มีน้องผู้ชายอายุราว 45 ปี มาถามแป้งว่า ตรวจเลือดพบระดับคลอเลสเตอรอล 200 mg/dl หมออายุรกรรมจ่ายยากลุ่มสแตติน(statin)ชื่อ simvastatin 20 mg ครั้งละหนึ่งเม็ด ก่อนนอน
ควรกินยาดีหรือไม่(ยาสแตตินทำหน้าที่ยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในตับ)
แป้งเลยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับไขมันคลอเลสเตอรอลฉบับย่อ
กะจิ๊ดริดมาให้อ่านกันนะคะ
คอเลสเตอรอล (cholesterol) มีความจำเป็นต่อชีวิต กล่าวคือ ไม่สามารถขาดคอเลสเตอรอลได้ ร่างกายใช้คอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบเยื่อหุ้มเซลล์ (20-25% ของผนังเซลล์) สร้างปลอกไมอีลิน (หุ้มเส้นประสาท) พัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ สังเคราะห์น้ำดีเพื่อช่วยย่อยไขมัน สังเคราะห์วิตามินดีซึ่งสำคัญต่อระดับภูมิคุ้มกัน+ดูดแคลเซียมและเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตฮอร์โมนเพศ(เทสโทสเตอโรน เอสโตรเจน)และคอร์ติซอล ฯลฯ
พูดถึงเรื่องการผลิตฮอร์โมนเพศเนี่ย ในผู้หญิงที่ออกกำลังกายเยอะ+มีการควบคุมอาหารโดยจำกัดไขมัน ปรากฎว่า ประจำเดือนขาดทุกราย พอเปลี่ยนกลับมากินอาหารที่มีไขมัน ประจำเดือนก็กลับมารอบปกติ
ร่างกายได้รับคอเลสเตอรอลจาก 2 แหล่งคือ
1.จากการสังเคราะห์ขึ้นเองในร่างกายที่ตับและลําไส้ โดยตับสังเคราะห์ประมาณร้อยละ 15 และลำไส้สังเคราะห์ประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณที่ร่างกายสังเคราะห์ได้ในแต่ละวัน
2.ได้รับจากอาหารโดยเฉพาะที่มาจากสัตว์ เช่น ไข่แดง เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องในสัตว์ และสัตว์น้ำทะเลที่มีกระดอง( กุ้ง, หอย, ปลาหมึก, ปู) ผลิตภัณฑ์จากนมไขมันเต็มส่วน ฯลฯ
ตามปกติผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจะสังเคราะห์คอเลสเตอรอลเฉลี่ยวันละ 1 กรัม และใช้วันละ 0.3 กรัม ร่างกายจะควบคุมให้มีคอเลสเตอรอล 150-200 มก./เดซิลิตร ค่า LDL น้อยกว่า 160 มก./เดซิลิตร ค่า HDL มากกว่า 40 มก./เดซิลิตร โดยควบคุมกระบวนการสังเคราะห์ในร่างกาย หากร่างกายได้รับคอเลสเตอรอลจากอาหารมาก ร่างกายก็จะสังเคราะห์คอเลสเตอรอลน้อยลง อ้าว!! เป็นแบบนี้เนอะ
คอเลสเตอรอลจะขนส่งโดยไลโปโปรตีน (lipoprotein) ซึ่งมี 2 กลุ่มคือ
1.LDL (Low density lipoprotein) จะขนส่งคอเลสเตอรอลไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ
2. HDL (High density lipoprotein) จะขนส่งคอแเลสเตอรอลจากเนื้อเยื่อไปกำจัดที่ตับ ตับจะใช้คอเลสเตอรอลสร้างน้ำดี ส่วนที่เหลือจะถูกขับทิ้งทางลงโถส้วมไป
การเรียกไขมันคอเลสเตอรอล มักเรียกตามกลุ่มของไลโปโปรตีน
กรณีที่ร่างกายมี LDL-cholesterol ในหลอดเลือดสูง แต่ HDL-cholesterol ต่ำ เนื่องจาก LDL-cholesterol สามารถจับกับเซลล์ของกล้ามเนื้อหลอดเลือดแดงได้ ทำให้เกิดการสะสมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดมาก ส่งผลเลือดไหลผ่านหลอดเลือดได้ยาก ในกรณีที่หลอดเลือดนั้นส่งเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หากเป็นหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง อาจทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดสมองอุดตันหรือตีบ
การศึกษาทางการแพทย์ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา มีผลขัดแย้งกันแต่ต่อมากลับลำเงียบๆก็มีเยอะ เช่น มีรายงานว่า ครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวไม่สัมพันธ์กับการมีคอเลสเตอรอลสูง และมูลนิธิโรคหัวใจแห่งอังกฤษ ยอมรับว่า คำแนะนำที่ให้ลดปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายนั้น ไม่ได้มาจากงานวิจัยที่สมบูรณ์
ปริมาณของคอเลสเตอรอลในร่างกายที่มากเกินความจำเป็นต่างหากที่นำไปสู่โรค และเซลล์ต่างๆของร่างกายมีความสามารถที่จะสร้างคอเลสเตอรอลได้เอง แม้ว่าเราจะไปยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลที่ตับ เซลล์ก็สามารถทำงานต่อได้
สมาคมแพทย์ทั่วโลกรวมถึงองค์การอนามัยโลก มีความเห็นตรงกันว่าระดับไขมันที่สูง เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนทั่วโลก
ในปี 1987 ได้ถือกำเนิดยากลุ่มสแตติน(Statin)ตัวแรกออกสู่ตลาด พร้อมเปลี่ยนเกณฑ์ "ปกติ" จาก < 300 เป็น < 200
เกณฑ์ถูกเปลี่ยนเนื่องจากมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า การให้ยา Statin ในคนที่มีระดับไขมันเฉลี่ยสูงเกิน 190 สามารถที่จะลดโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้ ยาถึงได้รับการรับรองให้นำมาใช้
ในปี 1993 เปลี่ยนโฟกัสไปที่ LDL โดยกำหนดเกณฑ์ใหม่คือ
ค่าปกติ < 130 → ต่อมาลดเหลือ < 100 → และ < 70 ในกลุ่มเสี่ยงสูง
เนื่องจากเกณฑ์ถูกเปลี่ยนให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะการศึกษาใหม่ๆ ด้วยตัวยาที่มีประสิทธิภาพในการลดไขมันที่มากกว่า สามารถพิสูจน์ได้ว่า การลดไขมันลงไปที่ค่าเฉลี่ยใดค่าเฉลี่ยหนึ่ง มีประโยชน์มากกว่ากลุ่มที่ปล่อยค่าไขมันไว้ที่จุดนั้นๆ
ผลลัพธ์คือจำนวนผู้ "ต้องกินยา" จาก 0 คน (ก่อนปี 1987) เป็น 42 ล้านคน ในปี 2001
เรื่องคอเลสเตอรอลเป็นเรื่องของความเสี่ยง คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง คือมีความเสี่ยงสูง อาจจะเป็น 30% ที่จะเกิดโรคหัวใจ (จะเห็นว่าไม่ใช่ 100% แต่สูงกว่าคนอื่นที่มีไขมันต่ำกว่าและมีความเสี่ยงต่ำกว่า)
ยาลดไขมันถือเป็นที่มีประสิทธิภาพในการลดไขมันได้ดี เพียงแต่ยาแถมผลข้างเคียงด้วยเสมอ หากเรายอมรับผลที่ตามมาได้ ควรกินยาสม่ำเสมอ และหยุดยาเมื่อไขมันลดลง แต่ดูท่าจะหยุดยาได้ยากเพราะเกณฑ์วัดระดับไขมันคอเลสเตอรอลสูง ปัจจุบันคือ ไม่เกิน 200 mg/dl
ส่วนแป้งมีค่าไขมันคอเลสเตอรอล 268 mg/dl,TG 68 mg/dl,HDL 98 mg/dl,LDL 158 mg/dl ไม่กินยาลดไขมันใดๆเพราะกลัวผลข้างเคียงของยา ที่ผ่านมาในอดีตแค่เจอผลข้างเคียงจากยาแก้แพ้ในรูปแบบฉีดและกินก็เหลือทนแล้วคะ
กลไกการสร้าง การดูดซึมและการกำจัดคอเลสเตอรอลในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆในร่างกายแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นการปรับไลฟ์สไตล์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน หากอยากมีสุขภาพดี ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอหมอนานๆเพียงเพื่อได้คุยไม่กี่นาทีแล้วรับยากลับบ้านเป็นกอบเป็นกำ แต่ทว่ายังมีหลายโรคที่ซับซ้อนจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อันนี้ก็แยกเป็นกรณีๆไปนะคะ
เปลี่ยนวิถีชีวิตโดยเลือกรับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติเป็นหลัก โดยหลีกเลี่ยงน้ำตาล น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี สารเคมี อาหารแปรรูป(สังเกตง่ายๆคือ อาหารที่มองไม่ออกว่า หน้าตาเดิมเป็นอย่างไร) อาหารแช่แข็ง ออกกำลังกายแต่พอควร พักผ่อนให้เพียงพอและดีที่สุดคือ กินน้อยมื้อ( IF)
เรียบเรียงโดย แป้งปังปอนด์
ที่มา
ข้อดี…ข้อเสียของคอเลสเตอรอลFood Science and Technology Association of Thailandhttps://fostat.org › communication › fscm046
เฟซบุ๊กนพ.ปริญญ์ วาทีสาธกกิจ
อายุรแพทย์โรคหัวใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น