บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ความชราไม่เคยปราณีใคร

 ความชราไม่เคยปราณีใคร

มนุษย์เราทุกคนเมื่อมีอายุมากขึ้น มักจะเริ่มมีความเสื่อมในหลายระบบของร่างกายจากอนุมูลอิสระที่คอยทำลายเซลล์ต่างๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
มีคำกล่าวไว้ว่า ความเสื่อมถอยจะเริ่มต้นเมื่ออายุ 30 ปี และทุกๆ10 ปี ความเสื่อมของร่างกายจะเพิ่มเรื่อยๆ

อนุมูลอิสระ คือสารที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย รวมถึงมลพิษต่างๆ จากสภาพแวดล้อม เช่น  ฝุ่น ควันบุหรี่ ควันรถยนต์  โลหะหนัก ฝุ่น PM 2.5 ฯลฯ

อนุมูลอิสระ (Free Radical) เป็นอะตอมหรือโมเลกุลที่สามารถทำปฏิกิริยากับอะตอมอื่น ๆ ในร่างกายหรือเซลล์ได้อย่างรวดเร็ว โดยอนุมูลอิสระจะถูกสร้างขึ้นในร่างกายตามธรรมชาติและยังมีหน้าที่สำคัญในหลายกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ หากอนุมูลอิสระมีความเข้มข้นสูงขึ้นอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายและสร้างความเสียหายต่อส่วนประกอบของเซลล์ ดีเอ็นเอ โปรตีน รวมถึงเยื่อหุ้มเซลล์ โดยอาจพัฒนาให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เช่น มะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน เบาหวาน ต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อม เป็นต้น

อนุมูลอิสระเร่งให้เกิดความเสี่ยงสารพัดโรคตามอายุขัยที่ล่วงเลย เช่น
1.ความดันโลหิต (BP)ที่เพิ่มขึ้นตามอายุ มีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดพร้อมกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน รอบเอวที่เพิ่มขึ้น ระดับ LDL และไตรกลีเซอไรด์สูง ความดันโลหิตสูงมีความสัมพันธ์ในการเกิดภาวะหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น

ทุกคนควรได้รับการตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจทำลายเซลล์ไต ดวงตา และอวัยวะอื่นๆ

ความดันโลหิตที่อยู่ในเกณฑ์ปกติคือ น้อยกว่า 120/80 มม. ปรอท ผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 20 ปี ควรตรวจความดันโลหิตทุกๆ 2 ปี

2.การตรวจคลำจับแต่เนิ่นๆ อาจช่วยรักษาชีวิตไว้ได้
มะเร็งเต้านมจะรักษาได้ดีที่สุดเมื่อตรวจพบในระยะแรก โดยทั่วไป ยิ่งเนื้องอกมีขนาดเล็กเท่าใด โอกาสที่มะเร็งจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะหรือต่อมน้ำเหลืองจะยิ่งน้อยลงเท่านั้น

American Cancer Society แนะนำให้ผู้หญิงในวัย 20 และ 30 ปีทำการตรวจเต้านมโดยแพทย์ (CBE)ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทุก 3 ปี และตรวจทุกปีสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป การตรวจเต้านมทางคลินิกไม่ได้เป็นการแทนที่การตรวจคัดกรองมะเร็ง

การตรวจแมมโมแกรมเป็นการตรวจเอ็กซ์เรย์ที่อาจช่วยค้นหามะเร็งขนาดเล็กในระยะแรกสุด ที่สามารถตอบสนองต่อการรักษาได้ดี

American Cancer Society (ACS) แนะนำให้ใช้แมมโมแกรมพื้นฐานสำหรับผู้หญิงทุกคนเมื่ออายุ 40 ปี และตรวจแมมโมแกรมรายปีสำหรับผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปตราบเท่าที่ยังมีสุขภาพดี

ในผู้หญิงบางคน (ผู้ที่มีเต้านมคลำเป็นก้อนหรือผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งเต้านม) แนะนำให้ทำการตรวจ
แมมโมแกรมเป็นพื้นฐานหรือการตรวจแมมโมแกรมครั้งแรกเมื่ออายุ 35 ปี

อย่างไรก็ตาม US Preventionive Services Task Force (USPSTF) ไม่แนะนำให้ตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมตามปกติสำหรับสตรีที่มีอายุก่อน 50 ปี และแนะนำให้สิ้นสุดการตรวจคัดกรองเมื่ออายุ 74 ปี  

USPSTF มีคำแนะนำให้ผู้หญิงอายุระหว่าง 50-74 ปี ตรวจแมมโมแกรมทุกๆ 2 ปี ผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงบางประการต่อมะเร็งเต้านม อาจได้รับคำแนะนำให้ปฏิบัติตามตารางการตรวจสุขภาพที่แตกต่างกัน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแป้งได้รับข่าวร้ายจากพี่ในออฟฟิศเก่า มีน้องในแผนกที่เคยทำงานร่วมกัน อายุ 39 ปี ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมเมื่อ 3 ปีที่แล้ว รักษามาตลอดแต่มะเร็งกระจายไปปอดและกระดูก ล่าสุดลามไปแกนสมอง(มะเร็งเต้านมระยะที่ 4 เชื้อจะแพร่สู่อวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น สมอง กระดูก หรือปอด เป็นต้น ระยะนี้ก้อนเนื้อจะมีหลายขนาด)ซึ่งน้องทนความเจ็บปวดไม่ไหว ไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้วค่ะ

3.โรคต้อหินเป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแรงดันภายในดวงตา ส่งผลให้เป็นอันตรายเพราะอาจทำให้เส้นประสาทตาเสียหายหรือตาบอดได้ โรคต้อหินอาจไม่แสดงอาการใดๆ จนกว่าการมองเห็นจะเสียหาย

ผู้หญิงควรได้รับการตรวจหาโรคต้อหินทุก 2 -4 ปีก่อนอายุ 40 ปี ระหว่างอายุ 40 - 54 ปี การตรวจควรทำทุก 1 - 3 ปี
ผู้หญิงอายุ 55-64 ปี ควรตรวจทุก 1 - 2 ปี
ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ควรตรวจหาโรคต้อหินทุก 6 -12 เดือน

บางคนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคต้อหินมากกว่าผู้อื่น ชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่มีอายุเกิน 60 ปี มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคต้อหินมากขึ้น
การบาดเจ็บที่ดวงตา การใช้สเตียรอยด์ หรือมีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคต้อหินบ่งบอกถึงแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้สูงขึ้น

 ผู้หญิงทุกคนควรได้รับการตรวจตาพื้นฐานเพื่อประเมินสุขภาพดวงตาและความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคต้อหินเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป

4. โรคหลอดเลือดสมองเกิดขึ้น เมื่อเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงไปยังสมองถูกทำลาย ทำให้เซลล์ตายและมีปัญหาทางสมองหลายอย่าง รวมถึงการสูญเสียความจำและการควบคุมกล้ามเนื้อ

วิธีป้องกันเบื้องต้นคือ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพรวมทั้งผักผลไม้หลากหลายชนิด ผู้สูบบุหรี่มีความเสี่ยงเป็นสองเท่าของโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้นควรเลิกสูบบุหรี่
ในทำนองเดียวกันการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองที่เพิ่มขึ้น ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้น

5. อาการปวดหลังเป็นหนึ่งอาการที่พบบ่อยที่สุด ชาวอเมริกันเกือบ 28 ล้านคนต้องไปโรงพยาบาลทุกปี ปัญหาเกี่ยวกับหลังมีมากมาย เช่น กระดูกสันหลังคด กระดูกสันหลังคด และกระดูกสันหลังตีบ

การดูแลบริเวณหลังให้เคลื่อนไหวในลักษณะที่มีแรงกระแทกต่ำ
สามารถช่วยเสริมความแข็งแกร่งได้ โยคะเป็นทางเลือกที่ดี การปั่นจักรยานและว่ายน้ำก็เช่นกัน การลดน้ำหนักจะช่วยลดแรงกดทับที่หลังได้ หากหน้าที่การงานจำเป็นต้องนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน
ควรหยุดพัก ลุกขึ้นและยืดกล้ามเนื้อทุก 2-3 ชม.

แป้งเคยเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน มีหน้าที่การงานที่รับผิดชอบมากมาย ตามมาด้วยระดับความเครียดสูง รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่ไม่ออกกำลังกาย นั่งทำงานติดกับเก้าอี้แทบทั้งวัน ล่าสุดเพิ่งผ่าตัดหัวไหล่เพราะกล้ามเนื้อยึด

6.อาการปวดข้อเป็นเรื่องปกติ ชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ประมาณ 20-30% ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ รูปแบบที่พบบ่อยที่สุดคือโรคข้อเข่าเสื่อม ปัญหาเหล่านี้มีแนวโน้มมากขึ้นเมื่อมีอายุมาก และมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

เราสามารถลดภาระอันหนักหน่วงของข้อต่อได้ โดยการลดน้ำหนัก การออกกำลังกายและใช้ข้อต่อในลักษณะที่มีแรงกระแทกต่ำ เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน สามารถบรรเทาอาการปวดข้อได้เช่นกัน

สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง ไม่มีใครช่วยเราได้ หากเริ่มต้นดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่ออายุยังน้อย ในวันที่ร่างกายเริ่มเสื่อมโทรมไปตามวัย เราแทบจะไม่พบปัญหาสุขภาพที่มีแต่โรครุมเร้าเหมือนคนอื่น แป้งดูแลสุขภาพได้ดีมา 10 กว่าปี(จากคนไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง)ด้วยการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์+วิตามินคุณภาพสูง+ออกกำลังกาย ปัจจุบันเห็นผลชัดเจนมาก

ทุกวันนี้แป้งใช้ประสบการณ์การกินวิตามินมาช่วยดูแลและลดความเจ็บป่วยตามวัยให้คนในครอบครัวตัวเอง+ครอบครัวสามี ทุกคนมีสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแถมชะลอวัยด้วยนะคะ






ที่มา :
The Benefits of Folic Acid for Women on MedicineNet.com

อนุมูลอิสระ อันตรายอย่างไร? รู้จักและเรียนรู้วิธีป้องกัน - พบแพทย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

14 สัญญาณเตือนว่าอาจมีปัญหาสมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหาร

• มีอาการระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หรือลำไส้แปรปรวน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและท้องผูก • มีปัญหาไมเกรนหรือนอนไม่หลับ ...

บทความยอดนิยม