บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิตามินบี12 กับระบบประสาทและสมองที่เกือบถูกลืม

คนเราเมื่อถึงวัยหนุ่มสาว ร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพอะไรมากมายนัก ในความเป็นจริง ร่างกายมนุษย์แต่ละคนมีพันเอนไซม์ช่วยขับสามล้านปฏิกิริยาทางเคมีทุกวินาที หากใครนึกไม่ภาพไม่ออก อย่างผงซักฟอกนอกจากมีสารเคมีชะล้างทำความสะอาดแล้ว ยังมีการเติมเอนไซม์ลงในผงซักฟอกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการชำระล้างคราบขนาดใหญ่ที่เกาะติดกับเส้นใยผ้า จะถูกเอนไซม์ย่อยสลายเป็นอนุภาคขนาดเล็กแล้วหลุดออกจากเส้นใยผ้าได้ง่ายขึ้น

ส่วนมากมักเป็นเอนไซม์ประเภทโปรตีเอส(protease)ใช้สำหรับแช่ผ้าก่อนซักและใช้ซักผ้า เพื่อกำจัดคราบโปรตีน(เลือด)ออกจากผ้า  อะไมเลส(amylase)ใช้กำจัดคราบแป้งติดแน่นบนเนื้อผ้า และไลเปส(lipase)เพื่อกำจัดคราบไขมันบนเนื้อผ้า เอนไซม์ที่พบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดส่วนใหญ่สกัดจากแบคทีเรียและเชื้อรา

ระบบย่อยอาหารเหล่านี้เสมือนฟันเฟืองเล็กๆในร่างกายที่ช่วยให้ผู้คนสุขภาพดี มีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคและลดการอักเสบต่างๆ
จนมีคำกล่าวว่า ภูมิคุ้มกันเริ่มสร้างที่ลำไส้(หลายคนแอบหัวเราะ แต่เป็นความจริง)แต่พออายุมากขึ้นประกอบกับความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ รวมถึงระบบย่อยอาหารทำงานลดลง วิตามินตามธรรมชาติที่เคยสังเคราะห์ได้เอง กลับไม่มีการสร้างขึ้นตามปกติ จึงเป็นที่มาของการขาดวิตามินบี12 ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทและสมองอย่างมาก นั่นเอง

เรามักได้ยินคำว่า วิตามินบี12 ในเครื่องดื่มเพิ่มพลังงาน( energy drink)หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งผสมลงในอัตราส่วนน้อยนิดนั้น เมื่อเครื่องดื่มเคลื่อนตัวลงสู่ระบบทางเดินอาหารแล้ว จะดูดซึมได้ดีหรือไม่ ลองมาหาคำตอบกันนะคะ

วิตามินบี 12 มีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า โคบาลามิน (Cobalamin) และแบ่งย่อยได้เป็นหลายชนิด เช่น ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) ไฮดรอกโซโคบาลามิน (Hydroxocobalamin) อะดีโนซิล โคบาลามิน (Adenosyl Cobalamin) หรือเมทิลโคบาลามิน (Methylcobalamin) แต่ชนิดที่นำมาใช้รักษาภาวะขาดวิตามินบี 12 มากที่สุด คือ ไซยาโนโคบาลามิน มักเป็นส่วนประกอบในวิตามินบีรวมหรือรวมอยู่ในวิตามินชนิดอื่น

วิตามินบี12 ( Cyanocobalamin ) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ ในเชิงพาณิชย์ผลิตได้จากการหมักเชื้อแบคทีเรียโดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม แตกตัวได้ไม่ดีนักในกระเพาะอาหาร ต้องรวมตัวกับแคลเซียมเพื่อให้ดูดซึมได้ดีที่ลำไส้เล็กส่วนปลายที่เรียกว่า ileum 

การขาดวิตามินบี12 พบมากในผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น ผู้สูงอายุที่ระบบย่อยอาหารทำงานน้อยลง ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบและผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

มีประโยชน์อย่างไร
1.ช่วยในกระบวนการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและป้องกันโรคโลหิตจางชนิด pernicious anemia ( โรคเรื้อรังที่เกิดจากการขาดวิตามินบี12 เนื่องจากขาดสาร intrinsic factor ซึ่งช่วยการดูดซึมวิตามินที่กระเพาะอาหาร )พบในสัตว์ทดลอง
2.ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและไขสันหลัง 
3.ช่วยเปลี่ยนสารอาหารที่รับประทานเข้าไปให้อยู่ในรูปของกลูโคสเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย
4.ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำและความคิดเฉียบคม
5.บรรเทาความเครียด วิตกกังวล หงุดหงิด
6.ช่วยรักษาภาวะขาดวิตามินบี 12 โดยการสร้างสารที่เรียกว่า "ไมอีลิน" สารนี้ทำหน้าที่หุ้มและปกป้องเส้นใยประสาท หากร่างกายมีโคบาลามินไม่เพียงพอ ปลอกไมอีลินจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดีหรือคงสภาพดีได้(พบในสัตว์ทดลอง)
7.ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
8.บรรเทาอาการปวดจากโรคเส้นประสาทอักเสบสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
9.ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
10.ลดภาวะซึมเศร้า
11.ลดภาวะปลายประสาทอักเสบ ( peripheral neuropathy ) คือ อาการรู้สึกเจ็บแปล๊บๆเหมือนเข็มทิ่ม แสบร้อนบริเวณปลายเท้าจากโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนานเกิน 5 ปี 
13.หากรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับวิตามินบี12 จะเป็นวิตามินที่เพิ่มพละกำลังได้อย่างดี

พบในเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะตับ ปลา ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนมและอาหารหมักดอง เช่น กะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยว ปลาร้าฯลฯ

อาหารที่มาจากพืชผักทั้งหมด ไม่มีวิตามิน บี12(ยกเว้นอาหารหมักดอง)จึงเป็นที่มาของการขาดวิตามินบี12 ในผู้ที่รับประทานมังสวิรัตน์ นั่นเอง

ถึงแม้จะเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ แต่มีความพิเศษคือ ร่างกายสามารถเก็บสะสมวิตามินบี12 ที่ตับได้นานถึง 3 ปี จนกว่าวิตามินจะถูกขับออกจากร่างกาย  ดังนั้นการขาดวิตามินบี12 มักปรากฎให้เห็นหลังจาก 5 ปีขึ้นไป

ปัจจุบันวิตามินบี 12 มีกรรมวิธีผลิตโดยเทคโนโลยีชั้นสูง เรียกว่า เมธิลโคบาลามิน( methylcobalamin )จะดูดซึมได้ดีมากในระบบทางเดินอาหาร 

หากใครกินมังสวิรัตน์อยู่เป็นประจำ แนะนำให้มองหาวิตามินบี12 ชนิดเม็ดอมหรือเคี้ยวในรูปแบบ methylcobalamin วันละ 1000-5000 mcg 

ส่วนรูปแบบการฉีดวิตามินบี12 เป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะในอเมริกา แม้กระทั่งผู้ที่เป็นโรคอ้วนมีความจำเป็นต้องผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร ต้องได้รับการฉีดวิตามินบี12 ด้วยเช่นกัน อืม!! เพิ่งจะรู้นะเนี่ย

สัญญานที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดวิตามินบี12
1.กล้ามเนื้ออ่อนแรง
2.กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
3.มีปัญหาการมองเห็น สายตาพร่ามัว
4.สมาธิสั้น มีปัญหาในการจดจำสิ่งต่างๆ หรือสับสนได้ง่าย
5.ชาบริเวณปลายมือหรือเท้า
6.เดินเซหรือมีปัญหาเรื่องการทรงตัว
7.เบื่ออาหาร
8.มีอารมณ์หดหู่หรือซึมเศร้า
9.ปวดเส้นประสาทบริเวณใบหน้า (Facial neuralgia)
10.เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง

ผลข้างเคียง : เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นผิวหนัง

ยังไม่พบรายงานว่า วิตามินบี12 ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แม้แต่การรับประทานในขนาดที่สูงมาก

วิตามินบี12 มีความเชื่อมโยงกับการนอนหลับ ภาวะซึมเศร้าเป็นอาการทางระบบประสาทจากการขาดวิตามินบี12 ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นอนไม่หลับและมีผลต่อกระทบต่อการผลิตฮอร์โมน
เมลาโทนิน หากร่างกายมีวิตามินบี12 ในปริมาณสูง จะสามารถเพิ่มการผลิตเมลาโทนิน ส่งผลให้นอนหลับได้ดีขึ้น

ในประเทศไทย วิตามินบี 12 ขึ้นทะเบียนเป็นยา 2 ยี่ห้อคือ Neurobion®(นิวโรเบียน)และ Methylcobal®(เมธิลโคบอล)มีส่วนประกอบของ Vitamin B 12 แตกต่างกัน

ร่างกายมนุษย์แต่ละคนมีอัตราการดูดซึมสารอาหาร ยาหรือวิตามินไม่เหมือนกัน อาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน พอผ่านระบบย่อยอาหารที่เปรียบเสมือนศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่จนกลายเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก สารอาหารจะเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตผู้คนจากสุขภาพแข็งแรง กลายเป็นเจ็บป่วยเล็กน้อยไปจนถึงโรคร้ายแรง ใช้เวลาไม่นานนักหรือแรมปี เริ่มต้นจากตรงนี้คะ




เรียบเรียงโดย แป้งปังปอนด์


ที่มา 

Methylcobalamin : Uses, Side Effects, Dosage, Precautions ...CARE Hospitalshttps://www.carehospitals.com › Medicine Blogs

Vitamin B12 Deficiency: Symptoms, Causes & TreatmentCleveland Clinichttps://my.clevelandclinic.org › health › diseases › 228...

Vitamin B12 or folate deficiency anaemia - Symptoms - NHSnhs.ukhttps://www.nhs.uk › conditions › symptoms

Detergent enzymes - WikipediaWikipediahttps://en.wikipedia.org › wiki › Detergent_enzymes

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568

คอเลสเตอรอลกับยาลดไขมัน simvastatin

มีน้องผู้ชายอายุราว 45 ปี มาถามแป้งว่า ตรวจเลือดพบระดับคลอเลสเตอรอล 200 mg/dl หมออายุรกรรมจ่ายยากลุ่มสแตติน(statin)ชื่อ simvastatin 20 mg ครั้งละหนึ่งเม็ด ก่อนนอน
ควรกินยาดีหรือไม่(ยาสแตตินทำหน้าที่ยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในตับ)

แป้งเลยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับไขมันคลอเลสเตอรอลฉบับย่อ
กะจิ๊ดริดมาให้อ่านกันนะคะ

คอเลสเตอรอล (cholesterol) มีความจำเป็นต่อชีวิต กล่าวคือ ไม่สามารถขาดคอเลสเตอรอลได้ ร่างกายใช้คอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบเยื่อหุ้มเซลล์ (20-25% ของผนังเซลล์) สร้างปลอกไมอีลิน (หุ้มเส้นประสาท) พัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ สังเคราะห์น้ำดีเพื่อช่วยย่อยไขมัน สังเคราะห์วิตามินดีซึ่งสำคัญต่อระดับภูมิคุ้มกัน+ดูดแคลเซียมและเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตฮอร์โมนเพศ(เทสโทสเตอโรน เอสโตรเจน)และคอร์ติซอล ฯลฯ

พูดถึงเรื่องการผลิตฮอร์โมนเพศเนี่ย ในผู้หญิงที่ออกกำลังกายเยอะ+มีการควบคุมอาหารโดยจำกัดไขมัน ปรากฎว่า ประจำเดือนขาดทุกราย พอเปลี่ยนกลับมากินอาหารที่มีไขมัน ประจำเดือนก็กลับมารอบปกติ 

ร่างกายได้รับคอเลสเตอรอลจาก 2 แหล่งคือ 
1.จากการสังเคราะห์ขึ้นเองในร่างกายที่ตับและลําไส้ โดยตับสังเคราะห์ประมาณร้อยละ 15 และลำไส้สังเคราะห์ประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณที่ร่างกายสังเคราะห์ได้ในแต่ละวัน 
2.ได้รับจากอาหารโดยเฉพาะที่มาจากสัตว์ เช่น ไข่แดง เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องในสัตว์ และสัตว์น้ำทะเลที่มีกระดอง( กุ้ง, หอย, ปลาหมึก, ปู) ผลิตภัณฑ์จากนมไขมันเต็มส่วน ฯลฯ

ตามปกติผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจะสังเคราะห์คอเลสเตอรอลเฉลี่ยวันละ 1 กรัม และใช้วันละ 0.3 กรัม ร่างกายจะควบคุมให้มีคอเลสเตอรอล 150-200 มก./เดซิลิตร ค่า LDL น้อยกว่า 160 มก./เดซิลิตร ค่า HDL มากกว่า 40 มก./เดซิลิตร โดยควบคุมกระบวนการสังเคราะห์ในร่างกาย หากร่างกายได้รับคอเลสเตอรอลจากอาหารมาก ร่างกายก็จะสังเคราะห์คอเลสเตอรอลน้อยลง อ้าว!! เป็นแบบนี้เนอะ

คอเลสเตอรอลจะขนส่งโดยไลโปโปรตีน (lipoprotein) ซึ่งมี 2 กลุ่มคือ 
1.LDL (Low density lipoprotein) จะขนส่งคอเลสเตอรอลไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ 
2. HDL (High density lipoprotein) จะขนส่งคอแเลสเตอรอลจากเนื้อเยื่อไปกำจัดที่ตับ ตับจะใช้คอเลสเตอรอลสร้างน้ำดี ส่วนที่เหลือจะถูกขับทิ้งทางลงโถส้วมไป

การเรียกไขมันคอเลสเตอรอล มักเรียกตามกลุ่มของไลโปโปรตีน 

กรณีที่ร่างกายมี LDL-cholesterol ในหลอดเลือดสูง แต่ HDL-cholesterol ต่ำ เนื่องจาก LDL-cholesterol สามารถจับกับเซลล์ของกล้ามเนื้อหลอดเลือดแดงได้ ทำให้เกิดการสะสมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดมาก ส่งผลเลือดไหลผ่านหลอดเลือดได้ยาก ในกรณีที่หลอดเลือดนั้นส่งเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หากเป็นหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง อาจทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดสมองอุดตันหรือตีบ

การศึกษาทางการแพทย์ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา มีผลขัดแย้งกันแต่ต่อมากลับลำเงียบๆก็มีเยอะ เช่น มีรายงานว่า ครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวไม่สัมพันธ์กับการมีคอเลสเตอรอลสูง และมูลนิธิโรคหัวใจแห่งอังกฤษ ยอมรับว่า คำแนะนำที่ให้ลดปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายนั้น ไม่ได้มาจากงานวิจัยที่สมบูรณ์

ปริมาณของคอเลสเตอรอลในร่างกายที่มากเกินความจำเป็นต่างหากที่นำไปสู่โรค และเซลล์ต่างๆของร่างกายมีความสามารถที่จะสร้างคอเลสเตอรอลได้เอง แม้ว่าเราจะไปยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลที่ตับ เซลล์ก็สามารถทำงานต่อได้

สมาคมแพทย์ทั่วโลกรวมถึงองค์การอนามัยโลก มีความเห็นตรงกันว่าระดับไขมันที่สูง เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนทั่วโลก

ในปี 1987 ได้ถือกำเนิดยากลุ่มสแตติน(Statin)ตัวแรกออกสู่ตลาด พร้อมเปลี่ยนเกณฑ์ "ปกติ" จาก < 300 เป็น < 200

เกณฑ์ถูกเปลี่ยนเนื่องจากมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า การให้ยา Statin ในคนที่มีระดับไขมันเฉลี่ยสูงเกิน 190 สามารถที่จะลดโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้ ยาถึงได้รับการรับรองให้นำมาใช้

ในปี 1993 เปลี่ยนโฟกัสไปที่ LDL โดยกำหนดเกณฑ์ใหม่คือ
ค่าปกติ < 130 → ต่อมาลดเหลือ < 100 → และ < 70 ในกลุ่มเสี่ยงสูง

เนื่องจากเกณฑ์ถูกเปลี่ยนให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะการศึกษาใหม่ๆ ด้วยตัวยาที่มีประสิทธิภาพในการลดไขมันที่มากกว่า สามารถพิสูจน์ได้ว่า การลดไขมันลงไปที่ค่าเฉลี่ยใดค่าเฉลี่ยหนึ่ง มีประโยชน์มากกว่ากลุ่มที่ปล่อยค่าไขมันไว้ที่จุดนั้นๆ

ผลลัพธ์คือจำนวนผู้ "ต้องกินยา" จาก 0 คน (ก่อนปี 1987) เป็น 42 ล้านคน ในปี 2001

เรื่องคอเลสเตอรอลเป็นเรื่องของความเสี่ยง คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง คือมีความเสี่ยงสูง อาจจะเป็น 30% ที่จะเกิดโรคหัวใจ (จะเห็นว่าไม่ใช่ 100% แต่สูงกว่าคนอื่นที่มีไขมันต่ำกว่าและมีความเสี่ยงต่ำกว่า)

ยาลดไขมันถือเป็นที่มีประสิทธิภาพในการลดไขมันได้ดี เพียงแต่ยาแถมผลข้างเคียงด้วยเสมอ หากเรายอมรับผลที่ตามมาได้ ควรกินยาสม่ำเสมอ และหยุดยาเมื่อไขมันลดลง แต่ดูท่าจะหยุดยาได้ยากเพราะเกณฑ์วัดระดับไขมันคอเลสเตอรอลสูง ปัจจุบันคือ ไม่เกิน 200 mg/dl

ส่วนแป้งมีค่าไขมันคอเลสเตอรอล 268 mg/dl,TG 68 mg/dl,HDL 98 mg/dl,LDL 158 mg/dl ไม่กินยาลดไขมันใดๆเพราะกลัวผลข้างเคียงของยา ที่ผ่านมาในอดีตแค่เจอผลข้างเคียงจากยาแก้แพ้ในรูปแบบฉีดและกินก็เหลือทนแล้วคะ

กลไกการสร้าง การดูดซึมและการกำจัดคอเลสเตอรอลในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆในร่างกายแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นการปรับไลฟ์สไตล์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน หากอยากมีสุขภาพดี ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอหมอนานๆเพียงเพื่อได้คุยไม่กี่นาทีแล้วรับยากลับบ้านเป็นกอบเป็นกำ แต่ทว่ายังมีหลายโรคที่ซับซ้อนจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อันนี้ก็แยกเป็นกรณีๆไปนะคะ

เปลี่ยนวิถีชีวิตโดยเลือกรับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติเป็นหลัก โดยหลีกเลี่ยงน้ำตาล น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี สารเคมี อาหารแปรรูป(สังเกตง่ายๆคือ อาหารที่มองไม่ออกว่า หน้าตาเดิมเป็นอย่างไร) อาหารแช่แข็ง ออกกำลังกายแต่พอควร พักผ่อนให้เพียงพอและดีที่สุดคือ กินน้อยมื้อ( IF)




เรียบเรียงโดย แป้งปังปอนด์







ที่มา

ข้อดี…ข้อเสียของคอเลสเตอรอลFood Science and Technology Association of Thailandhttps://fostat.org › communication › fscm046

เฟซบุ๊กนพ.ปริญญ์ วาทีสาธกกิจ
อายุรแพทย์โรคหัวใจ




"ผมจำได้ว่ามีแสงวาบ ๆ คล้ายแสงคาไลโดสโคปเข้าตา จนแสบตาจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย“

เมื่อคาลัม แมคโดนัลด์ ชายหนุ่มชาวอังกฤษวัย 23 ปี เดินทางมาถึงชายแดนเวียดนาม เขาอ่านเอกสารราชการที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือ ...

บทความยอดนิยม