บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

12 อาหารที่คนวัย 50+ปี ควรหลีกเลี่ยง

อาหารที่ทําให้เกิดแก๊สในคนๆหนึ่ง อาจไม่ทําให้เกิดแก๊สในอีกคนย่อมเป็นได้ จากความแตกต่างด้านจุลินทรีย์ชนิดดีหรือเรียกว่า โปรไบโอติกหรือเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหาร มีจำนวนมากน้อยไม่เท่ากัน เช่นเดียวกับการแพ้ยา อาหารหรือวิตามิน บางคนกินแล้วไม่แพ้ แต่บางคนกินไม่ได้เพราะมีอาการแพ้เป็นต้น

1.กล้วยหอม  อุดมไปด้วยไฟเบอร์และคาร์โบไฮเดรต(แปลงเป็นน้ำตาล)ซึ่งหมักโดยจุลินทรีย์ชนิดดีในลําไส้ระหว่างการย่อยอาหาร สารอาหารประเภทนี้ใช้เวลานานกว่าในการย่อย นําไปสู่การหมักที่ยาวนานขึ้น มีผลทำให้ท้องอืด แต่จะท้องอืดมากน้อยอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

กล้วยอาจทําให้เกิดแก๊สในบางคนเนื่องจากผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยเส้นใยที่ละลายน้ําได้ เส้นใยชนิดนี้ไม่สามารถย่อยได้ง่ายในลําไส้ ซึ่งอาจนําไปสู่การก่อตัวของแก๊ส

กล้วยยังมีฟรุกโตส ซึ่งเป็นน้ําตาลธรรมชาติที่มีอยู่ในผลไม้ กระตุ้นให้ท้องอืดได้ อาการเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นหากบริโภคมากเกินไป 

2.แครอท
แครอทอาจทำให้เกิดแก๊สในบางคนและกระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้องเมื่อรับประทานดิบในคราวเดียว เนื่องจากมีไฟเบอร์และคาร์โบไฮเดรตบางชนิด ถึงแม้จะนำมาปั่นเป็นน้ำแครอท ไฟเบอร์ยังมีเยอะอยู่ดี ดื่มเข้าไปกลายเป็นจุกท้องทันที

แครอทมีไฟเบอร์สูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการย่อยอาหาร แต่อาจทำให้เกิดแก๊สได้เมื่อแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ย่อยไฟเบอร์ จากนั้นจะผลิตแก๊สเป็นผลพลอยได้ ทำให้เกิดตะคริวในช่องท้องและท้องอืด 

3.ถั่ว 
กระตุ้นให้เกิดแก๊สได้ ปริมาณไฟเบอร์ในถั่วเพียง 100 กรัม จะมีผลทำให้ท้องอืดเนื่องจากมีราฟิโนส(Raffinose) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่มนุษย์ไม่สามารถย่อยได้ง่าย ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้ใหญ่เนื่องจากขาดเอนไซม์เฉพาะในลำไส้ ส่งผลให้แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่เกิดการหมักจนเกิดแก๊สต่างๆ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไฮโดรเจน โดยเฉพาะคนสูงอายุพอกินถั่วเข้าไป จะมีลมในท้องมากขึ้นจนผายลม และบางคนมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

มีหลายวิธีที่สามารถลดแก๊สที่เกิดจากถั่วได้ เช่น แช่น้ำเป็นเวลา 12 ชั่วโมงก่อนปรุงอาหาร 

โดยทั่วไปอาหารจะใช้เวลา 14 - 58 ชั่วโมงในการเคลื่อนผ่านระบบย่อยอาหาร โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลา 28 ชั่วโมง อาหารบางชนิดย่อยได้เร็วกว่าในขณะที่อาหารประเภทโปรตีน ไฟเบอร์และไขมันสูง มักจะใช้เวลานานกว่า

ปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคกรดไหลย้อน (GERD) โรคลำไส้อักเสบ (IBD) กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) และโรคไส้ใหญ่โป่งพอง อาจส่งผลต่อเวลาที่ใช้ในการย่อยอาหาร

ระยะเวลาที่ใช้ในการย่อยอาหารของแต่ละบุคคล จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น นิสัยการกิน(อาหารแปรรูป น้ำตาล ยาปฏิชีวนะ) ความเครียด ปัญหาสุขภาพและการพักผ่อนไม่เพียงพอ

4.ผักชะอม โดยเฉพาะชะอมในฤดูฝน จะมีรสเปรี้ยวและกลิ่นฉุน
มีกรดยูริกมากเป็นพิเศษ เป็นตัวการที่ทำให้เกิดข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งเป็นผลมาจากสารพิวรีน (Purine) โดยผักชะอมนั้นมีสารพิวรีนในระดับปานกลางถึงระดับสูง โดยเฉพาะผลจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ หลังวัยหมดประจำเดือนระดับกรดยูริกในผู้หญิงจะค่อยๆ สูงขึ้น

5. ผลิตภัณฑ์จากนม
แลคโตสเป็นน้ําตาลในนมและผลิตภัณฑ์นมส่วนใหญ่ รวมถึงชีสครีมชีสและไอศกรีม

นม โยเกิร์ตและไอศกรีมมีน้ําตาลนมแลคโตสสูง แลคโตสต้องการเอนไซม์ที่เรียกว่า ‘‘แลคเตส‘‘ เพื่อย่อยได้อย่างเหมาะสม ซึ่งผลิตในลําไส้เล็ก หากร่างกายผลิตแลคเตสไม่เพียงพอ เมื่อเคลื่อนตัวไปถึงลําไส้ใหญ่ ดังนั้นน้ําตาลแลคโตสที่ไม่ได้ย่อยจะถูกย่อยโดยแบคทีเรียในลําไส้ เกิดการปล่อยไฮโดรเจนและกรดไขมันสายสั้นซึ่งผลิตแก๊ส อาจทําให้เกิดลม ท้องอืดท้องเฟ้อได้

6. หอมหัวใหญ่
หัวหอมมีสารประกอบที่เรียกว่า‘‘ฟรุกแทน’’ ฟรุกแทนเป็นโอลิโกแซ็กคาไรด์ที่ประกอบด้วยโมเลกุลฟรุกโตส เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อกระเพาะอาหาร พืชผักตระกูลหอม ไม่ว่าจะเป็นหัวหอมแดง หัวหอมใหญ่ หรือต้นหอม มักดูดซึมในลำไส้ได้น้อย และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำในลำไส้ อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารจนกระตุ้นกรดไหลย้อนและท้องอืด

อันนี้เจอกับครอบครัวตัวเองเมื่อกลางปีที่แล้ว แป้งเห็นว่าหอมหัวใหญ่มีฤทธิ์ร้อนและบรรเทาอาการหวัด เพราะในหัวหอมใหญ่มีปริมาณวิตามินซีสูง ช่วยเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เผอิญแม่ป่วยเป็นไข้หวัดอยากให้แม่หายเร็วๆจึงแนะนำให้แม่ดื่มน้ำแอปเปิ้ล + หอมหัวใหญ่ปั่น แม่ดื่มตอนเย็นแล้วเข้านอนตอนสี่ทุ่ม จากนั้นแม่ไม่ได้นอนยันเช้าเพราะไอตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าจึงไปหาหมอที่คลีนิคหมอตรวจวินิจฉัยว่า เป็นโรคปอดอักเสบ(แม่อายุ 72 ปี) โดยไม่ได้เอกซเรย์เนื่องจากเป็นคลินิกเล็กๆ ให้ยาฆ่าเชื้อและยาแก้ไอมากิน

แป้งบอกกับแม่ว่า แม่ไม่ได้เป็นโรคปอดอักเสบตามที่หมอแจ้ง แต่แม่เป็นกรดไหลย้อนจากหอมหัวใหญ่+แอปเปิ้ล ไม่ต้องกินยาที่หมอจ่ายมา เดี๋ยวแม่ก็ดีขึ้น พอช่วงเย็นแป้งโทรไปถามอาการอีกที
ปรากฎว่า แม่หายไอแล้ว เริ่มสบายดีเหมือนก่อนจะกลายเป็นคนป่วยซ้ำซ้อนโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะลูกสาวคะ

7.ผักตระกูลกะหล่ำ
ไม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปลี บรอกโคลี หรือกะหล่ำดอก ล้วนมีคาร์โบไฮเดรตที่เรียกว่า ‘’แรฟฟิโนส‘‘ ประกอบด้วยน้ำตาล 3 ชนิด คือ ฟรุกโตส กลูโคส และกาแลกโทส ซึ่งร่างกายจะไม่สามารถย่อยในระบบทางเดินอาหารได้จนกว่าผักเหล่านี้จะถูกลำเลียงไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อที่จะถูกย่อย แต่กว่าจะย่อยได้หมด กากอาหารจากผักจะเกิดการหมักหมมจนกลายเป็นแก๊ส หากไม่อยากท้องอืด ควรทำให้สุกก่อนกิน

8.ธัญพืช
ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์หรือข้าวไรย์ ต่างก็มีส่วนประกอบของฟรุกแทนที่ไม่สามารถย่อยได้เองตามธรรมชาติ และเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่แพ้กลูเตน(โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบการย่อยทางพันธุกรรม จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับกลูเตนซึ่งไม่สามารถย่อยในลำไส้เล็กได้)แต่ถึงแม้จะไม่ได้แพ้กลูเตนเลยก็ตาม เส้นใยจากพืชที่ไม่ละลายแบบนี้ จะถูกหมักโดยเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ นำไปสู่การเกิดแก๊สเป็นจำนวนมากได้อยู่ดี 

9.ฟักทองและเมล็ดฟักทอง 
ฟักทองมีไฟเบอร์สูง การบริโภคอาจส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารและมีส่วนทําให้ปวดท้อง ท้องอืด 

10.ผลไม้หลายชนิด มีน้ําตาลฟรุกโตสตามธรรมชาติและน้ําตาลแอลกอฮอล์ซอร์บิทอล ซึ่งร่างกายมักมีปัญหาในการย่อย ตัวอย่างเช่น แอปเปิ้ล ลูกพีช ลูกแพร์ ลูกพรุน ฯลฯ

ผลไม้บางชนิดยังมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ําได้ ซอร์บิทอลและเส้นใยที่ละลายน้ําได้ต้องผ่านลําไส้ใหญ่ ซึ่งแบคทีเรียจะย่อยสลายกลายเป็นก๊าซไฮโดรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน

11. อาหารที่มีรสเค็มจัด โดยปกติโซเดียมจะทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย หากร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป ร่างกายจะดูดซึมน้ำเก็บไว้ที่ใต้ผิวหนังมากขึ้น จึงทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้
โดยเฉพาะผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน(ผู้หญิงที่สิ้นสุดการมีประจำเดือนอย่างถาวร เนื่องมาจากการที่รังไข่หยุดการสร้างฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน) จะสังเกตเห็นได้ชัดเจน

หมายเหตุ ผู้หญิงจะได้รับการวินิจฉัยว่า เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเมื่อประจำเดือนไม่มาต่อเนื่องครบ 1 ปี ซึ่งวัยหมดประจำเดือนสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 45 - 55 ปี 

12. มันเทศ
อาจทําให้เกิดแก๊สได้เพราะอุดมไปด้วยแป้ง เป็นที่รู้กันดีว่า แป้งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่ย่อยได้ช้ามาก ซึ่งนําไปสู่การผลิตแก๊สมากขึ้นในลําไส้ใหญ่ 

เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เริ่มเปลี่ยนไปเกี่ยวกับเอนไซม์ย่อยอาหาร(enzyme มาจากภาษากรีก แปลว่า " หมัก " )ซึ่งกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และตับอ่อน ล้วนสร้างเอนไซม์ย่อยอาหารทั้งสิ้น แต่จะสร้างลดลงเมื่ออายุมากขึ้น อาหารหรือพืชผักผลไม้ที่เคยกินได้ฉ่ำ กลับต้องงดหรือหลีกเลี่ยง 

มนุษย์ทุกคนหลีกไม่พ้นความเสื่อมอันเกิดจากวัยที่มากขึ้น เห็นได้จากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี การสร้างเนื้อเยื่อและซ่อมแซมอวัยวะลดลง ระดับภูมิคุ้มกันต่ำลง ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมหาศาลในร่างกายที่เราไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่รับรู้ได้จากความรู้สึกและสัญญาณบางอย่างในผู้ที่ช่างสังเกตเท่านั้น



ที่มา :

Intestinal gas Causes - Mayo ClinicMayo Clinichttps://www.mayoclinic.org › causes › sym-20050922

#แป้งปังปอนด์ไดอารี่

วิตามินกับการดูแลสุขภาพและผิวพรรณอย่างยั่งยืน

มือของแป้งในวัย 51 ปีที่ใช้ทำอาหาร งานบ้าน ล้างจาน(เพิ่งจะมีเครื่องล้างจานได้6 เดือนเศษ)ซักผ้าด้วยมือ 40%(เคยเห็นเสื้อผ้าของรุ่นน้องที่ใช้เค...

บทความยอดนิยม