บางครั้งเรารับประทานวิตามินเพื่อหวังผลในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บหรือชะลอวัย
การได้รับวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอจะช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้ดีที่สุด แต่ภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นหากได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนส่งผลให้ใจสั่น (Palpitation) คือ อาการที่คนไข้รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว เต้นแรง เต้นไม่สม่ำเสมอหรือเต้นๆหยุดๆ
1.โฟเลต(Folate)
โฟเลต(Folate)เรียกอีกอย่างว่า กรดโฟลิกหรือวิตามิน B9 อาจส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ ตามรายงานของสำนักงานอาหารเสริมแห่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (ODS) ในทางกลับกันโรคโลหิตจางอาจทำให้หัวใจวายได้
การขาดโฟเลตจะมีอาการดังนี้ คือ
ความเหนื่อยล้า
หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็ว
ไม่มีเรี่ยวแรง
ปวดศีรษะ
หงุดหงิด
ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดยืนยันว่าขาดโฟเลต แพทย์สามารถแนะนำอาหารเสริมที่เหมาะสมหรืออาจแนะนำให้เพิ่มแหล่ง
กรดโฟลิกตามธรรมชาติในอาหาร
อาหารที่อุดมด้วยโฟเลต ได้แก่ ตับวัว ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำดาว พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่ว ถั่วลันเตา และถั่วเลนทิล
2. วิตามินบี 12
การขาดวิตามินที่อาจทำให้ใจสั่นคือ วิตามินบี 12 เช่นเดียวกับการขาดโฟเลต การขาดวิตามิน B12 สามารถนำไปสู่ภาวะโลหิตจางและด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้หัวใจวายได้
การขาดวิตามินบี 12 มักจะเกิดขึ้นได้ช้าและมักสับสนกับเงื่อนไขอื่น ๆ ดังนั้นควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสอบว่าขาดสารอาหารนี้หรือไม่ หากมีวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอ แพทย์อาจสั่งวิตามินสำหรับอาการใจสั่นและอาการอื่นๆ ในรูปแบบการฉีดหรือรับประทานอาหารเสริม
สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าได้รับสารอาหารเพียงพอ หากรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นประจำเนื่องจากผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์เป็นแหล่งวิตามินหลักของ B12
แหล่งวิตามิน B12 ที่ดี ได้แก่ อาหารทะเล เช่น หอยและปู เนื้อวัวและตับเนื้อ ยีสต์ ซีเรียล(ผู้ผลิตมักเติมB12เข้าไป) ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง และเทมเป้ ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีสโยเกิร์ต และนม
วิตามินบี 12 มากเกินไปอาจทำให้หัวใจวายได้หรือไม่
ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าการรับประทานวิตามินในปริมาณมากอาจทำให้หัวใจวายได้ อย่างไรก็ตาม อาจนำไปสู่อาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลียหรืออ่อนแรง ชาที่มือและเท้า
3. วิตามินดี
วิตามินดีเป็นอาหารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่อาจทำให้ใจสั่นเมื่อรับประทานในปริมาณมาก
การทบทวนในเดือนมีนาคม 2018 ใน Circulation พบว่า การมีวิตามินดีส่วนเกินในร่างกายเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับการเต้นของหัวใจห้องบน ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
จากข้อมูลของ Mayo Clinic การรับประทานยา 60,000 หน่วยสากล(IU)ทุกวันในช่วงหลายเดือนสามารถนำไปสู่ความเป็นพิษได้
เพื่อป้องกันปัญหานี้ ผู้ใหญ่ควรปฏิบัติตามแนวทางการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันที่แนะนำให้รับประทานวิตามินดี 600 หน่วยสากล(IU)ต่อวันเท่านั้น ยกเว้นจะได้รับการตรวจเลือดเพื่อเช็คระดับวิตามินเสียก่อน
วิตามินดีที่พบในอาหาร จะมีอยู่ 2 ชนิด นั่นคือ
1.วิตามินดี 2 (Vitamin D2) หรือ เออโกแคลซิเฟอรอล (Ergocalciferol) ซึ่งจะมาจากอาหารที่เป็นพืช เช่น เห็ด นมและซีเรียลที่เติมวิตามินดี
2.วิตามินดี 3 (Vitamin D3) หรือ โคเลแคลซิเฟอรอล (Cholecalciferol) พบในเนื้อสัตว์ เช่น ปลาทะเล ไข่แดง นมที่เติมวิตามินดี
ตับจะเปลี่ยนวิตามินดี 2 ให้กลายเป็น 25-Hydroxyvitamin D2 และวิตามินดี 3 เป็น 25-Hydroxyvitamin D3 ซึ่งเป็นรูปแบบวิตามินดีที่ร่างกายนำไปใช้ได้ จะเรียกสาร 2 ตัวนี้ว่า Calcifediol
วิตามินดี 3 จะเพิ่มระดับ Calcifediol ในเลือดได้มากกว่า วิตามินดี 2 เป็นสองเท่า ดังนั้นหากซื้ออาหารเสริมวิตามินดี ควรเลือกซื้อเป็น วิตามินดี 3 จะดีกว่าคะ
ควรพบแพทย์หากมีสัญญาณของการได้รับวิตามินดีเกินขนาด เช่น
ไม่มีเรี่ยวแรง คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะบ่อย
เมื่อไม่นานมานี้ มีพี่ผู้หญิงอายุน่าจะ 50 ปีกว่า มีประวัติ Hyperthyroidism ปัจจุบันแพทย์สั่งหยุดยากินแล้ว
มาปรึกษาแป้งว่า กิน D3 5000iu +เมลาโทนิน 3 mg อย่างละ 1 เม็ดต่อวัน มาเป็นเวลา 2 เดือนกว่า ไม่พบปัญหาอะไร
2 วันที่ผ่านมา มีอาการใจสั่น ลองหยุดกินวิตามินทั้ง 2 ตัว ปรากฎว่า ไม่มีอาการใจสั่นเกิดขึ้น
แป้งลองไปค้นข้อมูลว่า วิตามินมีผลทำให้เกิดอาการใจสั่นได้หรือไม่
ผลปรากฏว่าว่า วิตามินดีที่ overdose(เกินขนาด)จะทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นนะคะ
สังกะสี(Zinc)หรือวิตามินซีทำให้หัวใจวายได้หรือไม่
ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการขาดสังกะสี(Zinc)หรือวิตามินซีหรือการใช้ยาเกินขนาดอาจทำให้หัวใจวายได้
อย่างไรก็ตาม การขาดแร่ธาตุสังกะสีอาจทำให้เกิดอาการอื่นๆ เช่น
เด็กจะเจริญเติบโตช้า เบื่ออาหาร การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้การขาดวิตามินซีจะทำให้เกิดอาการเลือดออกตามไรฟัน ความเหนื่อยล้า เหงือกอักเสบ ปวดข้อ แผลหายช้า
แต่สังกะสีหรือวิตามินซีมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องร่วง
4.แคลเซียม
การมีแคลเซียมไหลเวียนในเลือดมากเกินไป เป็นภาวะที่เรียกว่าภาวะแคลเซียมในเลือดสูง บางครั้งอาจทำให้หัวใจวายได้
อย่างไรก็ตาม อาการใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดปกตินั้นพบได้น้อยมาก และเป็นผลมาจากภาวะแคลเซียมในเลือดสูงอย่างรุนแรง
ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงสามารถเกิดขึ้นได้ หากรับประทานวิตามินดีในปริมาณสูงหรืออาหารเสริมแคลเซียมในปริมาณมาก ภาวะนี้มักเกิดจากภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป หรืออาจเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินดี วิตามินเอ หรือแคลเซียมเสริมมากเกินไป รวมทั้งอาจพบได้ในผู้ที่เป็นโรคไต วัณโรค
ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่มีสาเหตุจากโรคมะเร็ง เป็นภาวะคุกคามชีวิตที่พบได้บ่อย ประมาณร้อยละ10-30
มะเร็งท่ีพบบ่อยได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้และมะเร็งที่แพร่กระจายไปกระดูก รวมถึงผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายได้น้อย มีการกดทับที่กระดูกเป็นระยะเวลานาน ทำให้กระดูกปลดปล่อยแคลเซียมเข้าสู่เลือด
โดยผู้ที่มีแคลเซียมในเลือดสูงไม่มากนัก มักจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในรายที่แคลเซียมในเลือดสูงรุนแรง อาจแสดงอาการแตกต่างกันไป เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลีย สับสน หัวใจเต้นผิดจังหวะ ใจสั่น รวมไปถึงกระดูกบางและแตกหักได้ง่าย
เมื่อสงสัยว่ามีภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ให้พบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา และหากมีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อความสามารถของร่างกายในการประมวลผลแคลเซียม เช่น โรคไต ให้ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
หากม่มีข้อกังวลด้านสุขภาพใดๆ ก็ตาม ให้ยึดตามแนวทางการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันที่แนะนำให้บริโภค 1,000 มก. ต่อวัน หรือ 1,200 มก. ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 51 ปี
5. แอล-ไลซีน
L-lysine เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและผลิตคอลลาเจน แต่การได้รับแอล-ไลซีนไม่เพียงพออาจทำให้หัวใจวายทางอ้อม การขาดสารอาหารนี้อาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น หัวใจเต้นผิดปกติ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการต่างๆเช่น ความเหนื่อยล้า คลื่นไส้ เวียนหัว เบื่ออาหาร ดวงตาแดงก่ำ เด็กเจริญเติบโตช้า
ควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนซึ่งมีไลซีนให้มากๆ อาหารเหล่านี้ได้แก่ เนื้อสัตว์ ปลา ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้และเทมเป้ ถั่วและเนยถั่ว พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่ว ถั่วลันเตา และถั่วเลนทิล
6.โพแทสเซียม
โพแทสเซียมเป็นอาหารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่อาจทำให้หัวใจวายได้ เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นและอิเล็กโทรไลต์ที่ช่วยให้จังหวะการเต้นของหัวใจทำงานได้ตามปกติ แต่การได้รับสารอาหารไม่เพียงพออาจส่งผลให้เกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวกับหัวใจ เช่น อาการใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำที่ควรระวัง ได้แก่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง อัมพาต รู้สึกแสบร้อนหรือเหน็บที่แขนและขา
ในทางกลับกัน การมีโพแทสเซียมมากเกินไปในระบบซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า ภาวะโพแทสเซียมสูง อาจนำไปสู่ปัญหาที่คล้ายคลึงกันได้ ในกรณีที่รุนแรง อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้
โพแทสเซียมมีอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในผลไม้และผักทุกชนิด แต่พบมากในกล้วย กีวี ลูกพรุน อะโวคาโด แคนตาลูป มันฝรั่ง มันเทศ ถั่วต่างๆ ไข่ โยเกิร์ต หรือในอาหารเสริมบางประเภท แต่พบได้น้อยในเนยแข็ง
โพแทสเซียมในเลือดสูงมีได้หลากหลายอาการที่พบได้บ่อย เช่น เหนื่อย คลื่นไส้ เคลื่อนไหวได้ช้าลง หัวใจและชีพจรเต้นผิดจังหวะและเต้นช้า เป็นลมหมดสติ
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำอย่างรุนแรงและภาวะโพแทสเซียมสูงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการ
7. แมกนีเซียม
การขาดแมกนีเซียมอย่างรุนแรงอาจส่งผลให้เกิดปัญหาหัวใจ เช่นจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติและอาการกระตุกของหลอดเลือด
แมกนีเซียมยังมีบทบาทในการใช้วิตามินดี แคลเซียม และโพแทสเซียมในร่างกาย ทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่อาการใจสั่นได้เช่นเดียวกัน
อาการของการขาดแมกนีเซียม เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ไม่มีเรี่ยวแรง ปวดหัว อาการชาหรือรู้สึกเสียวซ่า กล้ามเนื้อหดตัวหรือเป็นตะคริว
อาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ผักใบเขียว ผักโขม
ผักที่มีแป้ง เช่น มันฝรั่ง อะโวคาโด ถั่ว แซลมอน
สำหรับผู้ใหญ่ ปริมาณแมกนีเซียม 310-420 มิลลิกรัมต่อวัน ถือว่าปลอดภัย
ผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะระบบทางเดินอาหารและเบาหวานชนิดที่ 2
มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดแมกนีเซียมอย่างรุนแรง หากอยู่ในข้อใดข้อหนึ่งเหล่านี้และมีอาการ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม
แม้ว่าวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดอาจทำให้หัวใจวายได้ นอกเหนือจากอาหารเสริม โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือสารกระตุ้นอื่นๆและนิโคตินในผลิตภัณฑ์ยาสูบสามารถนำไปสู่การเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอหรือเต้นเร็วได้
ยาบางชนิดอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วได้ เช่น ยาสูดพ่นหอบหืด
ยาแก้คัดจมูก ยาที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ยาไทรอยด์
ยาแก้ไอและยาแก้หวัด
ที่มา
www . livestrong . com/article/285943-vitamins-that-cause-heart-palpitations/
แคลเซียมในเลือดผิดปกติ อันตรายกว่าที่คิด | โรงพยาบาลเปาโล - Paolo Hospital
วิตามินคุณภาพสูง กับการ ชะลอวัย สามารถเพิ่มความ ขาวใส และยกระดับ ภูมิต้านทาน อย่างเห็นได้ชัด ยกเว้นเจอวิตามินปลอมค่ะ
บทความที่ได้รับความนิยม
-
ความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นปัญหาใหญ่หลวงสำหรับผู้ชายหลายคน จะเริ่มมาเยือนตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป มีปัจจัยหลายอย...
-
การดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ไม่รู้จะรีบกันไปถึงไหน ยิ่งในกรุงเทพเมืองฟ้าอมรที่ได้การ...
-
hamercandysiam.lnwshop.com ลูกอมรสกาแฟผลิตในมาเลเซีย เป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายดีอันดับหนึ่งประเภทบำรุงร่างกายและเพิ่มสมรรถภาพใน...
-
ในปัจจุบันนี้ แทบทุกคนจะเป็นภูมิแพ้กันทั้งสิ้น แป้งเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นมานมนานต้ังแต่เด็กๆจนกระทั่งเริ่มเรียนม.ต้น ช่วงเช้าจะมีน้...
-
เรียนแจ้งทุกท่านเพื่อโปรดทราบ แป้งย้ายการตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ และผิวพรรณ ประจำสัปดาห์มายัง https://pangpungpond.blogspot.com/ เนื่องจาก...
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565
รู้หรือไม่ว่า อาหารเสริมบางอย่างอาจทำให้ใจสั่นได้
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565
Dark chocolate มีประโยชน์อย่างไร
ดาร์กช็อกโกแลต (Dark Chocolate)
ดาร์กช็อกโกแลตผลิตมาจากเมล็ดโกโก้ เป็นประเภทของช็อกโกแลตที่มีสัดส่วนของโกโก้อยู่เยอะที่สุด
ดาร์กช็อกโกแลตที่วางขายในท้องตลาด จะมีปริมาณโกโก้ดังนี้
1.ดาร์กช็อกโกแลต 50% ขึ้นไป : มีรสชาติหวาน ออกขมนิดๆ เป็นดาร์กช็อกโกแลตที่กินง่ายที่สุด
2.ดาร์กช็อกโกแลต 70% ขึ้นไป : รสชาติเข้มข้น ออกหวานนิดๆ และมีรสขมอมเปรี้ยวแบบเฝื่อนๆ แต่ยังคงกินง่าย
3.ดาร์กช็อกโกแลต 80%-99% : รสชาติขม เข้มข้น มีรสเปรี้ยวติดลิ้น นิยมนำไปทำขนมเบเกอรี่
ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดโกโก้
• เนื้อโกโก้ (cocoa liquor หรือ cocoa mass)
• โกโก้ผง (cocoa powder)
• เนยโกโก้ (cocoa butter)
• ช๊อกโกแลต (chocolate)
ดาร์กช็อกโกแลตนอกจากจะมีน้ำตาลน้อยกว่าช็อกโกแลตประเภทอื่นแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุต่าง ๆ อีกด้วย เช่น ฟลาโวนอยด์ ธาตุเหล็ก ทองแดง สังกะสี แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้นสารอาหารในดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลตที่มีผงโกโก้ 70-85 % ปริมาณ 30 กรัม จะมีสารอาหารโดยประมาณ ดังนี้
• พลังงาน 180 แคลอรี่
• ไขมัน 12.78 กรัม
• โปรตีน 2.34 กรัม
• คาร์โบไฮเดรต 13.8 กรัม
• เส้นใยอาหาร 3.3 กรัม
• น้ำตาล 7.2 กรัม
• คาเฟอีน 0.02 มิลลิกรัม
• น้ำ 0.42 กรัม
• แร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ
ประโยชน์ของดาร์กช็อกโกแลต
1.มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งหลายการศึกษาพบว่า สารโพลีฟีนอลจะช่วยส่งเสริมให้หลอดเลือดแข็งแรง มีส่วนช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี HDL ซึ่งช่วยลดการอักเสบและการก่อตัวของลิ่มเลือดได้
2.ลดระดับความดันโลหิต การรับประทานดาร์กช็อกโกแลตสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ช่วยลดความดันโลหิต ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว
3.ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจาก
ดาร์กช็อกโกแลตอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายมากมาย จึงช่วยบำรุงหลอดเลือดทำให้เกิดการไหลเวียนโลหิตได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มระดับไขมันดี HDL และลดไขมันไม่ดี LDL ในร่างกาย ใน American Journal of Clinical Nutrition ระบุไว้ว่า ในโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตจะมีสารฟลาโวนอยด์ และโพลีฟีนอลในดาร์กช็อกโกแลต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี LDL และเพิ่มคอเลสเตอรอลดีอย่าง HDL ในเลือดได้
5.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง สารฟลาโวนอยด์
ในดาร์กช็อกโกแลต มีฤทธิ์ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ออกซิเจนและเลือดลำเลียงไปสู่สมองได้ดี ส่งผลให้เราจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
6.ช่วยลดความเครียด มีการศึกษาพบว่า คนที่รับประทาน
ดาร์กช็อกโกแลตปริมาณ 40 กรัมทุกวัน นาน 2 สัปดาห์ ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนแห่งความเครียดลดลง เมื่อเทียบกับวันแรกที่เริ่มรับประทาน
แม้ดาร์กช็อกโกแลตจะมีประโยชน์กับร่างกาย แต่หากรับประทานมากเกินไป จะได้รับน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย จึงควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม คือ 20 – 30 กรัม หรือ 1 ชิ้นเล็กต่อวัน และควรเลือกช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของโกโก้อย่างน้อย 70 % ขึ้นไป เนื่องจากจะมีส่วนประกอบของน้ำตาลน้อย และมีสารฟลาโวนอยด์สูง
ส่วนประกอบของโกโก้
สารสำคัญคือ alkaloid ได้แก่ ทีโอโบรมีน (theobromine) จากโกโก้มีโครงสร้างคล้าย caffeine (คาเฟอีน)มาก แต่จะมีฤทธิ์อ่อนกว่า ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและหัวใจ ขับปัสสาวะ ขยายเส้นเลือด คลายกล้ามเนื้อเรียบ บรรเทาอาการหอบหืดคล้ายกับฤทธิ์ของทีโอฟิลลีน (theophylline)
Theophylline (ทีโอฟิลลีน) เป็นยาในกลุ่มยารักษาโรคหอบหืด (Antiasthmatic) และโรคปอด มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อบริเวณรอบ ๆ ทางเดินหายใจภายในปอด ทำให้ทางเดินหายใจภายในปอดกว้างขึ้น และหายใจได้สะดวกขึ้น รวมถึงช่วยในเรื่องการหดตัวของกระบังลม ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการหายใจ และลดการตอบสนองของทางเดินหายใจจากสารระคายเคืองที่มากระตุ้น ยานี้ใช้เพื่อป้องกันหรือรักษาอาการต่าง ๆ เช่น แน่นหน้าอก หายใจถี่จากโรคหืด โรคหลอดลมอักเสบ และโรคปอดอื่น ๆ
หมายเหตุ ห้ามใช้ยานี้หากกำลังบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเมทิลแซนทีน( Metyl-Xanthine) ในปริมาณมาก เช่น ช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีคาเฟอีน
เมทิลแซนทีน เป็นกลุ่มของแอลคาลอยด์ รวมทั้งกาเฟอีน ทีโอโบรมีน และทีโอฟิลลีน (theophilline) ซึ่งพบมากอยู่ในชา กาแฟ โกโก้ และช็อกโกแลต
โดยทั่วไปแล้วผงโกโก้ธรรมชาติจะมีรสชาติเปรี้ยวอ่อน ๆ คล้ายผลไม้ และมีสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มแล้วแต่ลักษณะของสายพันธ์ที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ปลูก
ในการผลิตผงโกโก้นั้นมีขบวนการผลิตที่นิยมหลักๆ อยู่ 2 แบบคือ
1. Natural Cocoa Powder นิยมผลิตในแถบอเมริกา เช่น Hershey's, Ghirardelli, และ Scharffen Berger
2. Dutch-Process Cocoa Powder หรือ Alkalized Cocoa Powder นิยมผลิตในแถบยุโรป เช่น Cocoa Dutch, Valrhona, Cacao Barry และ Van Houten
ผงโกโก้ธรรมชาติที่เกิดจาการทำ Natural Process (Natural Cacao Powder) และ ผงโกโก้ที่ผ่านกระบวนการดัตช์ (Dutch-Processed Cocoa Powder) ต่างกันอย่างไร
ผงโกโก้แบบธรรมชาติ (Natural Cocoa Powder) จะมีสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีของดิน และมีความเป็นกรดอยู่ ในการทำเบเกอรี่จึงควรจะใช้คู่กับ Baking Soda เพื่อให้ลดความเป็นกรดลง โกโก้แบบธรรมชาตินั้นจะมีสีอ่อนกว่าแต่มีรสขมเข้มกว่าแบบ Dutch Process
ส่วนการผลิต Dutch-Process Cocoa Powder ซึ่งกระบวนการนี้ถูกคิดค้นโดยนักเคมีที่มีชื่อว่า Mr. Coenraad J. Van Houten หรือที่รู้จักกันดีในนามของ Van Houten Chocolate ที่โด่งดังไปทั่วโลก สาเหตุที่เรียกว่า Dutch-Process นั้นเป็นเพราะว่า Mr. Van Houten เป็นชาวดัตช์ หรืออีกชื่อที่เราคุ้นเคยนั้นคือ ชาวเนเธอร์แลนด์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบนั่นเอง
โดยขั้นตอนเริ่มต้นเหมือนกับผงโกโก้แบบธรรมชาติ แต่จะเพิ่มขั้นตอนการลดความเป็นกรดโดยการใช้โปรแตสเซียมคาร์บอเนต ในขั้นตอนการผลิตก่อนจะนำมาบีบอัดแยกไขมันและทำเป็นผงโกโก้ ผลที่ได้จะทำให้ผงโกโก้มีสีที่เข้มขึ้น แต่ความขมจะลดลง และมีรสนุ่มนวลมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากความเข้าใจทั่วไปว่า สีเข้มน่าจะขมมากกว่า ในการทำเบเกอรี่ควรใช้คู่กับผงฟู (Baking Powder)
ผงโกโก้ส่วนมากที่วางจำหน่ายในประเทศไทยจะเป็นแบบ Dutch process เช่น Cacao Barry, Cocoa Dutch, Van Houten, และ Tulip ซึ่งสีเข้มก็จะผ่านขบวนการลดความเป็นกรด (Alkalisation) มากกว่าสีอ่อน
ส่วน Black Cocoa Powder คือผงโกโก้แบบ Dutch-Process ที่ผ่านขบวนการลดความเป็นกรดที่มากขึ้น ใช้เวลานานขึ้น จนได้ผงโกโก้ที่มีสีดำสนิท โดยทั่วไปจะขมน้อยกว่าแบบสีเข้มและสีอ่อน
เรารู้จักกันดีคือ ขนมคุ้กกี้โอรีโอ้ ซึ่งถ้าใช้ผงโกโก้ทั่วไป ยากที่จะทำออกมาให้สีดำสนิท
ที่มา :
ประโยชน์ของดาร์กช็อกโกแลต - MedPark Hospital www . medparkhospital . com › content › health-be...
7 ประโยชน์ดีๆ ที่คุณจะได้รับ เมื่อกิน 'ดาร์กช็อกโกแลต' www . ofm . co . th › blog › dark-chocolate-benefits
Cocoa / โกโก้ - Food Wiki www . foodnetworksolution . com › wiki › word
ความแตกต่างระหว่างผงโกโก้ธรรมชาติกับผงโกโก้แบบดัตช์ www . chocolasia . com › 2019/06/22 › โกโก้-dutc...
ผงโก้โก้สีดำ (ฺBlack Cocoa Powder),วิธีการทำโกโก้,Natural homemademarket . co . th › blog › blog1
Theophylline (ทีโอฟิลลีน) - รายละเอียดของยา - พบแพทย์ - Pobpadh www . pobpad . com › theophylline
Revitalizing immune force วิตามินเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันทุกช่วงของชีวิต
ทุกวันนี้โลกของเราเต็มไปด้วยอนุมูลอิสระมากมาย โดยเฉพาะช่วง 3 ปีที่ผ่านมา(2019-2021) ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เชื้อไวรัสได้พัฒนาตัวเองขั้นสุดโจมตีมวลมนุษย์ชาติแทบทุกภูมิภาค ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ไม่น่าจะมีใครลืมโรค CIVID-19 ซึ่งติดต่อกันง่ายมาก
ไวรัสตัวนี้มักจะเริ่มต้นจู่โจมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยการเพิ่มจํานวนของไวรัสเกิดข้ึนในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและในปอด มีงานวิจัยในช่วงแรกระบุว่า
มีการเพิ่มจํานวนของไวรัสได้ในระบบทางเดินอาหาร แต่การติดต่อผ่านระบบทางเดินอาหารยังไม่เป็นที่ยืนยัน
ตามปกติภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งสร้างได้จากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ รับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่สะสมความเครียด ฯลฯ คงจะดีไม่น้อยหากเราเลือกรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระที่รวมวิตามินหลายชนิดไว้ในเม็ดเดียว
วิตามิน Revitalizing immune force ยี่ห้อ Holistic Nutrition ผลิตในอเมริกา มีส่วนประกอบดังนี้
1. Modified Rice Bran คือสารสกัดจากรำข้าวดัดแปลง
อะราบิน็อกซีแลน(arabinoxylan) เป็นเส้นใยอาหารชนิดที่ละลายได้ในน้ำ จัดเป็นประเภทเฮมิเซลลูโลสที่อยู่ในกลุ่มพอลิแซ็กคาไรด์(polysaccharides)
สารประกอบอะราบิน็อกซีแลนเป็นสารสกัดจากรำข้าว
ที่ทำปฏิกิริยากับเอนไซม์จากเห็ดหอมชิตาเกะ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพ รำข้าวที่ดัดแปลงด้วยเอนไซม์จะช่วยให้การทำงานของเซลล์นักฆ่า(Natural Killer cell) มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
สารประกอบอะราบิน็อกซีแลนจากรำข้าวมักใช้เพื่อส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังใช้สำหรับโรคมะเร็ง ลดผลข้างเคียงของการรักษามะเร็ง อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (CFS) โรคตับอักเสบซีและอาจเพิ่มความต้านทานต่อการติดเชื้อไวรัสและมะเร็งในผู้สูงอายุ
ความเชื่อมโยงระหว่างความแข็งแกร่งของภูมิคุ้มกันที่ลดลงกับการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นและโรคมะเร็ง ได้รับการพิสูจน์ในการศึกษาจำนวนมากซึ่งแสดงให้เห็นว่า การลดลงของการทำงานเชิงคุณภาพของเม็ดเลือดขาวในช่วงอายุมากขึ้น จึงไม่แปลกที่ผู้สูงอายุมักจะติดเชื้อในกระแสเลือดบ่อยครั้ง
นักวิจัยเชื่อว่าเส้นใยนี้ ช่วยให้ร่างกายผลิตเซลล์นักฆ่าที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นและกระตุ้นเซลล์เหล่านั้น
ในการศึกษาหนึ่ง สารสกัดรำข้าวดัดแปลงแสดงให้เห็นว่า สามารถเพิ่มเซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติได้ 84% งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า สารสกัดรำข้าวดัดแปลงทำงานได้ดีในเวลาเพียงสองวัน สามารถใช้ได้ในช่วงฤดูไข้หวัดใหญ่เมื่อผู้ป่วยมีความอ่อนไหวต่อเชื้อโรคมากขึ้น
2.Himematsutake (Agaricus Blazei) เรียกอีกอย่างว่า เห็ดกระดุมบราซิล
เห็ดกระดุมบราซิล(Agaricus Blazei) ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางทั่วโลกว่าเป็นของขวัญจากธรรมชาติที่นำมาซึ่งสุขภาพที่ดีและอายุยืน
ในบรรดาเห็ดที่มีศักยภาพมากที่สุดนั้น เห็ดกระดุมบราซิลมี polysaccharides มากถึง 27 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลที่ประกอบขึ้นเป็นระดับโมเลกุลของโครงสร้างคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
โพลีแซคคาไรด์บางชนิดมีหน้าที่เก็บพลังงาน ในขณะที่มนุษย์ได้รับพลังงานจากการรับประทานอาหาร แต่โพลีแซคคาไรด์บางชนิดมีหน้าที่ในการรักษาโครงสร้างของเซลล์
นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่บริโภคเห็ดกระดุมบราซิลเป็นประจำนั้น
มีแนวโน้มที่จะไม่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังที่รุนแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบต้ากลูแคน(โพลีแซคคาไรด์)ในเห็ด ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีศักยภาพที่ไม่เหมือนใคร
3.Bacillus subtilis (1.5 Billion CFU) บาซิลลัส ซับทิลิสเป็นที่รู้จักว่าสามารถทนต่อความร้อน น้ำดี และกรดในกระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้ประโยชน์ เช่น เพิ่มระดับภูมิต้านทาน ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง ปรับระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น ฯลฯ
แบคทีเรียนี้ชนิดใช้กันอย่างแพร่หลายในระดับอุตสาหกรรมโดยบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการผลิตเอนไซม์ ส่วนประกอบทางเภสัชกรรม และ GMOs
บาซิลลัส ซับทิลิสเป็นที่นิยมทั่วโลกก่อนเริ่มมีการใช้ยาปฏิชีวนะ เมื่อใช้ บาซิลลัส ซับทิลิสเป็นสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อช่วยรักษาโรคทางระบบเดินอาหารและระบบทางเดินปัสสาวะ หลังจากทศวรรษ 1950 ยาปฏิชีวนะถูกใช้อย่างแพร่หลาย โปรไบโอติกตัวนี้ได้รับความนิยมลดลง แต่ในทางกลับกัน บาซิลลัส ซับทิลิสถูกใช้อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมปศุสัตว์และสัตว์ปีกเพื่อทดแทนยาปฏิชีวนะ
4.Selenium (as L-selenomethionine) เป็นโคเอนไซม์ของสารต้านอนุมูลอิสระ ร่างกายได้รับจากอาหารประเภทผัก เน้ือสัตว์และ อาหารทะเล เชื่อว่าสามารถป้องกันโรคมะเร็งและลดโอกาสการเกิดโรคเรื้อรังได้
Selenium ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปีค.ศ 1817 โดยนักเคมีชาวสวีเดน John Jacob Berzelius และ J.G Gahn จัดเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญพบปริมาณน้อยในร่างกาย ทำงานเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร่วมกับวิตามินอีในการป้องกันเซลล์ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ( ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความชราและการเกิดโรคร้ายต่างๆ ) เป็นส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระเอนไซม์ peroxidase glutathione และ reductase thioredoxin
ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุและเป็นสารต้านการอักเสบในการรักษาข้ออักเสบ
รูปแบบที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ L-selenomethionine ดูดซึมได้ง่ายและเก็บไว้ในร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นรูปแบบที่ถูกนำมาใช้ทดลองทางคลีนิกมากที่สุด
มีประโยชน์อย่างไร
1.เพิ่มจำนวนเซลล์นักฆ่า(Natural Killer cell)
เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ซึ่งเซลล์ชนิดนี้เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวส่วนน้อยของเม็ดเลือดขาวทั้งหมดโดยจะมีอยู่ประมาณ 5-10% ของเม็ดเลือดขาวที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
โดยทั่วไปเซลล์นักฆ่าจะมีหน้าที่หลักคือ การลาดตระเวนและตรวจตราหาเซลล์แปลกปลอม เซลล์ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือ เซลล์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจนอาจก่อให้เกิดอันตรายภายในร่างกาย เมื่อเซลล์นักฆ่าตรวจสอบพบเซลล์ที่มีความเปลี่ยนแปลงหรือกลายพันธุ์ไปซึ่งมักเกิดจากจากการติดเชื้อหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นเซลล์มะเร็งนั้น เซลล์นักฆ่าจะทำลายเซลล์ผิดปกติดังกล่าวก่อนที่เซลล์เหล่านั้นจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือพัฒนาไปสู่การเป็นโรคมะเร็ง
2.จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยเพิ่มระดับภูมิต้านทาน เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่งทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย
3.เพิ่มระดับพลังงานทำให้ไม่เหนื่อยง่าย
4.ลดอาการไอจาม น้ำมูกไหลจากภาวะภูมิแพ้
5.เพิ่มประสิทธิภาพของปอดให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
6.ช่วยฟื้นฟูร่างกายและลดการอักเสบในระดับเซลล์
ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิต้านทานผิดปกติ(Autoimmune disease)เช่น ไทรอยด์ SLE ข้ออักเสบรูมาตอยด์
พัฒนาการของบีเซลล์ (B cell) และทีเซลล์ (T cell) ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกายมนุษย์ เป็นกระบวนการอันซับซ้อนซึ่งทำให้เกิดกลุ่มของเซลล์ที่มีความหลากหลาย แยกไม่ออกว่า เซลล์ใดคือเชื้อโรค เซลล์ใดเป็นเซลล์ปกติของตัวเอง ซึ่งอาจทำให้มีเซลล์บางเซลล์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น การเกิดภูมิต้านเนื้อเยื่อตนเอง(Autoimmune disease)
7.ป้องกันการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด ทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบ ฯลฯ
8.ช่วยลดความอ่อนเพลียจากการฉายรังสีหรือเคมีบำบัด
9.อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมของร่างกาย ป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปกติไม่ให้เป็นเซลล์มะเร็งได้
10.อาจช่วยป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็งแทบทุกชนิด ชะลออัตราการขยายตัวของเซลล์และเพิ่มความแตกต่างของเซลล์
เซลล์มะเร็งเป็นการทำให้เกิดการแบ่งตัว เพิ่มจำนวนเซลล์อย่างรวดเร็วของเซลล์ที่เป็นอมตะ (ไม่มีการตายของเซลล์) เกิดจากไมโตคอนเดรียที่เสียหาย ในคนที่มะเร็งระยะสุดท้าย เซลล์มะเร็งมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วจนเซลล์ไม่แตกต่างกันมากพอที่จะระบุได้ว่าเป็นเซลล์ชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น เซลล์เต้านมหรือเซลล์ตับ เซลล์มะเร็งที่ไม่แตกต่างกัน เรียกว่าเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง สามารถกระจายในกระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย โดยที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่รับรู้ว่าเป็นเซลล์แปลกปลอม สามารถแบ่งตัวและแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียงผ่านทางระบบเลือดหรือระบบทางเดินน้ำเหลืองได้อย่างรวดเร็ว
ภูมิคุ้มกันสำคัญกับชีวิตผู้คนทุกช่วงทุกวัย หากมีระบบภูมิต้านทานที่แข็งแกร่งซึ่งมักจะมาพร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ว่าเราจะมีอายุมากเพียงไร ร่างกายจะกระฉับกระเฉง คล่องแคล่วว่องไว
ไม่เจ็บป่วยออดๆแอดๆ สามวันดีสี่วันไข้ ในอดีตแป้งเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เด็ก คันหูคันตาและเหนื่อยง่าย(โลหิตจาง+พาหะธาลัสซีเมีย)ถือเป็นเรื่องปกติ จวบจนสิบกว่าปีที่ผ่านมา
อาการภูมิแพ้ได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนเหมือนคนปกติ จะกำเริบแค่ช่วงที่นอนดึกและเครียดเท่านั้น(ในหนึ่งปีมี 1-2 ครั้ง)ตลอดเวลาหลายปีแป้งมีภูมิต้านทานที่สูงขึ้น ร่างกายแข็งแรง พลังงานเยอะ ไม่เหนื่อยล้าง่าย มองเห็นตัวหนังสือชัด ไม่ต้องใส่แว่น ตื่นนอนตอนเช้าสดชื่นแม้จะนอนดึกแค่ไหน ซึ่งเป็นผลจากการกินวิตามินคุณภาพสูงต่อเนื่อง ไม่เคยหยุดพัก คนที่กินวิตามินแบบแป้ง จะรู้สึกได้เช่นเดียวกันว่า ความเจ็บป่วยกับอ่อนเพลียอยู่ห่างไกลเหลือเกิน
ในความหมายของคำว่า ‘’ชะลอวัย’’คือ ป้องกันและฟื้นฟูความเสื่อมของสุขภาพ ปรับสมดุลต่างๆให้กับร่างกาย ปีนี้ที่อายุ 48 แป้งถือว่า สอบผ่านนะคะ
สอบถามสินค้าและสั่งซื้อได้ที่
hamercandysiam.lnwshop.com
Revitalizing immune force - Hamer candy : Inspired by LnwShop.com
Tel.061-7429944
Line id : 0617429944
ที่มา :
https://www.reliasmedia.com/articles/124587-rice-bran-arabinoxylan-for-regulation-of-the-immune-system
7 Science-Based Health Benefits of Selenium - Healthlinehttps://www.healthline.com › ... › Nutrition
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3168293/
แถลงข่าว “ก้าวแรกสู่ความสำเร็จ การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วยเซลล์ ...https://www.chula.ac.th › news
อะพอพโทซิส - วิกิพีเดียhttps://th.wikipedia.org › wiki › อะพอพโทซิส
What is NK Cell Therapy? How you can improve your Natural ...https://www.bioxcellerator.com › blog › w...
12 Proven & Potential Benefits of the Probiotic B. subtilishttp://anabio.com.vn › ... › Science News
หมายเหตุ
1.รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น กรณีบำรุงสุขภาพทั่วไปหรือต้องการเพิ่มระดับภูมิต้านทาน
2. รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น
กรณีเป็นโรคระบบภูมิต้านทานผิดปกติ(Autoimmune disease)ที่อาการแสดงไม่มาก
3.รับประทานครั้งละ 2 เม็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น กรณีโรคมะเร็ง
14 สัญญาณเตือนว่าอาจมีปัญหาสมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหาร
• มีอาการระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หรือลำไส้แปรปรวน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและท้องผูก • มีปัญหาไมเกรนหรือนอนไม่หลับ ...
บทความยอดนิยม
-
ความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นปัญหาใหญ่หลวงสำหรับผู้ชายหลายคน จะเริ่มมาเยือนตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป มีปัจจัยหลายอย...
-
การดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ไม่รู้จะรีบกันไปถึงไหน ยิ่งในกรุงเทพเมืองฟ้าอมรที่ได้การ...
-
hamercandysiam.lnwshop.com ลูกอมรสกาแฟผลิตในมาเลเซีย เป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายดีอันดับหนึ่งประเภทบำรุงร่างกายและเพิ่มสมรรถภาพใน...
-
ในปัจจุบันนี้ แทบทุกคนจะเป็นภูมิแพ้กันทั้งสิ้น แป้งเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นมานมนานต้ังแต่เด็กๆจนกระทั่งเริ่มเรียนม.ต้น ช่วงเช้าจะมีน้...
-
เรียนแจ้งทุกท่านเพื่อโปรดทราบ แป้งย้ายการตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ และผิวพรรณ ประจำสัปดาห์มายัง https://pangpungpond.blogspot.com/ เนื่องจาก...
-
Mentalk เป็นลูกอมโสมทะเลทรายเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เกรดพรีเมี่ยมชื่อดังในตำนาน ผลิตในประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วยสมุนไพรชั้นเยี่ยม ปราศจากสารเคมีใ...
-
วิตามินที่กล่าวถึงต่อไปนี้ เรียกว่า borage oil ( น้ำมันโบราจ ) บางคนอาจไม่ค่อยคุ้นเคยห...
-
คนที่มีความสุขกับการกิน ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรเข้าปาก มักจะเอร็ดอร่อยเสมอ บางทีกินแค่นิดเดียว แต่น้ำหนักขึ้นเอาๆ พยายามลดการกินลง แต่ไม่ได้ผลเ...
-
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า grape seed ช่วยในเรื่องการลดเม็ดสีที่เกิดจากการทำลายของแสงแดด ส่งผลให้สีผิวสม่ำเสมอ และขาวใสขึ้น ลองมาดูกันดีกว่...
-
แป้งได้รับข้อความขอบคุณจากหลังไมค์ท่านหนึ่ง ซึ่งอ่านบทความในบล็อก’’Goutless ชาลดอาการกำเริบโรคเกาต์อย่างเห็นผลชะงัด’’ ซึ่งพ่อของผู้อ่านท่าน...