชื้อชาติ สาเหตุของการเกิดฝ้ามีความซับซ้อน ในอดีตจวบจนปัจจุบันยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีหลายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดฝ้า ดังนี้

1.พันธุกรรม 
2.แสงแดด ก่อให้เกิดความเสียหายลึกถึงระดับเซลล์โดยอนุมูลอิสระ ( free radical ) กระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี ( melanocyte ) ให้สร้างเม็ดสี ( melanin ) บนชั้นผิวหนังมากขึ้นกว่าปกติ แสงอัลตราไวโอเลตที่มีผลต่อผิวหนังคือ UVA,UVB 

UVA ส่งผลให้ผิวหนังมีอาการแสบ แดง ร้อน ไม่สามารถก่อให้เกิดอาการแดดเผา (sunburn) ทว่ายังน่ากลัวอยู่ที่สามารถแปลงสภาพ DNA ได้ จนอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง แต่ร่างกายก็สามารถป้องกันได้ โดยการสร้างเม็ดสีเมลานินขึ้นมา เพื่อป้องกันการทะลุทะลวงของแสง UVA จึงทำให้ผิวดำคล้ำมากขึ้น สาเหตุหนึ่งของกระ ฝ้า

 UVB ส่งผลต่อชั้นผิวหนังที่ลึกกว่า ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ lipid peroxide ทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
 3.ฮอร์โมน ประมาณร้อย 25 ของสตรีตั้งครรภ์ ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน จะมีระดับสูงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ มีส่วนกระตุ้นให้เกิดฝ้าระหว่างตั้งครรภ์
4.ยาคุมกำเนิด ที่ผสมฮอร์โมนสังเคราะห์เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ส่งเสริมให้เกิดฝ้าเช่นกัน
5.ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ผู้ป่วยไทรอยด์มีโอกาสเกิดฝ้ามากกว่าคนปกติ 4 เท่า
6.เครื่องสำอาง
7.ยากันชัก
8.ความเครียด มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ความเครียดกระตุ้นให้ผิวแย่ลง เนื่องจากกระตุ้นการหลั่ง melanocyte stimulating hormone ดั่งคำพูดที่ว่า " หน้าดำคร่ำเครียด " นั่นแหละค่ะมีการศึกษาทางคลีนิก แสดงให้เห็นว่า ฤดูร้อนที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงรุนแรงที่สุดจะมีการเพิ่มระดับความเข้มของฝ้า แต่ในฤดูหนาวรอยดำของฝ้ามีแนวโน้มลดลงการรักษาด้วยเลเซอร์

 เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีประสิทธิภาพในการรักษารอยดำ แต่สมาคมแพทย์ผิวหนังอังกฤษให้ความเห็นว่า ไม่ควรที่จะใช้เลเซอร์รักษาฝ้าเนื่องจากจะกระตุ้นให้ชั้นผิวหน้าบางลงกว่าปกติ
เมื่อเราอายุมากขึ้น อนุมูลอิสระก็สะสมมากขึ้นในขณะที่ร่างกายสร้างสารต้านอนุมูลอิสระได้น้อยลง เช่นเดียวกับชั้นผิวหนังที่บางลงอย่างมากเมื่อเทียบกับตอนวัยรุ่น

 บางครั้งฝ้า จางหายไปตามธรรมชาติเมื่อระดับฮอร์โมนสมดุลตามปกติแนะนำวิตามินดังนี้

1.MSM 1000 mg ยี่ห้อ Jarrow formulas ครั้งละ 1เม็ด หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น
2.super selenium complex 200 mcg ยี่ห้อ life extension ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเย็น
3.Gotu kola 475 mg ยี่ห้อ nature's answer ครั้งละ 1เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น
4.ester-c 1000 mg ยี่ห้อ solgar ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น
5.zinc 50 mg ยี่ห้อ source naturals ครั้งละ 1เม็ด ก่อนอาหารเช้า
6.pycnogenol 100 mg ยี่ห้อ healthy origins ครั้งละ 1เม็ด หลังอาหารเช้า หรือ grape seed 300 mg ยี่ห้อ healthy origins ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า
7.ALA 600 mg ยี่ห้อ healthy origins ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า 

สครับหน้าตามด้วยพอกหน้า ดินสอพอง+น้ำมะนาวหรือ apple cider vinegar ทิ้งไว้ 15-30 นาที จึงล้างออกอาทิตย์ละ 1 ครั้ง จากนั้นทาครีมบำรุงตามปกติ

การรักษาฝ้า จะเห็นผลชัดเจนจำเป็นต้องกินวิตามินอย่างน้อย 6-12 เดือนขึ้นไปและกินต่อเนื่องไปตลอดพร้อมกับการทาครีมกันแดด SPF 30-50 ทุกวันแม้ในวันที่ไร้แสงแดดนะคะ อ้อ!! เกือบลืมแน่ะทา stieva-a 0.05%บริเวณรอยฝ้าเฉพาะตอนกลางคืนและช่วงเช้า ทา azeleic 20% ทั่วหน้าตามด้วยครีมบำรุง swiss apple stem cell และ Jabushe 24hr original เช้า-เย็น

คนที่เป็นฝ้าไม่ว่าจะเป็นฝ้าชนิดใด จะไม่มีทางหายขาด แค่จางลงชั่วคราวเท่านั้นเพราะเซลล์ผิวบริเวณนั้นได้ถูกโจมตีจากอนุมูลอิสระอย่างต่อเนื่อง

ทุกลมหายใจเข้า-ออก การกินอาหารพลังงานสูง ออกกำลังกายอย่างหนัก ภาวะเครียด นอนดึก ฯลฯ ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้น ซึ่งอนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถทำลายเซลล์โดยไม่อาจควบคุมได้ ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าใด สารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสร้างโดยธรรมชาติยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ เมื่ออนุมูลอิสระสะสมมากขึ้นในร่างกาย ความเสื่อมสภาพก็ตามมา ความชราจะมาเยือนเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดตั้งแต่จุดด่างดำ กระฝ้า จนกระทั่งโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงในที่สุด

ไม่ว่าฝ้าเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม อย่าไปหมกมุ่นกับมันมากนัก จะพลอยทำให้กลายเป็นคนขาดความมั่นใจเมื่อพบหน้าผู้คน พึงระลึกไว้เสมอว่า เราไม่ได้เป็นฝ้าเพียงคนเดียวในโลก สตรีชาวอเมริกันก็เป็นฝ้ามากถึง 6 ล้านคน เมืองไทยก็มิใช่น้อย กินวิตามิน พอกหน้า ทากันแดดและครีมบำรุงสม่ำเสมอ ฝ้าจะจางลง หน้าขาวใส ย้อนวัยไปหลายปีเชียวค่ะ



ที่มา ;www.telegraph.co.uk>women>women's health
http://healthylivinghowto.com/1/post/2013/07/adrenal-fatique-melasma.html.
http://www.medicinet.com/melasma/page-6htm.
www.skininc.com>treatment>facial treatment

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

14 สัญญาณเตือนว่าอาจมีปัญหาสมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหาร

• มีอาการระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หรือลำไส้แปรปรวน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและท้องผูก • มีปัญหาไมเกรนหรือนอนไม่หลับ ...

บทความยอดนิยม